Skip to main content

 

 
 
        @   ใ น ห้ ว ง ฤ ดู ฝ น   บ่ายวันนี้    ณ   “  บ้าน  -    ร้าน สุดสะแนนผับ  ท้องฟ้าครื้มเมฆ  ใบไม้ไม่ พลิกพลิ้ว  ผีเสื้อ แมงปอ ยังคงเริงรำร่อน  ดูดดื่มเกสรดอกไม้ …  ไก่แจ้บางตัว คุ้ยเขี่ยหาอาหาร   แม่ไก่ที่นี่ มีอยู่ สาม สี่ คอก  งดงามนัก  …  ผีเสื้อสีน้ำเงินบินมาเกาะที่แก้วน้ำฉัน   ฉัน  นั่งอยู่ใต้ร่มไม้มะม่วงอันร่มรื่น     มดแดงใต่ขึ้นมาเกาะที่แขนฉัน    ฉันค่อยๆ จับเขาไปปล่อยเกาะที่ต้นมะม่วง
 
-        - -  จำบทกลอนดอกสร้อยนี้ได้ไหม?  ในสมัยที่รุ่นเราเรียนชั้นมัธยมต้นรุ่นยุค ซิกซ์ตี้  
          “    ก    เ อ๋ย  ก   ไก่     … เลี้ยงลูกจนใหญ่ ไม่มีนมให้ลูกกิน    ลูกร้อง  เจ๊ยบ   เจ๊ยบ    แม่ก็คุ้ยเขี่ยให้ลูกกิน    …  ทำมาหากิน ตามประสา ไก่ เอย  ”    ลูกไก่แจ้ตัวกระจิดริดเพิ่งเกิดใหม่  ร้อง  เจี๊ยบ    เจี๊ยบ…  แม่ไก่ก็ คุ้ยเขี่ยดินหญ้า ให้ลูกกิน   ภาพดูงดงามน่ารักมาก … ในขณะที่ บนต้นไม้ นกน้อยๆยังคงร้องเพลงให้เราฟัง
 
                           . . .  อีก มุมหนึ่ง ณ  ใต้ ร่มไม้มะปรางค์   “ ครู ตุ๊กตา ” (  เพื่อนชีวิตของ “อ้ายฮวก – สุดสะแนน ”   หรือ  “ อรุณรุ่ง   สัตย์สวี ”   กวี ศิลปิน  นักเขียน คนเพลง ฯลฯ )     ครู ตุ๊ก กำลังสอนศิลปะให้เด็กน้อย ลูกของพี่ๆ  …
 
                          - - -   หนู “ วาดฟ้า ”    ลูกสาวของ  “ พี่จิ๋ว ”  ( “ วรา     ลักษณา ”   …  นามปากกาของเธอ)   และของ อ้าย “ เหี่ยว   …  เดโช     ชัยทัพ ” Key   Man   ใหญ่ อีกคนหนึ่งแห่งองค์กร พัฒนา เอกชนภาคเหนือ 
 
                         - - -   หนู  “ ใบพลู ”   ลูกสาวของ อ้าย “ พัฒน์ ”    ศิลปิน นักดนตรีรุ่นกลางเก๋า แห่ง วงดนตรีสุดสะแนน 
 
