Skip to main content

         

Version  1 … Rate  R :  ใน โลก เอกภพ  จักรวาล

              @  ในด้านเรื่อง “ความรู้” …ทฤษฏี  การระเบิดใหญ่ … Big  Bang  ของนักวิทยาศาสตร์ ที่ว่าทำให้เกิด เอกภพ จักรวาล และเกิดจากทฤษฏีอะไรก็แล้วแต่   อันพัฒนาก่อให้กำเนิดดวงอาทิตย์  ดวงดาว   เทหวัตถุ ต่างๆ ใน  เอกภพ     จักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล   …  ช่าง  แสนมหัศจรรย์นัก !  ดาวฤกษ์  ดาวเคราะห์  ต่างๆ จึง สะพรึบ  สะพรั่งละลานตา   ณ ทุ่งฟ้าไพศาล   ก่อให้เกิด ตำนาน   นิทาน ปรัมปรา  ฯลฯ เล่าสู่กันฟัง   ยังความตื่นเต้า พิศวง งงงวย มาสู่มวลมนุษย์โลก …

              แล  ในเรื่องด้าน  “ จินตนาการ ”   เล่า ?   มนุษย์ รุ่มรวย ด้านจินตนาการ  ทั้ง ยามทิวาวัน และยามราตรี ที่ยลชมท้องฟ้า   … อยากติดปีกโบยบิน เหาะเหิร เดินอากาศ  ไปบนท้องฟ้าได้   หากบินได้จักบินไป ให้ ไกล ……..ไกล…จนสุดขอบฟ้า  ดูซิว่า จะกว้างยาวไกล แค่ไหน ดังที่เขาว่า ไร้ขอบเขตสิ้นสุด  และคงได้เห็นอะไรๆ อีกมากมาย  ทั้งที่สวยงาม  ทั้งลึกลับ น่าสะพรึงกลัว ฯลฯ   เอ   ถ้าลูกอุกาบาตร พุ่งมาแต่ไกลจะมาชนเราหล่ะ  จะหลบหลีกได้อย่างไร?  …  เมื่อเราเป็นเด็กน้อย จินตนาการเราอยากเหาะเหิร ไปยังดวงดาวพร่างพราวฟ้า  นับแสน นับล้านดวง  … จะชวนเพื่อนๆ กระโดดโลดเต้น  จากดวงดาวหนึ่ง  ไปเยือนยังอีกดวงดาวหลายๆ ดวง สนุกสนาน  แหม  ช่างแส  มหัศจรรย์  ร.  หัน     การันต์     ย.   นัก.

                         - - -  “ท้องฟ้า มีใครเป็นเจ้าของ นะ? ”      …  ไม่มี  ไร้การครอบครอง   แม่พระธรรมชาติสร้างมาให้เป็นของมนุษย์ทุกๆคน…

                                   
                        - - -  นั่งเขียนหนังสือ  บนชานบ้านไม้ชายทุ่งยามราตรี   ดวงเทียนสองดวง สว่างตรงหน้า  ฉัน  ขอบแสงเทียนนวลนิ่ม  ที่บ้านนี้ไม่มีไฟฟ้าใช้เพราะ    ประการที่หนึ่ง…ตั้งใจ อยากกลับเข้าสู่บรรยากาศ ตอนเป็นเด็ก ที่พ่อแม่ ใช้ตะเกียง ไฟฉาย เทียนไข เมื่อยังไม่ได้สร้างเขื่อนภูมิพล    --- ประการที่สอง… ยังไม่มีกะตังค์ เพียงพอที่จะต่อไฟฟ้าเข้าบ้าน เพราะข้าใช้จ่ายสูง     มีไฟฟ้าได้ก็จะดีเหมือนกันจะได้ทำงาน เขียนหนังสือ อ่านหนังสือตอนกลางคืนสะดวกหน่อย  ฉัน เองก็ไม่ได้ปฏิเสธการใช้ไฟฟ้าอย่างสุดโต่งกระไรดอก   หากเราไม่ทำงาน ก็ดับไฟได้  สายตาพอชินความมืดอยู่แล้ว        หรืออยากจะสัมผัสแสงเทียน ก็จุดเทียนได้    เอ   ชักจะ โรม้านซ์คาธอลิค ไปมากแล้วมั๊งเรา

                     … นั่งที่นี่   เห็นท้องฟ้าไพศาล   เมฆเทาขาวเป็นเพื่อนฟ้ามานาน เห็นดาว   วับ วิบ  เต็มฟ้า   แต่เห็น  วิบ  วับ  เพียงดวง ราง  รา ง   เพราะเมฆค่อนข้างหนา … นั่น! ฟ้า แลบ แปลบปล่าบ ตามด้วยเสียงฟ้าคำราม ครืนคราง  “แสงเดินเร็วกว่าเสียง”  ตามที่ได้เล่าเรียนมาตอนเราเป็นเด็กนักเรียนชั้นมัธยม ยังนุ่งกางเกงขาสั้นอยู่  ถ้าเป็นผู้หญิงก็ สวมกระโปงใส่เสื้อคอซอง    …  ฟ้าแลบ ฟ้าร้องถี่ยิบ ประเดี๋ยว ฝนอาจตก - - - หิ่งห้อย สองสามตัว  วิบ  วับ  วอมแวม  มาให้เห็นเป็นบุญตา  จิ้งหรีด    หรีดหริ่ง  ร้องหาคู่  …  แล้วตัวเราเองเล่า?   ไม่ดอก  ชาชินซะแล้ว  - - -  “อะแฮ้ม  แค่ก   แค่ก   ไม่รู้ ใครกระแอมไอมาให้ได้ยิน  ha  ha …

