Skip to main content

 

     @  “  ผม  กำลังสัมภาษณ์ พี่น้อยอยู่ เอางี้ ครูแสงดาว มาที่นี่เลย เราจะนอนกันที่นี่ พรุ่งนี้เข้า เราออกเดินทาง กันเลย”

 

              “กิตติ   ตรีราช”  มือไวโอลินบอก ฉัน  เมื่อ โฟนอินเข้าไปหาเขา   เขามาสัมภาษณ์  อ้าย “น้อย … อัคนี  มูลเมฆ”  เกี่ยวกับบทเพลงที่อ้ายน้อยแต่งให้แม่น้ำโขง ที่พวกเราหลายคนกวี นักเขียนก็ช่วยกันแต่งให้ ฉันก็ แต่งให้ เพลงหนึ่ง  ชื่อ “ โอบกอดหอมหวาน”… อ้ายน้อยเป็นทั้ง กวี นักเขียน  นักแปล    ศิลปิน ฯลฯ  งานแปลที่ลือชื่อได้แก่ “ บ๊อบ  มาเล่ย์  …  ศาสดาขบถ”  และ “แวนโก๊ะ” ฯลฯ

 

                ฉัน   ควบ  ม้าขาว ฝ่าความมืด  และ  แสงไฟฟ้า  ไปถนนสายอำเภอสะเมิง  ถึงวัดต้นเกวี๋น   วัดเก่าแก่ที่มีศิลปะแห่งล้านนาที่งดงาม    ฉันโทรบอกให้เขามารับ เพราะฉันไปไม่ถูก …. ควบม้าขาวตามหลังรถยนต์ไป  ใน ที่สุดก็ถีงที่หมาย   - - -  มีกองไฟก่อลุกโชนบนเตา เสียงเพลง “ ผิงดาว” ของ  “น้อย…ชูเกียรติ  ฉาไทสง”   ดังขึ้น พวกเขาร้องเพลงรอบกองไฟ และเปลวเทียน    เป็นราตรีที่งดงาม ใต้แสง เดือน  ดาว  พราวพริ้ม ระยิบ ระยับ  บนทุ่งฟ้า… “กิตติ” กับ  “จิ๋ว”  สองหนุ่ม สีไวโอลิน  …”จิ๋ว” เป็นนักไวโอลินที่มีฝีมือเช่นกัน  เขาเรียนจจบจาก “ คณะวิจิตรศิลป์  มหาวิทยาลัยเชรยงใหม่  ทั้ง “กิตติ”  - จิ๋ว” เคยลุยเที่ยว  ทำกิจกรรมร่วมกันมานานแล้ว

 

                         “กบ” หญิงสาวอารมณ์ศิลปิน เล่นกีร์ต้าร้องเพลง  ตามด้วย  “ยาย ”

หรือ “แพร   จารุ” นักเขียนจากปักษ์ใต้ ที่มาอยู่ร่วมชีวิตกับ  กวี  นักเขียน  ศิลปิน นาม  “ ถนอม   ไชยวงษ์แก้ว” แห่งบ้านทุ่งเสี้ยว อำเภอสันป่าตอง เชียงใหม่ และมี “กุ้ง” คู่ชีวิต ของกิตติ ร่วมคลอด้วย โดยมี “น้อง คำเกียว” ลูกสาวเรียนชั้น ป.๓  นั่ง เล่นกับไฟ และหาฟืนมาสุมให้เรา

              “ ปิ๊น   ปี๊น ๆ”  เสียงบีบแตรจากเก๋งคันงาม เข้ามาจอดใต้ร่มไม้  “น้องต่าย”  ครูสอน ดนตรี และศิลปะ นั่นเอง  เธอ เดินฝ่าความมืดเข้ามา  มือถือของฝากเพียบ  ไม่ได้เจอบรรยากาศแบบนี้นานอยู่ ดีใจกันนัก  แล้วเสียงเพลง “ เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม?”  ก็ดังขึ้น  ประกายดวงตายามต้องแสงไฟงามนัก   “กบ” เป็นต้นเสียง  ทุกคนร้องคลอตาม ( “กบ” เป็นเพื่อนที่มีความสามารถร้องเพลงได้ทุกชนิด  พลังเสียงดีมาก  พวกเรายอมรับ) … ฉั น  ลุกขึ้นก้าวเดินออกจากวง  ยลเห็นทะเลดาว บนท้องฟ้า   ดอกดาว  พริ้ม  พริบ สะพรั่งบนทุ่งฟ้า  …  ยิ่งดึกดื่น  ดวงดาว ยิ่งดารดาษ

 

               @          “ เธอ เห็น ท้องฟ้านั่นไหม  … ฉัน เก็บเอาไว้ให้เธอ

           และจะเป็น เช่นนี้เสมอ  ---  ถนนสายนั้นที่ทอดยาว

           มีเรื่องราวของความเป็นจริง      มี เงาไม้ เอาไว้ให้พักพิง

                      …    มีให้ เธอ เอาไว้ เมื่อ  อ่อนล้า

                           

                    เธอ เห็นท้องฟ้านั่นไหม    เห็นเงา ของเมฆ หรือเปล่า

                      ทะเลสีครามที่ทอดยาว      เห็น  ความรัก ของฉันบ้างไหม” @

                       ทุกคน ร้องเพลงนี้ ของ “ เปิ้ล”   วง  ดนตรี     “ที – โบน”  จนจบ.

 

                         ฉั น  นั่งดู เปลวเพลิง อันเริงร่า   หนู “คำเกียว”  เติมใบไม้ไผ่แห้งลงไป แสง โชนจ้า- - -                           @ . . .  ระบำ เปลวเพลิง งาม เริงโรจน์

                                             โชนช่วงโชติ พริ้งพราว  เจิดจ้า

                                              งาม ดอกเพลิง วูบไหว วะ วับ ตา

                                              ครา สายลม พรูพลิ้ว ผ่าน ทักทาย  @

       

           ฉั น  บรรจง รจนา บทกวี   ลงไปบน สมุดเล่มบาง …

 

     

                       

 

