Skip to main content


 

( ) ตะ วั น รุ่ ง


@
เช้า ต รู่ ตื่นขึ้นมา พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นมาทักทายมนุษยชาติ ... วันนี้ ฉั น ตั้งใจนั่งทอดหุ่ยที่ชานบ้านไม้ชายทุ่ง ยลชมแสงตะวัน และ นกกาพริ้วปีกโบยบินออกหากิน ทางทิศตะวันออก

 

... ลา ก เก้าอี้ไม้มานั่งทอดหุ่ย โอ้ นกกาออกหากินแล้ว ... ลูกเอ๋ย ... นั่น กระยางขาวขยับปีกบินตัดท้องฟ้า นกเขาขัน คู คู นกกระจอกฟ้าฝูงใหญ่พรุพราวลงสู่ต้นข้าวที่ทุ่งนา นกน้อยๆ นานาชนิดร้องเพลงขับกล่อมโลก 


- - -
ด ว ง ตะ วั น ฉายแสงแล้ว แสงเงิน แสงทองสาดส่องเจิดจ้า ฉั นเปลือยตีนลุกขึ้นยืน นมัสการดวงตะวัน พร้อมพลังลมปราณ รำร่ายมวยจีน... ยัง ยัง อย่าเร่งรีบไปทำอาหารเช้า ยลชมธรรมชาติยามเช้าให้ชื่นฉ่ำใจก่อน... ฉั น ลงจากบันไดบ้าน เดินออกกำลังกายไปรอบๆบริเวณบ้านที่กว้างขวาง สูดหายใจลึกๆ แลให้ร่างกายรับแสงตะวันยามเช้าที่ช่วยไม่ให้เราเป็นโรคกระดูกพรุน คือได้รับวิตามินดี ...ฉั น เอื้อมมือ แตะคารวะ ต้นไม้ใบไม้ ดอกไม้ ใบหญ้า ฯลฯ หลังจากนั้นก็รดน้ำต้นไม้ดอกไม้ ใบหญ้า พรรณพืช ฯลฯ

 

 


- - -
สา ง สา ย แล้ว เอาล่ะ ทำอาหารมื้อเช้ากินดีกว่า ฉั นหุงข้าวกล้องจากหม้อดินด้วยเตา - ถ่านไม้ ใส่น้ำเยอะมากหน่อย เพราะต้องการกินน้ำข้าวกล้องด้วย เมื่อน้ำเดือดก็เอาเกลือเม็ดใส่ลงไปนิดหน่อยเพื่อเพิ่มรสชาติอันสุนทรีย์ ... สายลมเหนือโชยพลิ้ว ช่วยทำให้เตาถ่านลุกโชน เราต้องหันหน้าเตาที่มีช่องใส่ถ่าน รับทางลม จะไม่ต้องใช้พัดวีให้เมื่อยมือ ลมจะช่วยพัดวีให้เราเอง เตาถ่านลุกโชนโชติจ้า... ข้าวกล้องสุกได้ที่แล้ว ยกหม้อดินออกจากเตา เทน้ำข้าวใส่ถ้วย ได้ปริมาณถึงสองถ้วย อืม ซดน้ำข้าวกล้อง อร่อย หอมกรุ่นนัก แถมมีคุณค่าซะด้วย จากนั้นก็เอาไข่เป็ดสองฟองใส่หม้อน้ำ ต้ม พอน้ำเดือดสักครู่ ยกหม้อต้มออก ทิ้งไข่ไว้สักครู่ แล้วตักไข่เป็ดออก เพื่อให้หัวใจไข่เป็นสีแดงมะตูม


...
เอ๊า ทำอาหาร version ต่อไป...เอาใบตองที่ห่อ เคย (กะปิกุ้งฝอยจากภาคใต้) ที่อ้าย "วิธูร บัวแดง" น้องชาย... เพื่อนผู้จิตใจงามที่เอื้ออาทรต่อ ฉั น นิรันดร์มา ( ...อ้ายวิธูร คร๊าบ กะปิเคยที่อ้ายกรุณาแบ่งให้ใกล้จะหมดแล้วเน้อ ha ha เป็นสัญญาณบ่งบอกอิหยัง 5555555) เอาใบตองที่ห่อเคยเอามาปิ้งย่างบน แตะเมื่อสุกแล้วจะหอมกรุ่นมาก เมื่อเร็วๆ นี้ที่บ้าน - ร้านปลายฝนต้นหนาว ของอ้ายป้อม และหนูอัจน์น้องสาวอ้ายป้อม ฉันเจออ้ายวิธูรฯ เธอบอกฉันว่า ไม่ต้องห่อใบตองก็ได้ บี้กะปิ เคย ให้แบนๆ แล้วเอาปิ้งย่างได้เลย ฉันได้รับความรู้จากปราชญ์นักสู้ผู้รักความเป็นธรรมอีกวิธีการหนึ่ง ( แต่อ้ายธูรฯ กะปิอ้ายแสงดาวฯ มันจะหมดแย้ว ทำไงดี เราขึ้นเครื่องบินไปซื้อทางปักษ์ใต้กันมั้ย ฮ่า ฮ่า ฮ่า ) 


