Skip to main content

 

สวัสดีครับ.. ณฐาภพ สังเกตุ เรียกผมสั้นๆว่าพจน์ก็ได้ครับ ผมเป็นเด็กหนุ่มอายุ22ปี เพิ่งจบการศึกษาก็ตามประสาเด็กจบใหม่ช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาที่ผมกำลังค้นหาตัวเองว่าแท้จริงแล้วผมรักที่จะเป็นสิ่งใดและต่อไปผมจะประกอบอาชีพใดมีคนเคยบอกผมว่าสิ่งที่เรารักนั้นมาจากสิ่งที่เราทำโดยไม่ต้องให้มีใครมาสั่ง หรือเราทำมันได้ดีมากๆตั้งแต่เด็กแต่เราหลงลืมมันไป สำหรับผมมีอยู่สองสิ่งครับที่ผมสามารถทำมันโดยไม่ต้องให้ใครมาสั่งและทำมันได้ดีมาตั้งแต่เด็กๆสองสิ่งนั่นก็คือ“การเดินทางกับการเขียน”

ผมขอเริ่มกันที่การเขียนก่อน ตั้งแต่สมัยประถมผมเป็นเด็กที่มีผลการเรียนปานกลาง ผมไม่เก่งเลข ไม่เก่งวิทยาศาสตร์ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมทำมันได้ดีไม่แพ้ใครคือการเขียนเรียงความ ผมจำได้เสมอว่าทุกวันสำคัญ ทางโรงเรียนของผมจะมีการประกวดเขียนเรียงความ ผมสามารถเขียนพรรณนาในเนื้อเรื่องต่างๆได้เป็นหลายหน้า และก็มีหลายครั้งที่เรียงความของผมมักถูกคัดเลือกให้ได้ติดที่บอร์ดประจำโรงเรียนสำหรับเด็กที่ไม่ได้ฉลาดมากมายอย่างผม การเขียนเรียงความเป็นความภาคภูมิใจเพียงไม่กี่อย่างที่ผมจำได้เสมอมา และรางวัลที่เป็นความภาคภูมิใจที่สุดสำหรับผม คงเป็นการได้รางวัลชมเชยอันดับ1ของประเทศจากการแข่งขันเขียนกระทู้ธรรม ในรายการ “ธรรมมะทางก้าวหน้า”

ทักษะการเขียนยังคงติดตัวผมมาตลอดโดยที่ ผมไม่เคยรู้ตัวจนถึงช่วงเข้ามหาลัย ในเวลาสอบผม มักจะโดนเพื่อนๆแซวเสมอว่า“พจน์มึงจะเขียนอะไร เยอะแยะ เปลืองกระดาษ” ผมยิ้มรับด้วยความภูมิใจ สำหรับผมการที่มีปากกากับกระดาษเปล่าๆให้ผม มันเหมือนการพาผมไปอีกโลกหนึ่งที่ผมสามารถขีดเขียนโลกใบนี้ด้วยตนเองเพราะการเขียนบอกเล่าเรื่องราวไม่มีผิด มีถูก มีแต่มุมมองความคิดของเราต่อเรื่องๆนั้นว่า เรารู้สึกอย่างไร ดังนั้นผมจึงไม่เคยอายที่จะเขียนความรู้สึกของผมลงไปในโจทย์นั้นที่ใครเป็นคนถามผมมา ในช่วงการสอบมหาวิทยาลัยวิชาที่มีข้อเขียนมันเหมือนสวรรค์ของผมที่เพื่อนๆคนอื่นมักจะบ่นอยู่เสมอ แต่สำหรับผม ผมมักจะทำมันได้ดีและต้องขอกระดาษเพิ่มจากอาจารย์คุมสอบทุกครั้งไปและผมก็สามารถเรียนจบปริญญาตรีด้วยผล เกียรตินิยมอันดับที่1ซึ่งผลของความสำเร็จนี้ก็คงมาจากทักษะการเขียนและการอ่านของผมนั่นเอง

