@ “ แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง ฯลฯ ” . . . เพลงขึ้นต้นนี้ ทุกคนคงจำเนื้อร้องได้ ร้องเมื่อไรตื้นตันใจ น้ำตาคลอเบ้า ตอนเป็นนักเรียน ในวันแม่ คุณครูให้นักเรียนร้องพร้อมกันในห้อง หรือหน้าเสาธง ทุกคนร้องไปด้วย ร้องไห้ไปด้วย … ขอสารภาพ ณ ที่นี้ว่า ฉัน เอง ร้องไม่จบ ร้องทีไร น้ำตาคลอเบ้า ร้องไห้ทุกที ด้วยความตื้นตันหัวอกหัวใจ ไม่รู้ว่าทุกท่านเป็นแบบนี้หรือไม่?
- - - เป็นที่น่าสังเกตุว่า น่าแปลกใจ ตอนเราเป็นเด็กๆ เวลาเกิดเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับเรา เช่น ประสพอุบัติเหตุ ในเรื่องอะไรก็ตาม เกิดเลือดตกยางออก หรือ ตก ใจ เราจะต้องร้องไห้ จ้า และ ร้องเรียกหา “ แม่ ” ทุกครั้ง …. … “ แม่ แม่จ๋า ช่วยลูกด้วย ” ( ทำไมเราไม่เรียกหาคำว่า “ พ่อ” ให้มาช่วย ? ซึ่ง พระคุณพ่อ ก็มีบุญคุณอันใหญ่หลวง ให้เรากำเนิดมาเหมือนกัน แต่เราก็โผล่ออกมาจาครรภ์ ของแม่ ไม่ใช่จาก ครรภ์ ของพ่อ ) …
. . . เริ่มจากชีวิตน้อยๆ แม่ โอบอ้อมถนอมอุ้มชู เลี้ยงดูเราเรื่อยมา ( พระคุณพ่ออย่าน้อยใจนะ คับ ในความเรียงนี้ ผมพูดถึงเรื่อง แม่ ก่อน เท่านั้น แล้วค่อยพูดถึงพระคุณพ่ออีกทีหลัง พระคุณพ่อก็มีบุญคุณอันใหญ่หลวงแก่ ลูกๆ เฉกเช่นกัน ) … พระคุณพ่อแม่(น่านเห็นไหม ผมก็เอ่ยถึงพ่อด้วย ) นั้นไม่ต้องพูดอะไรมากแล้ว เรารู้ รู้ เห็น เห็น กันอยู่ พ่อแม่นั้นเป็นห่วงใยลูกจนตาย แม้นเราจะเติบโต มีลูก เมีย ผัว กันแล้ว พ่อแม่ก็ยังเป็นห่วงเราอยู่ เฝ้าดูแลอยู่ห่างๆ … ลูกเป็นโจร เป็นนายทุนสามานย์ เป็นเผด็จการทหาร กดขี่ข่มเหง ทำร้ายประชาชน แม่ก็ยังรักลูก เพียงแต่แม่ก็คงรู้สึกเสียใจที่ลูกๆประพฤติ ปฏิบัติ ผิดๆ ต่ำช้า เลวทราม เช่นนั้น ฯลฯ …
มีคราหนึ่ง ยกตัวอย่างรูปธรรม ตัวฉันเองนั่น แหละ ตอนเป็นวัยรุ่น และวัยหนุ่ม ฉันเป็นคนนดื้อ ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ชอบเที่ยวเตร่ หนีโรงเรียน กินเหล้าเมายา (แน๊ะ อ้ายแสงดาวนี่ เกเรมาตั้งเด็กๆแล้ว ) ไปเที่ยวกะเพือนๆ ไม่เข้าบ้าน ไปหลายวัน พ่อแม่ก็เป็นห่วง ตักเตือนสั่งสอน ฉันก็ไม่ฟัง หาว่าพ่อแม่เป็นคนแก่ขี้บ่น ขี้จ่ม ไม่เข้าใจลูก ฯลฯ
