ในขณะที่คนทั่วโลกกำลังเดือดร้อนกับราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ แต่ผลกำไรของบริษัทน้ำมันขนาดยักษ์ของโลกกลับเพิ่มสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา มันช่างฝืนความรู้สึกในใจของมนุษย์ธรรมดาๆ ที่คิดว่า “เออ! เมื่อสินค้าราคาสูงขึ้น เขาน่าจะลดกำไรลงมามั่ง เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคเดือดร้อนมากนัก” แต่มันกลับเป็นตรงกันข้าม คือเพิ่มกำไรมากกว่าเดิม โดยไม่สนใจใยดีกับเพื่อนร่วมโลก
ในขณะที่ผู้มีรายได้น้อยอย่างกรรมกรได้สะท้อนออกมาในวันแรงงานแห่งชาติว่า “ค่าครองชีพแพง แต่ค่าแรงเท่าเดิม”
บทความนี้จะนำเสนอทั้งข้อมูลและความคิดเห็นใน 4 เรื่องต่อไปนี้ คือ (1) ผลประกอบการล่าสุดของบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ 6 อันดับแรกของโลก (2) เส้นทางการค้าน้ำมัน รวมทั้งพ่อค้าน้ำมันที่มีอำนาจทางการเมืองของโลก ผมจะนำเสนอด้วยภาพที่เข้าใจง่ายและดูสบายๆ (3) เปรียบเทียบระบบภาษีน้ำมันของประเทศต่างๆ ที่มีผลก่อให้เกิดปัญหาโลกร้อน และ (4) ความไม่รับผิดชอบสังคมของบริษัทยักษ์ทั้งหก เริ่มกันเลยครับ
(1) ผลประกอบการล่าสุดของบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ 6 อันดับแรกของโลก
สำนักข่าวบีบีซี (29 เมษายน 2551) รายงานว่าในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทเชลล์ (Royal Dutch Shell) เพียงบริษัทเดียว มีผลกำไรสุทธิถึง 7.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ถึง 13% ถ้าคิดออกมาเป็นเงินบาทก็ประมาณ 2.48 แสนล้านบาท นี่เพียงแค่ 3 เดือนนะครับ ถ้าทั้งปีที่นับรวมช่วงฤดูหนาวเข้าไปด้วยจะเป็นเท่าไหร่
ประเด็นสำคัญของเรื่องข้างต้นนี้ก็คือ กำไรกลับสูงกว่าปีก่อนถึงถึง 13% นั่นแปลความได้ว่า น้ำมันดิบยิ่งแพง บริษัทน้ำมันยิ่งกำไรขึ้น
เพื่อไม่ให้เรารู้สึกมึนงงกับตัวเลขที่ยังไม่ครบทั้งปีและไม่ครบทุกบริษัท เรามาดูข้อสรุปผลกำไรประจำปี 2550 ของบริษัทค้าน้ำมันใหญ่ๆ 6 อันดับของโลกซึ่งรวบรวมโดยกลุ่ม “เพื่อนของโลก (Friends of the Earth)” พบว่า บริษัทใหญ่ 6 อันดับแรกของโลก (คือ ExxonMobil (บริษัทแม่ของเอสโซ่), Royal Ducth Shell(ของเนเธอร์แลนด์), BP (ของอังกฤษ), Chevron (ซื้อกิจการบริษัทยูโนแคล บริษัท Chevron กำลังจะมาขุดเจาะน้ำมันในทะเลบริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราช), ENI (ของอิตาลี), TOTAL (ของฝรั่งเศส)) มีผลกำไรรวมกัน 124.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณครึ่งหนึ่งของรายได้ประชาชาติของไทย
จากข้อมูลที่ผมค้นเพิ่มเติมพบว่า ในปี 2548 บริษัทกลุ่มนี้มีกำไรรวมกัน 95.68 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นั่นคือ กลุ่ม 6 บริษัทนี้มีกำไรเพิ่มขึ้นทุกปี เป็นไปตามกติกาที่เขากำหนด คือยิ่งวัตถุดิบแพง กำไรยิ่งมาก
(2) เส้นทางการค้าน้ำมัน รวมทั้งพ่อค้าน้ำมันที่มีอำนาจทางการเมืองของโลก
ถ้าถามว่าบริษัทเหล่านี้เป็นของใครบ้าง ชาติใดบ้าง เขาขุดน้ำมันจากประเทศใดไปขายประเทศใด และเกี่ยวข้องกับนักการเมืองระดับโลกอย่างไร ลองดูจากภาพข้างล่างนี้ครับ
ภาพแรกแสดงแหล่งน้ำมันดิบว่าขุดจากไหน ไปขายที่ไหน
สิ่งที่เราเห็นได้ชัดเจนจากภาพนี้ก็คือว่า น้ำมันดิบส่วนใหญ่ถูกส่งไปที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลก ประชากรอเมริกันมีประมาณ 5% ของโลกแต่ใช้พลังงานถึง 25% ของโลก ประเทศของตนก็มีน้ำมันดิบจำนวนมาก แต่ไม่ยอมขุดขึ้นมาใช้
สำหรับประเทศผู้ขายน้ำมัน ส่วนใหญ่ก็เป็นประเทศตะวันออกกลาง ซาอุฯ อีรัก อิหร่าน เวเนซุเอรา เม็กซิโก ซึ่งถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา
ที่น่าตกใจกว่านั้น คือ ประเทศในจีเรีย ทั้งๆที่เป็นประเทศส่งออกน้ำมันดิบอันต้นๆของโลก แต่ประชากรของประเทศนี้กลับยากจนเกือบจะเป็นที่สุดในโลก
มันเกิดอะไรขึ้นกับธุรกิจน้ำมันครับ?
