Skip to main content

ก่อนได้ไปลงพื้นที่ที่สะเนพ่องเราได้ไปค่ายนักเล่าเรื่องในที่อื่น(Storytellers in Journey) ที่มูลนิธฺเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีปซึ่งทำให้เราได้เจอกับพี่ๆหลายๆคนและทุกๆคนน่ารักมาก แต่ในระยะเวลาที่เราได้อยู่ค่ายนั้นมันมีแค่ 2 วันคือวันที่7-8 พฤศจิกายน พ.ศ.2561 แล้วในตอนนั้นผมก็ยังมีโครงการของผมที่ยังต้องไปทำต่อ ซึ่งใน2วันนั้นเราก็ต้องทำกิจกรรมต่างในค่ายและทำแผนการเดินทางด้วย ผมนั้นได้เลือกกลับบ้านก่อนในวันที่9แล้วเดินทางไปที่สะเนพ่องตอนวันที่10เพราะผมนั้นจะต้องกลับไปทำโครงการของผมเองและผมก็คิดว่าถ้าผมมีเวลาเตรียมตัวว่า ผมจะไปเก็บเรื่องราวอะไรจากที่สะเนพ่องบ้างน่าจะทำให้เราเจาะจงกับเรื่องที่เราทำมากขึ้นแต่วันที่ 9 วันเดียวนั้นผมก็ไม่สามารถที่จะหาเรื่องที่ผมจะโฟกัสได้ว่าถ้าไปแล้วจะไปเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับอะไรดี ในวันที่10ผมก็ได้เดินทางจากกรุงเทพไปที่ศูนย์การเรียนศรีสุวรรณสะเนพ่อง(วิถีกะเหรี่ยงทุ่งใหญ่นเรศวร) ในระหว่างทางผมก็ยังคิดอยู่เรื่องๆว่าเราจะเขียนเกี่ยวกับประเด็นอะไรดี แล้วก็มีความคิดนึงโผล่ขึ้นมันช่างเป็นความคิดที่ดีที่สุดในตอนนั้นที่ผมคิดได้ คือผมจะเขียนเกี่ยวกับการใช้วิถีชีวิตและวัฒนธรมมในการดูแลทรัพยากรธรรมชาติแต่มันก็ยังมีความลังเลอยู่ในใจว่าประเด็นแบบนี้มันมีคนทำละนะแล้วเราจะทำซ้ำทำไม เลยทำให้ยังไม่ได้ตกลงกับตัวเองว่าเราจะเลือกประเด็นนี้นะ

ในช่วงเวลาประมาณ2วันที่ผมได้อยู่ในพื้นที่ครึ่งวันเช้าของวันที่11ในผมก็ยังคิดได้ได้ว่าผมจะเลือกประเด็นอะไรมาเล่าให้กับทุกๆคนฟังดี ผมพยามจะคิดให้ได้แต่ผมยิ่งพยามเท่าไหร่ผมก็รู้สึกว่าความอยากจะออกไปเรียนรู้เรื่องราวต่างๆของที่สะเน่พ่องนั้นลดลงเพราะผมนั้นมัวแต่ให้ความสำคัญกับ ผมจะเลือกเรื่องอะไรให้เพื่อนๆฟังดี เมื่อผมรู้สึกตัวว่าผมนั้นเริ่มให้ความสำคัญกับการเลือกเรื่องที่จะมาเล่านั้นเยอะเกินไป ผมเลยลองกลับไปใช้วิธีตอนผมเริ่มหัดที่จะเรียนรู้เองคือเราลงมือทำไปเลยแล้วเราค่อยมาดูว่าเราชอบเรื่องไหนที่เราทำไปบ้างแล้วค่อยหาวิธีเอามาเล่าให้กับทุกๆคนฟังทีหลัง พอผมใช้วิธีนี้ก็ช่วยคลายความกังวลให้ผมได้ในระดับนึง แต่ในใจก็แอบกลัวว่าไม่รู้จะเขียนงานออกมายังไงเหมือนกัน