                            - - -     “    เรา    จะอัดภาพและเพลง ลงใน เฟสบุ๊ค  และจะเอาลงใน ยูทูบ     เพลง “ กระท่อมแสงดาว”      และเพลง “ ดอยหลวงเชียงดาว ”     กบ บอก  พร้อมเตรียม  แท๊บเล๊ด … เพลง ทั้งสองเป็นฝีมือของอ้าย  “น้อย …อัคนี  มูลเมฆ”… เพลง”กระท่อมแสงดาว” อ้ายน้อย แต่งให้บ้านดินของฉัน ที่มีพี่น้อง กวี นักเขียน ศิลปิน ชาวบ้าน  พี่น้องชนเผ่า   นักพัฒนา   ทั้งชาย หญิง     ฯลฯ พากันไป “ลงแขก” ช่วยสร้างบ้านดินให้ฉัน ประทับใจมาก บางคนก็มานอนที่นั่นเลย เพื่อเร่งสร้างให้เสร็จ …  พวกเรากิน ดื่ม   เล่นดนตรี   ร้องเพลง  อ่าน บทกวี ฯลฯ ด้วยกัน ยามเย็นและค่ำคืน

 

  • - -  “บ้านดินรักดาว  - บ้านดาวรักดิน”  จึงสำเร็จด้วยพลังรักอันงดงามที่พวกเขามีต่อชายขบถ คนนี้! …                           ถึงวันอำลา  เราสวมกอดกัน…     ทุกคน เหวี่ยงเป้    ถุงย่าม    ขึ้นพาด บนหลังไหล่   แล้ว  ออก เดินทาง  ทิ้งให้บ้านดิน  ยืนสงบนิ่ง อย่าง สงบ เสงี่ยม บนชายทุ่ง

 

                       ฉั น  เดินออกไปส่งพวกเขา     ทุกคนเดิน  ดุ่มๆ ไปข้าง หน้า   และหันมาโบกมือให้ฉัน   ฉันโบกมือขอบพระคุณ  ด้วยน้ำตารื้นไหลในวงตา    มองเขาเดินออกไปจนลับสายตา …   ณ    ครานั้น  ฉัน   รู้สึกโดดเดี่ยว    แม้จะเคยบอกเพื่อนๆว่า   ฉัน  “โดดเดียว  แต่  ไม่เดียวดาย!”  ก็ตาม.

 

                               คืนนี้   เรา ( ฉัน ,  กิตติ,  กุ้ง  และ  หนู คำเกียว )  นอนที่บ้าน “จิ๋ว”  รุ่งเช้า เราออกเดินทาง ไปเชียงราย  ทันที  ไปส่ง กุ้ง  และ  น้องคำเกียว  ก่อน…        กิตติเอารถ อีกคันมา ไม่เอา รถทหารคันอายุแก่นั้นแล้ว    เขาบอกว่า กลัวมันจะเสียกลางทาง  เราออกเดินทางจากเชียงรายไป นครสวรรค์ เวลาบ่ายสองโมง     ไปถึง ก็มืดค่ำแล้ว  และต้องควานหาทางไปอำเภอแม่วงก์ สถานที่จัดงาน     เราโชคดี ที่กิตติมี  ไอโฟน ช่วยหาทางไปให้   ที่สุดก็ถึงจุดหมายปลายทาง  เกือบเที่ยงคืน…

 

                             “ อ้ายแสงดาว   เชิญทางนี้  ”      …  เสียงน้องๆ ตะโกนเรียก เมื่อเห็น ฉันก้าวลงจากรถ   ย่างไปที่กองไฟอันลุกโชน   น้องคนหนึ่งแนะนำให้เพื่อนๆรู้จักฉัน    น้องอีกคน  เทเหล้า  Red  ใส่  จอกส่งให้ฉัน   ยกอึกเดียวหมด  หายหนาวไปเลย  ดีใจที่ได้เจอน้องๆไฟแรงที่มาช่วยงานอนุรักษ์ธรรมชาติ  น้องมาจาก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  และ มหาวิทยาลัย นเรศวร พิษณุโลก   พร้อมทั้งพี่ๆของน้องที่มาจาก”  มูลนิธิ สืบ  นาคะเสถียร ” … สักครู่ก็ลุกไปเยือนเพื่อนน้องอีกที่หนึ่ง เขากำลังซ้อมดนตรีกัน  น้องสาวผู้ใจงามคนหนึ่งเธอดีใจที่ได้พบกันอีก  เธอรู้ใจ  รินน้ำมังสะวิรัตน์ สีขาวมาให้ฉัน  

 

                      นั่น !  “  ตู่  - ตะวันฉาย...  ปุย …  ตือ …โดม”   ฯลฯ แห่งมูลนิธิ สืบ  นาคะเสถียร  กำลังซ้อมดนตรีกับเพื่อน ๆ    พอเห็นฉันเขายกมือไหว้   ฉันโบกมือไหว้ตอบ   … และ   “ เศียร”  ศิลปินเพลงอิสระก็กำลังตีกลอง คล้ายกลอง บองโก้  ซ้อมเพลงกันไป  หัวเราะ เย้าแหย่กันไป 

 

                       คุยกับ “อาจารย์ ประวิทย์  ฯ”  อย่างออกรส เพราะเราเคยเป็นครูมาด้วยกัน…  “ครูประวิทย์ ”  เป็น เจ้าของสถานที่อันกว้างขวาง     ครู เกษียณ ราชการก่อนแล้ว  ครูก็ทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อหมู่บ้าน มากมาย  ให้สถานที่เป็นที่จัดกิจกรรม ต่างๆ … สักครู ฉันง่วงนอน ครู กรุณาพา ไปยังบ้านต้อนรับแขก

 

                     - - -  อรุณรุ่ง   เสียงไก่ขัน     ห่านร้อง   เรา ร่วม สามสิบชีวิตพักกันที่นี่   ร่วมเตรียมงาน  คนหนุ่มสาว คือพลังหลัก      พวกเราออกมา  ยืน นั่งกินอาหาร ที่ทำเป็นที่ ทำ – กิน อาหาร   มีแสงแดดเช้าสาดส่อง  บรรยากาศโรม๊านซ์ฯ ชะมัด    เมื่อบรรยากาศงาม  ก็ช่วยไม่ได้ที่ ฉันกะเพื่อน จะละเลียด น้ำมังสะวิรัติ สีทองอันกรุ่นกลิ่น หอมหวาน

 

                         “  อ้าย ทานกาแฟ กับอะไร คับ?”   กลุ่มน้องที่นั่ง ถาม   เมื่อเห็น ฉัน อุ้มถ้วยกาแฟ เดินไปมา

 

                           “ กาแฟ ไฟ คับ… หรือ  ไอริช ค๊อฟฟี่”  ฉันยิ้มตอบ พร้อมพูดต่อ เป็นภาษา ปะกิต…

 