. . .
และ แล้ ว ข้า พ ระ พุ ท ธ เ จ้า ก็ลงมือ - ลงปาก เสวย สวาปาม อาหารมื้ออรุณรุ่งนี้อย่างลำ เอร็ดอร่อย ท่ามกลางสายลม ร่มไม้ ฟ้ากว้าง นกนานาพันธุ์ ฯลฯ ฉันเก็บผักบุ้งและดอกผักบุ้งที่บานสะพรั่งบนลานบ้านมากันกับน้ำพริกแห้งพร้อมยกถ้วยซดน้ำข้าวกล้อง และกะปิเคยหอมกรุ่นคลุกกับข้าวกล้อง ตามด้วยผักบุ้งและดอกผักบุ้ง ผักบุ้งหมดก็เด็ดเอามาจากลานบ้านสดๆ และ ใต้ถุนบ้านที่เธอคลานเลื้อยเข้ามาอาศัยใต้ถุนบ้านที่ยกเสาสูง

 
- - -
แกะเปลือกไข่ออก โรยเกลือป่นและพริกไทยดำ เคี่ยวให้เข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ตักใส่ปาก ยูฮู้ ลำขนาดไม่บาทเดียว พร้อมหยิบกลีบกระเทียมสดใส่โอษฐ์ปาก ฉันกินกลีบกระเทียมทุกมื้ออาหาร พกพาไปเลย พร้อมกับน้ำตาลทรายแดงที่ไม่ฟอกสี และมิลืมที่จะเก็บผักบุ้งไปด้วย เวลาเข้าเมืองและกินก๋วยเตี๋ยว กระเทียมช่วยล้างลำไส้ และเพิ่มพลัง ล้างลำไส้เพื่อไม่ให้เป็นโรคมะเร็ง เวลากินเนื้อย่าง หรือ ลาบควาย.... “ยามเมื่อ ควายเฮาต๋าย ลูกป้อจาย ฝนมีด คมๆ" (เพลงของ วงแบนโจแมนภาคเหนือ) ก็ต้องกินกระเทียม ล้างลำไส้ ฯลฯ

เวลาจะกินผักพื้นบ้านก็ต้องกินสดๆ กันเลย อย่าเอาไปลวกมิฉะนั้นวิตามินจะจางหายไป หัดกินแบบนี้เป็นนิสัย (มิช่ายสั่งสอนนะคร๊าบ เพียงแต่แลกเปลี่ยนเท่านั้น ส่วนใครจะลวกจะต้มก็เป็นสิทธิประชาธิปไตยของท่าน) ...ผักบุ้ง ผักคาวตอง(มีคุณค่ารักษาเกือบทุกโรค หากเอามาเป็นกับแกล้มกับลาบควายแล้ว โย่ โย๋ ลำอร่อยนัก) ผักคื่นช่าย (ทางเหนือเรียกผักกะปืน) นี้ช่วยลดความดันของโลหิต ตลอดจนโรคเก๊าท์ด้วย (ส่วนมากเป็นโรคของคนรวยที่สวาปามทุกอย่างที่ขวางหน้า) ต้นหอม หอมบั่ว (หอมแดง) ก็มีคุณค่า ฯลฯ ผักปลอดสารพิษทุกอย่างล้วนมีประโยชน์ต่อร่างกาย (ยกเว้นอย่ากินผักที่มีสารเคมี เน้อ) กินกันแบบลูกทุ่ง นานเข้าๆ เราก็จะชินไปเอง เดี๋ยวนี้พวกชนชั้นกลาง (ฉันเองก้เป็นชนชั้นกลางแต่ระดับต่ำ มีสติอยู่ แต่ไม่ค่อยมีสตางค์ ฮ่า ห้า) ก็หันมาบริโภคอาหารปลอดสารกันมากขึ้นเพราะกลัวตายผ่อนส่ง ฯลฯ ก็ดีคับ ...เราพยายามอย่ากินอาหาร ประเภทอาหารขยะ (junk food) ก็แล้วกัน ชีวิตมนุษย์ยุคนี้แสนสั้นนัก อายุหกสิบ เจ็ดสิบกว่าๆ ก็ตายกันมากแล้ว รุ่นฉันอายุหกสิบกว่า เวลาเจอกัน จะเป็นงานเลี้ยงรุ่น หรือเจอกันโดยบังเอิญ ก็จะต้องถามกันว่า .. 