                          - - -   หนู  “ ปราง ”     ลูกสาวของ “แม่ฝน ”
                        - - -   หนู “  มายา ”  ลูกสาวของ “  อ้ายน้อย … อัคนี   มูลเมฆ ”  และ  “น้องแดง ”  ภริยา   แต่วันนี้หนู “มายา”  ไม่ได้มาเพราะป่วย … “  อ้าย น้อย   อัคนี   มูลเมฆ ”  เป็นกวี  นักคิด  นักเขียน   นักกิจกรรมทางสังคม  และเป็นนักแปล  เขาเคยแปล หนังสือที่เขียนถึง  “ บ๊อบ    มาเล่ย์  ”   ราชาเพลง จังหวะเรกเก้อันโด่งดังที่ได้สิ้นลมหายใจไปแล้ว  อ้ายน้อยตั้งชื่อหนังสือที่แปลว่า  “ บ๊อบ  มาเล่ย์  ศาสดาขบถ ”  เป็นหนังสือขายดีสำหรับคอ เรกเก้ ( ฉันมักจะ ดัดแปลงชื่อคน  หรือชื่อต่างๆ เล่นๆ   เสมอ เวลา พวกเรานั่งร่วมวงไพบูลย์  ยามด่ำดื่มน้ำมังสะวิรัติสนุกสนานกัน   ฉัน แหย่ชื่อหนังสือแปลของอ้ายน้อย ว่า “   บ๊อบ  เมาเละ    สาดโซดา สบถ  ”  ก็หัวเราะครื้นเครงกัน )… เป็นที่น่าสังเกตว่า  ชื่อของ ลูกสาว ลูกชาย  ของ กวี  ศิลปิน นักคิด นักเขียน และ ฯลฯ  มักจะตั้งชื่อลูกสวยๆงามๆ มีความหมายในตัว   …   ส่วน ฉัน เมื่อเมียตั้งท้อง ฉัน ตั้งชื่อล่วงหน้า ไว้ในใจแล้ว  ว่าถ้าลูกเกิดมาเป็นผู้ชาย จะตั้งชื่อว่า “ตะวันแดง ”  ช่วงนั้น  เป็นสหายในเมืองทำงานเคลื่อนไหวใน    “  เขตขาว ”    ในเมือง (คนที่เคลื่อนไหวในป่า เขาเรียกว่า  “เขตแดง ” )  เรียกได้ว่า เป็นประเภท  … ของขึ้น   แดงแจ๋  …  ว่างั้นเถอะ ประเภทว่า  พวกเรา  “ เดินทางภายใต้ดวงตะวันสีแดง ”  จากชื่อบทเพลงในเขตป่าเขา …แต่พอ ลูกเกิดมาเป็น ผู้หญิง  ก็เลย ตั้งชื่อลูกว่า   “  ทานตะวัน ”  หมายถึงดอกทานตะวัน  ที่ เบ่งบานรับแสงตะวันอันเจิดจ้า…  และตั้งชื่อเล่นให้ลูกสาวเป็นคำเมือง คำล้านนาอิสระ ว่า  “ ตาน ”  หมายถึงการทำทาน ทำบุญทำทาน  อยากให้ลูกเป็นคนใจบุญสุนทาน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผู้อื่น ฯลฯ
 
          - - -   ในอีกเรื่องหนึ่ง    เรื่องตั้งชื่อลูกนั้น  …     ฉัน ตั้งชื่อไปเลย  ไม่ มากเรื่อง ตั้งชื่อตามที่ตัวเอง ต้องการ ฉันไม่ไปขอให้พระตั้งชื่อให้ ไม่ดูชื่อตัวอักษรที่เขาว่าเป็นกาลกิณี ที่ต้องตั้งชื่อให้สมพงษ์กับวัน เดือน ปี เกิด   ฉันไม่ถือ ไม่เชื่อในเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ดูแคลนคนที่เชื่อในเรื่องนี้ ถือว่าเป็นสิทธิของปัจเจกชนที่เราต้องเคารพ   …  ลูกเรา ตอนเป็นเด็กเล็ก ย่อมมีการเจ็บไข้ได้ป่วยบ่อย เรื่อง ทอนซิลอักเสบเนี่ย  เป็นบ่อยทีเดียว ต้องพาไปหาหมอ หรือลูกไข้เล็กๆน้อยๆก็พาไปหาหมอลูกเดียว  คุณพ่อคุณแม่มือใหม่หัดเลี้ยงดูนี่  ทั้งๆที่ต้องให้ลูกกินน้ำบ่อยๆ   ให้ความอบอุ่นร่างกาย  ไปหาหมอคุณหมอก็ให้ยามากินนั่นแหละ จนลูกแพ้ยา  ลูกชัก  ฉันก็พาไปโรงพยาบาล  หมอก็ให้ฝ่ายเช็คสมองเช็ค เจ้าหน้าที่เช็ค เห็นกร๊าฟวิ่งขึ้นลง ขึ้นลง ก็สรุปว่า ลูกฉันเป็นลมบ้าหมู  ที่แท้ลูกแพ้ยานั่นเอง กรรมเวรของพวกมือใหม่หัดขับ
 