วันสุดท้ายก่อนจะเดินทางกลับมาที่กรุงเทพเราได้ร่วมกิจกรรมกับเพื่อนที่ศูนย์การเรียน มีกิจกรรมตอนเช้าของเพื่อนที่นั้นคือการทำสมาธิ พาเด็กนักเรียนทบทวนว่าการทำกระบวนการ สุ จิ ปุ ริ นั้นพัฒนาตัวเราเองได้ด้านไหนได้บ้าง ตอนครูที่ศูนย์การเรียนนำกิจกรรมก็พูดขึ้นมาว่า การทำสมาธินี้มันดีนะมันทำให้เราสงบมันทำให้เราได้ยินเสียงรอบๆ ได้ยินเสียง ได้ยินนกเสียงแมลง และได้ยินเสียงของหัวใจของเรา พอจบกิจกรรมนี้แหละมันก็ทำให้ผมนึกถึงตัวเองว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมาผมนั้นไม่เคยสงบและฟังเสียงของหัวใจตัวเองมานานมากแล้ว ผมนั้นไม่ฟังเสียงของหัวใจของผมเลยว่าผมนั้นชอบอะไรและผมอยากเล่าเรื่องอะไร ผมพยามมองหาเรื่องราวใหญ่ที่คิดว่าทุกคนจะต้องสนใจทุกคนจะต้องชอบทุกคนจะดีใจที่ได้เห็นเรื่องราวเหล่านี้ ผมพยามมองหามันจนผมลืมเรื่องราวเล็กที่ผมนั้นชอบมันและอยากจะเล่ามันจากใจจริงๆ ก่อนจะกลับผมก็คิดได้ว่าผมก็เขียนและเล่าเรื่องราวต่างในสิ่งที่เรารู้สึกและที่เราเห็นก็ได้ ให้มันมาจากตัวผมว่าเราอยากจะเล่าอะไรออกมา แล้วผมก็เขียนและเล่าเรื่องตามความรู้สึกของผมนี้แหละผมรู้สึกผมเห็นยังไงผมก็เล่ามันออกมาอย่างงั้นแหละ

 

