Skip to main content

หลังจากที่นอนคิดเกือบทั้งคืนว่าเราจะเก็บกระเป๋าไปพื้นที่เรียนรู้ที่ไหนดี(จากยี่สิบกว่าตัวเลือกที่ทางโครงการ storytellers in journey มีให้) เราก็ได้คำตอบสุดท้ายแล้ว พรุ่งนี้โมจะไปเสน่พ่อง! เรามีข้อมูลแค่ที่นี่เป็นศูนย์การเรียนรู้ชุมชนในป่าทุ่งใหญ่นเรศวร อยู่ที่ อำเภอสังขละ กาญจนบุรี ไม่มีสัญญาณมือถือ ไม่มีไฟฟ้า และสองอย่างสุดท้ายนี่แหละที่ทำให้ตัดสินใจไป อยากรู้ว่าตัวเองตอนที่ไลน์ไม่เด้ง ไม่มีคนโทรมามันเป็นยังไง อยากรู้ว่าการหาความสุขของคนในชุมชนนั้นเป็นยังไง ลึกๆก็กลัวนะ แม้ทางโครงการจะทำประกันไว้ให้ก็เถอะ กลัวว่าระหว่างที่เข้าไปอยู่ในนั้นที่บ้านจะมีเรื่องด่วนไหม ถ้าอาจารย์สั่งงานด่วนละ ไม่มีสัญญาณส่งอีเมล์ซะด้วย ถ้าเราป่วยตอนอยู่ในนั้นล่ะ แต่ก็มีประโยคนึงจากกัลยาณมิตรลอยมาว่า ถ้าไม่ไปครั้งนี้ก็ไม่น่าจะหาโอกาสได้อีก ชวนคนอื่นไปเขาคงไม่ไปกับเรา ใช้เวลานอนคิดว่าจะไปที่นี่ดีไหม 10 ชั่วโมง วางแผนการเดินทาง 1 ชั่วโมง และก็ออกเดินทางภายในสิบห้านาที ชนิดที่ว่าวางแผนเสร็จก็เดินไปโบกแท็กซี่เลย เป็นการวางแผนการเดินทางที่ใช้เวลาทำน้อยที่สุด และได้ออกเดินทางไวที่สุดเท่าที่เคยทำมา

ครั้งนี้จึงได้สอนกับตัวเองว่า สิ่งที่เข้าใจยากที่สุดคือตัวเอง เรื่องอื่นๆถ้าใจมันอยากไปเดี๋ยวก็จัดการได้หมด

 

สะเน่พ่อง

“สะเน่พ่องนะรึ ยายไปมาแล้ว บรรยากาศเขาดีจริงๆ” เป็นคำบอกเล่าของคุณยายคู่หูสองคนบนรถตู้โดยสาร ที่โดนพวกเราผูกมิตรเรียบร้อย หลังจากนั้นยายก็รีวิวเสน่พ่องฉบับสิบกว่าปีที่แล้วให้พวกเราฟัง ทำเอาอยากให้นาฬิกามันหมุนไวๆ อยากเข้าไปในชุมชนเร็วๆ แต่ยังไงวันนี้ก็เข้าไปในชุมชนไม่ทันอยู่ดี เพราะฉะนั้นเราจะไปเที่ยวสังขละบุรีกันก่อน

ไฟสีส้มเป็นร้อยๆดวงประดับ เหมือนดงหิงห้อยเมื่อมองไกลๆ ทำให้รู้ว่ารถตู้ใกล้ถึงจุดหมายแล้ว หลังจากที่วิ่งลัดเลาะภูเขามานาน คนที่นี่ไม่พลุกพล่าน แต่ก็ไม่น้อยให้วังเวง อากาศเย็นกำลังดี

