( ๑ ) ใ น ห้ ว ง คำ นึ ง
@ ตะวั น อ้ อ ม ข้า ว ในบ่าย ฤดูหนาว … สาดแสงแรงกล้า ม้าขาวควบฝีเท้าฝ่าความร้อน มุ่งสู่ทิศเหนือ กว่าจะฝ่าวงล้อม การจราจรคับคั่งในเมืองออกมา ได้ ก็เอา เหื่อไคล ไหลย้อยไปตามๆกัน ชายผู้นั่งบนหลังม้าครุ่นคิดว่าหากไม่มีอะไรที่ต้องทำในเมืองก็จะอยู่ที่บ้านนอกนั้นต่อไปนานๆ… ตอนหลังจาก นักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชน ฯลฯ โค่นล้มเผด็จการทหาร “ จอมพลถนอม - ประภาส – ณรงค์ กิตติขจรฯ ” เมื่อ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ลงไปแล้ว กระทั่งเกิดเหตุการณ์ ๖ตุลามหาโหด ๒๕๑๙ ล้อมปราบสังหาร นักเรียน นิสิต นักศึกษาประชาชน ณ ท้องสนามหลวง - สนามราษฏร์ และ ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักเรียน นิสิต นักศึกษา นักวิชาการ ครูอาจารย์ฯลฯ ต้องยาตรา เดินทัพทางไกลเข้าสู่เขตจรยุทธป่าเขา เคลื่อนไหวต่อสู่กับเผด็จการร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ในสถานการณ์สู้รบ !
“ ไอ้ห่า กูไม่น่าจะมา เป็นคน หัวก้าวหน้า เลยวะ เหนื่อยทุกข์ยากฉิบหาย จะโดนเป่าตาย เมื่อไรก็ไม่รู้ ” สหายที่มีอารมณ์ขันที่ทำงานเคลื่อนไหวในเมืองพูดกับพวกสหายที่ทำงานในเมืองด้วยกันฟัง เล่นเอาพวกเราหัวเราะฮาครืน สหายพูดเล่นทำนองว่า ถ้าเขาไม่มีความคิดที่ก้าวหน้า เป็นคน “หัวก้าวหน้า” ที่รักความเป็นธรรม เข้าใจระบบโครงสร้างของสังคม ที่เป็นสาเหตุทำให้ประชาชนทุกข์จนยาก …แล้ว ป่านนี้เขาก็นอนกอดแฟน หรือได้เที่ยวเตร่สบายอารมณ์ ไปแล้ว! และ ส่วนตัวเขาเองก็มีความคิดก้าวหน้า เขาจึงพร้อมหลอมรวมชีวิต จิตวิญญาณ กายใจ ร่วมกับมิตรสหายทั้งในเมืองและเขตป่าเขา ต่อสู้ เพื่อสร้างสังตมใหม่ที่งดงามให้เป็นจริง และในเรื่อง “ชีวิต กับ ความใฝ่ฝัน” นั้นเขาก็ไม่ได้ มีวันแปรเปลี่ยน เพียงแต่ในด้าน “ยุทธวิธี ” วิธีการในการเคลื่อนไหว นั้นก็ต้องเปลี่ยนไปบ้าง เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของสังคมที่ดำรงอยู่ ณ ปรัตยุบัน นี้!