                        จิ้งหรีด  มีตัวเล็ก   ตัวใหญ่หน่อย  ทางเหนือ เรียก  จิ้งกุ่ง  แต่ทางใต้ก็เรียก   จิ้งหรีด  เหมือนกัน  เรียกทั้งตัวเล็ก และ ตัวน้อย  )   …  จิ้งกุ่ง  ที่ร้องตอนกลางคืนนั้น เป็นตัวผู้นะ  เขา  ขึ้นมา ร้องหาตัวเมีย บนปากหลุม ร้องอยู่นั่นแหละอย่างอดทน  จนกว่าตัวเมีย เธอ เดินจะมาหาเขา  ถ้าตัวเมียมาใด้โอบกอด เขาก็ จะพา เธอ  ลงอยู่หลุม บ้านเรือนหอ พร้อมกับเอาดินปิดปากหลุม… แต่   ถ้าไม่มา เจ้าหนุ่ม ก็โชคร้าย เสียแรงร้องไป  จนรุ่งสาง    ( ฉัน เคยทำบาปตอนเป็นเด็กและวัยรุ่น  ถึงตอนค่ำคืน จิ้งกุ่งร้อง   ก็ถือไฟฉาย พร้อม  เสียม หรือ มีด  เดินย่องๆอย่างเงียบกริบ  ส่องไฟเห็นตัวผู้  มีประกายเงินแห่งปีกงามระยับ  กรีดปีกร้องเพลงไพเราะ   ฉันเอา มีดแทงดินปิดปากหลุม เจ้าตัวผู้ก็นะจังงัง หัวติดกับมีด ไปไหนไม่ไห้  ก็เอามือจับเขาได้เลย อย่างง่ายดาย  … ขุดด้วย  ฉัน ขุดขวยจิ้งกุ่ง(รังจิ้งกุ่ง)  ขุดเก่งมาก   ( มิได้ยอตัวเอง  ใครบอก ขวยจิ้งกุ่งให้ เป็นได้กิน กะฉันแน่นอน )    ถ้าโชคดีก็จะได้จิ้งกุ้งที่อยู่ซ้อนกันสองตัว คือตัวผู้ ตัวเมีย  ก็ที่เจ้าหนุ่มร้องหาคู่ตอนกลางคืนนั่นแหละ …  ได้จิ้งกุ่งมากมาย    เอามาทำเป็นอาหารมื้ออร่อยลำๆ  เด็ดปีก  เอาขี้ที่ลำคอ และที่ก้น ออก  โรยเกลือป่นลงที่ร่างอันเปลือยเปล่าของน้องจิ้งกุ่งที่เมตตามอบเป็นอาหารให้คนบาปอย่างฉัน   แล้ว เอาเธอมาเสียบไม้  ย่างปิ้งบนเตาไฟถ่านที่ร้อนพอประมาณ  สุกพอดีก็นั่งกินกันด้วยข้าวนึ่ง ข้าวเหนียวร้อนๆ  หอมหวานอร่อยลิ้นนัก   ความที่ฉันชอบกินจิ้งกุ่ง  เช้าหนึ่ง ไปตลาด ประตูเชียงใหม่   แม่ค้าจากบ้านนอกเอาจิ้งกุ่งมาขาย  ดวงตาฉัน วับวาว  เห็นจิ้งกุ่ง มากมายดิ้นพล่านในถุงอย่างน่าสงสาร  ด้วยกิเลศตัณหา  อยากกิน   ฉันซื้อกลับบ้าน  แต่ไม่กล้าฆ่าเหมือนตอนเป็นเด็กและวัยรุ่น   ทำงดี  จะเอาน้ำแช่ให้สำลักตายก็จะทรมานเขา … พนมมือไหว้ น้องจิ้งกุ่ง   “ลูกเอ๋ย  พ่อขอโทษ  ครั้งนี้ครั้งเดียว พ่ออยากกิน ไม่ต้องอภัยให้ พ่อ ดอกลูกเอ่ย…”        แล้วเอาใส่ช่องฟิตส์ในตู้เย็น เขาจะได้ตายโดยที่เราไม่  เห็น     โหดไหมละ  …        มื้อเที่ยงใกล้เข้ามา  เปิดตู้เย็น  เห็นน้องจิ้งกุ่งนอนขดสงบนิ่งรวมกัน  ฉันใจหาย  จังงัง นิ่งเงียบ  ยกมือไหว้ขอโทษ อีก    แล้วเอามาจี่กิน    …  จิ้งกุ่งนอกจากเอามาจี่กินอร่อยแล้ว   เราเอามาทำเป็นน้ำพริกจิ้งกุ่งก็ เด็ดสะเด่าอร่อยลิ้นนัก

                   “ อ้ายแสงดาว ฆ่าจิ้งกุ่งแบบนี้มันยิ่งโหดนะ  กว่าเขาจะตายเขาทรมานมาก  ความเย็นซึมซับเข้าสู่ร่างกายเธอช้าๆ เข้าไปกัดกร่อนซึมเซาะซอนไซในองคาพยพ เขา ”  น้องคนหนึ่งบอก เมื่อ ฉันเล่าเรื่องการฆ่าด้วยความเย็นให้เขาฟัง ในความโง่เง่าที่  อวิชชา เช่นฉัน … ฟังแล้วเศร้าใจนัก   นับแต่นั้นมา ฉัน ไม่ซื้อจิ้งกุ่งตัวเป็นๆมาอีกเลย  ซื้อที่แม่ค้า ฆ่า ไซ้ขน ไซ้ขี้ มาแล้ว    ( นี่ก็ยังมีกิเลศ อยู่ดี   หาก     ไม่มี     “คนซื้อ ก็จัก ไม่มี  “คนขาย”  แม้จะมีใครพูดปลอบใจ ทำนองว่า “เป็นของเลี้ยงโลก” ก็ตาม
                                  