ตอนเช้าพวกเราออกมาตักบาตรหน้าโฮมสเตย์ มีนักท่องเที่ยวและชาวบ้านรอคิวใส่บาตรกันยาวเหยียด ไม่มีบ้านหลังไหนที่หน้าบ้านไม่มีคนรอใส่บาตรเลย ที่น่าสังเกตคือที่นี่เขาไม่ทำกับข้าวใส่บาตรกัน ของที่ถวายพระจะมีแค่ข้าวสวยกับอาหารแห้งเท่านั้น อ้าวและพระท่านจะฉันท์ข้าวกับอะไรล่ะ คุณน้าเจ้าของบ้านได้เล่าให้ฟังว่า ที่นี่เขาจะมีเวรทำกับข้าวถวายพระ ทำเป็นหม้อๆไปถวายที่วัด ส่วนอาหารแห้งนี่พระจะเอาไปให้ชาวที่ขาดแคลน พวกเราตักบาตรเป็นธรรมเนียมอยู่แล้ว ไม่ได้ทำให้เป็นกิจกรรมนักท่องเที่ยวเฉยๆหรอกนะ ระหว่างที่พระบิณฑบาตรก็จะมีทหารคอยช่วยยกช่วยแบกให้ บ้านแต่ละหลังจะอยู่ติดๆกัน และไม่มีรั้วบ้านเลย แต่กลับรู้สึกปลอดภัยกว่ามีรั้วหลายๆชั้นอีก บรรยากาศที่นี่ทำให้รู้สึกถึงการอยู่ร่วมกันของทุกสถาบันอย่างกลมกลืน กลมกลืนแบบเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่ใช่มีสำนักงานอยู่ข้างๆกัน หรือมีโลโก้ข้างๆกันในป้ายไวนิลที่เห็นคนชอบทำกันบ่อยๆ 

หลังจากนั้นเราก็เดินข้ามสะพานมอญ แม้ว่าวันนี้ไม่ใช่วันหยุด แต่ก็ยังมีนักท่องเที่ยวเยอะอยู่ หมอกลอยเหนือแม่น้ำที่ทอดยาวพร้อมทั้งมีภูเขาขนาบซ้ายขวา โคตรคุ้มที่ตื่นเช้ามาจริงๆ สงสัยต้องนั่งเรือแล้วล่ะ มาทั้งที 
แล้วเราจะไป....ล่องเรือกัน

เรือ

"เรือ" เป็นยานพาหนะประเภทหนึ่งที่มีเสน่ห์มาก คนที่อยู่ในสิ่งนี้ จะสัมผัสกับบรรยากาศของเส้นทางได้อย่างเต็มอิ่ม โดยเฉพาะเรือลำนี้ ลำที่พวกเรานั่ง และมันกำลังพาเราไปดูต้นกำเนิดของแม่น้ำแควน้อย จุดที่แม่น้ำสามสาย(ซองกาเรีย,บีคลี่,รันตี)มาเจอกัน ก่อนที่จะถึงวัดจมน้ำ คุณลุงไกด์ดับเครื่องยนต์เพื่อไม่ให้คลื่นไปกระทบกับวัดจมน้ำ เป็นช่วงเวลาที่ทุกอย่างสงบประมาณสองนาที เหมือนเปิดจังหวะให้เราฟังและซึมซับบรรยากาศของกลางแม่น้ำ แค่นั่งนิ่งๆ ได้ยินทั้งเสียงนก เสียงน้ำไหล เสียงตามสายจากชุมชนไกลๆ

หลังจากนั้นคุณน้าเริ่มเล่าประวัติของวัดนี้ให้ฟัง มันสนุกดีนะ มันเป็นการฟังที่ต้องนึกภาพตามมากๆ เพราะที่เห็นตรงหน้า มีเหลือแค่ยอดฉัตร กับ ซากกำแพง(ที่มีแค่สามด้าน)สูงเหนือน้ำมาสักครึ่งเมตร หลังจากนั้นคุณน้าก็เปิดรูปในมือถือที่ถ่ายมาจากภาพเก่าสักที่ ในนั้นเป็นรูปอุโบสถหลังนี้ สมัยที่น้ำยังไม่ท่วม ในภาพยังมีคนมาทำบุญ มีรถจอดอยู่ พอเห็นนี่ยังคิดเลยว่ารูปนี้คือกลางแม่น้ำที่เรากำลังนั่งอยู่ในเรือจริงหรอ ถ้าบอกว่าคนละซีกโลกอาจจะเชื่อง่ายกว่า แต่ขณะที่พูดคุยคุณลุงไม่ได้แสดงสีหน้าที่เครียด หรือโมโหอะไร แต่กลับบอกว่า”เราก็ต้องอยู่ได้สิ ถ้าเขาปล่อยน้ำลงไป น้ำที่นี่ลดก็จริง แต่นาข้าวคนข้างล่างก็น้ำท่วม เราก็เห็นใจเขาน่ะ ถ้าไม่มีเขาใครจะปลูกข้าวให้เรากิน”

การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิประเทศทำให้คนที่นี่ต้องปรับตัว ทั้งตำแหน่งที่อยู่ และวิถีชีวิต รวมทั้งการประกอบอาชีพ ถึงแม้จะต้องปรับตัวมากมายจากช่วงเวลาที่เคยเติบโตมา แต่คำตอบของคุณลุงก็ยังแสดงถึงความเห็นอกเห็นใจ หลายครั้งสถานที่ที่เราไป เราไม่ได้ชื่นชมความสวยงามของสถานที่ได้เพียงอย่างเดียว ทุกๆอย่างมันทำให้เราหลงเสน่ห์ในสถานที่ได้หมด

ชิน

หากสัญญาณ wifi ช้าหรือไฟฟ้าดับไปซักครึ่งชั่วโมง อาจจะสร้างความหงุดหงิดให้เราบ่อยครั้ง อาจเป็นเพราะว่าเรามีทรัพยากรเหล่านี้ให้ใช้อย่างบ้าคลั่ง พึ่งพิงจนเป็นปัจจัยที่ห้าของชีวิต สรุปแล้วมันผิดที่อุปกรณ์ขัดข้อง หรือผิดที่เราเคยชินไปกับการหาความสุขจากสิ่งเหล่านี้จนเป็นนิสัย 

ชุมชนที่นี่มีสถานที่ที่สามารถใช้ไฟฟ้าได้เพียงแห่งเดียว นั่นคือศูนย์การเรียนรู้ชุมชน เป็นไฟฟ้าที่มาจากการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ แต่ไฟฟ้าของอาคารนี้มีความหมายมาก เอาไว้ใช้ให้นักเรียนอ่านหนังสือบนหอพัก หรือไม่ก็ชาร์จวิทยุสื่อสาร และให้แสงสว่างเวลาเข้าห้องน้ำตอนกลางคืน ขนาดคิดจะชาร์จโทรศัพท์ยังรู้สึกผิดเลย เก็บไฟฟ้าไว้ทำประโยชน์อย่างอื่นอาจจะมีประโยชน์มากกว่ามือถือ ถ้าวันไหนที่ใช้ไฟฟ้ามาก พอตกตอนกลางคืนไฟฟ้าที่เก็บไว้ก็จะหมด 

เช่นเดียวกับสัญญาณมือถือ มีหลายครั้งที่เราหงุดหงิดตอนที่โหลดอะไรสักอย่างช้า หรือดูการ์ตูนแล้วสะดุด พอมาอยู่กับชุมชนที่นี่เท่านั้นแหละ เออ เห้ย เรามีของพวกนี้ใช้จนฟุ่มเฟือยมาก มากจนไม่เห็นคุณค่าของมัน ครูที่นี่ไม่ได้ใช้สัญญาณเพื่อไถ instagram หรือ Twitter และที่นี่ก็ไม่มีเหลือใช้ขนาดนั้นด้วย เมื่อไหร่ที่ครูจำเป็นต้องใช้สัญญาณเพื่อโหลดเอกสารการเรียน หรือสื่อการเรียน คุณครูต้องเดินทางออกไปข้างนอกหมู่บ้านและโหลดไฟล์มาทำสื่อให้นักเรียน ปกติโทรศัพท์ของครูจะวางประจำอยู่ในจุดที่มีสัญญาณ(แค่ขีดสองขีด) อาจจะเป็นกลางสนามฟุตบอล หรือข้างเตาแก๊สในครัว ถ้าจะมีหน่วยงานข้างนอกติดต่อมา แล้วตอนนั้นมีเด็กวิ่งเล่นอยู่แถวนั้นพอดี ก็นับว่าโชคดีไป เด็กนักเรียนจะวิ่งไปบอกครูที่ทำธุระอยู่ให้มารับโทรศัพท์