บล็อกของ Storytellers

Storytellers
          ความว่างเริ่มเข้ามาในหัวสมองเมื่อผมกลับมาจากการตกปลาได้สักพักหนึ่ง มันส่งเสียงบอกผมว่า “เห้ย!นายต้องหาอะไรทำได้แล้วนะ”พร้อมนึกขึ้นได้ว่า เรานัดคุยกับคุณตาไว้นี่ผมไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปบ้านคุณตา คุณตากำลังสานตะกร้าจากไม้ไผ่ไว้ใช้เองอยู่คุณตาเห็นผมด้วยท่าทางทีใจ รี
Storytellers
          เป็นค่ำคืนที่หัวถึงหมอนแล้วรู้สึกอีกทีคือตอนตื่น ผมตื่นมาอย่างตื่นเต้นเตรียมพร้อมที่จะเดินขึ้นไปดูทะเลหมอกแต่มองออกไปก็เจอแต่ความมืดมิดของค่ำคืนที่ไม่มีไฟฟ้าและก็ไม่เห็นจะมีใครตื่นมากับเรา ในใจตอนนั้นถามว่าให้เดินขึ้นไปคนเดียวกล้าไหม ก็คงตอบอย่างมั่นใจว่าไม่กล้า
Storytellers
          พระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าเหล่านกกาบินร้องกลับรังก็ได้เวลาที่เรากลับมาที่โรงเรียน เพื่อเตรียมทำกับข้าว ซึ่งก็มีออเดิร์ฟมาเสิร์ฟเราถึงที่ เป็นหัวปลีคลุกเคล้ากับเครื่องปรุง ทอดกรอบๆ พูดแล้วก็อยากทานอีก เพราะรสชาติมันช่างกลมกล่อมลงตัวเป็นอย่างมาก โดยแม่ครัวใหญ่ของอาห
Storytellers
          เรานั่งรอคุณครูซามารับประมาณเกือบๆ 2 ชม.เพราะวันนี้ทางโรงเรียนติดส่งแขกที่เข้ามาบริจาคสิ่งของ แล้วรถของคุณครูก็มาถึงเป็นรถโฟวิลยกสูงคันใหญ่ ที่ขับมาโดยเด็กหนุ่มหน้าตาอย่างกับบอยแบรนด์เกาหลี ผมสวัสดีทักทาย ในใจก็คิดว่าสงสัยครูซาคงให้ลูกศิษย์ขับรถมาแทน แต่ก็ไม่ใช่
Storytellers
          เสียงนาฬิกาปลุกปลุกผมให้ลุกจากที่นอนรีบไปอาบน้ำ ผมสะพายเป้ ออกจากบ้านด้วยอารมณ์เรียบเฉยต่างจากวันก่อนที่อยากไปมากอย่างสิ้นเชิง คงเป็นเพราะบรรยายกาศที่มีฝนตกปรอยๆ และข้อมูลการเดินทางที่มีน้อยมาก มันเลยทำให้ผมไม่ได้คาดหวังอะไรมากจากการเดินทางครั้งนี้ผมนัดเจอกับชาต
Storytellers
หลังจากจบกิจกรรมในวันแรกเราทุกคนต้องนอนค้างด้วยกันและเช้าวันรุ่งขึ้นผมต้องรีบแหกขี้ตาขับรถกลับบ้านเพื่อแต่งตัวไปทำงาน ในขณะที่เพื่อนๆคนอื่นเตรียมตัวออกเดินทางโดยตลอดการเดินทางเราจะใช้ “APP C –Site”เพื่อติดตามเรื่องราวของกันและกัน ความรู้สึกที่เราต้องนั่งหงอยๆทำงานอยู่หน้าคอมทั้งที่เพื่อนคนอื่นออก
Storytellers
          ชีวิตในเมืองเต็มไปด้วยความวุ่นวายเร่งรีบของใครคนหนึ่ง โดยไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วเขาต้องการอะไรจากเมืองกรุงแห่งนี้จนเลื่อนมือถือไปๆมาๆเจอโพสหนึ่ง “เปิดรับเยาวชนนักเล่าเรื่องที่สนใจจะไปเที่ยว!
Storytellers
ก่อนได้ไปลงพื้นที่ที่สะเนพ่องเราได้ไปค่ายนักเล่าเรื่องในที่อื่น(Storytellers in Journey) ที่มูลนิธฺเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีปซึ่งทำให้เราได้เจอกับพี่ๆหลายๆคนและทุกๆคนน่ารักมาก แต่ในระยะเวลาที่เราได้อยู่ค่ายนั้นมันมีแค่ 2 วันคือวันที่7-8 พฤศจิกายน พ.ศ.2561 แล้วในตอนนั้นผมก็ยังมีโครงการของผมที่ยังต้องไ
Storytellers
บัติ-ใจ-สู้  สามคำที่อยากแนะนำตัวเองให้ทุกคนได้รู้จัก  “บัติ”  มาจากชื่อจริงชื่อ  สมบัติ  แก้วเนื้ออ่อน  “ใจ”  มาจากสิ่งที่เริ่มทำในชีวิตส่วนใหญ่มักเริ่มต้นมาจากความรู้สึกที่เกิดขึ้นผ่านใจ  ถ้าใจอยากทำ  ยังไงก็จะทำต่อไปจนสำเร็จให้ได้  ส่
Storytellers
ต่างคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า การเดินทางคือการซื้อประสบการณ์ที่ได้รับเงินทอนเป็นความสุข เป็นคำพูดที่มีความจริงเจือปนอยู่เป็นจำนวนมากแต่บางครั้งเงินทอนที่ได้รับอาจจะมาในรูปแบบที่โหดร้ายได้เหมือนกัน เพราะการเดินทางไปในแต่ละที่มักจะได้ประการณ์ที่ไม่เหมือนกัน และนี่ก็เป็นอีกประสบการณ์ที่ไม่รู้ว่า
Storytellers
          ผมได้เข้าร่วมโครงการ Storytellers in journey ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้ผมได้ออกเดินทางไปเรียนรู้อะไรใหม่ตามที่ต่างๆ และผมได้มีโอกาสเดินทางไปยังบ้านปลาบู่ จังหวัดหมาสารคาม เพื่อไปดูการจัดการธุรกิจแบบ Social Enterprise เพราะผมได้รู้มาว่าที่นั้นมีการทำธุรกิจแบบ