Skip to main content

 

ปู๊น...ปู๊น... เสียงนี้เป็นเสียงที่บ่งบอกว่าผมกำลังนั่งอยู่ที่สถานีหัวลำโพง รอเวลาเตรียมขึ้นขบวนรถไฟเพื่อ ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งใหม่ การเดินทางของผมในครั้งนี้ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอีกหนึ่ง ครั้งของผมสำหรับการเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ๆ เช่น การขึ้นรถไฟครั้งแรกของผมที่มันเต็มไปด้วยความรู้สึกหลายอย่าง ไม่ ว่าจะเป็นตื่นเต้น กลัว ดีใจ สนุก และประหม่า

22.00 น. หลังจากที่ผมและเพื่อนเก็บสัมภาระและหาที่นั่งของตัวเองได้แล้ว รถไฟขนวนที่ผมนั่งก็ได้เริ่ม ออกเดินทาง ตลอดการเดินทางบนรถไฟผมได้เจอกับประสบการณ์ใหม่ๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตอยู่บน รถไฟเป็นเวลาหลายชั่วโมง ที่จะต้องกินอยู่บนรถไฟ รถไฟที่พวกผมไปเป็นแบบชั้น3 การนอนบนรถไฟ ที่เป็นไป อย่างทุลักทุเล เพราะต้องนอนในท่านั่งและเบาะรถไฟก็ไม่ค่อยนิ่มซักเท่าไหร่นัก การเข้าห้องน้ำบนรถไฟก็เป็นอีก หนึ่งเรื่องแปลกใหม่สำหรับผมที่จะต้องมีการทรงตัวให้ดีเวลาเข้าไป ถ้าทรงตัวไม่ดีล่ะก็มีหวังได้หัวทิ่มกันแน่ หรือจะ เป็นการที่มีอาหารและเครื่องดื่มขึ้นมาขายบนรถไฟเป็นช่วงๆ ของที่มาขายก็จะมีตั้งแต่ของกินเล่นทั่วไปจนไปถึง ของฝากของแต่ละจังหวัดที่ขบวนรถไฟได้ไปจอดพัก และรวมไปถึงมีคนแปลกหน้าเดินไปมาผ่านโบกี้ที่ผมนั่งทำให้ ผมรู้สึกกลัวไปบ้าง แต่ถึงแม้ว่าการใช้ชีวิตอยู่บนรถไฟจะเต็มไปด้วยความอยากลำบาก แต่สิ่งที่ท าให้ผมประทับใจ นั้นคือวิวสวยๆข้างทางตลอดการเดินทางบนรถไฟและรวมไปถึงยังได้มีช่วงเวลาดีๆกับเพื่อนอีกด้วย

12.10 น. เดินทางมาถึงสถานีรถไฟเชียงใหม่ ผมขนสัมภาระลงจาก รถไฟและไปต่อรถเพื่อมุ่งหน้าไปยังมูลนิธิสื่อชาวบ้าน (มะขามป้อม) อำเภอ เชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ รถที่ผมต่อไปยังมูลนิธิคนที่นี่เขาเรียกกันว่ารถแดง หรือรถเหลือง มันคล้ายๆกับรถสองแถวทั่วไปเพียงแต่มีหลังคาที่เตี้ยกว่า ตลอดการเดินทางบนรถเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ลุงคนขับรถแกก็ใจดีมี แวะปั๊มให้เราไปเข้าห้องน้ำ แถมยังมีเรื่องที่น่าขบขันเกี่ยวกับลุงแกอีกด้วย เรื่องมีอยู่ว่าเราได้เดินทางขึ้นไปถึงบนเขาที่ผ่านทางคดเคี้ยวและลาดชันที่ใช้ เวลาหลายชั่วโมงมาได้แล้ว หลังจากนั้นลุงแกก็หยุดรถ ผมมองไปรอบๆคิดว่า คงมาถึงที่แล้ว แล้วลุงแกก็ลงมาจากรถพร้อมรอยยิ้มและถามพวกผมว่า “อ้าว แล้วนี่ตกลงจะไปไหนกันล่ะ” ตอนนั้นผมกับเพื่อนก็ทำหน้าตกใจพร้อมกับ หลุดขำกันออกมา ดีที่ยังมีคนพอรู้ทางอยู่ เลยบอกไปว่าจะไปที่ไหนแล้วพวก เราก็ออกเดินทางกันต่อ พวกผมในขณะนั้นก็คุยกันว่าลุงแกไม่รู้ว่าไปไหนแล้ว พาพวกผมมาถึงนี่ได้ยังไงกัน ตลอดเส้นทางผมและเพื่อนก็คุยกันอย่างสนุกสนาน จนผมกับเพื่อนก็มาถึงมูลนิธิ มะขามป้อมเชียงดาว