                  “ Give    Ireland  to    Irish ” …

     “ เราต้องช่วยชาวไอริช เจ้าของดั้งเดิม แห่งเกาะไอรแลนด์  ที่ถูก จักวรรดินิยมอังกฤษ ยึดครอง”  ฉันพูดยิ้มๆ พวกน้องรับฟัง

 

                          “ อ้ายไม่ได้เข้าข้างตัวเอง  เน้อ  ว่า หาเรื่องกินเหล้า ตอนเช้า”  ก็พากันยิ้มกัน  เมื่อได้ฟัง ฉั น  พูด… เราคงได้ฟังเรื่อง “กองทัพแดง” ของชาว ไอริช  ที่ต่อสู้กับกองทัพอังกฤษผู้รุกราน  พวกเขา “ลุกขึ้นสู้ ” ในเมืองด้วย  สูญเสียกันไป ทั้งสองฝ่าย  … แต่ปัจจุบันนี้ อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ เห็นว่า รัฐบาลอังกฤษได้เจรจากันแล้ว ก็ขอให้ความสงบเกิดขึ้น  - - -  ตอนเรา นุ่งกางเกงขาสั้น  -  เสื้อคอซอง … กระโปรงยาว  ก็เคยได้เรียนประวัติศาสตร์มาแล้ว เมื่อพูดถึง ประเทศ อังกฤษ ที่เรียกกันว่า เป็น  “  ประเทศ   ดินแดนพระอาทิตย์ไม่ตกดิน ”  เป็นประเทศจักรวรรดินิยมที่เที่ยวเป็นอันธพาล ไปรุกราน ยึดครองเขาทั่วโลก เอาเป็นเมืองขึ้น …  เหมือนกับ จักรวรรดินิยมอเมริกา ที่ยึดครองรุกราน พี่น้องชนเผ่าดั้งเดิมในทวีปอเมริกาเหนือ คือ พี่น้อง ชนเผ่า อินเดี่ยน (เราอย่าไปเรียกผิดๆตามที่อเมริกาเรียก พี่น้อง “  อินเดี่ยน ”     ว่า “อินเดียนแดง” ( Red  Indian …หากเพื่อนๆได้อ่านหนังสือ สองเล่ม ที่ชื่อ  “ ฝังหัวใจข้าไว้ที่ วู๊ด เดดนี่”  และ “ ณ  ที่ซึ่ง ดวงตะวันฉายแสง” ซึ่งแปลโดย “ วันชัย   ตันติวิทยาพิทักษ์ ”  … น้องชายของ “พี่ ม ด … วนิดา  ตันติวิทยาพิทักษ์ ”  สตรีแกร่ง นักสู้อหิงสา ของคนจน  ตีนติดดิน ผู้ได้กลับคืนสู่อ้อมอก อันอบอุ่น ของแม่พระธรรมชาติไปแล้ว!

 

          . . .     หาก เราได้มีโอกาสอ่านหนังสือสองเล่มอันลือชื่อนี้แล้ว (ใครไม่เคยได้อ่าน ยินดีให้ยืมอ่าน จ้า)  จักเข้าใจความเจ็บปวดของพี่น้องชาวอินเดี่ยน อย่างเจ็บลึกในหัวใจ จิตวิญญาณ(หากหัวใจเรา  … ดวงใจ เราไม่ใช่ หิน เกินไปนัก)  และ ทำให้    เ ลื อ ด ลม ภายในร่างกาย เรา  เ ดื อ ด  พ ล่า น   ได้!

 

          พ วก  “  ค น ผิ ว ขา ว ( กา ย ขา ว    แต่   ใ จ  ดำ )  ผู้รุกราน เมื่อเห็นพี่น้อง ชนเผ่าอินเดี่ยน มี   “ ผิ ว แ ด ง ”  ก็เลยเรียกพี่น้องร่วมโลกร่วมแผ่นดินของเราว่า “ อินเดียนแดง ” … เติมคำว่า  “ แดง ” เข้าต่อท้าย  … เราคงไม่เรียกตาม “ ค น ขา ว ”  แต่  “  ใ จ ดำ ”  ว่าอย่างนั้นแล้ว!

 

                - - -  ทั น ใ ด  กลุ่ม หญิงสาว -  ชายหนุ่มก็ ปรากฏกาย เดินเข้ามา ในที่พวกเรานั่งกินอาหาร  “ จำปา   ล้านช้าง”  (ที่เราเรียกว่า “ เจ้าแขวงลาว ”  ) เ ธ อ เดินนำหน้า เข้ามา ตามติดด้วย   “  ก๊อต … นำพร  ศรีสุข”  สองหญิงแกร่งนักสู้เพื่อความเป็นธรรม เพื่อ  ธรรมชาติ รากเหง้า วิถีชีวิต ของโลก ของชุมชน  นักสู้ที่มี    “ จิตใจ “สากลนิยม”  (ขอเรียกแบบนี้ ด้วยความคารวะ)… เราโอบกอดกัน    เรา เคยร่วมโอบกอดทั้งแผ่นดินล้านนา  และล้านช้าง ศรีวิชัย  ฯลฯ มาด้วยกัน กับพี่น้องผองเพื่อนๆ ผู้รักธรรม!     และ  ณ   บัดนาว  …   พวกเราก็ เดินทางไกล มาโอบกอด ผืนป่าตะวันตก ด้วยกัน!   ที่ “มือตีนปีศาจ” มันจะเข้ามารุกราน สร้าง “เขื่อนแม่วงก์”    . .. ทำลายธรรมชาติ  รากเหง้า วิถีชีวิตของชุมชน  ประชาชน  และของโลก!                                           อ้าว  นั่น   ไ อ้หนู  “   Butsayavarin  Bow … บุษยาวรินทร์” และ  “  Palit   Woraphong phibun…  ปาลิต   วรพงศ์พิบุลย์ ( น้อง ปาล์ม”  หนุ่มน้อย หน้าหวาน ยิ้ม หวาน เพื่อนของไอ่หนู บุษยาวรินทร์)  ก็มาด้วย เหมารถรับจ้าง ใจถึงใจ จริงๆ   พวกเธอพเนจร    หลงทาง  มาถึงนี่ได้  อย่างไรก้อ กรุณาไปอ่าน ใน พระราชอาณาจัก  F.B. ของพวกเธอ ได้จ้า   ใจถึงใจ จริงๆ ขอคารวะ นับมิถ้วนจอก!  เจ้า