                 . . . เอาอีกเรื่องหนึ่ง  ลูกไม่สบายบ่อย  ร้องไห้ทุกคืน   แม่อุ๊ย (ยาย) ของฉัน ท่านรักเป็นห่วง   ท่านก็ให้   น้าของท่าน มา ทำการแกว่งข้าวให้ลูก จุดเทียน พึมพำ แกว่งข้าวเหนียวที่ผูกด้ายไว้ และบอกทำนองว่าพ่อเกิดแม่เกิดมาตามหา เป็นห่วง เพราะฉันตั้งชื่อลูกไม่ตรงตาม โฉลก ไม่สมพงษ์  ให้เปลี่ยนชื่อใหม่  ให้เปลี่ยนชื่อเป็น  “ วันเพ็ญ ”  ฉันเห็นว่าชื่อก็งามอยู่  แต่ก็มีคนชื่อนี้อยู่มาก  เหมือนกับ ชื่อ “แดง”  หรือ  “น้อย”  ฯลฯ  ที่มีเกร่อทั่วไป  ฉันไม่อยากให้เป็นชื่อซ้ำ เหมือนกันมากๆ ดูไม่มีสีสัน  ฯลฯ  …  แต่เพื่อเอาใจแม่อุ๊ย อยากให้ท่านสบายใจ  ฉันก็ยอมเปลี่ยนชื่อในทะเบียนบ้าน  … แต่ถึงเปลี่ยนแล้วลูกก็ยังไม่สบาย บ่อยเหมือนเดิม  (ตอนที่ฉันยอมเปลี่ยนชื่อลูก ดังที่บอกต้องเอาใจแม่อุ๊ย  แต่ฉันคิดเองรำพึงในใจแล้วว่า  … กะเด่วเหอะ รอซักช่วง ฉันจะ กลับไปเปลี่ยนเป็นชื่อเดิม  “ ทานตะวัน ”   อย่างแน่นอน    พอฉันให้ชื่อใหม่ครบเจ็ดวัน  ฉันก็แอบไปเปลี่ยนชื่อให้เหมือนเดิม ไม่บอกให้ อุ๊ยรู้ (นี่ไอ้หมอนี่มันดื้อ หัวแข็งมาตั้งแต่เด็กๆ กระทั้งเป็นหนุ่มน้อย จนเป็นหนุ่มน้อย (ความเป็นหนุ่มน้อยลงๆ แย้ว   ฮิ  ฮิ    …  มีคนเขาบอกว่า ฉัน นี่เป็นคน ดิ้อเงียบ  แต่ที่ดื้อ ที่ขบถ นี่ ฉันมีเหตุผลของฉันนะคร๊าบบบ พณะหัวเจ้าทั่น )
 
                  “    พ่อ    ทาง  พ่อ  แม่ ของน้าจูน  บอกให้น้อง ไปเปลี่ยน ชื่อใหม่ เขาจะหาชื่อที่สมพงษ์ ให้    แต่น้องไม่อยากเปลี่ยนเลย น้องชอบชื่อ ทานตะวันที่พ่อตั้งให้นี้ ”   ลูกสาว ทำหน้าละห้อย มาบอก ฉัน
 
           “ตามใจเขาเถิดลูก   เพื่อให้เขาสบายใจ  ไม่ต้องไป ยึดมั่น ถือมั่น มันละลูก”   ฉัน เอ่ยกับลูก ฉันรู้ว่าลูกต้องอยู่กับผัวของเขาอยู่ อยู่กับลูกของพวกเขาด้วย  ลูกสาว ฉันเรียนจบปริญญาตรี จาก “ มหาวิทยาลัยย่อยยับ ” (ชื่อที่ถูกชื่อ  “มหาวิทยาลัยพายัพ ”  เรียนมาทางด้าน บริหารบุคคล ช่วงนั้นตอน ฟองสบู่ฟูฟ่อง ใครเรียนมาทางนี้เป็นไม่ มีตก งาน   …ผู้ปกครองที่ส่งลูกเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนนี้ เขาพากันเรียก “มหาวิทยาลัยย่อยยับ” กันทั้งนั้น เพราะค่าหน่วยกิตแพง  ค่าจิปาถะแพง ฯลน เอาพ่อแม่เป็นหนี้เป็นสินไปตามๆกันสำหรับพ่อแม่ที่ไม่รวย ล้นฟ้า! ฉันเองก็อยู่ในไฟลัมน์ – สปีชี่ย์ นี้ ! )
           “  พ่อ  พ่อ   ลงทะเบียนค่าหน่วยกิต    ต้องเสียค่า ห้องแอร์ ด้วย   เน้อ   ”       ลูกบังเกิดเกล้า  บอก กับ ฉัน
 