เวลาพักของน้องๆที่นี่จึงไม่มีอะไรต้องพึ่งพิงปัจจัยภายนอกเลย น้องมักจะนั่งคุยกัน ร้องเพลงด้วยกัน เต้นด้วยกัน ตอนที่เจอภาพแบบนี้มันก็เป็นภาพวิถีชีวิตหนึ่งที่น่ารักดีนะ แต่มันก็สะกิดใจตัวเอง ให้รู้ตัวเหมือนกันว่าเราเคยตัวกับการหาความสุขของสิ่งเหล่านี้มากเกินไป แล้วเราก็ไม่เห็นคุณค่าของมันมากกว่าที่ควรด้วย เรารู้สึกเฉยๆ ถ้าเรื่องที่เราเรียนมีคอร์สออนไลน์ในยูทูปให้นั่งเหยียดขาเรียนที่หอแบบสบายๆ เรารู้สึกธรรมดาตอนที่เรามีไฟให้ต้มน้ำร้อนกินมาม่า หรือจะใช้เท่าไหร่ก็ได้ การไปเสน่พ่องได้สอนว่า เราควรใส่ใจกับคุณค่าของสิ่งที่เรามีอยู่ ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม

 

บทเพลงที่เป็นมากกว่าบทเพลง

“ความกลัว” แม้ว่ามันอาจจะเกิดจากการจินตนาการของเราก็จริงและหลายคนคงเข้าใจดี ว่ามันเป็นความรู้สึกที่ไม่มีใครอยากเจอบ่อยๆ ภาพรถกระบะที่มีพวกเรานั่งท้าย กำลังเดินทางบนถนนลูกรัง ไม่มีแสงสว่างใดนอกจากดวงจันทร์ สองข้างทางเป็นธรรมชาติที่สมบูรณ์ของทุ่งใหญ่นเรศวร(ตอนสี่ทุ่ม)ยังติดตา ขอบเขตของความมืดที่ยาวไกลจนประมาณไม่ได้ มองไปด้านไหนก็เห็นเหมือนมีกำแพงสีดำสนิท มาประชิดกับรถที่เรากำลังนั่ง มีเพียงอย่างเดียวที่สามารถหยุดความกลัวได้คือ “บทเพลง” 

แล้วบทเพลงที่ว่ามันจะต้องเพราะขนาดไหนหรอ ขึ้นท็อปชาร์จเลยรึเปล่า อันนี้เราก็ตอบไม่ได้หรอกนะ เราไม่ใช่คอดนตรี แต่ที่เรารับรู้ได้คือความรู้สึกของคนร้องที่เราได้สัมผัส เพลงร้องที่ผู้ร้องรับรู้ เข้าใจความหมายที่ลึกซึ้ง เนื้อเพลงที่ถูกแต่งจากคนในชุมชนและหลอมหลวมให้คนที่ขับร้องเป็นหนึ่งอันเดียวกัน เราคิดนะ ว่าคนร้องเขาอาจจะไม่ได้คิดเยอะเหมือนเรา แต่ในฐานะคนนอกที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่คนนึง พอไปนั่งฟังแล้วฟังแล้วยังไงก็ไม่เบื่อ ตลอดระยะเวลาสองชั่วโมงจากหมู่บ้านหนึ่งไปหมู่บ้านหนึ่ง น้องร้องเพลงตั้งแต่รถสตาร์ทยันดับเครื่องยนต์ ทุกคนสนุกและจดจ่อกับการร้องเพลง เหมือนอยู่ในคอนเสิร์ตที่ทุกคนมีอารมณ์ไปกับเพลงร่วมกัน แต่แค่ไม่มีไมค์เสียงดังๆ กับแสงไฟจ้าให้แสบตา บางทีคุณค่าของเพลง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความถูกต้องของตัวโน๊ต หรือจำนวนคนฟังที่เป็นล้านๆคน แต่อาจจะขึ้นอยู่กับเพลงนั้นมีผลกระทบต่อวิถีชีวิตคนมากเท่าใด

 

รีวิวหมา!