( ๒ ) “ บ้านคือวิมานของเรา ”
- - - ถนนสองเลน มุ่งสู่ตำบลหนองจ๊อม ติดกับตำบลฟ้ามุ่ย อำเภอสันทราย ดินแดนกบฏเมืองเชียงใหม่ หรือที่เรียกกันว่า กบฏเมืองเชียงใหม่ หรือ “กบฏพญาผาบ” ที่นำชาวบ้านสามอำเภอคือ อำเภอสันทราย อำเภอ ดอยสะเก็ด อำเภอสันกำแพง ลุกขี้นขบถ พวกตัวแทนเจ้าศํกดินารัตนโกสินทร์ สมัยรัชการที่ ๕ ที่ส่งข้าหลวงมามีอำนาจปกครองในรัฐอิสระล้านนาเชียงใหม่ (อาจารย์ “ ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม” ผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดีศึกษา เคยเขียนหนังสือชื่อ “ประเทศล้านนา”) … ตัวแทนผู้รุกรานจากรัตนโกสินทร์ ให้มีการเก็บ ภาษี หมาก พลู มะพร้าว ฯลฯ เป็นเงินสดจากชาวบ้าน ทั้งๆที่เมื่อก่อนไม่มีการเก็บภาษีนั้นๆ แต่ครานี้ใครไม่ยอมก็ถูกกดขี่ข่มเหงถูกจุบกุมคุมขังยังความเคียดแค้นให้กับชาวบ้าน ดังนั้น “พญาผาบ” จึงรวบรวมพลชาวบ้านต่อสู้รวมพลังหมายยึดเมืองเชียงใหม่ที่พวกตัวแทนเจ้า และพวกคนจีนมีอำนาจอิทธิพลอยู่ แต่ในที่สุด กบฏพญาผาบก็พ่ายแพ้ถูกปราบปราม … ฉะนั้นเราจึงเห็นสัจธรรมที่ว่า “ ณ ที่ใด มีการกดขี่ ณ ที่นั่น ย่อมมีการต่อสู้ ” ก็เช่นเดียวกับ “กบฏเงี้ยวเมืองแพร่” … “กบฏผู้มีบุญ” ที่อิสาน (ทางผู้กดขี่รุกรานจากส่วนกลาง เรียกว่า “กบฏผีบุญ” เรียกไปนั่น เพื่อใช้วาทกรรมให้มองประชาชนชาวบ้านและผู้นำเป็นไปในด้านลบ! … และที่ภาคใต้ ดินแดนรัฐอิสระ ปัตนานี ก็ถูกรุกรานจากส่วนกลาง ที่ไปกดขี่ข่มเหงพี่น้องชาวมุสลิม( ต้องใช้คำว่า “กดขี่ข่มเหง” นี้ โปรดอย่าได้เสแสร้งไปรังเกียจคำๆนี้เลย พวกท่านผู้กดขี่ทั้งหลาย! ) ยังจำประวัติศาสตร์ได้ไหม ที่ภาตใต้ เกิด กบฏ ฌูดงญอ มีการเข่นฆ่าพี่น้องมิสลิมอย่างโหดเหี้ยมทารุณ มิแตกต่างจาก “กรือเซะ” หรือแม้กระทั่ง “ตากใบ” (ขอถามหน่อยว่า “ทำไม ปืนใหญ่ปัตตานี จึงมาตั้งอยู่ที่หน้ากระทรวงกลาโหม ได้ ปืนมันเหาะมาได้เหรอ ถ้าไม่ไปยึดของเขามา? )
ปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดภาคใต้มันมีประวัติศาสตร์ของมัน … พูดก็พูดเถอะต่อประเทศชาติไทยสมมุตินี้ ถ้าอยากให้เกิดความสงบสุข ไม่มี สงครามการเข่นฆ่ากันทั้งสองฝ่ายอย่างน่าสมเพทเวทนา รัฐไทยสมมุติไทย พึงต้องให้เขาปกครองตนเอง เป็นเขตพิเศษในการปกครองตนเอง (และขอย้ำเน้นว่า นี่มิใช่เป็นการแบ่งแยกดินแดน เขายัง เป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทยสมมุติอยู่! เราอย่า “ล้าหลัง – คลั่งชาติ” (คำของ “อ้ายสุจิตต์ วงษ์เทศ” อดีตบรรณาธิการนิตยสาร “ ศิลปวัฒนธรรม” อันลือเลื่อง ณ ปรัตยุบัน!)… เป็นฉันนี้เท่านั้น ความสุขสงบสันติสุขจึงจักบังเกิดขึ้นเป็นจริงได้ อย่าลืมว่า เราไป “ปล้นชิงแย่งดินแดนเขามา (ต้องใช้คำๆนี้ด้วย ผู้รุกรานโปรดกรุณาอย่าเขินอาย!) … แค่ให้สิทธิในการปกครองเขตพิเศษของเขา ประเทศไทยสมมุติเรามันจะถึงกับดิ้นพราดๆลงแดง ดิ้นตายไปต่อหน้าต่อตาหรือ พระเดช พระคุณทั่น นี่ยังไม่เรียกร้องให้ไถ่บาป โดยการกล่าวขอโทษพี่น้องเขานะจ๊ะ