          มาถึงอีกสิ่งหนึ่งที่ผมทำโดยไม่ต้องรอ ให้ใครมาสั่งนั่นก็คือการออกเดินทาง ผมมักจะ หาโอกาสเดินทางไปในที่ต่างๆที่ผมไม่เคยไป และทุกครั้งที่ผมไป ก็มักจะได้อะไรใหม่ๆกับมาด้วยเสมอ ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรม การใช้ชีวิต ทัศนคติ และเพื่อนใหม่ๆตลอดการเดินทาง ผมเริ่มออกเดินทางด้วยตนเองตั้งแต่สมัยเรียน ปวช ผมจำได้ดีว่าตอนนั้นนั่งรถไฟฟรีไปเที่ยวทะเลชะอำเป็นครั้งแรก การเดินทางด้วยตนเองในครั้งนั้นมันเหมือนเป็นการเปิดโลกใหม่ให้แก่ผม ผมรู้สึกถึงความอิสระ ที่เราต้องรอให้ใครมาสั่งมา บงการ และหลังจากออกเดินทางในครั้งนั้น ผมก็หลงรักการเดินทางด้วยรถไฟเสมอมา เหตุผลที่เลือกรถไฟเพราะผมมองว่า มันปลอดภัย และสองข้างทางมันคือสิ่งล้ำาค่า ผมมักเห็นสถานที่ สวยๆ บรรยากาศดีๆได้จากสองข้างทางรถไฟ อีกทั้งบรรยากาศในรถไฟก็ให้รสชาติชีวิตที่ดีมาก ผมเห็นคนจากหลากหลายอาชีพ อายุเชื้อชาติ วัฒนธรรม รถไฟคือสิ่งมหัศจรรย์ที่รวมคนจากทุกแห่งหนมาสู่จุดหมายของแต่ละคน บางทีผมก็คิดนะ รถไฟก็เหมือนเส้นทางชีวิต เราแต่ละคนมีจุดหมายที่ต่างกัน แต่เราก็ต้องมาร่วมทางกันแบ่งปันอาศัยซึ่งกันและกัน จุดหมายบางคนก็ใกล้ จุดหมายบางคนก็ไกลแสนไกล แต่ สุดท้ายรถไฟก็พาเราไปถึงจุดหมายทุกคนแต่สำหรับผมรถไฟไม่สามารถส่งผมถึงจุดหมายได้ มันส่งผม ได้แค่กลางทาง เพราะจุดหมายการเดินทางของผมแต่ละครั้งมักอยู่ที่สูงๆบนภูเขา ใช่แล้วครับการได้เดินทางขึ้นไปบนภูเขา ตามยอดดอย คือสิ่งที่ผมชอบ มันคือสิ่งที่ทำให้ผมได้อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติและได้พักผ่อนเพิ่มพลังให้กับตัวเองอย่างแท้จริง และผมก็ตั้งใจไว้แล้วว่าชีวิตนี้ผมจะต้องไปพิชิตให้ได้ในทุกยอดดอยหรือทุกอุทยานแห่งชาติทุกแห่งทั่วไทย

 

          แต่ ณ วันนี้ผมมักจะคิดกับตัวเองอยู่เสมอทุก วันว่า เราจะทำอะไร เป็นอะไรในอนาคตที่สามารถมีรายได้เลี้ยงดูครอบครัวและเราทำมันด้วยความสุข สำหรับผม ณ ตอนนี้ ผมว่ามันเป็นอะไรที่ท้าทายผมมากเลยนะ และผมก็ยังคิดไม่ออก ผมรู้แต่เพียงว่าหากมีโอกาสใดเข้ามาผมต้องลองคว้ามัน และผมจะต้องไม่หยุดที่จะเรียนรู้ในทุกครั้งที่มีโอกาส ผมก็จะอ่านหนังสือ ออกเดินทาง และหากิจกรรมเข้าร่วมอยู่เสมอ เพราะผมก็หวังแค่เพียงว่า ในวันวันใดวันหนึ่งข้างหน้านี้ ผมคงจะพบตัวตนของผมที่มันทำให้ผมหลงรักและทำมันออกมาได้ดีที่สุดและผมก็หวังว่ากิจกรรม“นักเล่าเรื่องในที่อื่น” อาจเป็นกิจกรรมที่ทำให้ผม ค้นหาตัวตนที่แท้จริงของตนเองออกมาได้ และหากมีโอกาสผมจะทำมันออกมาให้ดีที่สุด

 

“โลกใบนี้เปรียบเหมือนหนังสือเล่มใหญ่และคนที่ไม่เคยเดินทางเลย

เปรียบเหมือนคนที่อ่านหนังสือเพียงหน้าเดียว”

                                                - เซนต์ ออกัสไตน์-         

 

 