 

                - - -  วันนี้   พวกเรา โชคปาก  ได้กินปลานิล เลี้ยงแบบธรรมชาติ … ลุง หู้     เพื่อน ครู ประวิทย์   กรุณาเอาปลานิลสดๆมาให้     โดยมี “อ้าย หนุ่ย” เกษตรกรลูกทุ่ง  มือ ปิ้งย่าง ระดับเทวดา ยกนิ้วหัวแม่โป้งให้   กรุณา ทำให้  พวกเรา เอามือ ฉีกกิน    อร่อยแบบ ปาก ก็เคี้ยว   มือก็  ฉีก  ตีนก็ขยับไปมา(เพราะมีความสุขในการลิ้มรส )   เป็น กับ แกล้ม อันโอชะ    … ไม่เชื่อถาม พี่  บุษยาวรินทร์ เหอะ  พี่แกเล่น โซ้ยย เอา   โซ้ยยย    เอาๆ ไม่หยุดปาก  แหะ  แหะ  แต่  ฉาน เองก็ไม่เบา  เล่นของดี คือ พุงปลา  และหัวปลา   อิ  อิ

 

                                 โ อ๊ววว … สูมา โตยยย    ขอตัดฉากให้สั้นเข้า    ฉั น ชักจะเป็น  “ เพลิน   พรมแดน”    มากไปแล้ว ขอ  ตัดฉาก ย่นย่อให้สั้น หน่อย …

                     พวกเรา  นั่ง พูดคุย ด่ำดื่มกัน  จาก เช้า ยัน เย็น   …  ณ บ้าน “ อาณาจักรชาวไพร ”… คุณครูประวิทย์ ตั้ง ชื่ออาณาจักร ของท่านนี้เอง       อ้อ ขอโทษ  มี “อาจารย์ ณรงค์ฯ  ครูเกษียณ ผู้ใหญ่ใจดี  เป็นสหายร่วมใจ ที่ช่วยกันในด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมนี้   ด้วยอย่างขันแข็ง   คุณครู ณรงค์ฯ  ท่านดีใจที่ ฉั น  สะเก็ช  วาดภาพท่าน  แม้จะเป็นฝีมือละอ่อนน้อย  แต่ ฉัน ก็ดีใจที่ วาดใบหน้าท่าน  ชายชรา หัวใจหนุ่ม ผมสีขาวดอกเลา  ใบหน้าอิ่มบุญ

 

                                  …  โอ้  อีกท่านหนึ่ง ลืมไม่ได้ คือ “ลุงแก้ว”  อดีตผู้ใหญ่บ้าน  หมู่บ้าน”ธารมะยม”  ตำบลวังส่าน  อำเภอแม่วงก์นี้เอง  ก่อนนี้ ที่ดินกว่าพันไร่เป็นของ “ลุงแก้ว”  แต่ท่านใจใหญ่  แบ่งขายถูกให้คนที่ต้องการ   คุณครูประวิทย์ บอกกับพวกเราว่า ที่ที่ครูอยู่กว้างขวางนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของที่ลุงแก้วนั่นเอง ลุงใจกว้าง  คุยกัน ถูกคอ จะให้ฟรีเสียด้วยซ้ำ แต่ครูประวิทย์ช่วยซื้อ   ตอนนี้ลุงแก้ว อดีตผู้ใหญ่บ้านที่ยิ่งใหญ่ ก็บรรลุธรรม อยู่แบบง่ายๆในที่ดินที่เหลือ  และเป็น เสี่ยว   สหายของครูประวิทย์ ที่ครูประวิทย์ ช่วยดูแลให้คำปรึกษา  เพราะ ลุงแก้วก็อายุมากแล้ว

    

ฉั น ดีใจ ที่ได้วาดภาพให้น้องๆ พี่ๆ เกือบทุกคน และเขียน บทกวี ประกอบภาพให้  ก็เปรมปรีดาไปตามๆกัน

 

 

 

                                     นั่น  “ไอ้อ้าย”  ห่านตัวผู้ของครูประวิทย์  และมีอีกตัวเป็นตัวเมีย ครูเอามาให้เป็นคู่ชีวิตกัน…   ไอ้อ้าย เป็นห่านคุ้นคน ชอบเล่นกะคน   ชอบ  แหบ (กัด) คนเล่น  … ฉันแอบย่องๆไปอุ้มมัน  น่ารักมาก ตัวโต งามสง่า … อ้อ มีอีกตัว  “อีด่าง”  หมา วัยรุ่นตัวเมีย ของลุงแก้ว ที่ชอบมาอยู่ที่นี่   มันน่ารักมาก  ฉัน ชอบเล่นกะมัน

 

                              “    เ ย็ น ย่ำ ตะ วั น ร อ น ๆ  เราได้พักผ่อนสำราญอุรา ”   … เอ๊า   ย้ายวิก กัน…   รถยนต์หลายคัน พาเราเคลื่อนออกจาก  “ อาณาจักรชาวไพร ” มุ่งสู่ สถานที่จัดงาน     - - -  โอ้    Excellent !  วิเศษ นัก !   เวทีเชิงหุบเขาสามลูก  คือ   เขาแม่กระทู้   ชนติดกับเขาน้ำอุ่น  อันมีแม่น้ำแม่วงก์ผ่านกลาง  และ  เขาอีกลูก คือเขา แม่กะสี … งดงามนัก   ฉากงาม จริง   หน้าเวทีมีการจัดศิลปะง่ายๆ แต่ งดงาม  ซ้ายมือมี กระดาษรูป วงกรม เขียนว่า “ ตะวันฉาย ใต้แสงดาว ”    เยื้องไปข้างบน มีสองวงกลม    มีรูปดาวดาว พริบ พริ้มแสง ส่องสกาว     อือมม์   ใช่แล้ว   Concert   “  ตะ วั น ฉา ย  ใ ต้  แ ส ง ดา ว ”…  กระดาษวงกลม ใหญ่สุดด้านล่างลงมาหน่อย   คือดวง ตะวัน กลมโต         มีตัวหนังสือ  “  ศ รั ท ธา  ค วา ม ดี งา ม ”  ฉายแสงแห่งอักษรา  วาวเด่น …  นี่คือ  หั ว ใจ  แห่ง  ความรัก ความดีงาม สร้างสรรค์   ศานติภาพ  อัน มี ดว ง ตะ วัน แ ดง   โชนโชติ ฉาน อาบกอด! - - -  บริเวณ ด้านหน้า  เยื้องทางเข้า   มี  นกยูงฟ้อนรำแพน  วาบแสงสีเงินต้อนรับผู้มาเยือน  อันเป็นสัญลักษณ์ว่า   ณ ป่าอุดมสมบูรณ์ ผืนนี้   มี  น้อง น ก ยู ง ฝูง ใ หญ่   ดำรงอยู่อย่างสง่างาม  เป็นขวัญบุญ ขวัญตา  ให้ ชาวโลกได้ เชยชม  ยลชม!  แล้ว ที่นั่งประทับของพี่น้องแขกผู้มาเยือน มาแอ่วเล่า เป็น ฉัน ใด ?   โอ่พี่น้อง  งาม อลังการ แบบ คนตีนติดดิน    …  ที่นั่ง ทำด้วย  ฟาง ที่อัดแน่น เป็นที่นั่ง ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า   ไร้พรมอ่อนนุ่มที่ เหล่าเทวดา ตีนไม่อยู่เหนือพื้นดิน เช่นประดาคนไพร่ราบ  หน้าเหลืองซีดเซียว  เหยียบยืนอยู่ ทุกโมงยาม!    … โอ้ พี่น้องคนสามัญชนเอ๋ย   เกิดมาสมคุณค่าแล้ว ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ธรรมดา ตี น  ติ ด ดิ น  !

