Skip to main content
สวัสดีพี่ๆทุกคนค่ะหนูเป็นเด็ก 3 จังหวัด ชายแดนใต้ หนูเป็นคนหนึ่งที่สนใจอยากเข้าร่วมกิจกรรม "นักเล่าเรื่องในที่อื่น"เป็นอย่างมาก หนูรู้ข่าวสารกิจกรรมนี้ ตอนที่กำลังจะสอบ อยู่ๆเฟสบุคก็แจ้งเตือนมาว่ามีบางคนโพสต์อะไรบางอย่างในกลุ่ม หนูกดเข้าไปดูพร้อมอ่านรายละเอียด ณ.ตอนนั้นหนูบอกกับตัวเองว่า" สอบเสร็จฉันจะต้องสมัคร"ทั้งๆที่ในหัวหนูยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเขียนเรื่องราวอะไรส่งไป หนูรู้แค่เพียงว่าหนูอยากเปิดโลกทัศน์ของตัวเอง ไปเรียนรู้สิ่งต่างๆ จากพื้นที่ใหม่ๆบ้าง เพราะหนูเชื่อเหลือเกินว่าทุกพื้นที่ย่อมมีเรื่องราวใหม่ๆให้เราได้เรียนรู้ได้ค้นพบอยู่เสมอ สำหรับเรื่องราวที่หนูจะเล่าในวันนี้มันเป็นเรื่องราวในวัยเด็กของหนู และเป็นเรื่องที่หนูเคยเล่าตอนไปค่ายสิทธิอาจารย์ชื่นชมและชื่นชอบผลงานของหนูด้วย แต่สิ่งที่หนูคาดหวังในตอนนั้นคือหวังแค่เพียงให้คนอื่น เข้าใจความรู้สึกของหนู ในวันนี้หนูจึงอยากจะหยิบยกเรื่องราวดังกล่าวกลับมาเล่าอีกครั้งหวังว่าพี่ๆจะชื่นชอบๆ เและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผลงานของหนูจะได้รับการพิจารณาและได้รับโอกาสจากพี่ๆเช่นนี้ขออนุญาติเล่าเรื่องที่หนูเคยเขียนในตอนนั้นเลยนะคะ "ริงโทนที่เปลี่ยนไป" เมื่อพูดถึงเรื่องราว 3 จังหวัดฉันเชื่อเหลือเกินว่าสิ่งต่างๆ ที่หลายๆ คนเคยได้ยินก็คงหนีไม่พ้นเรื่องราวอันแสนโหดร้ายจากดินแดนแห่งนี้ที่หลายๆคนประทับตราว่าอันตราย น่ากลัวและโหดร้าย หลายๆเรื่องราวที่ถูกนำเสนอผ่านสื่อ ผ่านทีวีและหนังสือพิมพ์ ที่พาดหัวข้อแรงๆ"โจรใต้กระหน่ำกราดยิงนักเรียน" "จุดระเบิดก่อม็อบปล้นความสันติ"ก็คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธหรอกว่าไม่เคยได้ยินไม่เคยได้ฟังเรื่องราวความรุนแรงพวกนี้ สำหรับเรื่องราว 3 จังหวัดที่จะหยิบยกพูดถึงในตอนนี้ก็เช่นกัน ฉันกำลังจะพูดถึงอีกหนึ่งเรื่องราวความทรงจำในวัยเด็กกับดินแดนที่แสนโหดร้ายนี้ ย้อนกลับไปตอนฉันอยู่ป.2 ในปีพ.ศ 2547 วิถีชีวิตในทุกๆวันของฉัน จะมีแม่ผู้เป็นเสมือนนาฬิกา ทำหน้าที่ปลุกฉันในทุกๆเช้าของทุกวัน ปลุกเพื่อให้ฉันลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว ไปโรงเรียน แต่แล้วเช้าวันหนึ่งเสียงนาฬิกาที่คอยปลุกฉันในทุกๆเช้าก็เปลี่ยนไป เปลี่ยนไปจากเสียงผู้หญิงคนหนึ่งที่เรียกปลุกฉันด้วยน้ำเสียงที่อ่อนนุ่ม เปี่ยมล้นด้วยความรัก กลับกลายเป็นเสียงอื่นแทนเปลี่ยนจากเสียงแม่เป็นเสียงตูมตูมตูม ปังๆๆ ฉันจำได้ไม่เคยลืมเลยว่าเสียงปลุกในวันนั้นมันช่างน่ากลัวมาก ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นด้วยความกลัว รีบลุกจากที่นอนพร้อมตั้งคำถามมากมายในหัวว่ามันเกิดอะไรขึ้นทำไมช่างน่ากลัวเหลือเกิน ฉันภาวนาขอให้เสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเพียงแค่ฝันร้าย ฉันภาวนาเมื่อตื่นขึ้นความฝันนั้นจะหายไป แต่มันช่างโหดร้ายเหลือเกินสิ่งที่ฝันนั้นกลับกลายเป็นความจริงที่เกิดขึ้นจริงกับบ้านของฉัน