บล็อกของ Storytellers

Storytellers
          ความว่างเริ่มเข้ามาในหัวสมองเมื่อผมกลับมาจากการตกปลาได้สักพักหนึ่ง มันส่งเสียงบอกผมว่า “เห้ย!นายต้องหาอะไรทำได้แล้วนะ”พร้อมนึกขึ้นได้ว่า เรานัดคุยกับคุณตาไว้นี่ผมไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปบ้านคุณตา คุณตากำลังสานตะกร้าจากไม้ไผ่ไว้ใช้เองอยู่คุณตาเห็นผมด้วยท่าทางทีใจ รี
Storytellers
          เป็นค่ำคืนที่หัวถึงหมอนแล้วรู้สึกอีกทีคือตอนตื่น ผมตื่นมาอย่างตื่นเต้นเตรียมพร้อมที่จะเดินขึ้นไปดูทะเลหมอกแต่มองออกไปก็เจอแต่ความมืดมิดของค่ำคืนที่ไม่มีไฟฟ้าและก็ไม่เห็นจะมีใครตื่นมากับเรา ในใจตอนนั้นถามว่าให้เดินขึ้นไปคนเดียวกล้าไหม ก็คงตอบอย่างมั่นใจว่าไม่กล้า
Storytellers
          พระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าเหล่านกกาบินร้องกลับรังก็ได้เวลาที่เรากลับมาที่โรงเรียน เพื่อเตรียมทำกับข้าว ซึ่งก็มีออเดิร์ฟมาเสิร์ฟเราถึงที่ เป็นหัวปลีคลุกเคล้ากับเครื่องปรุง ทอดกรอบๆ พูดแล้วก็อยากทานอีก เพราะรสชาติมันช่างกลมกล่อมลงตัวเป็นอย่างมาก โดยแม่ครัวใหญ่ของอาห
Storytellers
          เรานั่งรอคุณครูซามารับประมาณเกือบๆ 2 ชม.เพราะวันนี้ทางโรงเรียนติดส่งแขกที่เข้ามาบริจาคสิ่งของ แล้วรถของคุณครูก็มาถึงเป็นรถโฟวิลยกสูงคันใหญ่ ที่ขับมาโดยเด็กหนุ่มหน้าตาอย่างกับบอยแบรนด์เกาหลี ผมสวัสดีทักทาย ในใจก็คิดว่าสงสัยครูซาคงให้ลูกศิษย์ขับรถมาแทน แต่ก็ไม่ใช่
Storytellers
          เสียงนาฬิกาปลุกปลุกผมให้ลุกจากที่นอนรีบไปอาบน้ำ ผมสะพายเป้ ออกจากบ้านด้วยอารมณ์เรียบเฉยต่างจากวันก่อนที่อยากไปมากอย่างสิ้นเชิง คงเป็นเพราะบรรยายกาศที่มีฝนตกปรอยๆ และข้อมูลการเดินทางที่มีน้อยมาก มันเลยทำให้ผมไม่ได้คาดหวังอะไรมากจากการเดินทางครั้งนี้ผมนัดเจอกับชาต
Storytellers
หลังจากจบกิจกรรมในวันแรกเราทุกคนต้องนอนค้างด้วยกันและเช้าวันรุ่งขึ้นผมต้องรีบแหกขี้ตาขับรถกลับบ้านเพื่อแต่งตัวไปทำงาน ในขณะที่เพื่อนๆคนอื่นเตรียมตัวออกเดินทางโดยตลอดการเดินทางเราจะใช้ “APP C –Site”เพื่อติดตามเรื่องราวของกันและกัน ความรู้สึกที่เราต้องนั่งหงอยๆทำงานอยู่หน้าคอมทั้งที่เพื่อนคนอื่นออก
Storytellers
          ชีวิตในเมืองเต็มไปด้วยความวุ่นวายเร่งรีบของใครคนหนึ่ง โดยไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วเขาต้องการอะไรจากเมืองกรุงแห่งนี้จนเลื่อนมือถือไปๆมาๆเจอโพสหนึ่ง “เปิดรับเยาวชนนักเล่าเรื่องที่สนใจจะไปเที่ยว!
Storytellers
ก่อนได้ไปลงพื้นที่ที่สะเนพ่องเราได้ไปค่ายนักเล่าเรื่องในที่อื่น(Storytellers in Journey) ที่มูลนิธฺเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีปซึ่งทำให้เราได้เจอกับพี่ๆหลายๆคนและทุกๆคนน่ารักมาก แต่ในระยะเวลาที่เราได้อยู่ค่ายนั้นมันมีแค่ 2 วันคือวันที่7-8 พฤศจิกายน พ.ศ.2561 แล้วในตอนนั้นผมก็ยังมีโครงการของผมที่ยังต้องไ
Storytellers
บัติ-ใจ-สู้  สามคำที่อยากแนะนำตัวเองให้ทุกคนได้รู้จัก  “บัติ”  มาจากชื่อจริงชื่อ  สมบัติ  แก้วเนื้ออ่อน  “ใจ”  มาจากสิ่งที่เริ่มทำในชีวิตส่วนใหญ่มักเริ่มต้นมาจากความรู้สึกที่เกิดขึ้นผ่านใจ  ถ้าใจอยากทำ  ยังไงก็จะทำต่อไปจนสำเร็จให้ได้  ส่
Storytellers
ต่างคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า การเดินทางคือการซื้อประสบการณ์ที่ได้รับเงินทอนเป็นความสุข เป็นคำพูดที่มีความจริงเจือปนอยู่เป็นจำนวนมากแต่บางครั้งเงินทอนที่ได้รับอาจจะมาในรูปแบบที่โหดร้ายได้เหมือนกัน เพราะการเดินทางไปในแต่ละที่มักจะได้ประการณ์ที่ไม่เหมือนกัน และนี่ก็เป็นอีกประสบการณ์ที่ไม่รู้ว่า
Storytellers
          ผมได้เข้าร่วมโครงการ Storytellers in journey ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้ผมได้ออกเดินทางไปเรียนรู้อะไรใหม่ตามที่ต่างๆ และผมได้มีโอกาสเดินทางไปยังบ้านปลาบู่ จังหวัดหมาสารคาม เพื่อไปดูการจัดการธุรกิจแบบ Social Enterprise เพราะผมได้รู้มาว่าที่นั้นมีการทำธุรกิจแบบ