ตลอด 9 วัน ที่ผมใช้ชีวิตอยู่มูลนิธิมะขามป้อมเชียงดาว ผมได้เรียนรู้และทำอะไรใหม่ๆมากมาย ไม่ว่าจะ เป็นเรื่องของการใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อนที่เราจะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มันทำให้เราเข้าใจและเห็นอะไรจากเพื่อน ที่เราไม่ค่อยได้คุยกันมากขึ้น พี่ก๋วยที่เป็นคนดูแลมูลนิธิและพี่ๆอีกหลายคนที่อยู่ที่นั้นก็ดูแลเราเป็นอย่างดี อาหารที่ นั้นก็อร่อย ตอนที่ผมอยู่ที่นั้นผมรู้สึกว่าตัวเองสงบมาก ไม่ค่อยมีสิ่งเล้าจากโลกภายนอกมีเพียงแค่พวกผม มันทำให้ ผมได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น รวมไปถึงบรรยากาศดีๆที่อยู่ท่ามกลางทุ่งนาและหุบเขา เลยทำให้ตลอดเวลาที่ผมอยู่ที่ นั้นมีความสุขมากและรู้สึกไม่ค่อยเหน็ดเหนื่อยถึงแม้จะทำกิจกรรมหนักเพียงใด ผมมั่นใจเลยว่าไม่ว่าผมจะไปเห็น ภูเขาหรือทุ่งนาที่ไหน ผมก็จะคิดนึกถึงเชียงดาวที่แห่งความทรงจำและสร้างประการณ์ดีๆให้ผมอย่างแน่นอน

ตอนผมอยู่ที่เชียงดาวผมได้เรียนรู้เครื่องมือ 7 ชิ้น และได้ลองใช้ มันจริงๆผ่านการลงชุมชน พื้นที่ที่ผมได้ไปคือหมู่บ้านปางแดงนอก เป็น หมู่บ้านที่มีชาวเขาเผ่าดาระอั้งอยู่ การเดินทางไปหมู่บ้านค่อนข้างทุลักทุแล เนื่องจากพวกผมจะต้องขึ้นไปบนเขาและตลอดเส้นทางที่ขึ้นไปถนนจะเป็น ดินลูกรัง พอพวกผมไปถึงที่นั้นสิ่งแรกที่ผมเห็นคือเด็กๆหลังจากที่ลงจากลง รถก็จะมีเด็กมาต้อนรับและดึงตัวพวกผมพาไปที่นู้นไปที่นั้น สภาพความ เป็นอยู่ของคนที่นั้นก็อยู่กันแบบตามมีตามเกิด บ้านที่มีเงินหน่อยก็จะสร้าง บ้านเป็นปูน ส่วนบ้านที่ไม่ค่อยมีเงินก็จะสร้างบ้านที่ทำจากไม้ ซึ่งบ้านปูน ในนั้นมีอยู่ซักประมาณไม่ถึง 10 หลังเห็นจะได้จากบ้านคนในนั้นสามร้อย กว่าครัวเรือน วิถีชีวิตของคนในนั้นผู้ชายส่วนใหญ่รวมถึงผู้หญิงบางส่วนจะ ไปรับจ้างทำเกษตร ผู้หญิงที่เหลือกับคนชราก็จะอยู่บ้านคอยดูแลลูกหลาน ส่วนเด็กที่นั้นจะไปเรียนโรงเรียนที่ใกล้ๆหมู่บ้าน ที่มีเพียงหนึ่งแห่งและมีถึง แค่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ทำให้เด็กที่อยากจะเรียนต่อต้องลงเขาเข้าไปเรียนโรงเรียนประจำในตัวเมืองซึ่งก็มี ค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง เด็กคนไหนที่ครอบครัวไม่ได้มีฐานะมากก็จะเลิกเรียน และไปรับจ้างทำเกษตรกับพ่อแม่ของพวกเขา