                ณ    ปรัตยุบันนี้     จิ้งหรีด  จิ้งกุ่ง มีน้อย เขียมมาก   จะเพราะอะไรที่ไหนเล่า?  ก็เพราะ ธรรรมชาติถูกทำลายมากนั่นเอง  ดินดำ น้ำชุ่ม ก็ถูกถม โดยดินลูกรังแทน  เพื่อผุดโผล่  คอนโด  ตึกสูง  บ้านจัดสรร   ทางไหลของน้ำก็ถูกถม (จะไม่ให้น้ำท่วมขังนานได้อย่างไร เมื่อฤดูน้ำหลาก? )    แผ่นดินชุ่มน้ำ  (  Wet  Land )  ก็ถูกถมไปทั่วประเทศ ทั้งๆที่ แผ่นดินชุ่มน้ำ   และ  ห้วย   หนอง คลอง บึง  มีความหลากหลายทางชีวภาพ ( Biodiversity )  มีพืช สัตว์  กุ้ง หอย   ปู  ปลา  กบ  เขียด ฯลฯ      ให้ชาวบ้านได้หากิน  โดยเฉพาะ แผ่นดินชุ่มน้ำก็รับน้ำหลากด้วย   ช่วยลดน้ำท่วม      ฯลฯ   เมื่อดินดำอันเป็นดินอุดมสมบูรณ์ถูกถม  แล้ว จิ้งหรีด  กบเขียด เขาจะเอาชีวิตรอดได้มากอย่างไรเล่า พี่น้องเอ๋ย …  

                            ตัดฉากมา  Version  2

Version  2 … Rate   X. : ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนสมมุติ

                           แรกเริ่มกำเนิดดาวโลก แล้วพัฒนา วิวัฒนาการมาสู่การกำเนิดสรรพสิ่งสรรพชีวิต   “ สิ่งมีชีวิต”  กับ “สิ่งไม่มีชีวิต” …  มนุษย์คน  พืช สัตว์  ดิน น้ำ ลม ไฟ   แม่น้ำ  ภูเขา  ทะเล  กรวด  หิน  ดิน  ทราย ฯลฯ  สรรพสิ่งจึงล้วนเกี่ยวข้องสัมพันธุ์เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแยกไม่ออกจากกันได้  เป็น “เอกภาพแห่งด้านตรงกันข้าม” กันด้วย คือ  … มีดี – มีเลว ,   มีร้อน – มีเย็น ,  มีสุข – มีทุกข์ ,  มีโหดเหี้ยม เข่นฆ่า  - มีโอบกอด เมตตา  กรุณา ปราณี   ฯลฯ ทั้งนี้ ทั้งนั้น ในด้านการมีชีวิตดำรงอยู่ของเพื่อนมนุษย์ ก็ขึ้นอยู่กับว่า มนุษย์ จะเลือกเอาทางไหน   ส่วนไหน  …   ดี   เลว   มีคุณธรรม   ไร้ศีลธรรม ฯลฯ

                               ช่วงนี้   ขอสนทนาธรรมแลกเปลี่ยนกับเพื่อนมนุษยชาติกัน  เอาแต่เรื่องมนุษย์   สังคมการดำรงอยู่ของเพื่อนมนุษย์ ก่อน

                                 เมื่อโลกธรรมชาติให้กำเนิด มนุษย์  แรกเริ่มเดิมที  โลกนี้ไม่มี ประเทศ พรมแดน ขอบเขตกางกั้น  ไร้ชนชาติ  สีผิว เผ่าพันธุ์  (ที่มาเรียกกันทีหลัง)  …  เรื่องสีผิวนั้น ย่อมเป็นไปตามธรรมชาติตามลักษณะภูมิอากาศ   ภูมิประเทศ   มนุษย์ บริเวณเส้นศูนย์สูตร  หรือ ใกล้เส้นศูนย์สูตร   ก็จะมีสีผิวดำ หรือ ค่อนข้างดำ (ไม่ใช่มองหรือคิดว่าเขา   “ใจดำ”  ดังพวกมนุษย์ อวิชชา เข้าใจ และคิดไม่ดีต่อเขา …เลยเส้นนี้ขึ้นไปทางเหนือ ก็เป็น ทวีปเอเชีย , ยุโรป   ผิวสี  จะเหลือง   หรือขาว  ( คนผิวขาว ก็ใช่ว่า จิตใจจะขาวสะอาดเหมือนกันหมด)   … ส่วนใต้เส้นเส้นรุ้งศูนย์องศา นี้ลงไป  ที่ทวีป อ๊าฟริกา  อเมริกาใต้  ออสเตรเลีย  เพื่อนมนุษย์ของเราก็จะมีผิวสีทั้ง สีดำ สีแดง  สีแทน  สีเหลือง  สีขาว เช่นประเทศ  คองโก ,  เคนยา, แทนซาเนีย,กาบอง, ไนจีเรีย ฯลฯ  จะมีสีดำ   …  เพื่อนมนุษย์ที่ประเทศ  … บราซิล, เปรู, ชิลี, โบลิเวีย,  คิวบา ฯลฯ  ก็จะมีผิวสีแทน  หรือ ขาว  ส่วนทางออสเตรเลีย  นิวซีแลนด์   ก็จะมีสีขาว เพราะเป็นคนจากประเทศตะวันตกมารุกราน ปล้นชิง (ต้องใช้คำว่า  “ปล้น”    เหมือนกับคน ผิวขาวจากตะวันตก มาปล้นชิง ยึดครองดินแดนของพี่น้อง อินเดี่ยน ผู้เป็นเจ้าของแผ่นดิน  ในทวีปอเมริกาเหนือ  )  ซึ่งเป็นเจ้าของแผ่นดินชนเผ่า  อะบอริจิ่น  และเมารี ที่ความจริงพี่น้องมีผิวสีดำ และค่อนข้างดำ … และการรุกราน  ปล้นชิง ดินแดนรากเหง้าวิถีชีวิตของพี่น้องเจ้าของแผ่นดิน ก็รู้สึกว่า  ยังไม่มีการกล่าวสุนทรพจน์ขอโทษ จากรัฐบาลกลางของผู้รุกราน! ฯลฯ

