Skip to main content

 

        มือทั้งสองข้างของฉันชุ่มเหงื่อไปหมด ไม่ใช่แค่ที่มือหรอก แต่ทั้งตัวเลยต่างหาก ฉันพูดกับตัวเอง  ในใจว่า 'นี่ฉันมาทำอะไรอยู่ตรงนี้' พลางมองลงไปข้างล่างที่มีแต่บรรดาต้นไม้เขียวขจีแผ่ปกคลุมผืนดิน ตอนนั้นฉันอยู่สูงกว่าต้นไม้กี่ฟุตก็ไม่ทราบได้ แต่ที่แน่ๆ ฉันต้องรีบไปแล้ว เพราะฉันเป็นคนสุดท้าย เพื่อนอีกสามคนก็ไปถึงจุดหมายกันเรียบร้อยหมดแล้ว ฉันกำลวดสลิงในมือแน่นพร้อมนับ 1 2 3 ในใจ แล้วก็พุ่งตัวออกไปไขว่คว้าประสบการณ์ใหม่.... การกระโดดหอครั้งแรกของฉัน

          เมื่อช่วงเดือนกรกฎาคม ถึง สิงหาคม ปี พ.ศ. 2560 ฉันมีโอกาสได้ไปเรียนภาษา หลักสูตรระยะสั้นที่เมืองปีนัง ประเทศมาเลเซีย เมื่อใกล้ถึงกำหนดวันกลับ ฉันกับเพื่อนๆ ก็เพิ่งรู้ตัวว่ายังไปเที่ยวตามแผน     ที่วางไว้ไม่ครบ เพราะวันๆ เรามัวแต่ตระเวนเสาะหาเมนูเด็ดของปีนังกันอย่างเดียว จนไม่รู้เลยว่าที่นั่นยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมาก หนึ่งในนั้นคือ "Escape Adventureplay" สวนสนุกแนวผจญภัยสำหรับขาลุยนั่นเอง!                                                                    

          ฉันกับเพื่อนๆ อีก 3 คนตัดสินใจไปกันในวันหยุดสุดสัปดาห์ ออกจากที่พักตั้งแต่ 8 โมงเช้า แล้วตรงไปขึ้นรถเมล์สาย 101 หรือ 102 ค่ารถราคา 4 ริงกิต (40 บาท) เมื่อซื้อเสร็จแล้วก็เก็บตั๋วไว้เพราะสามารถนำไปใช้ขอคืนเงินได้ตรงทางเข้าสวนสนุก เท่ากับว่าได้นั่งรถเมล์ฟรีนั่นเอง เมื่อนั่งไปจนสุดสายก็ถึงที่หมาย   พวกเราเข้าไปซื้อตั๋วกับเจ้าหน้าที่ โดยตั๋วจะมีตั้งแต่แบบ 1 วัน คือสามารถอยู่ได้ตั้งแต่เวลา 10.00 - 18.00 น. และแบบ 2 - 3 วันสำหรับคนที่ต้องการที่จะตั้งแคมป์ค้างคืน แต่พวกเราเลือกแบบ 1 วัน ราคาคนละ 83 ริงกิต หรือเกือบๆ 830 บาทของไทย แต่หากใครมีบัตรเครดิตก็สามารถซื้อตั๋วล่วงหน้าผ่านระบบออนไลน์ของเว็บไซต์สวนสนุกได้เช่นกันค่ะ จะได้ราคาที่สบายกระเป๋ากว่าเพราะจะได้ส่วนลด 10 - 20 ริงกิต        แต่เนื่องจากกลุ่มของฉันไม่มีใครมีบัตรเครดิต ทำให้ต้องมาซื้อตั๋วด้วยตัวเองแทน                                  นอกจากนี้ ภายในยังมีตู้ล็อคเกอร์ฝากสัมภาระส่วนตัวให้ใช้บริการอีกด้วย โดยจะมีเครื่องให้กดซื้อ ราคาล็อคเกอร์ละ 10 ริงกิต แล้วจะได้รหัสมา จากนั้นให้เราไปที่ตู้ว่าง พอใส่รหัสปุ๊บตู้      ก็เปิดปั๊บ ทีนี้ต่างคนก็ต่างก็ใส่สัมภาระของตัวเองเข้าไป     