“ เออ ถ้ามึงมีลูกก่อน แล้วมึงจะรู้สึก ว่าพ่อแม่เป็นห่วงมึงอย่างไร? “ … เอาละซีพี่น้อง พอฉันเอาเมีย ( อย่าคิดเป็นอย่างอื่นเน้อ ท่านที่เคารพรัก คำว่า “เอาเมีย” มิได้หมายฟามถึง “ เอากัน ” ต่อหน้าต่อตา …” เอาเมีย “หมายถึง “แต่งงาน ” เจ้า เป็นคำของคนล้านนาอิสระ จ้า ) มีลูกสาวแล้ว ฉันก็รักและเป็นห่วงลูกมาก พร่ำสอนลูก ลูกก็ดื้อ ไม่ฟังคำ นี่แหละ บาปขบหัวตัวเองที่เมื่อก่อนไม่เชื่อฟังคำเตือน คำสอนของพ่อแม่ มาเจอกะตัวเอง แล้ว “รู้สึก” จริงๆ ดังที่แม่ว่าเอาไว้… “ พ่อ น้องใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กๆ อย่ามายุ่งกะน้อง ” ฟังเข้าซีอีเด็กดื้อ ลูกกู … สมน้ำหน้าแล้วที่เราเคยดื้อกะพ่อแม่ มาจนบัดนี้ ฉันก็ยังรักและห่วงใยลูกอยู่ ดี แม้จะมีครอบคร้วไปแล้ว มีหลานแล้ว ฉันกลายเป็นพ่ออุ๊ยไปแล้ว … คือพ่อแม่ ห่วงลูกจนตายนั่นแหละ จ้า พระเดชพระคุณท่าน…
และที่ฉันซาบซึ้งถึงพระคุณแม่ ก็คือ ตอนหนึ่ง ฉันไปถอนฟันที่คณะทันตแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตอนนั้นฉันกำลังเรียนจบสถานศึกษานี้หมาดๆ ยังไม่ได้เอาเมีย … เป็นหนุ่มฟ้อ หล่อไม่เฟี้ยวอยู่ แหะ แหะ …
“กัด กัด กัดไว้นะ ” คุณหมอที่ถอนฟันกรามฉันเสร็จ บอกกับฉัน พร้อมกับเอาผ้าก๊อสซ์ อุดไว้ที่ร่องฟันกรามที่ถูกถอน …ให้ตายเถิด ฉัน โคตรโง่ ชะมัดญาติ ไม่รู้ ว่า คำว่า “ กัด “ นั้นคืออะไร คุณหมอก็ไม่อธิบายให้ ฉัน ทราบ ฉันก้ไม่เคยถอนฟันมาก่อน ในชีวิต …ฉันก็กัดไว้ จนถึงบ้าน แล้วฉันก็ล้มตัวลงนอน ที่พระคุณแม่ปูที่นอนบนลานบ้านให้ แล้วฉัน ก็ รำคาญ ที่ต้อกัดผ้ากอสซ์ ไว้ ฉันจึงดึงมันออก … ทีนี้ละซีพี่น้องเอ๋ย เลือดก็ไหลออกมาจากร่องฟันไม่หยุด ฉันเพลีย เพราะร่างกายเสียเลือดมาก รีบกลับไปหาหมอ หมอจึงจัดการเอาผ้ากอสซ์ อุดให้ใหม่ พร้อมทั้งอธิบายให้ฟังถึงเรื่องการที่ต้องกัดเอาไว้ ตลอดเวลาเพื่อ stop blood หยุดเลือด! … พี่น้องเอ๋ยในระหว่างนั้น พระคุณแม่ดูแลเอาใจใส่ลูกชายคนดื้อคนนี้ตลอดเวลา ฉันจึงซาบซึ้งตรึงใจ นอนน้ำตาซึม บอกกับตัวเองว่าต่อไปนี้จะไม่เถียงแม่ให้แม่เจ็บช้ำน้ำใจ เสียใจ ต่อไป อีกแล้ว!...