                             ดังเช่นที่กล่าว  … ภาษา สีผิว ฯลฯ  เป็นเพียงเครื่องบ่งบอก ลักษณะ ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ เท่านั้น  มิใช่เป็นการแบ่งแยกว่า เป็น “เขา”  เป็น  “เรา”  … ประเภท ว่า ข้า “เหนือ”  กว่า  “เจ้า”   … เอ็ง “ด้อย”  กว่า  “ข้า” - - -  เมื่อไร้  พรมแดน  ประเทศ   ภาษา  สีผิว   ชาติเชื้อ      เผ่าพันธุ์ ฯลฯ   มนุษย์โบราณ ก็สามารถเดินทาง ไปไหน มาไหน ได้ตามใจปรารถนา  ไปให้ไกล  แสนไกล  ด้วยแรงพลังแห่ง สองขา  สองตีน  แล    หนึ่งใจ!   ไม่ต้องมี  ใบผ่านแดน  และ ใบพาสปอตร์ ฯลฯ     ฉันเคยนั่งเรือจากเชียงของข้ามไปประเทศลาวสมมุติ แต่ต้องมีใบผ่านทาง และ พาสปอตร์ ซึ่ง ฉัน ก็เข้าใจ ณ ปัจจุบันนี้ !  ฉันนั่งเรือ ข้ามแม่น้ำ ของ(โขง) ที่อำเภอเชียงของ… สายน้ำเย็นฉ่ำไหลไปทางทิศใต้ลงสู่ทะเลจีนใต้ที่เวียดนาม …  ก้มมือ คารวะแตะแม่น้ำของ เอาลูบไล้ใบหน้า  แสนชุ่มเย็นชื่นฉ่ำใจนัก     แหงนดูท้องฟ้า  ทุ่งฟ้าสีฟ้า  เมฆขาวลอยฟ่องฟ้า  … ฉัน เห็น ผีเสื้อปีกสวย “ อาบปีกด้วยแสงตะวัน ”   จากฝั่งประเทศไทยสมมุติ  โบยบินข้ามน้ำของ ไปเยือนพี่น้องชาวผีเสื้อจากฝั่งประเทศลาวสมมุติ  และผีเสื้อจากประเทศลาวสมมุติ ก็คงโบยบินไปเยือนยามพี่น้องผีเสื้อ จากฝั่งประเทสไทยสมมุติเฉกเช่นกัน  … ไม่เห็นน้องผีเสื้อทั้งหลายต้องทำใบผ่านแดน และ พาสสปอร์ต เลย   พูดแบบนี้คนอื่นอาจจะหัวเราะ และเห็นว่า “ ไอ้หมอนี่ ไม่ บ้า ก็ เมา แล้ว ”     แต่ฉัน ยิ้มในจินตนาการ แห่งความเป็นจริง!

