Skip to main content

          ความว่างเริ่มเข้ามาในหัวสมองเมื่อผมกลับมาจากการตกปลาได้สักพักหนึ่ง มันส่งเสียงบอกผมว่า “เห้ย!นายต้องหาอะไรทำได้แล้วนะ”พร้อมนึกขึ้นได้ว่า เรานัดคุยกับคุณตาไว้นี่ผมไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปบ้านคุณตา คุณตากำลังสานตะกร้าจากไม้ไผ่ไว้ใช้เองอยู่คุณตาเห็นผมด้วยท่าทางทีใจ รีบเชิญผมมานั่ง พร้อมถามผมด้วยสีหน้ากระตือรือร้นว่าเป็นอย่างไรบ้าง ไปทำไรมาบ้าง  ผมก็เล่าให้คุณตาฟัง พร้อมคุยกันเรื่องภูมิลำเนา และเรื่องต่างๆมากมาย เราคุยกันสักพักจนเริ่มคอแห้ง คุณตาก็ถามผมขึ้นมาว่า กินกาแฟไหม ในใจผมตอนนั้นตาลุกวาว ถึงแม้จะไม่ชอบกินกาแฟก็ตาม เพราะผมนึกว่าคงได้กินกาแฟสด ที่ชาวบ้านที่นี่เป็นคนปลูกแน่เลย ผมรีบตอบตกลงพร้อมเดินเข้าไปในบ้านกับคุณตา เพื่อไปชงกาแฟกินกัน คุณตาหยิบขวดใส่กาแฟสำเร็จรูปยี่ห้อดังขึ้นมาพร้อมบอกกับผมว่า เอาเลยๆ ตักได้เต็มที่ ตาเพิ่งฝากคนเข้าไปซื้อกาแฟในเมืองมา ผมมองขวดใส่กาแฟด้วยความผิดหวัง ความหวังที่คิดว่าจะได้ทานกาแฟสดหมดไป ผมรักษาน้ำใจคุณตาด้วยการขอโอวัลตินมากินแทนก็แล้วกัน แต่ถึงผมจะไม่ได้ทานกาแฟแต่มิตรภาพความมีน้ำใจของคุณตาก็ทำให้ผมซาบซึ้งใจอย่างมากเราคุยกันต่อคุยไปคุยมาก็ได้ใจความตอนหนึ่งว่า คุณตามีลูกชายคนหนึ่ง อายุไล่เรี่ยกับผม ลูกแกไปเรียนหนังสือที่มหาลัยดังแห่งหนึ่งที่กรุงเทพ ตาบอกว่านานๆทีจะกลับมาเยี่ยมตา มาทีก็อยู่แค่วันสองคนเท่านั้นเอง  ผมก็นั่งคิดอยู่ในใจว่า บางทีการที่คุณตามาคุยกับผมก็คงเป็นความรู้สึกของคนแก่คนหนึ่งที่อยากคุยกับลูกแต่คงไม่ได้มีโอกาสนั้นบ่อยๆ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริงผมก็รู้สึกดีใจมากครับที่ได้มาเติมเต็มบางความรู้สึกที่คุณตาขาดหายไป เพราะการที่ผมได้คุยกับคุณตามันก็เป็นการเติมเต็มความรู้สึกบางอย่างของผมเช่นกัน

 