- - - เป็นดั่งนั่น คงไม่ ฉงนฉงาย แปลกใจดอกว่า ทำไมในงานเขียนของเขาเกือบทุกครั้ง ตอนจบ ทำไมเขาจึงเขียนต่อท้ายว่า … “ ล้า น นา อิ ส ระ , เจียงใหม่ ! ” … “อาจารย์ ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม” เคยเขียนหนังสือชื่อ “ล้านนาประเทศ” อาจารย์ เป็นนักประวัติศาสตร์ที่เชี่ยวชาญด้านโบราณคดี และด้านประวัติศาสตร์
- - - ที่พูดนี้มิใช่รื้อฟื้น แต่ประวัติศาสตร์ที่เป็นจริง ก็คือ ความเป็นจริง มิใช่ประวัติศาสตร์ ปลอมๆ! ที่มีหลายเรื่องที่ กระทรวงโนเสาร์เต่าล้านปีกระทรวงศึกษาธิการเอามาเป็นหลักสูตรสอนเด็กนักเรียน! หรือเพื่อ “เอาใจ” ใคร ก่บ่ฮู้…
. . . น้อง ม้าขาว ควบผ่านวัดท่าเกวียน (ท่าเกี๋ยน ) มีบ้านทันสมัยปลูกอยู่สองข้างทาง ตลอดจนบ้านจัดสรร ทว่าบรรยากาศยังร่มรื่นอยู่
“ พ่อกลับมาแล้วนะลูก ” เขาพูดกับบ้านไม้ชายทุ่งที่เห็นอยู่ลิบๆ…ผ่านถนนเลียบคันคลอง ที่สุดก็มาถึงบ้านชายทุ่ง อันล้อมรอบด้วย ทุ่งนา และ สนาม golf … สายลมหนาว แล พริ้มพลิ้วแห่งต้นไม้ใบไม้ต้อนรับ เขาสูดหายใจเข้าลึกกก เต็มที่ อนุญาต ให้ น้องอากาศเสียพรั่งไหลออกมาจากคุกคอกคุมขังภายในร่างกาย ให้ พี่อากาศดี ถั่งไหลเข้าไปแทนที่ในการทำหน้าที่ฟอกทำความสะอาดปอด
- - - เ ขา รู้สึกว่าบ้านนี้เป็นวิมาน จริงๆ วิมานบนดิน! อากาศดี พรรณไม้ร่มรื่น ชรอุ่มเขียว ทิศเหนือมีภูดอยเด่น เป็นฉาก… ข่วงบ้านกว้างขวาง เดินออกไปจะเห็นวิวธรรมชาติ 360 องศา … ยิ้มคารวะประกายแห่ง เดือน ดาว อัน พริบ พริบ พริ้ม พราวพร่าง บนท้องฟ้า ยามราตรี… แล คารวะ ดวงตะวันอันเปล่งประกายสาดทอแสงสู่โลกหล้า ยามอรุณรุ่ง
. . . เ ขา ชอบนั่งทอดหุ่ย ชอบนั่งเขียน - อ่าน หนังสือ…คิดคำนึง จินตนาการ ฝันใฝ่ ใฝ่ฝัน หลากลีลาอารมณ์ ณ เพลานี้ โลกส่วนตัวเป็นของเขา โลกส่วนรวมก็เป็นของเขาด้วย อันขึ้นกับแต่ละจังหวะแห่งชีวิต
“ ผม ไม่ได้แยกออกจากสังคม หนีสังคมดอก แต่บางครา บางจังหวะแห่งชีวิต ก็ขอให้ ผมมีเวลา และ มี พื้นที่ ส่วนตัว ของผมบ้าง ” เขามักบอกเพื่อนๆยามสนทนาธรรมกัน
“ มี เพื่อนที่รู้ใจ มาเยือนบ้างไหม และ ขณะนี้ ดวงใจของอ้าย ยังมีดอกไม้เบ่งบานหอมกรุ่นอยู่หรือเปล่า? บางเพื่อนคนขี้เย้าแหย่ มักถามแหย่ด้วย “ใบหน้าเปื้อนยิ้ม”
“ ไม่ มี ” เขา ยิ้ม ตอบ.