ลักษณะหนึ่งของทาสหมา คือจะชอบหมาทุกที่ ไม่ว่าไปที่ไหนก็จะอยากเล่นกับเจ้าสี่ขาชนิดนี้ การเดินทางครั้งนี้ก็เช่นกัน เราได้สังเกตุหมาทุกสถานที่ที่เราไป หมาในหมู่บ้านนี้มีนิสัยที่เฉพาะตัวมาก เริ่มจากการเดินเข้ามาจอแจ แล้วก็กระดิกหาง เหมือนว่ารู้จักกันมานานแล้ว เป็นแบบนี้เกือบทุกตัว หรือเวลาที่เราจะเดินไปไหนในหมูบ้าน หมาก็จะไปด้วย ไปด้วยในที่นี้คือไปกับเราด้วย เราแวะเขาแวะ เราไม่แวะเขาไม่แวะ ถ้าเราเดินช้าเขาหยุดรอ ถ้าเราเดินไวเขาจะวิ่งตามให้ทัน เป็นบอดี้การ์ดระดับพรีเมี่ยมได้เลย หน้าตาของหมาที่นี่จะคล้ายๆกัน เดาว่าคงจะเป็นญาติๆกัน และที่สำคัญคือ มันไม่เห่า! ปกติหมามันก็ต้องเห่าคนแปลกหน้าใช่ไหม หมาที่นี่เดินผ่านแล้วสามารถเข้าไปเล่นด้วยได้เลย มากสุดถ้าเขาไม่ถูกใจเรา เขาก็จะเดินหนี ระดับเฟรนด์ลี่นี่สิบดาว เราเลยถามชาวบ้านว่าหมาที่นี่ไม่เห่าหรอคะ เขาบอกว่าตอนกลางคืนถ้ามีคนมาก็เห่าอยู่น่ะ 
 

มีทริปอยู่เช้าวันนึง เราจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่หน้าผา ออกเดินทางประมาณตีห้ากว่าๆ หมาเจ้าก็ไปด้วย ไม่นอนตื่นสายเหมือนหมาที่เลี้ยงไว้ที่บ้าน เดินป่า ปีนเขา หมาก็ไม่เกี่ยงที่จะตามไป แต่ติดอยู่อย่างนึง มันชอบวิ่งสกัดขา แล้วต้องเป็นทางชันๆที่เดินเฉยก็ลำบากแล้วด้วยนะ ถ้าช่วงทางที่ง่ายๆนี่ไม่แซง ต้องวิ่งแซงตรงทางที่มันผาดโผด ณ จุดนั้นอยากกินวุ้นแปลภาษาของโดเรามอน แล้วจะได้ถามว่า หมาเจ้าคิดอะไรอยู่
 

ถึงอย่างไรก็ตามหมาที่นี่ก็มีนิสัยน่ารักใช้ได้ แม้จะมีหมัดประมาณแสนล้านๆตัว และที่สำคัญ มันเล่นกับกล้องเราทุกตัว ถ่ายรูปง่ายมาก หมาที่เลี้ยงยังไม่เชื่องขนาดนี้เลย อารมณ์คนกับหมาที่นี่ไม่เหมือนสัตว์เลี้ยง เหมือนบัดดี้กันมากกว่า ไปไหนไปด้วย