ฉันเชื่อว่าหลายๆคนที่ติดตามเรื่องราว 3 จังหวัดยังคงจำเหตุการณ์กราดยิงในมัสยิดได้และเป็นที่แน่นอนว่าคนที่นี่ไม่เคยลืมเรื่องราวอันแสนเจ็บปวดนั้นได้เลย แม้เวลาจะล่วงพ้นมา 14 ปีแล้วแต่เหตุการณ์โศกนาฏกรรมนั้นยังคงประทับชัดเจนอยู่ในหัวใจของเราที่นี่ มัสยิดกรือเซะ ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ศาสนสถานที่เป็นที่เคารพของเราหลายคนที่นี่ ศาสนสถานที่คอยเชื่อมความหลากหลายทางพหุวัฒนธรรมให้เราสามารถอาศัยอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข มาในวันนี้กลายเป็นสนามรบ ฆ่าฟันกัน มีการตายกันในสถานที่เก่าแก่ที่ที่เป็นดั่งสัญลักษณ์ของเราเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลยผ่านมาแล้ว 14 ปีแต่ยังคงเป็นบาดแผลในใจไม่เคยจางหายของใครหลายๆคนโดยเฉพาะญาติของผู้ตายสิ้นเสียงปืนจากการปะทะในวันนั้นที่นี่ก็เปลี่ยนไป กลายเป็นประวัติศาสตร์บาดแผลและเป็นหนึ่งเชื้อเพลิงที่ให้ไฟใต้คุโชนจนถึงทุกวันนี้ ฉันเชื่อว่าหลายๆคนคงเบื่อกับเรื่องราวพวกนี้แล้ว เบื่อที่จะต้องมาฟังเรื่องราวอันแสนโหดร้ายจากดินแดนแห่งนี้ ฉันและคนที่นี่ก็รู้สึกไม่ต่างกันกับพวกคุณ พวกเราเบื่อที่จะต้องมาเจอะเจอกับเรื่องราวความสูญเสียที่วนไปวนมาไม่จบสิ้น ฉันรู้ว่าถ้าฉันขอให้บ้านฉันกลับมาเป็นเหมือนเก่า คำขอของฉันคงจะเป็นไปได้ยาก และอาจจะคงเป็นไปไม่ได้เลยเพราะที่ผ่านๆมามีหลายๆคนพยายามเรียกร้อง ร้องขอ แต่ผลสุดท้ายทุกอย่างก็เหมือนเดิม มาในวันนี้ฉันจะไม่ขอให้บ้านฉันกลับมาเป็นดั่งเดิม แต่อยากจะขอเพียงไม่ให้มันแย่ไปกว่าเดิม ฉันไม่รู้ว่าสิ่งที่ขอฉันต้องขอกับใคร. ฉันไม่รู้ว่าเขาจะรับรู้หรือเปล่าว่าฉันกำลังร้องขอ ฉันไม่รู้เลยจริงๆว่าเมื่อฉันขอเขาจะให้ฉันไหม ฉันเพียงแค่อยากจะขอแค่นี้จริงๆฉันไม่อยากเห็นเด็กน้อยในสามจังหวัดอีกหลายๆคนต้องสะดุ้งตื่นนอนจากเสียงริงโทนซึ่งปกติเป็นเสียงแสนไพเราะเพราะพริ้งหากทว่าที่นี่กลายเป็นเสียงริงโทนปลุกอันแสนโหดร้ายเช่นที่ฉันเคยเจอะเจอ

บล็อกของ Storytellers

Storytellers
          ความว่างเริ่มเข้ามาในหัวสมองเมื่อผมกลับมาจากการตกปลาได้สักพักหนึ่ง มันส่งเสียงบอกผมว่า “เห้ย!นายต้องหาอะไรทำได้แล้วนะ”พร้อมนึกขึ้นได้ว่า เรานัดคุยกับคุณตาไว้นี่ผมไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปบ้านคุณตา คุณตากำลังสานตะกร้าจากไม้ไผ่ไว้ใช้เองอยู่คุณตาเห็นผมด้วยท่าทางทีใจ รี
Storytellers
          เป็นค่ำคืนที่หัวถึงหมอนแล้วรู้สึกอีกทีคือตอนตื่น ผมตื่นมาอย่างตื่นเต้นเตรียมพร้อมที่จะเดินขึ้นไปดูทะเลหมอกแต่มองออกไปก็เจอแต่ความมืดมิดของค่ำคืนที่ไม่มีไฟฟ้าและก็ไม่เห็นจะมีใครตื่นมากับเรา ในใจตอนนั้นถามว่าให้เดินขึ้นไปคนเดียวกล้าไหม ก็คงตอบอย่างมั่นใจว่าไม่กล้า
Storytellers
          พระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าเหล่านกกาบินร้องกลับรังก็ได้เวลาที่เรากลับมาที่โรงเรียน เพื่อเตรียมทำกับข้าว ซึ่งก็มีออเดิร์ฟมาเสิร์ฟเราถึงที่ เป็นหัวปลีคลุกเคล้ากับเครื่องปรุง ทอดกรอบๆ พูดแล้วก็อยากทานอีก เพราะรสชาติมันช่างกลมกล่อมลงตัวเป็นอย่างมาก โดยแม่ครัวใหญ่ของอาห