คื น หนาว นี้ มีดวงดาวพราวพร่าง เขานั่งอ่านเขียนหนังสือริมระเบียง มี เทียนไข แวมแสงสีนวลเย็นตา ให้เขาได้มองเห็น ที่นี่ ไม่มีไฟฟ้า ไม่มี น้ำประปา มีแต่น้ำบ่อ บ่อน้ำ ไม่มี เตาแก๊ซ มีแต่ ถ่านไม้ และ ฟืน ใช้หุง ต้ม ทำอาหาร ฯลฯ
“ อยู่ แบบ โบราณ ซะมั่ง ” เขาบอกเพื่อน และ ผู้คนที่ฉงนสงสัย
“ นี่ เวลาขี่รถ หรือ เดิน ผ่านสนามก๊อฟ ระวังด้วยนะ ต้องหยุดดูว่า มีคนกำลังตีก๊อฟ มั๊ย โดนลูกก๊อฟ หัวปูดโน เจ็บปางตายแน่” เขาบอกเพื่อนๆที่มาเยือน บางครา ลูก golf ก็ตกลงมาบริเวณบ้านของเขา ด้วยฝีมืออันแสนห่วยแตกของ “ มือใหม่หัดตี ” … บางครา เขารู้สึกรำคาญ นึกในใจ “ กะเด่ว ข้าจะออกไป ไดร๊ว์ golf ซักกะหน่อย มั่ง วะ ” เพื่อนได้ฟังก็หัวเราะ กันใหญ่ เพราะรู้ดีว่าน้ำหน้าอย่างเขาหรือจะไป “ออกรอบ” ได้ เพราะมัน แพง ! … เก็บ ลูก golf นั่นแหละพอได้ เพราะบนบ้านเขามีลูก golfs ที่เก็บได้ กองหรา โชว์ไว้บนโต๊ะ
- - - มีเรื่อง “ความเชื่อ” ของคน ซึ่งตัวเขา แม้จะไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ไปหยามหมิ่นใครที่เชื่อ … วัฒนธรรมความเชื่อ หลายอย่างก็มี คุณูปการต่อสังคม เช่นการเชื่อ เรื่องผี เรื่องลี้ลับ เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ เช่นไม่ให้คนทำบาป คดโกง หรือ ประมาท เลินเล่อ ซึ่งคนแก่มักจะบอกเราว่า “อย่าทำ มันไม่ดี” ผู้หญิงตั้งท้องหากนั่งบนหัวกระได มัน “ไม่ดี” เพราะเกิดพลาดหกล้มลงไปได้ ลูกมีสิทธิ์แท้งได้ หรื อ “ถมน้ำบ่อ บ่อน้ำ ไม่ดี มันขึด (จะเกิดเหตุร้ายแก่ตัวคนทำ) ฯลฯ และ หรือ อย่างที่พวกผู้ใหญ่บอกเด็กๆว่า “ กิน ตับ กินไตไก่ กินไข่ปลา นั้น “ไม่ดี” แต่นี่เป็นกลอุบายของผู้ใหญ่ กลัวเด็กแย่งกิน(เลยแย่งเด็ก) เพราะของที่ว่านั้น มัน แสนจะ ลำ อร่อยเหาะ จิงๆ … ห้า ห้า ห้า
“ ครู อยู่ที่นี่คนเดียว บ่ กัว ผี หลอก กา?” ชาวบ้านที่เข้ามาขออนุญาต เก็บสอยรังไข่มดส้ม(มดแดง) หรือมาเกี่ยวหญ้า ให้วัว ฯลฯ มักถามเขาเสมอ เพราะเห็นว่าเขาอยู่คนเดียว และเป็นที่เปลี่ยว ห่างจากบ้านคน