           คุณตาเล่าให้ผมฟังต่ออีกว่าครั้งหนึ่งแกเคยป่วย ลูกสาวแกอีกคนพาไปรักษาตัวที่กรุงเทพ ลูกสาวบอกแกว่า ไปกรุงเทพอาจทำให้อาการของคุณตาดีขึ้น แกไปอยู่กรุงเทพได้สองวันแกบอกเราว่า แกอยู่ไม่ได้ ต้องถอดเสื้อจ่อพัดลมตลอดเวลา แกบอกกรุงเทพร้อนอบอ้าวอยู่กันไปได้อย่างไร เดินออกมาก็ไม่รู้จะคุยกับใคร มีแต่คนทำหน้าบึ้งตึงเร่งรีบกันทั้งนั้น แกบอกลูกสาวเลยว่าขอกลับเพราะขืนฝืนอยู่ต่อไปแกคงได้ป่วยหนักกว่าเดิมแน่ๆ เราคุยกันอย่างสนุกสนานตั้งแต่ตาแกเริ่มสานตะกร้าจนตาแกสานตะกร้าเสร็จ ก็เป็นเวลาพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าเสียแล้ว ผมเริ่มเห็นว่ามันมืดเลยจะขอตัวลากลับแต่คุณตาก็บอกว่า“จะรีบไปไหนละ อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันก่อน เดี๋ยวคุณยายทำข้าวต้มไก่ให้กิน”ผมตอบรับด้วยความเกรงใจ เพราะผมไม่ชอบทานข้าวต้มสักเท่าไหร่ แสงแดดเริ่มลาลับขอบฟ้า ปรากฎเป็นความมืดเข้ามาแทนที่ ผมเข้าไปดูคุณยายทำข้าวต้มให้เราทาน แต่ก็เกิดความสงสัยว่าข้าวต้มบ้านคุณตาใส่พริกเยอะจัง เรารอสักพักคุณยายก็ทำกับข้าวเสร็จ พร้อมกับคุณตาที่อาบน้ำแต่งตัวเดินลงมา คุณตาเดินไปหลังบ้านกลับมาพร้อมลูกกลมๆเขียวๆสามลูก ยื่นให้ผมลูกหนึ่ง ผมถามคุณตาว่านี่คือลูกอะไร คุณตาบอกว่า แตงกวาไง ผมก็เพิ่งจะเคยเห็นแตงกวาอะไรลูกกลมอย่างกับแอปเปิ้ลแถมมีรสเปรี้ยวมาก ยายเสิร์ฟข้าวต้มใส่จานให้เรา หน้าตาน่าทานกว่าที่คิดไว้มากเป็นข้าวต้มที่มีน้ำนิดหน่อย คล้ายข้าวต้มกุ๊ยกลิ่นจากพืชผักสมุนไพรที่คุณยายใส่มันช่างหอมกว่าข้าวต้มทั่วไปมากคุณตาตำพริกไทยโรยใส่ในข้าวต้มให้ พร้อมเชิญชวนให้เราชิมมัน ผมตักข้าวต้มเข้าปากรับรู้รสชาติที่โคตรจะเผ็ดร้อนจากพริกไทย แต่ก็อร่อยในแบบฉบับข้าวต้มที่ไม่เคยทานมาก่อน ระหว่างมื้อเราทานไปคุยกันไปอย่างสนุกสนาน ผมขอตั้งชื่อมื้ออาหารนี้ว่า “ มื้ออาหารกับคนแปลกหน้าที่อบอุ่นที่สุดในชีวิต” เพราะถึงวันที่เขียนผมก็ยังไม่รู้จักชื่อตากับยาย แต่มื้ออาหารในวันนั้นผมรู้สึกถึงความอบอุ่นที่คุณตาคุณยายมีให้กับผม และอาหารมื้อนั้นก็ได้กลายเป็นความทรงจำอีกหนึ่งเรื่องราวที่ผมประทับใจและอยากจะบอกว่า ขอบคุณครับ สำหรับมื้ออาหารที่ทั้งอร่อย ทั้งสบายใจ และรู้สึกถึงความอบอุ่นที่คุณตา คุณยายมอบให้อย่างบอกไม่ถูก

          ผมเดินกลับจากบ้านคุณตา ผ่านความมืดมายังโรงเรียน เมื่อถึงทุกคนดูตื่นเต้นกับการกลับมาของผมมากชาติก็เป็นหนึ่งในนั้น “พี่หายไปไหนมาเนี้ย เขาตามหาพี่กันทั้งโรงเรียน” “ผมคิดว่าพี่โดนคนจับตัวไปเรียกค่าไถ่ซะแล้ว” “ก็คิดว่าพี่หลงป่าไปแล้ว” ผมหัวเราะพร้อมเล่าความจริงให้ทุกคนรู้แต่วันนี้กลับมาผมรู้สึกถึงความครื้นเครง และเด็กๆที่มารวมตัวกันในเวลานี้เยอะกว่าปกติ เหมือนกับกำลังมีปาร์ตี้อะไรกันบางอย่าง ใช่ครับวันนี้เด็กๆกำลังมีซ้อมการรำเพื่อใช้ในการแสดงวันเสาร์ที่จะมีงานทอดกฐินที่วัด ทุกคนปะแป้งขาว ใส่โสร่งบางคนก็หัวเราะร่าเริง บางคนก็ทำหน้าง่วงนอนอยากกลับบ้านถ้าให้เปรียบก็คงเหมือนกิจกรรมเชียร์ขึ้นสแตนด์หรือกิจกรรมการแสดงของเด็กมหาลัยปี 1 ละครับที่จะมีทั้งคนที่เต็มใจมาแสดงสนุกกับการซ้อมกับพวกที่ถูกบังคับมาเพราะหาคนมาแสดงไม่ได้แล้ว จะเด็กในเมืองในป่าก็ล้วนแล้วแต่มีอารมณ์ความรู้สึกเหมือนกันเลยนะ