                “  อะไรวะ ตอนที่พ่อเรียน มอเชียงใหม่  ไม่มีห้องแอร์  มีแต่พัดลม  ไม่ได้เสียเลย “   ฉัน  เกาหัวแกร๊กๆ ทั้งๆที่ไม่มีขี้รังแคสักขุยเดียว
 
              “  ก้อรุ่นพ่อ มัน  โคตร    เชย เย้อ       ล้าหมัยนี่ ”   ไอ้ลูกมันส่ายหน้า จ้องหน้าพ่อมัน  พร้อมหัวเราะ เยาะ กวนอวัยวะเบื้องล่าง
 
                       - - -  ลูกเรียบจบออกมา ทำงานในฝ่ายบริหารบุคคลด้านการเงินของโรงเรียนรัฐแห่งหนึ่ง  แต่เจ้ากรรม  เกิด ฟองสบู่แตก  สมัยนายยกฯ น้า “ชาติชาย  ชุณหวัน   ”       ก็ต้องตกงาน  เขาไม่มีเงินจ้าง  จึง     มาเป็นแม่บ้าน   เลี้ยงลูก   ให้ผัวที่ทำงานราชการเลี้ยงดูชูช่วย
 
 
 
                                “  อ้ายน้อย  ชื่อของหนูมายา  มีความหมายว่าอย่างไร คับ ”
 
                                “  ก้อคือ  เป็นมายาไง ชีวิตเป็นมายา เป็นเรื่องสมมุติ ไม่มีตัวตน ไม่ยึดมั่นถือมั่น ”     อ้ายน้อยตอบยิ้มๆ พร้อมเล่นกีรต้า ร้องเพลงของ น้าบ๊อบ   มาเล่ย์  ให้พวกเราฟังอย่างอารมณ์ดี คราพวกเราไปแอ่ว ไปเยือนยามอ้าย น้อย     ,  น้องแดง และ หนู มายา  ที่บ้าน นอกชนบท อ้ายน้อยเป็นคน เกิด  ที่ “ดินแดนด้ามขวานด่านใต้ ”  พาครอบครัวมาตั้งหลัดปักฐานที่มั่นอยู่เชียงใหม่
 
                                . . .  ครู “ตุ๊กตา ”   เรียนจบจากคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  และครู ตุ๊กฯ   เธอก็เป็นลูกศิษย์      ของ “ครูจีน เรียนไวโอลิน กะครูจีน    ”   ลูกสาวของ “ อ้ายบูท ”  อดีตสมาชิกนักดนตรีวงดังในสมัยก่อนคือ วงดนตรี   “ วง ฟรีเบิ๊ด … Free   Bird ”  น้องจีน หรือ ครู จีน  เล่นดนตรีที่สุดสะแนนทุกวันอังคาร เราเรียกวงนี้ว่า   “ บูท เฟมมิลี่ … Boot  Family ”  น้องจีนมีฝีมือด้านสีไวโอลิน (ตอนนี้กำลังเรียนที่คณะดุริยศิลป์ มหาวิทยาลัยพายัพ  สาขาวิชาตรงเผงกับตัวน้องจีน จริงๆ ) …  สามคนพ่อลูกเล่นดนตรีด้วยกันน่ารักมาก   ฉันชอบไปฟัง ก็ขอ ถือโอกาสชวนทุกๆท่านด้วย หาเวลาไปฟังวันอังคารที่สุดสะแนน (นี่ไม่ได้ค่าประชาสัมพันธ์ นะเนี่ย  มีแต่เสียด้วยความเต็มใจ   ha  ha  )     ส่วนลูกชาย    “ น้องแจน ”     เรียนจบจากคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เช่นกัน  ลูกชายรูปหล่อ (ลูกสาวก็สวยด้วยเน้อ )  เล่นเครื่องดนตรี  เอ …     อะไรนะ ฉันก็จำชื่อไม่ได้ แย่จริงคนหนุ่มอย่าง ฉัน เรื่องความจำ  …  รูปร่างคล้ายกีร์ต้า  เวลานั่งเล่น น้องแจน จะเอาเครืองดนตรีนี้วางราบลง  ท่านผู้ใดรู้จักเครื่องดนตรีนี้ กรุณาช่วยบอกด้วย จักเป็นพระคุณยิ่งจ้า
 