“ บ่ กัว คับ เรามาดี เจ้าที่ เจ้าทาง เปิ้นคุ้มครองเรา ” เขาบอกเช่นนั้นเสมอ คนก็บอกว่าเขาใจกล้า ไม่กลัวผี บางคนก็ ปล่อยข่าว ว่าที่บ้านไม้ของเขา มีคนแขวนคอตาย ! เขาฟังแล้วขำ ไม่รู้เอาข่าวที่ไหนมา
บ อ ก ตรงๆว่า เขาไม่เชื่อเรือง ผีมีจริง ไม่เชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะดลบันดาลอะไรได้ แต่เขาก็ไม่เคยลบหลู่ เขาเชื่อในเรื่องแม่พระธรรมชาติ เดินทางไกล ขึ้นรถ ลงเรือ เห็นต้นไม้ใหญ่ เห็นภูดอย เห็น สัมผัส แม่น้ำ ทะเล ฯลฯ เขาก็ยกมือไหว้ ส่วนหนึ่งของแม่พระธรรมชาติ เห็นศาลเจ้า เห็นหอผี ก็ยกมือไหว้ เขาคิดว่า คนเราเกิดมาแล้ว เมื่อตายไป … จากสิ่งมีชีวิต ก็กลายเป็นสิ่งไม่มีชีวิต แต่อย่างที่บอกเขาไม่เคยลบหลู่ และที่ไม่เชื่อเรื่องผี (แหะ แหะ ถ้ามีจริงก้อน่ากลัวอยู่) เพราะเขาคิดว่า คนเราเกิดมา เมื่อตายไป ก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต เขาไม่เคยเจอผี เจอแต่ผีในหนังแม่นาคพระโขนง(หนังผีไทยไม่น่ากลัว แสดงหลอกหลอน แล้ว แทนที่จะกลัว กลับขำ หัวเราะ ซะอีก แต่หนังผีฝรั่งดูแล้วน่ากลัวจริง!
เ ขา คิดว่า ถ้าสมมุติเกิดมีผี มาเยือนยามค่ำคืน (ขณะเขาขียนหนังสือ มาถึงวรรคตอนนี้ เป็นเวลากลางคืน ซะด้วย เขาอยู่ตัวคนเดียวด้วย อากาศหนาวเย็นยะเยือก ซะ ด้วย) ถ้า ผี มาแอ่วหา เขาจะเชิญ ผี นั่งสนทนาธรรมกัน ไต่ถามทุกข์สุขกัน ว่าเป็นยังไง มายังไง อยู่ในโลกนั้นมีความสุขหรือมีความทุกข์ไหม อย่างไร? คงได้รับความรู้ ที่ได้แลกเปลี่ยนกัน ... และจะเอาเหล้าเลียงผีด้วย ตำจอกกัน นับมิถ้วนจอก! กิน ดื่มด้วยกัน …บ รื อออ์ กลัว อะเป่า ?
- - - น้องยุง เริ่มมารบกวนแล้ว เขากลับเข้าห้องนอนมุ้งลวด จุดเทียนเขียน อ่านหนังสือ … บางคราก็ง่วงม่อยหลับ- - - พ รึ บ! พรึบ ! ได้ยินเสียงและประกายไฟร้อนใบหน้า . . . ไฟไหม้หนังสือพิมพ์ รีบเอาผ้าชุบน้ำที่เตรียมไว้ ดับไฟ ทันที… เขาต้องระมัดระวังเต็มที่ แต่ก็ไม่วายเกิดขึ้นอีก ก็หลายครา!