                   . . .  ทว่า ในปัจจุบัน เมื่อมีการแบ่งแยกเป็นประเทศสมมุติ (ซึ่งฉันก็เข้าใจ จะหวนคืนกลับไปไม่ได้อีกแล้ว    เพียงแต่ ให้หวนถึงความดีงามเรียบง่าย  ความมีอิสรภาพ  เสรีภาพบ้างก็แล้วกัน  )    ก็จะมีวามกรรม คำว่า  “ประเทศร่ำรวย  -   ประเทศยากจน ”  ควบคู่สังคมกันมา  … พูดให้ถึงที่สุด   คำว่า “ร่ำรวย” และ “ยากจน” นั้น เป็นเรื่องสมมุติ   มันเป็นคำพูดที่มาทีหลัง เมื่อ สมัยก่อนโน้นนานมาแล้วมันไม่มี   แต่เดี๋ยวนี้ที่มันมี ที่เร าเห็นเป็นรูปธรรมก็เป็นเพราะ มนุษย์ พวกหนึ่ง  เอารัดเอาเปรียบ กดขี่ (ต้องใช้คำนี้ เราอย่าทำเป็นอ้อมแอ้ม หรือ เห็นว่ามันเป็นคำพูดที่ “แรง” เลย เพราะมันเป็น “ ความจริง” )   มนุษย์ผู้ด้อยโอกาสอีกจำพวกหนึ่ง  แบบ ไม่ ทางตรง ก็ ทางอ้อม …  มนุษย์ เรา ไม่มี  “จน – รวย” ดอก หากรู้ เข้าใจ รัก เคารพธรรมชาติ  และมี เมตตา กรุณา ปราณี ต่อกัน  มันมาทีหลัง มาพร้อมวัฒนธรรมของระบบศักดินาขุนนางอมาตยา   อันมี เจ้า  ไพร่  ทาส ฯลฯ  และมาพร้อมกับวัฒนธรรมตะวันตก ที่เข้ามาปล้นชิง  รุกราน และ  ครอบงำ  เหนือหัวชาวบ้าน  … โบราณกาล นู้น หรือใกล้เข้ามาอีกหน่อย…  มนุษย์เรา ชาวบ้านเรา  มีแต่  “ ค วา ม รุ่ ม ร ว ย ”  ไม่ใช่ “ ร่ำ ร ว ย ”  วัตถุ เงินตรา   แต่เขา รุ่มรวยทางวัฒนธรรม  ทาง ทรัพยากรธรรมชาติ  รากเหง้า วิถีชีวิตอันเรียบง่าย  ของชุมชน   เขามี “เศรษฐกิจ”  ที่ “รุ่มรวย”  คำว่า   “เศรษฐกิจ ”   ความหมายที่แท้จริง หากเป็นภาษาของชาวบ้าน ก็หมายถึง “การทำมาหากิน หาเลี้ยงชีพ” นั่นเอง   มิใช่เรื่องยากต่อการทำความเข้าใจเลย … คำ “เศรษฐศาสตร์”  มันเป็นคำทางวิชาการที่มาทีหลัง เป็นคำของพวกนักวิชาการ  นักเศรษฐศาสตร์   พวก “ด๊อกเต้อร์ – ด๊อกตีน”  บางคน ( คำเรียกของ “อาจารย์ นิธิ เอียวศรีวงศ์” )        พวกเรียนโรงเรียนมหาวิทยาลัย ระดับ ป. ตรี  โท  เอก     ที่เขาเรียกขานกัน … ที่พี่น้อง  ชาวไพร่ราบ  ชาวบ้าน ชาวรากหญ้า คนตีนติดดิน หนาสากด้าน ด้วยการใช้แรงงาน  เขาไม่เข้าใจไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน  เป็นศัพท์ สู ง  ที่ต้องปีนต้นมะพร้าวสูงยลดู จึงจะมองเห็น   แต่ก้ต้องระวังตกลงมาล้มเจ็บ ตายเน้อ พี่น้อง เฮา !   

                “ ป๊าดดด ธ่อ   ที่แท้ไอ้คำว่า เสดถะสาด   เสดถะกิด นี่  มันก็คือเรื่อง การทำมาหาแดก ของพวกเรา และ ของใคร ต่อใคร เท่านั้น เอง  กูก้อ เป็น งง  งง  มานาน ”    พี่น้องชาวบ้านคนหนึ่ง เอาแป้นมือตบเข่าฉาดใหญ่   กลางวงล้อม     “กระชับพื้นที่  … สมานฉันท์ ”   โดยมีน้ำสี เทาขาวในขวดกลม สถิตอยู่ตรงกลาง … รับรอง วงนี้ ไม่มีการเลือดตกยางออก แลเข่นฆ่ากัน  มีแต่มิตรภาพ สนุกสนานเฮฮากัน  ณ  พื้นที่อิสระแห่งนี้ ! ฯลฯ  ”   

            เมื่อ  กำเนิด เอกภพ  จักรวาล โลก ฯลฯ   ตัวฉันเอง  จึงเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเล็กๆ จ้อยกระจิดริด ในโลก เอกภพ จักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลมิสุดสิ้น เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมโลกร่วมแผ่นดิน มนุษย์  พืช สัตว์  สรรพสิ่งสรรพชีวิต  มิได้ยิ่งใหญ่กระไรเลย   เป็นเพียง ผงธุลีละออง ฝุ่นทรายในสายลม เท่านั้นเอง … “ Dust   in  the   Wind ”  ... มีชีวิตไม่แตกต่างจาก   อมีบา   พาราสิต   มด นก หนู  แมลงสาป  ช้าง  ม้า  วัว  ควาย  ผีเสื้อ  แมลงปอ  ฯลฯ … ฉะนั้น พึง หยัดมั่น ตักเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า เรามิได้   ยิ่งใหญ่   หาใดปาน!

                              
                           ข้าพระพุทธเจ้า  เกิดมาบนแผ่นดินล้านนาอิสระแห่ง นี้  และถูกรุกรานผนวกเข้ากับประเทศไทยสมมุติ อำนาจรัฐส่วนกลางแห่งกรุงรัตนโกสินทร์  ( เอาเถอะ  มันผ่านมานานแล้ว  แต่ก็ต้องเคารพเจ้าของแผ่นดินเดิมหน่อย อย่ามารุกรานรากเหง้าวิถีชีวิตกัน ก็แล้วกัน! )    แต่ถ้าหากมีใครมาถามฉันทำนองว่า …

             “ เป็น คนไทย หรือเปล่า ? ”  ฉันก็จะตอบสั้นๆว่า  … “ไม่ใช่”  และหากเขาด้านหน้ามาถามอีกว่า …
 