          เด็กซ้อมกันอย่างตั้งใจโดยมีเด็กสาววัยรุ่นอายุราว19 20 จากหมู่บ้านอื่นมาเป็นคนซ้อมให้ ผมนั่งดูอย่างตั้งใจ พร้อมตบมือให้จังหวะตลอดเวลา ฟังไปฟังมาก็เพราะดีเหมือนกันถึงแม้จะฟังไม่ออกก็ตามเด็กซ้อมกันครั้งแล้วครั้งเล่าก็ยังไม่เป็นที่พอใจของคนคุมสักที มองดูเวลาก็เกือบสามทุ่ม แต่ทุกคนก็ยังตั้งหน้าตั้งตาซ้อมกันด้วยความพยายาม ผมก็นั่งฟังอย่างงัวเงียเพราะก็ง่วงนอนเช่นกัน ใจก็อยากนอนแต่ค่ำคืนนี้เป็นค่ำคืนสุดท้ายของผมกับที่นี่แล้ว ผมก็อยากจะเก็บภาพความทรงจำไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และแล้วค่ำคืนสุดท้ายของผมก็กำลังจะผ่านพ้นไป หลังจากที่หัวผมถึงหมอนจากความเหน็ดเหนื่อยตลอดทั้งวัน

 

บล็อกของ Storytellers

Storytellers
          ความว่างเริ่มเข้ามาในหัวสมองเมื่อผมกลับมาจากการตกปลาได้สักพักหนึ่ง มันส่งเสียงบอกผมว่า “เห้ย!นายต้องหาอะไรทำได้แล้วนะ”พร้อมนึกขึ้นได้ว่า เรานัดคุยกับคุณตาไว้นี่ผมไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปบ้านคุณตา คุณตากำลังสานตะกร้าจากไม้ไผ่ไว้ใช้เองอยู่คุณตาเห็นผมด้วยท่าทางทีใจ รี
Storytellers
          เป็นค่ำคืนที่หัวถึงหมอนแล้วรู้สึกอีกทีคือตอนตื่น ผมตื่นมาอย่างตื่นเต้นเตรียมพร้อมที่จะเดินขึ้นไปดูทะเลหมอกแต่มองออกไปก็เจอแต่ความมืดมิดของค่ำคืนที่ไม่มีไฟฟ้าและก็ไม่เห็นจะมีใครตื่นมากับเรา ในใจตอนนั้นถามว่าให้เดินขึ้นไปคนเดียวกล้าไหม ก็คงตอบอย่างมั่นใจว่าไม่กล้า
Storytellers
          พระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าเหล่านกกาบินร้องกลับรังก็ได้เวลาที่เรากลับมาที่โรงเรียน เพื่อเตรียมทำกับข้าว ซึ่งก็มีออเดิร์ฟมาเสิร์ฟเราถึงที่ เป็นหัวปลีคลุกเคล้ากับเครื่องปรุง ทอดกรอบๆ พูดแล้วก็อยากทานอีก เพราะรสชาติมันช่างกลมกล่อมลงตัวเป็นอย่างมาก โดยแม่ครัวใหญ่ของอาห
Storytellers
          เรานั่งรอคุณครูซามารับประมาณเกือบๆ 2 ชม.เพราะวันนี้ทางโรงเรียนติดส่งแขกที่เข้ามาบริจาคสิ่งของ แล้วรถของคุณครูก็มาถึงเป็นรถโฟวิลยกสูงคันใหญ่ ที่ขับมาโดยเด็กหนุ่มหน้าตาอย่างกับบอยแบรนด์เกาหลี ผมสวัสดีทักทาย ในใจก็คิดว่าสงสัยครูซาคงให้ลูกศิษย์ขับรถมาแทน แต่ก็ไม่ใช่
Storytellers