พูดถึงพ่อค้าน้ำมันกับการเมืองโลก ลองดูรูปเรือข้างล่างนี้ดีๆซิครับ
เป็นเรือขนส่งน้ำมันขนาดใหญ่ของบริษัท Chevron ข้างเรือมีชื่อ Condoleezza Rice ซึ่งเป็นชื่อของผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ธรรมดา
เธอเป็นอดีตผู้อำนวยการของบริษัทนี้ Chevron แต่ได้ลาออกมาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ เธอเป็นผู้หญิงผิวดำที่เราเห็นในจอทีวีบ่อยๆในข่าวต่างประเทศ เธอเป็นแม่ค้าน้ำมันและมีอำนาจสำคัญในการตัดสินใจว่าจะยกทหารไปยึดครองบ่อน้ำมันของประเทศใดบ้าง เช่น อีรัก อิหร่าน เป็นต้น
นักการเมืองอีกคนหนึ่งที่น่าสนใจมาก คือ Dick Cheney ผู้มีตำแหน่งเป็นรองประธานาธิบดีสหรัฐ ผู้นี้เคยทำงานในบริษัท chevron ที่มีความสัมพันธ์และร่วมกิจการกันกับบริษัท Halliburton (Dick Cheney เป็นประธานบริษัท Halliburton ด้วย)
หลังสหรัฐอเมริกาบุกอิรักจนเกิดความเสียหายยับเยิน บริษัท Halliburton ก็ได้รับงานจากรัฐบาลสหรัฐจำนวน 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐเพื่อไปฟื้นฟูประเทศอิรัก โดยไม่มีการประมูลใดๆ
แน่จริงๆ
สำหรับปัจจัยใดบ้างที่อิทธิพลต่อการกำหนดราคาน้ำมัน ผมว่าดูจากภาพก็คงเข้าใจนะครับ ว่าขึ้นกับ 7 ปัจจัย เช่น ขึ้นกับ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ยิ่งค่าเงินดอลลาร์ตก ราคาน้ำมันก็สูงขึ้น(สำหรับหลายประเทศ) การประท้วงของชาวเวเนซูเอรา รวมทั้งนโยบายของประธานาธิบดี เป็นต้น
(3) เปรียบเทียบระบบภาษีน้ำมันของประเทศต่างๆ ที่มีผลก่อให้เกิดปัญหาโลกร้อน
ญาติผมคนหนึ่งซึ่งเพิ่งกลับจากการท่องเที่ยวสหรัฐอเมริกาเล่าให้ผมฟังว่า “คนอเมริกันใช้น้ำมันกันอย่างสิ้นเปลืองมาก ราคาน้ำมันก็พอๆกับในบ้านเรา แต่รายได้เขาสูงกว่าเราหลายเท่าตัว”
การที่ราคาน้ำมันของแต่ละประเทศแตกต่างกัน ส่วนมากแล้วขึ้นกับระบบภาษี ค่าการกลั่น ค่าการตลาดของแต่ละประเทศ ในที่นี้ผมจะยกมาเปรียบเทียบกันเพียง 3 ประเทศเท่านั้น คือ สหรัฐอเมริกา เยอรมนี และไทย
กรณีของประเทศไทย ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ในพื้นที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2551 ลิตรละ 32.59 บาท โดยมีองค์ประกอบของราคาดังนี้คือ น้ำมันดิบ 64.0% (20.86 บาท,โดยประมาณ) ภาษีทุกชนิดรวมกัน 17.7% ค่าการกลั่น 8.8% (เฉลี่ย 2.8665 บาท) ค่าการตลาด 8.8% (2.5772 บาท) ค่ากองทุนน้ำมันและอนุรักษ์พลังงาน 1.53% ( 50 สตางค์)
สำหรับราคาของประเทศสหรัฐอเมริกา ค่าเฉลี่ยของปี 2550 เป็นดังภาพข้างล่างนี้
คือเป็นค่าน้ำมันดิบ 58% (ของไทย 64%) เป็นค่าการกลั่น 17% ค่าการตลาด 10% และภาษี 15%
สำหรับราคาขายปลีกที่ปั๊มในรัฐนิวยอร์ค เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2551 คิดออกมาเป็นเงินไทยแล้วประมาณลิตรละ 29.36 บาท ซึ่งถูกกว่าในประเทศไทย