             “ แล้ว  มึง เป็น  เหี้ย อะไร วะ ”    ฉัน ก็จะยิ้มแ ย้มแจ่มใส ตอบ เขา ผู้เป็นคนไทยสมมุติ อัน  เต็มไปด้วย   ความ “  ล้าหลัง  -  คลั่งชาติ ที่มีใบหน้าขึงขังถาม แกมความประหลาดใจสงสัยในคำตอบของ ฉัน    … ฉันก็จะหัวเราะเบาๆ  แผ่เมตตา ยิ้มหวาน ตอบ   เขาไปว่า …

                          “  ก็   ก็   ข้าพระพุทธเจ้าเป็นเพียง มนุษย์ตัวจ้อยกระจิดริด บนดาวโลกดวงนี้ เท่านั้นเอง   อะ  คับ  ”     …  และ ถ้าคนรักชาติสมมุติ  คลั่งชาติสมมุติ   ทำเป็น   …  ส.  ใส่เกือก  เริ่มใบหน้าแดง เพราะเลือดรักชาติสมมุติ พลุ่งพล่านไหล รุนแรง   …  ถามอีกว่า…

                          “  มึงบอกว่า ไม่ใช่คนไทย  แล้วมึงมาอยู่ที่นี่ทำไม   ทำไมมึงไม่ไปอยู่ ที่อื่น ประเทศอื่น ซะ ”   ฉัน เห็นทีจะต้องตอบทำนองว่า…
                      “ ก้อ   กู  (โอ๊ะ ขอโทษ ขอลบคำนี้ออก  พลั้งปากไวไป)   ก้อ โคตรเหง้า ปู่  ย่า ตา ทวด  ของข้าฯ อยู่บนแผ่นดินถิ่นเกิดนี้มานานแสนนาน  ตั้งแต่ยังไม่มีประเทศไทยสมมุตินี้ จะให้ ข้าฯ      
   ( โ ปรดสังเกตมีเครื่องหมาย  ไปยาลน้อย  ต่อท้าย คำว่า  ข้า  ด้วย  )  ไปอยู่ที่ไหน ท่านเป็นเจ้าของแผ่นดินนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ” ก็ต้องพูด กันแบบนี้  หล่ะ พระเดช พระคุณทั่น
 
                         เอ๊า  ประทานโทษ ขออนุญาต  ตัดฉากอีก  (  ตัดฉากบ่อย สงกะสัย อนาคตคงจะได้เป็นผู้กำกับหนัง มือถือกรรไกคมขาววาววับ … เป็นผู้กำกับหนังทีวียิ่งกว่าผู้กำกับหนังเรื่อง   “ แรเงา”  ละครานี้  คงมีชื่อเสียงโด่งดัง และ ดับวูบ  หนังที่ให้ ฉั น เป็นผู้กำกับรับรองเจ๋งแน่น๊อน   อิ อิ )

                           - - -  ข้าพระพุทธเจ้า   คิดว่า หากเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย มองเห็นความเป็นจริงของ ธรรมชาติในจุดนี้ (  “ธรรมมะ”  คือ “ธรรมชาติ”   … คือผู้รู้    ผู้ตื่น   ผู้ เบิกบาน ! ”  )  ไล่ เรียงมาตั้งแต่ จุดกำเนิดโลก จนถึงปรัตยุบันนี้  และ มี “ โลกทรรศน์  ( การมองโลก  -  เข้าใจโลก )   - มี “ชีวทรรศน์ ” (การมองชีวิต  - เข้าใจชีวิต)   และมีดวงจิตจักรวาล ดังนั้น ต่อเรื่อง  ประเทศ   พรมแดน  ภาษา  สีผิว   เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์ …  เกียรติยศ  ลาภ  ยศ  สรรเสริญ โลภ  โกรธ  หลง ผลประโยชน์  ฯลฯ  นั้น  จึงเป็นเรื่องกระจิดจ้อย เมื่อมนุษย์ได้พอบรรลุธรรมในระดับหนึ่งก็พอ ไม่ถึงกับต้องตรัสรู้ ฯลฯ  …  มนุษย์เราก็จักดำรงวิถีชีวิตธรรมดา อยู่กับเพื่อนมนุษยชาติร่วมโลกร่วมแผ่นดิน สรรพสิ่ง สรรพชีวิต อย่างมีเมตตา กรุณา  ปราณี  เคารพซึ่งกันและกัน ไม่กดขี่ข่มเหง เบียดเบียนกัน…     แล้วประเทศสมมุติของเรา สังคมสมมุติของเรา ก็จักดำรงชีวิตอยู่อย่างดงาม มีศานติภาพ สันติสุข   มีภราดรภาพ เสรีภาพ  สงบสุขเป็นนิรันดร์!    (กรุณาอย่าเพิ่งไปคิดว่าเป็นเพียงอุดมการณ์   เป็นการเพ้อฝัน … เป็นไปได้ หากเพื่อนมนุษย์ทำจริง เอาจริง  แต่ถ้า ไม่ … ก้อ  เป็นไปตามกรรม (กรรมคือ การกระทำ  ในชาตินี้แหละ จ้า  ไม่ต้องรอชาติหน้าตอนค่ำคืนดอก )  ของใครของมัน  ตัวใครตัวมัน ก็แล้วกัน  ละ ครานี้ !