 
                               - - -     น่ารักมาก  ดนตรี   ศิลปวัฒนธรรม    และวรรรกรรม หนังสือ ฯลฯ  ล้วนเป็นหนึ่งเดียว  ทำให้โลกงดงาม สดใส  ทำให้ เพื่อนมนุษยชาติมีความงดงาม ในจิตวิญญาณ หัวใจ ทำให้เด็กๆยุวชน  เยาวชน ฯลฯ      มีหัวใจนวลนิ่ม บริสุทธิ์ แจ่มใส ที่ได้สัมผัสความงดงามนั้น  …  มิใช่พาเด็กไปดูแสนยานุภาพชองกองทัพ  ไปดูปืน  รถถัง  ปืนใหญ่  ในวันเด็ก หรือเล่นเกมส์มนคอมพิวเต้อร์   เพียง   อย่างเดียว อันปลุกความรุนแรง   แข่งขันห้ำหั่นกัน  ทำให้เกิด      สงคราม มิใช่ศานติภาพ
 
                           โอ  …  สายลม พัดโชยพลิ้วมาโลมลูบไล้ ดวงใจใบหน้าเราแล้ว
 
 เสียงซ้อมดนตรีตอนกลางวันในผับสุดสะแนนดังขึ้น  พวกเขานัดมาซ้อมดนตรีกัน
 
                           - - -    ดอกไม้ยังคงเบ่งบาน – เบิกบาน  … ผีเสื้อ พริ้มพลิ้วโผโบยบิน … เบื้องหน้าไกลโพ้น  ทางทิศตะวันตก …  พระธาตุดอยสุเทพ เหลืองอร่าม งดงามตา   ยกมือวันทา  สาธุ
 
                                . . .   ด ว ง ใ จ ฉั น     ฉ่ำ  บา น   !!! @
พรรษาฤดู  ,  กรกฏาคม    ๒๕๕๑   …  ใต้ร่มไม้ สุดสะแนน
    ล้านนาอิสระ ,  เจียงใหม่.
 
  หมายเหตุ :  ความเรียงนี้ เขียนนานแล้ว แต่ไม่ได้ตีพิมพ์ที่ไหน … อยากให้ท่านผู้อ่านได้เริงรมณ์ …  ครานี้ไม่หนัก ปวดหมอง  เอาเบาๆ  เรื่อง  กางมุ้ง …  เอ๊ย  เรื่องการเมือง เรื่องปวดหมองเจ็บกระดอง เอาไว้ก่อน แล้วค่อยแลกเปลี่ยน สนทนาธรรมกัน จ้า เอากันทุกเรื่องเลย เจ้า

บล็อกของ แสงดาว ศรัทธามั่น

แสงดาว ศรัทธามั่น
 *--*--*{ กาพย์”ลุกขึ้นสู้” }
แสงดาว ศรัทธามั่น
{  กลอนเปล่าอิสรา  }@  ลมหนาวเหนือ พัดโชยมา…ยามต้องไล้ผิวกายร้อนที่รุ่มก็คลายกลิ่นอายเหมันตฤดู …ไม่รู้ลืม @
แสงดาว ศรัทธามั่น
 
แสงดาว ศรัทธามั่น
 ***** --*-- ***** --*-- *****@   “  ฮา  ติง จัง…จังคนมีอำนาจล้นฟ้า  แต่รังแก คนยากไจ้ อำนาจ แบบ ต๋ามใจ๋ เขา “น้องสาว  ผู้ดีงาม ใจงาม ของฉัน  แล ของโลกชีวิต อีกคนหนึ่ง