 

              

 

                  … ความมืดหนาว เข้ามา โอบกอด   - - -   ผู้ เริ่ม ทยอยมา จากทั่วทุกสารทิศ     ภาพงามนัก   ฉันรู้สึกชื่นชม และภาคภูมิใจ แทน “   อ้าย ตู่ -  ตะ วั น ฉา ย”      และ   พี่น้องนักดนตรีทุกวง  ตลอดจนพี่น้อง แขกผู้มีเกียรติ ทุกๆท่าน   ที่มาร่วมในงานการกุศล และ เริงรมณ์ ทรงคุณค่า นี้!     มากันทั้งครอบครัว เชียวหล่ะ ทั้งลูก เล็ก เด็ก แดง   คนแก่ คนเฒ่า  แล   คนหนุ่มสาว พาคนที่รักเต็มดวงใจ มาด้วย  ฯลฯ…  ฉันสังเกต - - -    ตาดู หูฟัง     คนที่มาก็ทักทายกัน  รู้จักกันมาก่อน  หรือแม้ไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน ก็ยิ้มแย้ม แจ่มใส ทักทายกัน ( เช่นตัว ฉัน เป็นต้น)   ประทับใจนัก   บางกลุ่มก็ลาก ม้านั่งฟาง มาล้อมวง พูดคุย สรวลเสเฮฮากัน  กินดื่มด้วยกัน   … ตัวฉันกะเพื่อนเองเล่า ก็ไม่แตกต่างกัน   ดีใจที่ได้พบน้องๆ เพื่อนๆ ที่ไม่ได้เจอกันนาน… นั่นไอ่หนู หนิง พาลูกสาว มาด้วย  นั่นหนูจอย ฯลฯ

 

                       “ อ้ายแสงดาวคับ  ผม เดช อัสดง ”  น้องผมยาวงาม ร่างกะทัดรัด  ยิ้มเข้ามาทักทาย  ฉันดีใจมาก  เดช อัสดง นักดนตรี นักเขียน นักแต่งเพลง   เขามากับเพื่อนสาวและเพื่อนๆ   … เอ๊า ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก กันหน่อย     พวกเขาขอฉายภาพกับชายขี้เหร่ คนนี้

 

                      “ อ้ายแสงดาวอยู่ไหน  ?”   ได้ยินเสียงใครตะโกน ด้านที่ขายของ ขายเสื้อผ้า  ขายเหล้าพื่นบ้าน  ขาย ซีดี   ขาย ภาพ ถ่าย ภาพวาด ของ ศิลปินเพลง  “ ตู่ – ตะวันฉาย”…   “  อยู่นี่ “ ฉันชูมือตะโกนตอบ   ดูไกลๆก็รู้ มิใช่ใครที่ไหน  ชายหนุ่มหนวดเครางาม   นาม  “  อาจารย์ ศักดิ์สิน  เฉลิมลาภ”  หัวหน้าใหญ่ “ มูลนิธิสืบ  นาคะเสถียร” นั่นเอง เขาคือน้องชายที่ฉันเคารพนับถือในจิตวิญญาณที่งดงามอีกคนหนึ่ง     … เอ๊า กะอีกคนหนึ่ง  ไอ่หนู  ติ๊ก …  Say  ball  Point   Pen ”   จอมไม่ยียวน ไม่ กวน Teen  ใครนั่นเอง  (แต่ใครอย่ามา กวน กาละแมร์ กะเธอนะ   ฉันไม่รู้ด้วย       เน้อ …   ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกะ น้ำขี้มูกเปียก ของตัวเอง   ha  ha… )

 

                 . . .  ฉัน  นั่งใกล้ กะกลุ่ม “ จำปาล้านช้าง” กลุ่ม หนูหนิง  หฯ จอย   หนูก้อย    และ กลุ่ม “เดช  อัสดง”  เราเชิญชวนเขามานั่งด้วยกัน  คุยไปคุยมาก็ถูกคอกันดีจริง  …  ทันใด  มีกลุ่มหนุ่มสาว ท่าทางเอาเรื่องแต่ไม่เอาราว เดินดุ่มๆเข้ามาหา คนขวัญอ่อนอย่าง ฉัน   >>>   เฮ๊ยๆ  ไม่ใช่  concert  25 ปี  น้าปู… พงษ์สิทธิ์  คัมภีร์ นะโว๊ย  ที่เอางานกระเจิดกระเจิงกระจัด กระจาย เผ่น ป่าราบไปตามๆกัน  กะเด่ว”น้าตู่ – ตะวันฉาย” จะเดือดร้อน   - - -  ฉัน พึมพำในใจ   ตาจ้อง เตรียมเผ่น  ทั้งๆที่ ฉันไม่เคยมีเรื่อง ด่าพ่อ ล้อแม่ ใคร…

 