ในหมู่บ้านปางแดงนอกมีปัญหาเกี่ยวกับไฟฟ้าและน้ำ เนื่องจากอยู่บนเขาทำให้การเขาถึงของไฟฟ้าเป็นไปอย่างยากลำบาก บางบ้านก็มีไฟฟ้าใช้บางบ้านก็ไม่มี ไฟฟ้าที่มีก็ต้องใช้กัน อย่างประหยัด ถ้าใช้มากไปก็จะทำให้ไฟดับกันทั้งหมู่บ้าน ส่วน เรื่องของน้ำในการใช้สอย ผู้คนที่นั้นเล่าว่าเขาจะมีน้ำใช้กันเฉพาะ หน้าฝนส่วนหน้าร้อนก็จะแล้งไม่ค่อยมีน้ำ แล้วสภาพดินที่นั้นก็ยัง เป็นดินลูกรังทำให้การขุดบ่อเก็บน้ำได้ไม่ค่อยดีนัก พวกเขาจึงต้อง เก็บน้ำฝนใสแท้งน้ำเอาไว้เพราะถ้าจะไปซื้อตามที่มีรถเข้ามาขายก็ ราคาถังละตั้ง 200 บาท ตอนผมได้ยินราคาน้ำผมนี่อึ้งไปชั่วขณะเลย มันสะท้อนให้ผมเห็นว่าในสังคมนี่มีทั้งคนที่คอยช่วยเหลือเราและคอยเอาเปรียบเราอยู่เสมอ

หลังจากที่ผมกลับมาจากเชียงดาว สิ่งแรกที่ผมสัมผัสได้คือคิดถึง ผมคิดถึงมูลนิธิมะขามป้อม คิดถึงคนใน หมู่บ้านปางแดงนอก การเดินทางในครั้งนี้ผมได้ไปสัมผัสกับอะไรหลายอย่าง มันทำให้ผมโตขึ้น มีความรับผิดชอบ ต่อตนเองและผู้อื่นมากขึ้น ใส่ใจคนอื่นมากขึ้น และได้มีความคิดริเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงและพัฒนาสังคมให้ดียิ่งขึ้น ขอบคุณการเดินทางในครั้งนี้ที่ทำให้ผมได้เติบโตและได้ไปเปิดประสบการณ์ที่ไม่เคยทำมาก่อน

 

 