                            - - -   ทั้งนี้ ทั้งนั้น  ข้าพระพุทธเจ้า บอกตรงๆ ว่ากลัว ไม่อยากเห็นการหลั่งเลือดอีก   ไม่ว่าจะเกิดกับฝ่าย สีสมมุติ ใดทั้งสิ้น ทั้ง พี่น้องสีเหลืองสมมุติ  พี่น้องสีแดงสมมุติ พี่น้องหลากสีสมมุติ ฯลฯ  ซึ่งล้วนก็คือพี่น้องเพื่อนร่วมโลกร่วมแผ่นดินเดียวกันทั้งนั้น   … ยิ่ง  ณ   ปัจจุบันนี้ มีความขัดแย้งกันแหลมคมมาก  ยิ่งขึ้น

                          เพื่อนพี่น้องเอ๋ย … หากมีใครถามฉันว่า… ฉั น อยู่สีอะไร?   เลือกข้างสีใด?    ฉัน ก็จะตอบตรงๆว่า …  ฉันไม่มีสีสมมุติ อะไรทั้งสิ้น  ไม่เลือกข้างฝ่ายสีสมมุติใดๆทั้งสิ้น  แต่ …  ถ้าสีสมมุติใดที่ทำดีจริงๆในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เป็นประโยชน์ส่วนรวมแท้จริง เป็นเรื่องๆไป   เช่น ถ้าพี่น้องประชาชน ดือนร้อน และต่อสู้เพื่อ ดูแลรักษาธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม  เพื่อรากเหง้าวิถีชีวิตของชุมชน ของประชาชน (และของพวกเราในเมืองด้วย  อย่าไปคิดว่าไม่เกี่ยวข้องกัน และพากันเมินเฉยเอาตัวรอด  หรือชเลียร์ กันไปเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องฯลฯ)  เช่นต่อสู้  ของพี่น้องสมัชชาคนจน  การต่อสู้ของพี่น้อง บ่อนอก – หินกูด   การต่อสู้ของพี่น้อง จะนะ – สงขลา   การต่อสู้ของชุมชนพี่น้องชาวบ้าน   เรื่อง    การ สร้างเขื่อน  สร้างโรงไฟฟ้าในที่ไม่เหมาะสม  การที่คิดจะถมทะเล ฯลฯ    ถ้าพี่น้องสีสมมุติช่วยต่อสู้ในเรื่องนี้  คัดค้านในเรื่องนี้   ฉันก็เห็นด้วยและจะสนับสนุน  แต่ถ้าพี่น้องสีเสื้อสมมุติ สนับสนุนให้ทำลายธรรมชาติรากเหง้าวิถีชีวิตของพี่น้องชุมชน ฯลฯ ฉันก็จะต้องร่วมกับพี่น้องประชาชนคัดค้านจนถึงที่สุด ฉันพร้อมที่จะสนับสนุน และ คัดค้าน  ไม่เลือกข้างฝ่ายสมมุติสีสมมุติ ใดๆทั้งสิ้น   และฉันเห็นว่าพี่น้องสีสมมุติทั้งหลายพึงต้องเป็นแบบนี้ด้วย มิใช่หากฝ่ายตนผิด แต่ช่วยกันปกป้อง  นี่ไม่ได้แล้ว สังคมเขารับรู้    เอ๊า !   เท่าที่ผ่านมาไม่กี่ปี ฉันเองนั้นติดตามความเคลื่อนไหวทางสังคม การเมือง และอื่นๆมาตลอด ประชาชนที่เขาไม่  take  side  ไม่เลือกข้างฝ่ายสีสมมุติใดๆ ก็ติดตามมาตลอดเช่นกัน และรู้เท่าทันในส่วน พฤติกรรม ทั้งที่ ดู  “เข้าท่า”  และ “ไม่เข้าท่า” ของพวกท่านมาตลอด  อย่าไปคิดว่าประชาชนโง่ ไม่รู้เท่าทัน นี่เตือนมาด้วยความเคารพ และ หวังดี!   

               เท่าที่สังเกตดู ในฐานะประชาชนเจ้าของประเทศสมมุติธรรมดาๆคนหนึ่งในสังคม… จักแลกเปลี่ยน สนทนาธรรม กับพี่น้องสีสมมุติทุกเฉดสี  และกับพี่น้องประชาชน ทุกชนชั้น ทุกชั้นชน ทั่วประเทศสมมุตินี้ !

                       จักพูดใน “ด้านดี” ที่ฉันสนับสนุน ของพี่น้องสีสมมุติทั้งแดง และ เหลืองสมมุติ  ส่วนสีสมมุติอื่นต้องขออภัยยังไม่พูด ...