มิติของการบริจาค

การซื้อเสื้อผ้าซักตัว ไม่ได้เป็นเรื่องยากหรือปัญหาอะไร สำหรับวัยรุ่นอย่างเราๆ เพราะซื้อมาก็ใส่ได้หลายครั้ง ตัวนึงมีอายุการใช้งานที่นาน สามารถใส่ได้จนคุ้มราคา เบื่อก็เอาไปขายหรือบริจาค การเดินทางครั้งนี้ถือว่าโชคดีมากๆ เราได้ไปเห็นปลายทางของเสื้อผ้าที่พวกเราเคยบริจาค เพราะวันที่เราไปเป็นวันเดียวกันที่มีคณะจากข้างนอกนำของมามอบให้ชุมชน เสื้อผ้าที่ถูกขนมาบริจาคมันเยอะมาก เยอะเกินความต้องการ เยอะระดับที่ว่าถ้ามีราวแขวนพอก็สามารถเปิดตลาดได้เลย มองกลายๆก็เหมือนว่าเป็นการขนขยะขึ้นภูเขา คุณครูของชุมชนมีวิธีจัดการคือ ให้นักเรียนสามารถเลือกช็อปปิ้ง(จากกองบริจาค) ได้เพียงแค่คนละห้าชิ้นเท่านั้น ส่วนที่เหลือจะถูกส่งต่อไปยังชุมชนใกล้เคียงที่ขาดแคลน หรือบางทีอาจจะส่งไปถึงหมูบ้านของประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกัน การให้เป็นเรื่องดี แต่การให้ในสิ่งที่ตรงความต้องการย่อมดีกว่า 

นอกจากเสื้อผ้าแล้วก็ยังมีอาหาร แต่อาหารก็จะมีรูปแบบที่ซ้ำๆ ข้าวสาร มาม่า ปลากระป๋อง เราได้มีโอกาสเข้าไปช่วยเขาจัดห้องสเบียง คือมันมีเยอะมาก มีกองกระสอบข้าวสาร กับลังมาม่าตั้งสูงกว่าตัวเรา เลยถามน้องที่อยู่ข้างๆ(แบบไม่ได้คิด)ว่า เรามีอาหารแห้งเยอะแบบนี้ตลอดเลยหรอ “ไม่ค่ะ เวลาไม่มีก็ไม่มีเลย” นอกจากความต้องการของที่จะนำมาช่วยเหลือ แต่ละประเภทไม่เท่ากัน แต่ละช่วงเวลาความต้องการก็ไม่เหมือนกันด้วย 

นอกจากนี้ก็ยังมีคอมพิวเตอร์ประมาณสิบกว่าตัว ที่ถูกตั้งอยู่ในห้องสมุดของโรงเรียนที่ต้องใช้ไฟฟ้าแบบประหยัด หรือหนังสือเรียนหลักสูตรกระทรวงปี 44 ที่ไม่ดึงดูดใจเด็กวัยมัธยมอยู่ในชั้นวางห้องสมุด ความสุขของการให้คือเราได้รับความสุขของผู้รับ ที่ได้รับแล้วชีวิตเขาดีขึ้น การให้ที่ให้แล้วตัวเองรู้สึกสบายใจ โดยไม่ได้ประเมินความเหมาะสมของสถานะผู้รับ มันเป็นเหมือนการยื่นขยะ ให้มันผ่านจากมือเรา ก็เท่านั้นเอง บทความนี้เขียนเพื่อเตือนตัวเองไว้ว่า ถ้าคิดจะช่วยเหลือใคร เราควรศึกษาความต้องการของผู้รับก่อน ไม่ใช่เอาตัวเองมาคิดว่าเขาน่าจะอยากได้โน่นน่ะ นี่นะ มันไม่ตรงความต้องการ และมันก็กลายเป็นขยะบนภูเขาด้วย 

 

ล้างหมู่บ้าน

เวลาที่เราเดินทางโดยปราศจากมือถือ จะทำให้เราสนใจและสังเกตุสิ่งรอบตัวได้มากและละเอียดขึ้น รอยคราบสีน้ำตาลอ่อนๆบนผนัง ที่ปรากฎให้เห็นเกือบทุกบ้านขณะเดินรอบชุมชน เป็นสื่อช่วยให้เราเห็นภาพเหตุการณ์ได้เป็นอย่างดี ประกอบกับคำบอกเล่าเหตุการณ์ของคนในชุมชนระหว่างที่เดินเที่ยวรอบหมู่บ้าน ทำให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น