บล็อกของ Storytellers

Storytellers
          ความว่างเริ่มเข้ามาในหัวสมองเมื่อผมกลับมาจากการตกปลาได้สักพักหนึ่ง มันส่งเสียงบอกผมว่า “เห้ย!นายต้องหาอะไรทำได้แล้วนะ”พร้อมนึกขึ้นได้ว่า เรานัดคุยกับคุณตาไว้นี่ผมไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปบ้านคุณตา คุณตากำลังสานตะกร้าจากไม้ไผ่ไว้ใช้เองอยู่คุณตาเห็นผมด้วยท่าทางทีใจ รี
Storytellers
          เป็นค่ำคืนที่หัวถึงหมอนแล้วรู้สึกอีกทีคือตอนตื่น ผมตื่นมาอย่างตื่นเต้นเตรียมพร้อมที่จะเดินขึ้นไปดูทะเลหมอกแต่มองออกไปก็เจอแต่ความมืดมิดของค่ำคืนที่ไม่มีไฟฟ้าและก็ไม่เห็นจะมีใครตื่นมากับเรา ในใจตอนนั้นถามว่าให้เดินขึ้นไปคนเดียวกล้าไหม ก็คงตอบอย่างมั่นใจว่าไม่กล้า
Storytellers
          พระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าเหล่านกกาบินร้องกลับรังก็ได้เวลาที่เรากลับมาที่โรงเรียน เพื่อเตรียมทำกับข้าว ซึ่งก็มีออเดิร์ฟมาเสิร์ฟเราถึงที่ เป็นหัวปลีคลุกเคล้ากับเครื่องปรุง ทอดกรอบๆ พูดแล้วก็อยากทานอีก เพราะรสชาติมันช่างกลมกล่อมลงตัวเป็นอย่างมาก โดยแม่ครัวใหญ่ของอาห
Storytellers
          เรานั่งรอคุณครูซามารับประมาณเกือบๆ 2 ชม.เพราะวันนี้ทางโรงเรียนติดส่งแขกที่เข้ามาบริจาคสิ่งของ แล้วรถของคุณครูก็มาถึงเป็นรถโฟวิลยกสูงคันใหญ่ ที่ขับมาโดยเด็กหนุ่มหน้าตาอย่างกับบอยแบรนด์เกาหลี ผมสวัสดีทักทาย ในใจก็คิดว่าสงสัยครูซาคงให้ลูกศิษย์ขับรถมาแทน แต่ก็ไม่ใช่
Storytellers
          เสียงนาฬิกาปลุกปลุกผมให้ลุกจากที่นอนรีบไปอาบน้ำ ผมสะพายเป้ ออกจากบ้านด้วยอารมณ์เรียบเฉยต่างจากวันก่อนที่อยากไปมากอย่างสิ้นเชิง คงเป็นเพราะบรรยายกาศที่มีฝนตกปรอยๆ และข้อมูลการเดินทางที่มีน้อยมาก มันเลยทำให้ผมไม่ได้คาดหวังอะไรมากจากการเดินทางครั้งนี้ผมนัดเจอกับชาต
Storytellers
หลังจากจบกิจกรรมในวันแรกเราทุกคนต้องนอนค้างด้วยกันและเช้าวันรุ่งขึ้นผมต้องรีบแหกขี้ตาขับรถกลับบ้านเพื่อแต่งตัวไปทำงาน ในขณะที่เพื่อนๆคนอื่นเตรียมตัวออกเดินทางโดยตลอดการเดินทางเราจะใช้ “APP C –Site”เพื่อติดตามเรื่องราวของกันและกัน ความรู้สึกที่เราต้องนั่งหงอยๆทำงานอยู่หน้าคอมทั้งที่เพื่อนคนอื่นออก
Storytellers
          ชีวิตในเมืองเต็มไปด้วยความวุ่นวายเร่งรีบของใครคนหนึ่ง โดยไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วเขาต้องการอะไรจากเมืองกรุงแห่งนี้จนเลื่อนมือถือไปๆมาๆเจอโพสหนึ่ง “เปิดรับเยาวชนนักเล่าเรื่องที่สนใจจะไปเที่ยว!
Storytellers
ก่อนได้ไปลงพื้นที่ที่สะเนพ่องเราได้ไปค่ายนักเล่าเรื่องในที่อื่น(Storytellers in Journey) ที่มูลนิธฺเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีปซึ่งทำให้เราได้เจอกับพี่ๆหลายๆคนและทุกๆคนน่ารักมาก แต่ในระยะเวลาที่เราได้อยู่ค่ายนั้นมันมีแค่ 2 วันคือวันที่7-8 พฤศจิกายน พ.ศ.2561 แล้วในตอนนั้นผมก็ยังมีโครงการของผมที่ยังต้องไ
Storytellers
บัติ-ใจ-สู้  สามคำที่อยากแนะนำตัวเองให้ทุกคนได้รู้จัก  “บัติ”  มาจากชื่อจริงชื่อ  สมบัติ  แก้วเนื้ออ่อน  “ใจ”  มาจากสิ่งที่เริ่มทำในชีวิตส่วนใหญ่มักเริ่มต้นมาจากความรู้สึกที่เกิดขึ้นผ่านใจ  ถ้าใจอยากทำ  ยังไงก็จะทำต่อไปจนสำเร็จให้ได้  ส่
Storytellers
ต่างคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า การเดินทางคือการซื้อประสบการณ์ที่ได้รับเงินทอนเป็นความสุข เป็นคำพูดที่มีความจริงเจือปนอยู่เป็นจำนวนมากแต่บางครั้งเงินทอนที่ได้รับอาจจะมาในรูปแบบที่โหดร้ายได้เหมือนกัน เพราะการเดินทางไปในแต่ละที่มักจะได้ประการณ์ที่ไม่เหมือนกัน และนี่ก็เป็นอีกประสบการณ์ที่ไม่รู้ว่า
Storytellers
          ผมได้เข้าร่วมโครงการ Storytellers in journey ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้ผมได้ออกเดินทางไปเรียนรู้อะไรใหม่ตามที่ต่างๆ และผมได้มีโอกาสเดินทางไปยังบ้านปลาบู่ จังหวัดหมาสารคาม เพื่อไปดูการจัดการธุรกิจแบบ Social Enterprise เพราะผมได้รู้มาว่าที่นั้นมีการทำธุรกิจแบบ