          เสียงนาฬิกาปลุกปลุกผมให้ลุกจากที่นอนรีบไปอาบน้ำ ผมสะพายเป้ ออกจากบ้านด้วยอารมณ์เรียบเฉยต่างจากวันก่อนที่อยากไปมากอย่างสิ้นเชิง คงเป็นเพราะบรรยายกาศที่มีฝนตกปรอยๆ และข้อมูลการเดินทางที่มีน้อยมาก มันเลยทำให้ผมไม่ได้คาดหวังอะไรมากจากการเดินทางครั้งนี้ผมนัดเจอกับชาต
Storytellers
หลังจากจบกิจกรรมในวันแรกเราทุกคนต้องนอนค้างด้วยกันและเช้าวันรุ่งขึ้นผมต้องรีบแหกขี้ตาขับรถกลับบ้านเพื่อแต่งตัวไปทำงาน ในขณะที่เพื่อนๆคนอื่นเตรียมตัวออกเดินทางโดยตลอดการเดินทางเราจะใช้ “APP C –Site”เพื่อติดตามเรื่องราวของกันและกัน ความรู้สึกที่เราต้องนั่งหงอยๆทำงานอยู่หน้าคอมทั้งที่เพื่อนคนอื่นออก
Storytellers
          ชีวิตในเมืองเต็มไปด้วยความวุ่นวายเร่งรีบของใครคนหนึ่ง โดยไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วเขาต้องการอะไรจากเมืองกรุงแห่งนี้จนเลื่อนมือถือไปๆมาๆเจอโพสหนึ่ง “เปิดรับเยาวชนนักเล่าเรื่องที่สนใจจะไปเที่ยว!
Storytellers
ก่อนได้ไปลงพื้นที่ที่สะเนพ่องเราได้ไปค่ายนักเล่าเรื่องในที่อื่น(Storytellers in Journey) ที่มูลนิธฺเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีปซึ่งทำให้เราได้เจอกับพี่ๆหลายๆคนและทุกๆคนน่ารักมาก แต่ในระยะเวลาที่เราได้อยู่ค่ายนั้นมันมีแค่ 2 วันคือวันที่7-8 พฤศจิกายน พ.ศ.2561 แล้วในตอนนั้นผมก็ยังมีโครงการของผมที่ยังต้องไ
Storytellers
บัติ-ใจ-สู้  สามคำที่อยากแนะนำตัวเองให้ทุกคนได้รู้จัก  “บัติ”  มาจากชื่อจริงชื่อ  สมบัติ  แก้วเนื้ออ่อน  “ใจ”  มาจากสิ่งที่เริ่มทำในชีวิตส่วนใหญ่มักเริ่มต้นมาจากความรู้สึกที่เกิดขึ้นผ่านใจ  ถ้าใจอยากทำ  ยังไงก็จะทำต่อไปจนสำเร็จให้ได้  ส่
Storytellers
ต่างคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า การเดินทางคือการซื้อประสบการณ์ที่ได้รับเงินทอนเป็นความสุข เป็นคำพูดที่มีความจริงเจือปนอยู่เป็นจำนวนมากแต่บางครั้งเงินทอนที่ได้รับอาจจะมาในรูปแบบที่โหดร้ายได้เหมือนกัน เพราะการเดินทางไปในแต่ละที่มักจะได้ประการณ์ที่ไม่เหมือนกัน และนี่ก็เป็นอีกประสบการณ์ที่ไม่รู้ว่า
Storytellers
          ผมได้เข้าร่วมโครงการ Storytellers in journey ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้ผมได้ออกเดินทางไปเรียนรู้อะไรใหม่ตามที่ต่างๆ และผมได้มีโอกาสเดินทางไปยังบ้านปลาบู่ จังหวัดหมาสารคาม เพื่อไปดูการจัดการธุรกิจแบบ Social Enterprise เพราะผมได้รู้มาว่าที่นั้นมีการทำธุรกิจแบบ