          พวกเราเข้าไปใน Escape Adventureplay ประมาณ 10 โมงกว่าๆ และได้ไปเริ่มฐานแรกที่มีชื่อว่า "Monkey Business" พอเห็นแล้วก็ถึงกับร้องอ๋อ ว่าทำไมเขาถึงใช้ชื่อว่า Monkey เพราะอุปกรณ์เครื่องเล่นต่างๆ เป็นเหมือนการจำลองให้ผู้เล่นเป็นลิงนั่นเอง มีทั้งการไต่เชือก โหนตัว ไต่ท่อนซุง และอื่นๆ อีกมากมาย โดยจะแบ่งเป็น 3 ระดับ ตั้งแต่ง่ายที่สุดไปจนถึงยากที่สุด และไม่ต้องกลัวว่าหากติดอยู่ข้างบนจะไม่มีใครช่วย เพราะทางสวนสนุกมีทีมงานไลฟ์การ์ดที่พร้อมให้ความช่วยเหลือผู้เล่นเสมอ ฉันลองเล่นไป 2 ระดับด้วยกัน คือระดับง่ายกับระดับปานกลาง ระดับง่ายไม่ยากเท่าไรนักเพราะเขามีไว้รองรับเด็กๆ ที่ชอบการผจญภัยแบบผาดโผน แต่พอได้เล่นระดับปานกลาง ฉันก็ได้สัมผัสถึงความยากแบบก้าวกระโดด ต้องฉีกแข้งฉีกขาและใช้พลังช่วงแขนกับขาเป็นอย่างมากมาก กว่าจะผ่านมาได้ก็เล่นเอาเหงื่อซ่กไปตามๆ กัน

        หลังจากที่อุ่นเครื่องกับ Monkey Business กันแล้ว พวกเราก็มาเพิ่มระดับความตื่นเต้นด้วยเครื่องเล่นที่มีชื่อว่า "Atan's Leap" เป็นการกระโดดลงมาจากหอที่ความสูง 12 เมตร กับ 20 เมตร ผู้เล่นสามารถเลือกได้ว่าต้องการความสูงระดับไหน เครื่องเล่นนี้จะไม่เหมือนกับบันจี้ จัมพ์ เพราะเป็นการกระโดดลงมาตรงๆ ไม่ได้มีการห้อยหัวแต่อย่างใด ตอนขึ้นไปถึงข้างบน ขาฉันก็เริ่มสั่น บอกเพื่อนๆ ว่ากลับลงไปตอนนี้จะทันไหม แต่เพื่อนๆ ใจเด็ดทุกคน และช่วยกันรั้งฉันให้เล่นจนได้ พอได้เล่นกระโดดลงมาจริงๆ กลับไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดเลยค่ะ เพราะเราไม่ได้กระโดดตามแรงโน้มถ่วง แต่เป็นการกระโดดโดยมีเครื่องควบคุมสายสลิงเอาไว้ไม่ให้เร็วจนเกินไป พอลงไปแล้วต้องกลับขึ้นไปเล่นอีกรอบเพราะสนุกเกินคำบรรยายจริงๆ