วันแม่. . . แด่ แ ม่ ข้า
@ นะ โม ลูก กราบไหว้
แ ม่ ท ว ย ไ ท ทุกแห่งหน
แ ม่ ข้า นั้นคือ ค น
มี หลากล้น งามเรืองไร
แ ม่ ผู้ ให้กำเนิด
กายก่อเกิด จิตแจ่มใส
แ ม่ ให้กำลังใจ
ห่วง ลูก ลูก เอื้ออาทร
แ ม่ ข้า มีมากมาย
ทั้ง กายใจ เกลื่อนสลอน
ทั่วด้าว แผ่นดินดอน
ขอมอบพร สู่ดวงจินต์
แ ม่ ข้า คือ ชา ว นา
มือ หว่านกล้า ให้เรากิน
ชาวฟ้า หรือ ชาวดิน
แ ม่ เลี้ยงโลก เสมอมา
แ ม่ ข้า คือ … ค น งา น
งามแกร่งกร้าน ทุกลีลา
ปั้นโลก ให้โสภา
แรงงามหนอ แ ม่ ทานทน
คนโซหิว คือ แ ม่ ข้า
หยาดน้ำตา หลั่งเปรอปรน
แ ม่ ข้า ตามท้องถนน
เทียว ขอทาน อยู่ โทง โทง
แ ม่ ข้าคือ … โ ส เ ภ ณี
ถูก กดขี่ ถูก กลโกง
ถูกย่ำ เหยียดค่าลง
ดุจ ดั่ง ทาส บ่ เป็น ไท
แ ม่ ข้า คือ เพศ แ ม่
ทั้งผู้แก่ อีกเยาว์วัย
หลากล้น ระคนไป
มากน้ำใจ แ ม่ หลั่งริน
… คือ แ ม่ แห่ง โ ล ก ห ล้า
ตีน แ ม่ ข้า นั้นติดดิน
ใช่ เหิรฟ้า โบกโบยบิน
จาก แดนใด ในโลกา
วัน แ ม่ แห่ง เพศ แ ม่
หลอมดวงแด แด่ วิญญาณ์
แกร่งกล้า แท้เจียวหนา
แ ม่ แบกโลก นิรันดร
- - - นะ โม ลู ก กราบไหว้
แ ม่ ยิ่ ง ใ ห ญ่ ยิ่ง สิขร
แด่ แ ม่ ด้วยคำพร
จาก ด ว ง ใ จ ลู ก “ เ ก ลื่ อ น ดิ น @
( กวี กลอนกานท์ นี้ แต่งนานแล้ว ชื่อบทกวีว่า “ วัน แ ม่ แด่ แ ม่ ข้า ” ประพันธ์ในลีลา กาพย์ยานี ๑๑… พิมพ์รวมเล่มครั้งแรกปี พ.ศ. ๒๕๒๙ โดย สำนักพิมพ์ “ผลึก” กรุงเทพฯ )
- - - ส ต รี คือ เพศ แ ม่ ของเรา ไม่ว่าจักอยู่ในชนชั้น ชั้นชนไหน เรา พึงต้อง เคารพ เพศแม่ของเรา เพศชายสมมุติบางคน (บางคน นะ ) ก็ดูถูกหยามหมิ่นเพศแม่ของตัวเอง หาว่าเป็นเพศที่อ่อนแอ ที่แท้เพศแม่ ก็เป็น ประเภท “ เปลก็ไกว ดาบก็แกว่ง” … ใน วั น แ ม่ สมมุติ นี้ เราขอก้มค้อมคารวะเพศ แ ม่ ของเรา ขอให้ทุกๆท่านมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ คิดปรารถนาสิ่งใดในสิ่งที่ดีงาม ก็ขอให้สมปรารถนา เทอญ
( หมายเหตุ : เดี๋ยวนี้ พระคุณ แ ม่ ของ ฉัน ท่านได้กลับคืนสู่อ้อมอกอันอบอุ่นของ แ ม่ ธ ร ร ม ชา ติ ไปแล้ว และก้อขอบอก ขอบอก แ ม่ ที่ให้กำเนิด ฉัน มีเพียงคนเดียวเท่านั้น นอกนั้นบ่เกี่ยว เจ้า !) @
บล็อกของ แสงดาว ศรัทธามั่น
แสงดาว ศรัทธามั่น
{ กลอนเปล่าอิสรา }@ ลมหนาวเหนือ พัดโชยมา…ยามต้องไล้ผิวกายร้อนที่รุ่มก็คลายกลิ่นอายเหมันตฤดู …ไม่รู้ลืม @
แสงดาว ศรัทธามั่น
***** --*-- ***** --*-- *****@ “ ฮา ติง จัง…จังคนมีอำนาจล้นฟ้า แต่รังแก คนยากไจ้ อำนาจ แบบ ต๋ามใจ๋ เขา “น้องสาว ผู้ดีงาม ใจงาม ของฉัน แล ของโลกชีวิต อีกคนหนึ่ง