           “  อ้ายคับ ผม กะเพื่อนคิดถึงอ้าย”   เจ้าหนุ่ม  หนวดเคราเรียวดำขลับ  ใบหน้าคมบาดใจสาว และเพื่อนเข้ามาโอบกอด ฉันแน่น    ป๊าดด …ไอ้  “หนุ่มโว่”  ณ    อุทัยธานี  นั่นเอง เขาก็เป็นกวี นักเขียนด้วย  เขาเคยชวนฉันไปอ่านกวีที่งานห้วยขาแข้ง 

 

“อ้ายจำได้ไหม ที่บ้านสันกำแพง มีการสัมมนาเกี่ยวกับการเขียนเพื่อให้คนรุ่นใหม่ ได้ฝึกเขียน อ้ายและเพื่อนอ้ายเป็นวิทยากรด้วย   มีการประกวดการเขียนบทกวีให้วิทยากรตรวจ  แล้วผมได้รับรางวัลที่สอง ที่อ้ายตัดสิน ผมดีใจมาก  … ได้ที่หนึ่งคือ “ฟามีต๊ะ” น้องอิสลามจากภาคใต้  ผมดีใจมาก  และอ้ายตั้งนามปากกาให้ผมว่า “อาบจันทร์” ใช้มาจนถึงวันนี้  บ้านกระท่อมของผมที่อ้ายไปเยือน ผมก็ตั้งชื่อ “กระท่อมอาบจันทร์” … “โว่” น้องชายฉันพูดเล่ามายืดยาวทบทวนความหลังด้วยความดีใจ ฉันเองก็เกือบลืมไปแล้ว!

 

      “  รู้ข่าว ว่า อ้าย  มา  ผมกะเพื่อน ต้องมาให้ได้ ”  เขาและพื่อนๆยิ้มตามแบบฉบับ   เราดีใจมากที่ได้พบกันอีก    

 

   “ อ้ายจำผมได้ไหม ที่อุทัยฯ  ผม ฝาแฝดสอง ไงคับ ”  โอ้ใช่แล้ว หนุ่มใจงามแฝดสองคนพี่น้อง ฉันยังประทับใจเขามาก เมื่อพบกันครานั้น

   “ ผม   คันทรี่  อินคา  ไงคับ “  เขาบอกชื่อใน face  book  แก่ฉัน    จึงถึงบางอ้อ    ครานี้เขาและน้องชายคู่แฝด มากับเพื่อนและคนรัก ของแต่ละคน   ช่างงดงามนัก…   พวกเขาบอกว่า จะออกไปหาอะไรกินหน่อย แล้วจะกลับมาหา   แล้วพวกเขาก็หายวับไป กับตา

 

                           ฉัน ลุกขึ้น เดินยืดเส้นยืดสาย     …   มีหนุ่มเข้ามาสวัสดี  อ้อ ศิลปิน หนุ่ม “ นิด   ลายสือ”   เจ้าของบทเพลง “ขุนเขายะเยือก” อันลือชา นั่นเอง ดีใจที่ได้พบเขาอีก…

                          “ อ้ายคับ   อ้าย ตู่ ตะวันฉาย อยู่ไหน ผมอยากพบ”

                          “ อยู่แถวๆ นี้แหละ คับ นิด  แล้วพี่จะบอกอ้ายตู่ให้นะคับ”

 

                                         - - -   รายการบนเวที เริ่มต้นแล้ว   โฆษก เชิญ        “  เดช  อัสดง”  ขึ้นเปิดเวที    ท่ามกลางเสียงปรบมือ  เพลงของเขาแต่งเอง ไพเราะแฝง ปรัชญา ข้อคิด  นักดนตรีก็เหมือนกับ นักวาดภาพ นักแสดง  กวี  นักเขียน  นักวิชาการ และ นักๆๆๆ ฯลฯ  ที่เขามีตัวตนของตนเอง   สร้างสรรค์งานด้วยจิตวิญญาณของตัวเอง

                    วงต่อไปเป็นวงของวงที่ซ้อม ณที่พักครูประวิทย์ ฉันต้องขอโทษที่ ไม่ได้ถามชื่อวง  แต่เป็นวงที่สมาชิกส่วนใหญ่ ทำงานกับ “มูลนิธิ สืบ  นาคะเสถียร”   แสดงได้ดีมากเช่นกัน  ถือว่าเป็นวงใหญ่ในงาน  ลีลาคึกคัก มีชีวิตชีวา เครื่องดนตรีครบเครื่อง  ก่อนที่พวกเขาจะเล่น เขาก็ต้อง ตั้งสายก่อน ให้เข้ากับเครื่องไฟฟ้า

 

              “     เอ   ทำไม  พวกเขาไม่ตั้งสาย มาจากบ้านนะ  มาถึงเวที ก้อ โซโล่เลย  ไม่ต้องเสียเวลา รอคอย ”   ฉันชอบแหย่คนเล่นแบบหน้าตาย   ทำเป็นพูดบ่นในกลุ่ม  ก้อหัวเราะกันเป็นกับแกล้ม  ในวงเราเริ่มได้ที่ม่วนกันแล้ว

 

               “ เออ หนูก็ว่า  วันหลังหนูจะบอกให้เขา”  ไอ้หนู   “ Ning   Srirungkan ”  ( หรืออาจจะเป็นใครสักคน ฉันก็จำไม่ได้แล้ว ที่พูด)       พูดพร้อมกับการหัวเราะครืน  ยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่ไป ตามๆกัน

 

 

 

                   _ - - -    “ ขอเชิญ อ้าย แสงดาว   ศรัทธามั่น  ขึ้นอ่าน บทกวี คับ ”  เสียงโฆษก ตะโกนเรียกออกไมค์    สอง  สาม ครั้ง   … ตายหล่ะ  ฉัน กำลัง ใส่ปุ๋ยยูเรีย ให้ต้นไม้ ข้างรั้วอยู่พอดี  รีบฉี่   เสร็จ    เก็บข้าวของ เข้ากระเป๋า   ลืมไปว่า ฉันต้องขึ้นเวทีร่วมกับ วงครูป้อ( ฟลุ๊ต)  และครูกิตติ ( ไวโอลิน)     และ อ้ายตู่  - ตะวันฉาย     เล่นกีร์ต้าผสาน  …  ฉัน รีบเดินสู่เวที  ต้องปีนเวทีที่มีกระไดเหล็กความชันประมาณ   แปดสิบองศา  แคบนิดเดียว (เขาคงคิดว่า ฉัน เป็นนัก  กายกรรม เก่า ยิ่งกว่า กายกรรม กวางโจ๋ว    ครูป้อ ยื่นแขนมาดึงมือ ฉัน  ขึ้นเวที