สำหรับประเทศเยอรมนี เท่าที่ผมค้นได้ล่าสุด น้ำมันเบนซินชนิดไร้สารตะกั่วเมื่อเดือน 8 มีนาคม นี้ ราคาลิตรละ 72.82 บาท ใช่ 70 กว่าบาท ในจำนวนนี้ ในจำนวนนี้เป็นภาษีถึง 64% ( 46.60 บาท)
การที่ประเทศเยอรมนี (รวมทั้งประเทศในยุโรปอื่นๆ) คิดภาษีในอัตราสูงเช่นนี้ ทำให้คนบางส่วนออกมาเรียกร้องให้ลดภาษีลง แต่ผลดีที่รัฐบาลมีนโยบายเช่นนี้ ก็คือ ทำให้น้ำมันที่ผลิตจากพืช ไม่ว่าจะเป็นไบโอดีเซล แก๊สโซฮอล สามารถเข้ามาแข่งขันกับน้ำมันฟอสซิลได้
ในช่วงเวลา 15 ปี จาก 2534-2548 ทำให้ยอดการใช้น้ำมันไบโอดีเซลในเยอรมนีเพิ่มขึ้นถึง 7 พันกว่าเท่า ในปี 2548 น้ำมันไบโอดีเซลเข้ามามีส่วนแบ่งการตลาดถึง 12% ในขณะที่ประเทศไทยมีเพียง 0.06% เท่านั้น (ข้อมูลปี 2546)
การที่น้ำมันแพงทำให้คนหันมาประหยัด รถยนต์ส่วนบุคคลในเยอรมนีส่วนมากเป็นคันเล็กๆ ไม่เหมือนในอเมริกาที่ยาวคันละหลายวา
การทำให้น้ำมันราคาถูกอย่างในอเมริกา ทำให้คนไม่รู้จักการประหยัด ใช้อย่างสุรุยสุร่าย จนซดน้ำมันไปถึง 25% ของโลก
อย่าลืมว่าน้ำมัน 1 ลิตรก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 2.5 กิโลกรัม และก๊าซนี้แหละที่ทำให้ปัญหาโลกร้อน
กราฟข้างล่างนี้แสดงให้เห็นราคาน้ำมันของประเทศญี่ปุ่น ยุโรป และประเทศอเมริกาเหนือ (สหรัฐอเมริกากับแคนาดา) ตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน เราจะเห็นว่าราคาน้ำมันในยุโรปเกือบเป็น 3 เท่าของราคาในอเมริกาเหนือ หรือในสหรัฐอเมริกานั่นเองแหละ
ถ้าเราคิดว่าน้ำมันที่เกิดจาการทับถมของซากพืชและสัตว์มานับล้านปีนี้เป็นสมบัติของคนรุ่นหลังด้วย การกำหนดภาษีในอัตราต่ำเกินไป นอกจากจะเป็นการกีดกันไม่ให้ไบโอดีเซลและพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ เกิดขึ้นแล้ว ยังเป็นการเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจของผู้นำการเมืองของอเมริกันรุ่นนี้อีกด้วย พวกเขาไม่สนใจว่าคนรุ่นหลังจะใช้อะไร พร้อมกับทิ้งพิษภัยโลกร้อนไว้อย่างยากที่จะแก้ไข
(4) ความไม่รับผิดชอบสังคมของบริษัทยักษ์ทั้งหก
ผมร่ายยาวใน 3 ประเด็นแรกมากไปหน่อยครับ ประเด็นสุดท้ายจึงขอนำเสนอเพียงสั้นๆ ว่า กลุ่มสหภาพยุโรป ได้เสนอให้กลุ่มบริษัทน้ำมันช่วยกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงจำนวน 10% ในปี 2020 โดยไม่ต้องใช้เชื้อเพลิงจากพืช แต่ให้หันมาใช้วิธีใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพ ปรับปรุงระบบการกลั่น (ซึ่งเป็นเรื่องที่อธิบายยากในที่นี้) และอื่นๆอีก
แต่ปรากฏว่า บริษัทผลิตน้ำมันไม่สนใจ ทั้งๆที่มีกำไรจำนวนมหาศาลทุกปี ขณะเดียวกันก็โฆษณาว่าลวงโลกว่า ตนเองสนใจแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมเสียเหลือเกิน
มีโอกาสเหมาะๆแล้วจะนำมาเล่าต่อไปนะครับ