"
เฮ้ย เพื่อนเรา ไอ้นั่นมันไปหรือยัง" "ไป หมายถึงว่า ตายหรือยัง ?" เออมันไปแล้ว ไปค้าถ่านแล้ว (ค้าถ่านหมายถึง ตายแล้วเอาไปเผาที่ป่าเฮ้ว ...ป่าช้า สมัยก่อน เขาเผาศพที่ป่าเฮ้ว ป่าช้าด้วย หลัวด้วยฟืน เผาเสร็จก็จะมีถ่านตวย)

 
- - -
ถ้าเป็นคนอายุรุ่นยี่สิบ สามสิบ สี่สิบ ห้าสิบ เมื่อพบกันก็จะถามกันว่า ... "เฮ๊ย ไอ่นั่น อีนั่น เพื่อนเรา มันทำการทำงานอะไร มีลูก มีผัว มีเมีย หรือยัง ?" ก็คงเป็นแบบนี้แหล่ะ


- - -
ก็ตายกันแบบนี้แหล่ะ พณ หัวเจ้าทั่น คนสมัยก่อนรุ่นป้ออุ๊ย แม่หม่อน ปู่ ย่า ตา ทวด ของเรา เปิ้นมีอายุยืน บางคนร้อยปีกว่าๆ แม้กระทั่งถึง ๑๒๐ ปี หากอายุ ๖๐ ก็เพียงแค่อยู่ในวัยกลางคนเท่านั้น เดี๋ยวนี้เป็นเพราะอะไรทำไมคนอายุสั้นนัก ก็เพราะระบบโครงสร้างสังคมอภิมหาบริโภคทุนนิยมสามานย์สุดโต่ง และระบบเผด็จการทุกสายพันธุ์ นั่นเอง อากาศเต็มไปด้วยมลพิษ อาหารเต็มไปด้วยสารเคมี สารพิษ พืชผักด้วยถ้าไม่รู้จักเลือกกินฯลฯ เฮ้อ เป็นกรรมเวรของมนุษย์อวิชชา !

 



(
) ดิ น น้ำ ล ม ไ ฟ : ธ ร ร ม ชา ติ ส ม ดุ ล ย์ ใ น ตั วเ อ ง


- - -
แรกที่ฉันมาปลูกบ้านไม้ใต้ถุนสูง ณ ที่บ้านชายทุ่งนี้ พวกพี่สาวเขาช่วยกันซื้อดินมาถมให้สูง เพราะเป็นที่นาเก่า เป็นมรดกที่พระคุณพ่อ พระคุณแม่ ยกแบ่งให้พวกเราพี่น้องที่ยังมีชีวิตเหลืออยู่ห้าคน (จากแปดคน) ที่นาเก่าจะมีน้ำท่วมในฤดูฝน บ้านสร้างเสร็จ ฉันนั่งอยู่บนระเบียงบ้านเห็นแต่แผ่นดินสีเหลือง (เมื่อก่อน เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ กวี ศิลปิน นักเขียน นักพัฒนา ฯลฯ ช่วยสร้างบ้านดินให้ฉันอีกที่หนึ่ง แล้วฉั น ค่อยเล่าให้ฟังทีหลังว่าทำไมถึงมาสร้างบ้านไม้หลังใหม่?) เห็นแต่แผ่นดินสีเหลือง ไม่มีต้นไม้ขึ้นเลย ฉันใจอ่อนไปหมด ดูช่างแห้งแล้ง ไม่เหมือนที่บ้านดินหลังเก่า ... แต่ในใจ ฉั น คิดว่า คงอีกไม่นาน ต้นไม้ ใบหญ้า ดอกหญ้าก็คงจะแทงผิวดินขึ้นมาหายใจเริงระบำรำร่ายฟ้อน และสัมผัสกับเดือน ดาว ตะวัน ฯลฯ ให้ ฉัน ได้ชื่นชม!