( ๓ ) : ชื่นเช้า รมณีย์
- - - ไ ก่ ขั น แ ล้ ว ตื่นมาทำกิจส่วนตัว แล้วมานั่งบนเก้าอี้ชานบ้าน มีโต๊ะ นักเรียน อยู่ตรงหน้า โต๊ะ เขียนหนังสืออันเดิมที่กว้างใหญ่ ทำด้วยไม้สักอย่างดี หายไปเสียแล้ว เขา ไม่ได้มาบ้านชายทุ่งหลายวัน พี่ขโมยเลยแอบมาเยี่ยมเยือน เอาติดตัวเป็นที่ระลึกไปด้วยแล้ว เสียดายไหม ก็เสียดายอยู่ แต่ทำไงได้ ก็ต้องใช้ คาถาของ “ท่านพุทธทาส” … “ ตถาตา” ไง จ้า … “ มันเป็นไปเช่นนั้นเอง อย่าไปยึดมั่นถือมั่น มันจะเป็นทุกข์ ” ใช่ ใช่ ใช่แล้ว มันมิใช่ของของเรา มันเป็นสิ่งสมมุติ แม้กระทั่ง ตัวเรา ก็ไม่ใช่ตัวของเรา … ได้คาถาอันวิเศษนี้ ทำให้คนเรารู้จักปล่อยวาง แล้วสบายใจ
. . . นั่งบนเก้าอี้ ยลชม แสงเงินแสงทองสาดส่อง ฟ้า – ดิน รับแสงตะวันยาม อรุณ อันงดงาม และ ทรงคุณค่า ต่อร่างกาย ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ … สักครู่ลงจากบ้านไปเดินออกกำลังกาย ท่ามกลางแสงตะวัน … เดินเร็ว – เร็ว… เดินช้า - ช้า … เดินสมาธิ จงกรม
โลกธรรมชาติ ให้คุณค่าต่อ มนุษย์ เสมอ อย่า ปฏิเสธ คุณค่างามนี้เลย พึงกางแขน โอบกอดไว้ ด้วย ความรักอันงดงาม เถิด เพื่อนมนุษยชาติ เอย
- - - อาหารมื้อเช้านี้ เขาทำอาหาร… แกงผักบุ้ง และดอกแคขาว ทุบพรึกขี้หนูสดปลอดสารใส่ น้ำแกงเดือด ใส่ผักลงไป ตีไข่เป็ด แล้วใส่ตามลงไป คนให้เข้ากัน สักครู่ เอากุ้งแห้งใส่ลงไป ผักที่ต้มแกงต้องให้เป็นสีเขียว อย่าให้สุกมาก จนเป็นสีเทา จะไม่อร่อย และมีวิตามินน้อย … เขามีวิธีให้ผัก เป็นสีเขียว คือเอาผักที่ต้มแกงออกใส่จานทิ้งไว้ ไม่ต้องเอาผักออกหมดเหลือผักละลายปนกับน้ำแกงเดือด น้ำแกงจะได้มีรสชาติ … เวลาจะกินค่อยเทน้ำแกงใส่ผักสีเขียวทีหลัง …
ทีนี้เขา ทำผัดผักบุ้ง กับ ดอกแคขาว ตามธรรมดา ดอกแคถ้าเอามานึ้ง จะมีรสขม (แต่ขมก็ดี “หวานเป็นลม ขม เป็น ยา”) แต่ถ้าเอาผัดกับน้ำมันพืชแล้วจะไม่ขม กินแล้วก้อ อร่อยเหาะ ได้