          จนกระทั่งเวลาที่อาทิตย์ส่องแสงตรงกับศีรษะ ท้องของแต่ละคนก็เริ่มร้องโครกครากบอกเป็นสัญญาณให้พักรับประทานมื้อเที่ยง พวกเราจึงพากันมุ่งตรงไปยังศูนย์อาหาร บริเวณศูนย์อาหารมีร้านรวงอยู่ประมาณ 6 - 7 ร้าน มีทั้งอาหารพื้นเมืองของประเทศมาเลเซีย และอาหารฟาสต์ฟู้ด ส่วนเครื่องดื่มก็มีให้เลือกหลากหลาย ทั้งน้ำเปล่า น้ำอัดลม น้ำผลไม้ หลังจากที่รับประทานมื้อเที่ยงและทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ตรงไปยังกิจกรรมที่นักเรียนไทยคุ้นเคยที่สุดอย่าง "Flying Lemer" นั่นก็คือการกระโดดหอนั่นเอง แต่การกระโดดหอของที่นี่ไม่เหมือนที่อื่น เนื่องจากมีระยะทางที่ยาว และสูงมาก  ผู้เล่นจะได้เชือกที่เป็นลวดสลิงพร้อมตัวล็อคคนละ 1 เส้นจากนั้น จะต้องเดินไปตามเส้นทางที่เขากำหนด คล้ายๆ การเดินป่าขึ้นไปตามจุดต่างๆ แล้วก็โหนไปเรื่อยๆ สลับกับการเดิน ดังนั้น หากผู้เล่นตัดสินเล่นแล้วจะหันหลังกลับมาไม่ได้เด็ดขาด เพราะตัวล็อคของเราจะล็อคติดกับราวข้างบน เหมือนกับเราเป็นไม้แขวนเสื้อที่ไม่สามารถดึงออกจากราวได้ เส้นทางจะค่อยๆ ไล่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนมาถึงจุดที่สูงที่สุด หากถามว่าสูงแค่ไหน ฉันขอตอบว่าสูงกว่า Atan's Leap ที่เล่นไปก่อนหน้านี้ แต่สูงกว่าต้นไม้ขึ้นไปกี่ฟุตก็ไม่อาจทราบได้ ตอนที่จะเดินไปยังจุดกระโดดที่สูงที่สุด จะต้องเดินบนตาข่ายที่เป็นเหมือนกับสะพานให้เราข้ามไป    ซึ่งระยะทางค่อนข้างยาว บวกกับความสูงที่เราสามารถมองเห็นเบื้องล่างได้ เล่นเอาทำให้อกสั่นขวัญแขวนไปตามๆ กัน เมื่อไปถึงจุดที่ต้องกระโดด ฉันกลัวมาก ทั้งเหงื่อออก ทั้งขาสั่น แต่พอได้โหนตัวลงมาเท่านั้น  กลับรู้สึกว่านี่เป็นประสบการณ์ที่ดีและคุ้มค่าที่สุดของการมาครั้งนี้ สิ่งที่มองเห็นหลังจากโหนตัวลงมาคือบรรยากาศของธรรมชาติรอบด้าน มีสายลมเย็นๆ ปะทะใบหน้า มีทิวทัศน์ที่สวยงามสุดลูกหูลูกตา ช่วงเวลานั้นฉันรู้สึกราวกับเป็นนกตัวเล็กๆ ที่กำลังทะยานสู่ท้องฟ้า นกที่เลือกจะสลายเกราะแห่งความกลัวแล้วออกไปเผชิญหน้ากับโลกกว้าง

ดวงอาทิตย์ค่อยๆ คล้อยต่ำลงอย่างช้าๆ บ่งบอกว่าถึงเวลาที่จะต้องยุติการผจญภัย ถึงเวลาที่เราต้องลาจากสถานที่แห่งประสบการณ์แห่งนี้ ขอบคุณที่สามารถเปลี่ยนนักเรียนธรรมดาๆ อย่างฉันให้กลายเป็น 'นักลุย' ได้ แล้วเจอกันใหม่นะ... Escape @ปีนัง  

 

 

 

 

 

 

 