Storytellers
          เรานั่งรอคุณครูซามารับประมาณเกือบๆ 2 ชม.เพราะวันนี้ทางโรงเรียนติดส่งแขกที่เข้ามาบริจาคสิ่งของ แล้วรถของคุณครูก็มาถึงเป็นรถโฟวิลยกสูงคันใหญ่ ที่ขับมาโดยเด็กหนุ่มหน้าตาอย่างกับบอยแบรนด์เกาหลี ผมสวัสดีทักทาย ในใจก็คิดว่าสงสัยครูซาคงให้ลูกศิษย์ขับรถมาแทน แต่ก็ไม่ใช่
Storytellers
          เสียงนาฬิกาปลุกปลุกผมให้ลุกจากที่นอนรีบไปอาบน้ำ ผมสะพายเป้ ออกจากบ้านด้วยอารมณ์เรียบเฉยต่างจากวันก่อนที่อยากไปมากอย่างสิ้นเชิง คงเป็นเพราะบรรยายกาศที่มีฝนตกปรอยๆ และข้อมูลการเดินทางที่มีน้อยมาก มันเลยทำให้ผมไม่ได้คาดหวังอะไรมากจากการเดินทางครั้งนี้ผมนัดเจอกับชาต
Storytellers
หลังจากจบกิจกรรมในวันแรกเราทุกคนต้องนอนค้างด้วยกันและเช้าวันรุ่งขึ้นผมต้องรีบแหกขี้ตาขับรถกลับบ้านเพื่อแต่งตัวไปทำงาน ในขณะที่เพื่อนๆคนอื่นเตรียมตัวออกเดินทางโดยตลอดการเดินทางเราจะใช้ “APP C –Site”เพื่อติดตามเรื่องราวของกันและกัน ความรู้สึกที่เราต้องนั่งหงอยๆทำงานอยู่หน้าคอมทั้งที่เพื่อนคนอื่นออก
Storytellers
          ชีวิตในเมืองเต็มไปด้วยความวุ่นวายเร่งรีบของใครคนหนึ่ง โดยไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วเขาต้องการอะไรจากเมืองกรุงแห่งนี้จนเลื่อนมือถือไปๆมาๆเจอโพสหนึ่ง “เปิดรับเยาวชนนักเล่าเรื่องที่สนใจจะไปเที่ยว!
Storytellers
ก่อนได้ไปลงพื้นที่ที่สะเนพ่องเราได้ไปค่ายนักเล่าเรื่องในที่อื่น(Storytellers in Journey) ที่มูลนิธฺเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีปซึ่งทำให้เราได้เจอกับพี่ๆหลายๆคนและทุกๆคนน่ารักมาก แต่ในระยะเวลาที่เราได้อยู่ค่ายนั้นมันมีแค่ 2 วันคือวันที่7-8 พฤศจิกายน พ.ศ.2561 แล้วในตอนนั้นผมก็ยังมีโครงการของผมที่ยังต้องไ
Storytellers
บัติ-ใจ-สู้  สามคำที่อยากแนะนำตัวเองให้ทุกคนได้รู้จัก  “บัติ”  มาจากชื่อจริงชื่อ  สมบัติ  แก้วเนื้ออ่อน  “ใจ”  มาจากสิ่งที่เริ่มทำในชีวิตส่วนใหญ่มักเริ่มต้นมาจากความรู้สึกที่เกิดขึ้นผ่านใจ  ถ้าใจอยากทำ  ยังไงก็จะทำต่อไปจนสำเร็จให้ได้  ส่
Storytellers
ต่างคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า การเดินทางคือการซื้อประสบการณ์ที่ได้รับเงินทอนเป็นความสุข เป็นคำพูดที่มีความจริงเจือปนอยู่เป็นจำนวนมากแต่บางครั้งเงินทอนที่ได้รับอาจจะมาในรูปแบบที่โหดร้ายได้เหมือนกัน เพราะการเดินทางไปในแต่ละที่มักจะได้ประการณ์ที่ไม่เหมือนกัน และนี่ก็เป็นอีกประสบการณ์ที่ไม่รู้ว่า
Storytellers
          ผมได้เข้าร่วมโครงการ Storytellers in journey ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้ผมได้ออกเดินทางไปเรียนรู้อะไรใหม่ตามที่ต่างๆ และผมได้มีโอกาสเดินทางไปยังบ้านปลาบู่ จังหวัดหมาสารคาม เพื่อไปดูการจัดการธุรกิจแบบ Social Enterprise เพราะผมได้รู้มาว่าที่นั้นมีการทำธุรกิจแบบ