กับข้าวอีกอย่างคือ เจียวไข่ ปอกหอมแดง จะทุบหรือฟานเป็นแผ่นบางก็ได้ ถ้ามีหอมหัวใหญ่ฝานใส่ลงไปด้วยก็ยิ่งอร่อย เสียดายที่หอมหัวใหญ่ เขาฉีดยาฆ่าแมลงเยอะ ทุบพริกแต้สด ใส่กุ้งแห้ง เหยาะซ๊อสปลอดสาร(เขาซื้อมาจากสันติอโศก รับรองปลอดสาร) หรือเหยะน้ำปลาลงไปผสมด้วยก็ได้ แต่ระวังอย่าให้เค็ม ถ้าเค็มหมดรูปเลย ตีไข่ในถ้วย อย่าให้เป็นสีแดงหมด ให้มีไข่ขาวด้วย เพราะทานไข่แดงมากไม่ดี มี ครอเรสตอรอน มาก ( แต่ถ้าเป็น เจาะไช่แดง เขาก็บอกว่า เฮาบ่ฮู้เน้อ ตัวใครตัวมัน ละกัน ฮ่า ฮ่า Rate R มาแล้ว เขาบอก อู้เล่นบ่ดาย เป็น Joke ไม่ให้ซีเครียด กะเรื่องราวของสังคมการบ้านการเมืองมากเกินไป … การเมืองที่น่าประหวั่นพรั่นพรึง Wait and See ! Don” กระพริบ ตา ! … เจียวหอมขาว ด้วยน้ำมันพืช (น้ำมันอย่าใส่มาก กินมันมากไม่ดี) ได้ที่ก็เอาใข่ ลงเจียว ทอดได้ กะพอยกออกได้ ก้อยกเลย
- - - เสร็จ แล้วเขาก็นั่งกินอาหารใต้ถุนบ้านยกสูง บ้านอันมีแสงตะวันลอดสาดส่องมา วิหดนกกา ร้องเพลงไพเราะขับกล่อม กินอาหารธรรมชาติ ลำ อร่อย ทำให้คิดถึง นึกถึง น้องๆ เพื่อนๆ …
เขาคิดถึง . . . อี่ปี้ ติ๊ก ( จริยา ราชสีห์) หรือ “แม่ติ๊ก” แห่งสุราษฏร์ธานี ของน้องๆ …ไอ่ หนู โย กะ … ตัวป่วน กวนใจ… Thanya Kiss… กังวาน กังวาน … หนูมี่ … มาลี ฯ … โสมคาน… น้าบ่าว… ไพฑูรย์ พรหมวิจิตร … ( ทั้งหมดนี้ล้วนเคยไปนั่งกินดื่ม หัวเราะเย้าหยอก และ สนทนาธรรมฯลฯ ที่บ้านชายทุ่งของเขา)…. และเขาก็หวน คิดถึง … รูญ ระโนด … บรรจง นะแส (สองเพื่อนจากปักษ์ใต้) คิดถึง ประกาย ปรัชญา … นฤมิตร ประพันธ์ (สองเพื่อนจากภาคตะวันออก)… นึกถึง… ไพวรินทร์ ขาวงาม… ลุงเปี๊ยก (บำรุง บุญปัญญา) เพื่อนสองแห่งอิสาน… รำลึกถึง… เป็ด (ประยงค์ ดอกลำไย)… เหี่ยว(เดโช ชัยทัพ) สองเพื่อนแห่งล้านนาอิสระ….ฯลฯ และ พี่น้องผองเพื่อนๆอีกมากมายที่มิได้เอ่ยนาม ฯลฯ
เมื่อ คิดถึง รำลึกถึง แล้ว
พ ลั น …
เ ขา นึกถึง การนองเลือด เข่นฆ่ากัน ด้วยอารมณ์ โกรธ เกลียด ชิงชัง อาฆาต พยาบาท มาดร้าย ฯลฯ บนท้องถนน และที่อื่นๆ ฯลฯ ของเพื่อนร่วมโลก ร่วมแผ่นดินเดียวกัน!
สา ธุ ขออย่าให้บังเกิดขึ้นอีกเลย
เพื่อนมนุษย์ เอ๋ย พึงแผ่เมตตา แด่ กัน ละ กัน @
ฤดูหนาว , ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๕, แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๒
ตำบลหนองจ๊อม – ฟ้ามุ่ย…ดินแดนขบถ พญาผาบ
ประเทศล้านนา, เจียงใหม่