              - - -  พี่น้องสีเหลืองสมมุติ   มีจุดดี ที่ เปิดโปงระบบโครงสร้างทุนนิยมสามานย์  ที่เป็นเผด็จการรัฐสภา ( ใครจะว่า  ไม่สามานย์ ไม่เป็นเผด็จการเพราะมาจากการเลือกตั้ง นั้นก็ไม่เป็นไรแต่ตัวฉันเองว่าเป็น!  เพราะเป็นในส่วนที่สามานย์ (ที่ไม่สามานย์ ก็มีอยู่  มิได้เหมารวม  )   ที่ทำลายธรรมชาติ รากเหง้าวิถีชีวิตของชุมชนประชาชน เช่นมีแม๊กกะโปรเจ็ค โครงการใหญ่ๆเช่นการจะสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น(ทั้งๆที่นักวิชาการทีไม่ทรยศต่อวิชาชีพ ไม่เป็นมือปืนรับจ้างวิจัยเอาเงินให้ผ่าน… นักวิชาการที่ทำการวิจัย และผู้ที่ลงพื้นที่ที่เขารู้เขาบอกว่าการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นไม่ได้ช่วยป้องกัน น้ำท่วมจังหวัดที่อยู่ในยมล่าง)  และการที่จะสร้างเขื่อนแม่วงศ์   นี่ คือเผด็จการเสียงข้างมากไม่ฟังเสียงของประชาชนในพื้นที่และประชาชนทั่วๆไปที่ก็คัดค้านด้วย   รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งทุกพรรคทุกรัฐบาลก็จ้องจะสร้างเสมอ  … นี่เป็นทุนนิยมสามานย์สุดโต่งจริง!  
                             - - - พี่น้องสีแดงสมมุติ ก็มีจุดดี ที่  เปิดโปง คัดค้าน  ระบบเผด็จการท็อปบูททหาร ที่ทำการรัฐประหาร (อย่าใช้คำผิด ว่า เป็น “การปฏิวัติ ” เพราะ การ “ปฏิวัติ” ต้องเกิดจากการ      “ปฏิวัติ” ของ “ประชาชน” เท่านั้น!)  เพราะการรัฐประหารคือการโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน!  ถึงแม้บางคราจะเป็นรัฐบาลเผด็จการรัฐสภา  แต่ก็ ยังดีกว่า รัฐบาลที่มาจากเผด็จการทหาร ที่ประชาชน สื่อ มัก มีปาก เหมือนมีตูด พูด กับปากกระบอกปืนไม่ได้  … ถึงอย่างไรรัฐบาลเผด็จการรัฐสภา ประชาชน สื่อมวลชน ก็ยังพูดวิจารณ์ตรวจสอบ “ไล่วอก” เขาได้ (  “ไล่วอก” หมายถึง  รู้เท่าทัน สืบค้นความไม่ชอมมาพากล ที่ทุจริตได้ ฯลฯ )   และมีจุดดี ที่เปิดโปง ระบบเผด็จการแฝงเร้นศักดินาอมาตยาธิปไตย(ซึ่งก็เป็นเผด็จการแฝงเร้นอีกสายพันธุ์หนึ่ง  หากประชาชนไม่รู้เท่าทัน)  อันทำให้ประชาชน เริ่มมีหู ตา สว่างไสว ขึ้น  

                    นี่คือ จุดดี ข้อดี ที่ทั้งสองสีสมมุติ จุดประกายไฟให้สังคม ให้ประชาชน! ซึ่ง ฉัน เห็นด้วย และสนับสนุน แน่นอน  แต่ดังที่บอกกล่าวว่าหากทำไม่ดี ฉ้อฉล ไม่เห็นแก่ประโยชน์ต่อส่วนรวม อย่างแท้จริง มาเล่นละครลิงกันเท่านั้น ฉันและเพื่อน และประชาชนส่วนหนึ่งต้องต่อสู้และคัดค้านอย่างแน่นอน!

            - - -   ดู ก่อน เพื่อนสีสมมุติทั้งหลาย และอำนาจรัฐสมมุติทุกยุคสมัยทังหลาย  ดู รา   ศักดินาอมาตยาธิปไตยทั้งหลาย  … แล เผด็จการทหาร เผด็จการพลเรือน ทั้งหลาย    แลเผด็จการทุกสายพันธุ์ ทั้งหลาย ฯลฯ  … ชนชั้นนำสมมุติ ทั้งหลาย …  มนุษย์ ผู้ โลภโมโทสัน ทั้งหลาย ฯลฯ …

             พึง ล บ ความคิด มายาภาพ ด้านล บ ทั้งหลาย  ลบมันออกไปจากจิตสามัญสำนึกของเราเถิด    … ขอให้ มนุษย์มีความเมตตา กรุณาปราณี ต่อกันและกัน ไม่กดขี่ข่มเหง เอารัดเอาเปรียบกัน  รักเคารพ ซึ่งกัน และ กัน ฯลฯ

            - - -   ได้โปรดมีวัตรปฏิบัติที่งดงามดีงามเถิด  … หรือว่าพวกท่านซาร์ดิส อยากจะได้เห็น  เลือดสีแดงฉานไหลท่วมนองแผ่นดินอีก อันมิวันสุดสิ้น โดยไม่ต้องรอให้ถึงกาลเวลาที่ พระอาทิตย์ จะดับแสงในตัวเอง !

        ได้โปรดอย่าทำบาปกรรม ซ้ำๆอีกเลย !

               สาธุ !    อาเมน !   อิสลามมาลากุม !  @
 

 

 

ต้นเหมันตฤดู ,  แรม ๑๑ ค่ำ  เดือน  ๑๑  - - -    ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕
  เชิงดอยสุเทพ ,  ล้านนาอิสระ , เชียงใหม่.


         




                  
 

บล็อกของ แสงดาว ศรัทธามั่น

แสงดาว ศรัทธามั่น
 *--*--*{ กาพย์”ลุกขึ้นสู้” }
แสงดาว ศรัทธามั่น
{  กลอนเปล่าอิสรา  }@  ลมหนาวเหนือ พัดโชยมา…ยามต้องไล้ผิวกายร้อนที่รุ่มก็คลายกลิ่นอายเหมันตฤดู …ไม่รู้ลืม @
แสงดาว ศรัทธามั่น
 
แสงดาว ศรัทธามั่น
 ***** --*-- ***** --*-- *****@   “  ฮา  ติง จัง…จังคนมีอำนาจล้นฟ้า  แต่รังแก คนยากไจ้ อำนาจ แบบ ต๋ามใจ๋ เขา “น้องสาว  ผู้ดีงาม ใจงาม ของฉัน  แล ของโลกชีวิต อีกคนหนึ่ง