...
พอฝนแรก ไม่นานนัก ต้นไม้ ใบหญ้า ดอกหญ้า ฯลฯ ก็ออกมาเริงระบำรำร่ายฟ้อนให้ ฉั น ได้ฉ่ำใจจริงๆ มีผักบุ้งเลื้อยกายมาให้ฉันได้ชื่นชม เป็นทุ่งดอกผักบุ้งเชียวแหละ (ดูที่รูปภาพที่ฉันถ่าย) พี่น้องเพื่อนมนุษยชาติคับ แถมมีใบกะเพราดอกสีขาว สีม่วง ออกมาเองตามธรรมชาติอีกด้วย รวมทั้งต้นชมพู่ อินทนิล นอกจากไม้ดอกต้นไม้ ที่ฉันปลูกเอาไว้ ฯลฯ

 

 


- - -
ที่ใดมี ดิ น น้ำ ล ม ไฟ ที่นั่นย่อมมีรากเหง้า วิถีชีวิต ซึ่งแตกต่างจากป่าคอนกรีต ในเมือง ที่มีตึกรามบ้านช่อง โรงแรม คอนโด แมนชั่น ฯลฯ ที่แห้งแล้ง คนที่อาศัยต้องปลูกต้นไม้ ดอกไม้ในกระถาง ซึ่งฉันก็เข้าใจ เห็นใจ มนุษย์ย่อมโหยหาธรรมชาติ วิถีชีวิต เฉกเช่นพวกชาวต่างประเทศ พวกฝรั่ง ฯลฯ เขาโหยหารากเหง้าของตัวเองเพราะบ้านเขาส่วนมากมีแต่ตึกรามบ้านช่องคอนกรีต ฯลฯ พวกเขาจึงเดินทางไกลมาหาสีเขียวแห่งรากเหง้าที่มีป่าเขาดงดิบ เช่นที่เอเซีย อาฟริกา ฯลฯ มาสัมผัสคารวะแม่พระธรรมชาติ แล้วก็กลับคืนสู่เมืองมลพิษของเขาต่อไป แต่บางคนก็ไม่กลับไปเลย มาตั้งรกรากอยู่ที่ๆ เขาต้องการหารากเหง้า วิถีชีวิต


- - -
โ อ้ ... ชีวิตมนุษย์ พึงมีฐานที่มั่นของตัวเอง คือมีและหารากเหง้าของตัวเอง และต้องแจ่มชัด ไม่อวิชชา ไม่ให้ระบบอภิมหาบริโภคทุนนิยมเผด็จการพลเรือนสามานย์สุดโต่ง และ เผด็จการทุกสายพันธุ์ มาครอบงำกดหัวเราประชาชนได้ พยายามหาฐานที่มั่นของตัวเองให้ได้ แล้วเราจักอยู่รอด อย่านับถือวัตถุเงินตราเป็นพระเจ้าองค์ใหม่อย่างสุดโต่ง (แน่นอน มนุษย์ที่อยู่ในเมืองต้องใช้เงินตรา) พระเจ้าที่แท้จริงของเราคือแม่พระธรรมชาติ คับ คือ ดิ น น้ำ ล ม ไ ฟ


- - -
สา ย ล ม ห นา ว เ ห นื อพลิ้วโชยมา ต้นไม้ ดอกไม้ ผีเสื้อ แมลงปอ ฯลฯ เริงระบำรำร่าย จิตวิญญาณ ดวงใจ ฉั น ฉ่ำ บา น @


ต้นฤดูหนาว
, ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
บ้านชายทุ่งท่าเกวี๋ยน
, .หนองจ๊อม, .สันทราย,
ล้านนาอิสระ
, เจียงใหม่.

 

 

 

บล็อกของ แสงดาว ศรัทธามั่น

แสงดาว ศรัทธามั่น
 *--*--*{ กาพย์”ลุกขึ้นสู้” }
แสงดาว ศรัทธามั่น
{  กลอนเปล่าอิสรา  }@  ลมหนาวเหนือ พัดโชยมา…ยามต้องไล้ผิวกายร้อนที่รุ่มก็คลายกลิ่นอายเหมันตฤดู …ไม่รู้ลืม @
แสงดาว ศรัทธามั่น
 
แสงดาว ศรัทธามั่น
 ***** --*-- ***** --*-- *****@   “  ฮา  ติง จัง…จังคนมีอำนาจล้นฟ้า  แต่รังแก คนยากไจ้ อำนาจ แบบ ต๋ามใจ๋ เขา “น้องสาว  ผู้ดีงาม ใจงาม ของฉัน  แล ของโลกชีวิต อีกคนหนึ่ง