 

                   “  สวัสดีคับ พ่อแม่พี่น้อง ดีใจคับ ที่ได้มาร่วมงานที่มีคุณค่านี้ ในการช่วยกันดูแลรักษาธรรมชาติ วิถีชีวิตของชุมชน ของชาวบ้านเรา”

 

                          ฉั น   พูด ทักทาย ผู้มาร่วมงาน

 

                 “ อ่าา … บทกวี ที่จะอ่านนี้  มีทั้ง   เรท   อาร์  และ  เรท  เอ๊กซ์   คับ ”

                      

                      แล้ว ฉัน ก็อ่านบทกวี  Rate  R.  ก่อน… บทกวีชื่อ “  แผ่นดิน ถิ่น เกิด ” - - -

 

    “   ห่อ โข่  เลอ  เหย่อ    โอ๊ะ  พี  อี

          ปว่า  เกอะ  โอ  แพล่อ    อี  หลอ

             ปว่า   เม  ฮอ   ฮะ   กิ  ปา  เหน๋

         เป่อ   เต่อ   และ   หน่อ   ปู   บ่า

         เหม่   เลอ   ห่อ  โข่   เหม่  เปอ   ต๋า   หลอ  ”

 

             แผ่นดิน ถิ่นเกิด      เออ  กู จะอยู่ ที่นี่

           มาดแม้น มีคน จัญไรอัปรีย์

          มารุก   มาราน    มา ย่ำ   มายี

          กู ก็ จักไม่หนี       ไม่หนีไปไหน

 

                . . .  แผ่นดินถื่นเกิด          แผ่นดินของเรา

                   ป่า แม่ วงก์ ของเรา            ภูเขา ทะเล

                 เกลียวคลื่น กล่อมเห่             ตะวัน  โพล้ เพล้

                    เราไม่หันเห                       หยัดยืนทระนง

 

                      นั่น  สายธารน้ำไหล        สายลมโชย พลิ้วไหว

                   ดอกไม้ เบิกบาน

                                  มาเถิดพี่น้อง         มาร่วมร้อง ขับขาน

                                          บ ท เ พ ล ง แห่ ง ชั ย !

               เงิน  มี   มึง  ง้าง  …  ทองมี  มึง งัด

 

            กู มี มือ  หมัด              กำหวัดแก่วงไกว

                 มา เถิด พี่น้อง        ทั่วท้องถิ่นไทย

            กำหมัด  แน่นไว้           ปกป้อง ผืนดิน

                แผ่นดิน ถิ่นเกิด        แผ่นดินของเรา

          ป่า แม่วงก์ ของเรา     … แผ่นดินถิ่นเกิด @

 

 

                - - -“ ต่อไป กวี    Rate   X.  คับ   บทกวีชื่อ “ ด้วยมือเรา”…

 

               “ เมื่อ ร่วมแรง แบ่งเบา ภารกิจ      แสนยาก ก็ พิชิต ลงได้

   เมื่อ  จับมือกุมมั่น เดินกันไป              แสนไกล ก็ จัก เหมือนก้าวเดียว

          เมื่อมือ  มัด มือ แหละเท้าก็ก้าว           ทั้งห้วงหาว ก็ หวาดไหว          

เมื่อ มือ ผลัก  มือ ดัน แหละ ตีน ยันไว้        ถึงโขดเจิน เนิน ไศล ก็ ล้ม ระเนน”

                                                ( จาก บทกวี ของ “  ละไมมาศ   คำฉวี ”   ) 

 

                         “ ฝัน ถึง วันที่ดี มี ความหมาย

                  ก็ เลือนราง ห่างหาย บ่ มาหา

                 ฝัน ถึง ฟ้า ดิน เทวดา

                 ก็ เปล่า ดาย  ตายห่า ไปหมดแล้ว ! @

                ( จากบทกวีของ “ ประเสริฐ   จันดำ”)

 

                หาก เราฝัน ถึง สายรุ้ง สีสดสวย

                สายลมโชย  แผ่ว พลิ้ว บนโลกหล้า

                มี  สวนงาม ดอกไม้บาน  ละลานตา

                มวลประชาฯ สุขสันต์  นิรันดร์ไป

                      หลับตาฝัน  นั้น เห็นได้  ใช่ไหม เพื่อน

              ลืมตาตื่น   อาจลืมเลือน เคลื่อนคล้อย ได้

              มา ถักทอ สายฝัน ด้วย ดวงใจ

              สาน ศรัทธา ยิ่งใหญ่  ด้วย   มือ เ รา! @

                  ( แสงดาว   ศรัทธามั่น )

 

 

                          กล่าวขอบคุณพี่น้อง และนักดนตรีที่มาร่วมแจมกวีด้วยกัน   ฉันค่อยๆลงจากเวที  ทันใด “ อาจารย์  ศักดิ์สิน  เฉลิมลาภ  ” รีบวิ่ง มายื่นแขนพา ฉัน ลงจากเวที ปราบเซียน คงกลัวฉัน จะแสดงกายกรรม ตีลังกาโชว์   ณ ช่วงที่ไม่บังควรจะโชว์ ในตอนนี้  …  ขอบพระคุณอาจารย์ฯ มากคับ มา ณ ที่นี้ด้วย โอกาสดีๆ เราคงได้ ตำจอกกันอีก  เดินลงจากเวทีมา บอกอาจารย์ว่า รู้สึกเหนื่อย เหมือนกัน แต่ ก็ดีใจมากที่มาในงานนี้!