บล็อกของ Storytellers

Storytellers
          ความว่างเริ่มเข้ามาในหัวสมองเมื่อผมกลับมาจากการตกปลาได้สักพักหนึ่ง มันส่งเสียงบอกผมว่า “เห้ย!นายต้องหาอะไรทำได้แล้วนะ”พร้อมนึกขึ้นได้ว่า เรานัดคุยกับคุณตาไว้นี่ผมไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปบ้านคุณตา คุณตากำลังสานตะกร้าจากไม้ไผ่ไว้ใช้เองอยู่คุณตาเห็นผมด้วยท่าทางทีใจ รี
Storytellers
          เป็นค่ำคืนที่หัวถึงหมอนแล้วรู้สึกอีกทีคือตอนตื่น ผมตื่นมาอย่างตื่นเต้นเตรียมพร้อมที่จะเดินขึ้นไปดูทะเลหมอกแต่มองออกไปก็เจอแต่ความมืดมิดของค่ำคืนที่ไม่มีไฟฟ้าและก็ไม่เห็นจะมีใครตื่นมากับเรา ในใจตอนนั้นถามว่าให้เดินขึ้นไปคนเดียวกล้าไหม ก็คงตอบอย่างมั่นใจว่าไม่กล้า
Storytellers
          พระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าเหล่านกกาบินร้องกลับรังก็ได้เวลาที่เรากลับมาที่โรงเรียน เพื่อเตรียมทำกับข้าว ซึ่งก็มีออเดิร์ฟมาเสิร์ฟเราถึงที่ เป็นหัวปลีคลุกเคล้ากับเครื่องปรุง ทอดกรอบๆ พูดแล้วก็อยากทานอีก เพราะรสชาติมันช่างกลมกล่อมลงตัวเป็นอย่างมาก โดยแม่ครัวใหญ่ของอาห
Storytellers
          เรานั่งรอคุณครูซามารับประมาณเกือบๆ 2 ชม.เพราะวันนี้ทางโรงเรียนติดส่งแขกที่เข้ามาบริจาคสิ่งของ แล้วรถของคุณครูก็มาถึงเป็นรถโฟวิลยกสูงคันใหญ่ ที่ขับมาโดยเด็กหนุ่มหน้าตาอย่างกับบอยแบรนด์เกาหลี ผมสวัสดีทักทาย ในใจก็คิดว่าสงสัยครูซาคงให้ลูกศิษย์ขับรถมาแทน แต่ก็ไม่ใช่
Storytellers
          เสียงนาฬิกาปลุกปลุกผมให้ลุกจากที่นอนรีบไปอาบน้ำ ผมสะพายเป้ ออกจากบ้านด้วยอารมณ์เรียบเฉยต่างจากวันก่อนที่อยากไปมากอย่างสิ้นเชิง คงเป็นเพราะบรรยายกาศที่มีฝนตกปรอยๆ และข้อมูลการเดินทางที่มีน้อยมาก มันเลยทำให้ผมไม่ได้คาดหวังอะไรมากจากการเดินทางครั้งนี้ผมนัดเจอกับชาต
Storytellers
หลังจากจบกิจกรรมในวันแรกเราทุกคนต้องนอนค้างด้วยกันและเช้าวันรุ่งขึ้นผมต้องรีบแหกขี้ตาขับรถกลับบ้านเพื่อแต่งตัวไปทำงาน ในขณะที่เพื่อนๆคนอื่นเตรียมตัวออกเดินทางโดยตลอดการเดินทางเราจะใช้ “APP C –Site”เพื่อติดตามเรื่องราวของกันและกัน ความรู้สึกที่เราต้องนั่งหงอยๆทำงานอยู่หน้าคอมทั้งที่เพื่อนคนอื่นออก
Storytellers
          ชีวิตในเมืองเต็มไปด้วยความวุ่นวายเร่งรีบของใครคนหนึ่ง โดยไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วเขาต้องการอะไรจากเมืองกรุงแห่งนี้จนเลื่อนมือถือไปๆมาๆเจอโพสหนึ่ง “เปิดรับเยาวชนนักเล่าเรื่องที่สนใจจะไปเที่ยว!
Storytellers
ก่อนได้ไปลงพื้นที่ที่สะเนพ่องเราได้ไปค่ายนักเล่าเรื่องในที่อื่น(Storytellers in Journey) ที่มูลนิธฺเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีปซึ่งทำให้เราได้เจอกับพี่ๆหลายๆคนและทุกๆคนน่ารักมาก แต่ในระยะเวลาที่เราได้อยู่ค่ายนั้นมันมีแค่ 2 วันคือวันที่7-8 พฤศจิกายน พ.ศ.2561 แล้วในตอนนั้นผมก็ยังมีโครงการของผมที่ยังต้องไ
Storytellers
บัติ-ใจ-สู้  สามคำที่อยากแนะนำตัวเองให้ทุกคนได้รู้จัก  “บัติ”  มาจากชื่อจริงชื่อ  สมบัติ  แก้วเนื้ออ่อน  “ใจ”  มาจากสิ่งที่เริ่มทำในชีวิตส่วนใหญ่มักเริ่มต้นมาจากความรู้สึกที่เกิดขึ้นผ่านใจ  ถ้าใจอยากทำ  ยังไงก็จะทำต่อไปจนสำเร็จให้ได้  ส่
Storytellers
ต่างคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า การเดินทางคือการซื้อประสบการณ์ที่ได้รับเงินทอนเป็นความสุข เป็นคำพูดที่มีความจริงเจือปนอยู่เป็นจำนวนมากแต่บางครั้งเงินทอนที่ได้รับอาจจะมาในรูปแบบที่โหดร้ายได้เหมือนกัน เพราะการเดินทางไปในแต่ละที่มักจะได้ประการณ์ที่ไม่เหมือนกัน และนี่ก็เป็นอีกประสบการณ์ที่ไม่รู้ว่า
Storytellers
          ผมได้เข้าร่วมโครงการ Storytellers in journey ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้ผมได้ออกเดินทางไปเรียนรู้อะไรใหม่ตามที่ต่างๆ และผมได้มีโอกาสเดินทางไปยังบ้านปลาบู่ จังหวัดหมาสารคาม เพื่อไปดูการจัดการธุรกิจแบบ Social Enterprise เพราะผมได้รู้มาว่าที่นั้นมีการทำธุรกิจแบบ