น้ำท่วมเราว่ามันเป็นปัญหาที่ทุกคนไม่ได้รู้สึกว่ามันแปลกอะไร เมื่อพูดถึงน้ำท่วม มีไม่กี่อย่างที่เราจะนึกถึง สาเหตุ และการช่วยเหลือ แต่สิ่งที่เราไม่เคยเจอเลยคือแนวคิดของคนที่นี่ มีประโยคนึงที่ได้ฟังแล้วรู้สึกปลื้มมาก “เราทำผิดบาปไว้ เขาจึงเอาน้ำมาล้างหมู่บ้าน” ฟังดูเผินๆแล้วนี่มีแต่ความเชื่อล้วนๆ ถ้าเหตุการณ์เดียวกันไปเกิดกับคนข้างนอกอาจจะเป็นเรื่องใหญ่มาก อาจจะทะเลาะกันเรื่องปล่อยน้ำ สูบน้ำ ความช่วยเหลือที่เข้าไม่ถึงหรือไม่ดีพอ มีความผิดมากมายที่ไม่ได้มาจากตัวเอง เราชอบคนที่นี่มากๆ หยุดที่ตัวเองก็จบ ตลอดระยะเวลาที่คุย คุณครูได้เล่าให้ฟังอย่างละเอียดว่าน้ำมาตอนไหน สูงขนาดไหน หมาแมว คน ไปอยู่ที่ไหน ความชุลมุนตอนนั้นเป็นยังไง เขาจัดการคนในหมู่บ้านเพื่อช่วยเหลือกันยังไง เพราะที่นี่อยู่กันเป็นหมู่บ้าน ไม่มีหน่วยงานที่รับผิดชอบสาธารณะภัยเหมือนคนเมือง

การพึ่งพาตนเองและเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันจึงเป็นสิ่งที่ต้องทำทุกเรื่อง ทุกขณะ เราหลงรักนิสัยของคนที่นี่มาก พอมาเปรียบเทียบแล้วยังรู้สึกเลยว่า ทำไมนิสัยเราแย่จัง การเที่ยวครั้งนี้ไม่ได้เรียนรู้แค่ว่าที่นี่มีอะไรอย่างเดียว แต่วัฒนธรรม วิธีการคิด วิถีชีวิตนี่เราก็ต้องเรียนรู้อีกมาก ความรู้ระดับเด็กแรกเกิดเลยก็ว่าได้

 

 