 

                  นั่งพักสักครู่  ก็เดินเที่ยว   ขณะผ่านกลุ่มคนหนุ่มสาวอีกกลุ่มหนึ่ง   มีหญิงสาว ร่างบอบบางน่ารัก ยิ้มทายทัก  เธอแนะนำตัว…

 

                       “ หนู  …” คนไม่ใช่ทำอะไรก็ผิด”  … ค่า ”  เธอบอกยิ้มๆ … อ๋อ  ฉันก็ดีใจ เพื่อนใน fb .  นี่เอง  ทักทาย คุยกันด้วยมิตรไมตรีกะน้องๆ แล้ว น้องๆก็ขอฉายภาพร่วมกัน  งดงามมากทีเดียว  เพื่อนมนุษยชาติทุกรุ่นวัยของฉัน

 

  • - -  วง “ ตะวันฉาย”  ลุยกะเพื่อนๆน้องๆ และผู้ฟังก่อนจากลา 

… และแล้ว  ความสนุกสนานน่ารักก็ บังเกิดขึ้น  … เมื่อมิตรสหายออกไปเริงร่าระฟ้อน  dancing  หน้าเวที  ฉันรู้สึกปิติในหัวใจก็ วาดลีลา ที่ไม่ค่อยได้เรื่อง พลิ้ว ตามเสียงเพลงไป ด้วย กะน้องๆ…. เอ๊า  ดึงแขนกันออกมา  ร่วมม่วนงันสันเล้า ฮาเฮกัน  เป็นภาพที่ประทับใจหนึ่ง  … ซักครู่ ต้องไปนั่งพัก เพราะความเป็นหนุ่มน้อย  มากเกินไป  นั่งดูน้องๆ เพื่อนๆ  เริงรำกัน ด้วยปิติสุข

 

                               - - -  บทเพลงบนเวที ใกล้จะ   Say  Good   Bye  แล้ว       ฉัน ขึ้นไปบนเวที บอกน้อง  “สุทพ และน้องตู่  - ตะวันฉาย  ”  ขอร้องเพลง  เพราะอยากร้องเพลงนี้ เพื่อปลุกใจ ให้กำลังใจพี่น้องชาวป่าแม่วงก์ ต่อสู่เรื่องการจะสร้างเขื่อนแม่วงก์  เขื่อน   God  Dam  อันอัปยศนี้  แล้วเราก็ร้องเพลง “ ลุกขึ้นสู้” ด้วยกัน!...

 

          “   รีบ ตื่นขึ้นมา     มองฟ้า มองดิน เก็บยอดกระถิน

หากินผักปลา      ทำไร่ไถนา   อยู่ป่าอยู่ดง

       อยู่มานมนาน    ลูกหลานเต็มนา   พวก เทวดา

มันตั้งหน้าสูบกิน…  วัว ควาย มันหาย   แรงกายคือสิน

ไม่มีพอกิน    หนี้สินเต็มนา

       ทำสิบได้ห้า    เหนื่อยล้าแทบตาย    แรงคนเหมือนควาย

แรงใจ โบยบิน… รอโชค ชะตา    รอฟ้า รอดิน ไม่มีพอกิน

หนี้สินเต็มนา …

       …  ลุกยืนขึ้นท้า     พวก ฟ้า พวก ดาว   

รวมใจที่ปวดร้าว   ปลิด ดาวลงดิน 

ไม่นานดอกหนา    เมฆ ฟ้า ทมิฬ

 กู จะล้างให้สิ้น   … ชีวิน จึงเบิกบาน @

 

            … ขอให้ ความรักอันงดงาม   ดำรงอยู่ในดวงใจจิตวิญญาณ ผองเพื่อนมนุษยชาติ เป็นนิรันดร์…

 

*   “  The  World  is  Our  Country

     All man  kind  are  Our       Brethren

     And  to  do Good  is Our  Religion”

 

        “  โลก นี้ คือประเทศ ของเรา

    เพื่อน พี่น้องมนุษยชาติทุกคน คือ ญาติ พี่น้อง ของเรา

      และ  การทำความดี  คือ  ศาสนา  ของเรา! ”

 

          WE    LOVE    YOU !!! @

++++++++++++++++++++++++

 

  *  หมายเหตุ : ถ้อยวลีนี้   ฉั น จำได้ขึ้นใจ ตั้งแต่ นุ่งกางเกงขาสั้นสีกากี เรียนอยู่ในชั้นมัธยม … ขอบอกชื่อโรงเรียน เพื่อเป็นเกียรติให้โรงเรียนในอดีตของ ฉั  น   หน่อย    ที่สอนให้ ฉัน และเพื่อน มีใจ  “นักเลง”   ( มิใช่ “ใจอันธพาล” ที่รุกรานกดขี่ เผด็จการเขาไปทั่ว ฯลฯ) รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ผู้คน เพื่อนฝูง  ช่วยเหลือผู้อื่น ไม่เห็นแก่ตัว ฯลฯ … โรงเรียนของฉันชื่อ “โรงเรียน บูรณศักดิ์วิทยา”   เป็นโรงเรียนราษฏร์ ที่ได้ชื่อว่าเป็นโรงเรียนที่มีนักเรียน เกเรที่สุดในเชียงใหม่(แต่ต้องรู้จักเกเร   ขบถ ในสิ่งที่ไม่ถูกต้องเป็นธรรม ฯลฯ) .. ปรัตยุบัน โรงเรียน ยุบเลิกไปนานแล้ว  … ขอขอบพระคุณครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนให้เราเป็น “คนดี” (ต้องเป็น “คนดี” จริงๆ  มิใช่ “คนดี” ในระบบ ที่กดจิตวิญญาณคน ให้หงอต่อความอยุติธรรม ไม่กล้าสบสายตาสู้เผด็จการทุกสายพันธุ์!  แล้ว ก็จะถูก พวก  “ คนดี” ในระบบเจ้าขุนมูลนาย ยกย่องว่าเป็น “คนดี” ในสังคม อัน โคตร ค่อนข้าวมีเกลื่อนกล่น ในปฐพี แห่งนี้!)

๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙

ฤดูหนาว , วันอังคาร ที่ ๑๕  มกราคม ๒๕๕๖, ขึ้น ๔ ค่ำ  เดือน ๒

     ล้านนาอิสระ เจียงใหม่.

 

 

 

                                

 

                  

 

                           

 

 

                              

บล็อกของ แสงดาว ศรัทธามั่น

แสงดาว ศรัทธามั่น
 *--*--*{ กาพย์”ลุกขึ้นสู้” }
แสงดาว ศรัทธามั่น
{  กลอนเปล่าอิสรา  }@  ลมหนาวเหนือ พัดโชยมา…ยามต้องไล้ผิวกายร้อนที่รุ่มก็คลายกลิ่นอายเหมันตฤดู …ไม่รู้ลืม @
แสงดาว ศรัทธามั่น
 
แสงดาว ศรัทธามั่น
 ***** --*-- ***** --*-- *****@   “  ฮา  ติง จัง…จังคนมีอำนาจล้นฟ้า  แต่รังแก คนยากไจ้ อำนาจ แบบ ต๋ามใจ๋ เขา “น้องสาว  ผู้ดีงาม ใจงาม ของฉัน  แล ของโลกชีวิต อีกคนหนึ่ง