โขงเจียมคือชื่ออำเภอหนึ่งของจังหวัดอุบลราชธานี อันเป็นที่รู้จักกันดีว่า เป็นเมืองที่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นก่อนใครในสยามเพราะอยู่ทิศตะวันออกสุดของประเทศ และยังเป็นที่รู้จักอีกในฐานะที่มีแม่น้ำสายสำคัญของอีสานสองสายมาบรรจบคือแม่น้ำมูลและแม่น้ำโขง จุดที่บรรจบกันนั้นเรียกกันอย่างไพเราะว่า แม่น้ำสองสี โขงสีขุ่น มูลสีคราม (แต่ตอนนี้ขุ่นทั้งคู่ หากอยากเห็นมูลสีครามน่าจะเป็นช่วงหน้าแล้ง)
โขงเจียมมีฐานะเป็นอำเภอ แต่อำเภอนี้เล็กเหมือนหมู่บ้าน
ค่ำมาราวสักสองทุ่มก็เงียบแล้ว บางบ้านเข้านอน บางบ้านอาจจะยังนั่งพูดคุยกันอยู่หน้าบ้าน แต่คุยกันอย่างเงียบๆ ไม่กระโตกกระตาก สงบดีเหลือเกิน เพราะร้านค้าที่มีเสียงเพลงอยู่นอกเขตชุมชน ซึ่งอาจโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามที่ทำให้ร้านอาหารที่มีดนตรีเล่นเพียงร้านเดียวของอำเภอไปตั้งริมสะพานนอกเมือง มันจึงกลายเป็นการแบ่งโซนที่อยู่อาศัยอย่างถูกที่ถูกทางที่สุด
โขงเจียมเป็นเหมือนหมู่บ้าน ฉันเคยพูดประโยคนี้กับรุ่นน้องที่อาศัยอยู่แถวนี้มานาน เขาบอกว่า ถูกแล้ว เพราะโขงเจียมแต่ก่อนไม่ได้ชื่อนี้ แต่ที่นี่เรียกกันว่า บ้านด่าน เคยดูไหม หนังเรื่องมนต์รักแม่น้ำมูล พระเอกเป็นคนบ้านด่าน ส่วนนางเอกเป็นคนบ้านแพ ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำมูลเรียกว่า บ้านแพ
อ้อ! ฉันพยักหน้าเข้าใจขึ้นมาก ถึงว่าโรงเรียนประถมของที่นี่มีชื่อว่าโรงเรียนบ้านด่าน
แต่ก่อนโขงเจียมไม่มีสะพานข้ามไปบ้านแพ จะมีก็แต่แพขนานยนต์ให้บริการข้ามฟากไปมา สะพานเพิ่งจะมาสร้างพร้อมกับเขื่อนปากมูลเพื่อรองรับความเจริญหลังการมีเขื่อน ร้านคาราโอเกะเพิงหมาแหงนเกิดขึ้นครั้งแรกก็เพื่อรองรับแรงงานก่อสร้าง จากนั้นก็เพิ่มมาเป็นสี่ห้าร้าน อย่างที่เห็น
อ้อ! ความเข้าใจของฉันเลยยิ่งมีมากขึ้น ถึงว่าสิ ร้านค้าที่มีเสียงเพลงเลยอยู่แถวนี้กัน
ส่วนในเมืองจะมีรถเข็นก๋วยเตี๋ยว อาหารตามสั่ง ที่เป็นร้านเฉพาะกิจพอให้ได้เห็นป้ายร้านเป็นสีสันอย่างโต้รุ่งเพียงสี่ห้าร้าน หรือจะให้ดีหน่อยเป็นร้านอาหารริมน้ำ หรือร้านอาหารที่เงียบๆ อยู่ในตัวบ้าน ไม่มีเสียงเพลง แบบนี้พอจะมีอีกสักสี่ห้าร้าน แต่ส่วนใหญ่สองสามทุ่มก็ปิด
ฉันเคยขำๆ ที่ครั้งหนึ่งพี่ๆ จากกรุงเทพฯ แวะมาเที่ยวศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้าน พอสักสองทุ่มประชุมกันเสร็จก็พากันหิวและชวนกันขับรถไปหาอะไรกินในตัวเมืองโขงเจียม
พอกลับมาคนขับรถร้องลั่นพร้อมเสียงหัวเราะ
“โอ้! โขงเจียม มันช่างเต็มไปด้วยแสงสี คึกคักอึกกระทึกครึกโครมจริงๆ”
ทุกคนพากันหัวเราะ บุญแค่ไหนแล้วที่ยังพอมีร้านค้าให้ได้สั่งอาหาร
และอีกประเด็นหนึ่งที่พี่คนขับรถหัวเราะงอหาย ขำที่ตัวเองนึกไม่ถึง
“โขงเจียมไม่มีเซเว่นฯ”
พี่แกขับรถวนไปมาเห็นแต่ความมืด ความเงียบ ประตูบ้านช่องปิดกันเสียส่วนใหญ่ แกไม่เคยชินเอาเสียเลย และไม่ใช่ไม่ชอบ แกชอบมาก แต่แกนึกไม่ถึงว่าเมืองนี้จะเป็นอย่างนี้
ชื่อเสียงของโขงเจียมเป็นสิ่งที่ทำให้คนคิดว่าที่นี่เป็นเมืองใหญ่ เป็นเมืองท่องเที่ยว ก็น่าจะมีสถานบันเทิง มีที่อำนวยความสะดวกเยอะๆ แต่ผิดคาด
เคยมีคนบอกว่าสาเหตุที่โขงเจียมไม่มีเซเว่นฯ เพราะมีคนมาทำการวิจัยเรื่องจำนวนคนแล้ว คนอาศัยที่นี่น้อยเกินไป การจับจ่ายก็น้อยเกินไป มันไม่คุ้มต่อการเปิด ไม่เหมือนกรุงเทพฯ แค่ถนนซอยเดียวยังมีเซเว่นฯ ถึงสามสี่ร้าน
เหตุผลอันนี้จริงเท็จประการใด ข้าพเจ้าไม่ขอคอนเฟิร์ม แต่ก็เห็นแนวโน้มอย่างนั้นจริงๆ โดยเฉพาะวิถีชีวิตที่ค่ำมาปิดบ้านนอนนี่ มันมองไม่เห็นความจำเป็นเลยว่าจะต้องไปเปิดร้านตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงทำไม
และนี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่เมื่อฉันมาอยู่แถวนี้แล้วจะต้องปรับตัวเรื่องการจับจ่ายเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากดึกมาไม่มีร้านเซเว่นฯ ให้ผลักเข้าออกตามต้องการแล้ว ตลาดเช้าที่นี่ก็วายเร็ว แถมมีช่วงเช้าช่วงเดียวเท่านั้นแหละ ไม่มีเปิดตลอดวัน และไม่มีตลาดเย็นด้วย
เอ้อ! มันเป็นเมืองที่จะว่าแปลกก็แปลก จะว่าไม่แปลกก็ไม่แปลก
เดี๋ยวตอนหน้ามาว่ากันถึงเมืองโขงเจียมกันอีกสักตอนสองตอน เนาะพี่น้องเนาะ!