บล็อกของ Storytellers

Storytellers
          ความว่างเริ่มเข้ามาในหัวสมองเมื่อผมกลับมาจากการตกปลาได้สักพักหนึ่ง มันส่งเสียงบอกผมว่า “เห้ย!นายต้องหาอะไรทำได้แล้วนะ”พร้อมนึกขึ้นได้ว่า เรานัดคุยกับคุณตาไว้นี่ผมไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปบ้านคุณตา คุณตากำลังสานตะกร้าจากไม้ไผ่ไว้ใช้เองอยู่คุณตาเห็นผมด้วยท่าทางทีใจ รี
Storytellers
          เป็นค่ำคืนที่หัวถึงหมอนแล้วรู้สึกอีกทีคือตอนตื่น ผมตื่นมาอย่างตื่นเต้นเตรียมพร้อมที่จะเดินขึ้นไปดูทะเลหมอกแต่มองออกไปก็เจอแต่ความมืดมิดของค่ำคืนที่ไม่มีไฟฟ้าและก็ไม่เห็นจะมีใครตื่นมากับเรา ในใจตอนนั้นถามว่าให้เดินขึ้นไปคนเดียวกล้าไหม ก็คงตอบอย่างมั่นใจว่าไม่กล้า
Storytellers
          พระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าเหล่านกกาบินร้องกลับรังก็ได้เวลาที่เรากลับมาที่โรงเรียน เพื่อเตรียมทำกับข้าว ซึ่งก็มีออเดิร์ฟมาเสิร์ฟเราถึงที่ เป็นหัวปลีคลุกเคล้ากับเครื่องปรุง ทอดกรอบๆ พูดแล้วก็อยากทานอีก เพราะรสชาติมันช่างกลมกล่อมลงตัวเป็นอย่างมาก โดยแม่ครัวใหญ่ของอาห
Storytellers
          เรานั่งรอคุณครูซามารับประมาณเกือบๆ 2 ชม.เพราะวันนี้ทางโรงเรียนติดส่งแขกที่เข้ามาบริจาคสิ่งของ แล้วรถของคุณครูก็มาถึงเป็นรถโฟวิลยกสูงคันใหญ่ ที่ขับมาโดยเด็กหนุ่มหน้าตาอย่างกับบอยแบรนด์เกาหลี ผมสวัสดีทักทาย ในใจก็คิดว่าสงสัยครูซาคงให้ลูกศิษย์ขับรถมาแทน แต่ก็ไม่ใช่
Storytellers
          เสียงนาฬิกาปลุกปลุกผมให้ลุกจากที่นอนรีบไปอาบน้ำ ผมสะพายเป้ ออกจากบ้านด้วยอารมณ์เรียบเฉยต่างจากวันก่อนที่อยากไปมากอย่างสิ้นเชิง คงเป็นเพราะบรรยายกาศที่มีฝนตกปรอยๆ และข้อมูลการเดินทางที่มีน้อยมาก มันเลยทำให้ผมไม่ได้คาดหวังอะไรมากจากการเดินทางครั้งนี้ผมนัดเจอกับชาต
Storytellers
หลังจากจบกิจกรรมในวันแรกเราทุกคนต้องนอนค้างด้วยกันและเช้าวันรุ่งขึ้นผมต้องรีบแหกขี้ตาขับรถกลับบ้านเพื่อแต่งตัวไปทำงาน ในขณะที่เพื่อนๆคนอื่นเตรียมตัวออกเดินทางโดยตลอดการเดินทางเราจะใช้ “APP C –Site”เพื่อติดตามเรื่องราวของกันและกัน ความรู้สึกที่เราต้องนั่งหงอยๆทำงานอยู่หน้าคอมทั้งที่เพื่อนคนอื่นออก
Storytellers
          ชีวิตในเมืองเต็มไปด้วยความวุ่นวายเร่งรีบของใครคนหนึ่ง โดยไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วเขาต้องการอะไรจากเมืองกรุงแห่งนี้จนเลื่อนมือถือไปๆมาๆเจอโพสหนึ่ง “เปิดรับเยาวชนนักเล่าเรื่องที่สนใจจะไปเที่ยว!
Storytellers
ก่อนได้ไปลงพื้นที่ที่สะเนพ่องเราได้ไปค่ายนักเล่าเรื่องในที่อื่น(Storytellers in Journey) ที่มูลนิธฺเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีปซึ่งทำให้เราได้เจอกับพี่ๆหลายๆคนและทุกๆคนน่ารักมาก แต่ในระยะเวลาที่เราได้อยู่ค่ายนั้นมันมีแค่ 2 วันคือวันที่7-8 พฤศจิกายน พ.ศ.2561 แล้วในตอนนั้นผมก็ยังมีโครงการของผมที่ยังต้องไ
Storytellers
บัติ-ใจ-สู้  สามคำที่อยากแนะนำตัวเองให้ทุกคนได้รู้จัก  “บัติ”  มาจากชื่อจริงชื่อ  สมบัติ  แก้วเนื้ออ่อน  “ใจ”  มาจากสิ่งที่เริ่มทำในชีวิตส่วนใหญ่มักเริ่มต้นมาจากความรู้สึกที่เกิดขึ้นผ่านใจ  ถ้าใจอยากทำ  ยังไงก็จะทำต่อไปจนสำเร็จให้ได้  ส่
Storytellers
ต่างคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า การเดินทางคือการซื้อประสบการณ์ที่ได้รับเงินทอนเป็นความสุข เป็นคำพูดที่มีความจริงเจือปนอยู่เป็นจำนวนมากแต่บางครั้งเงินทอนที่ได้รับอาจจะมาในรูปแบบที่โหดร้ายได้เหมือนกัน เพราะการเดินทางไปในแต่ละที่มักจะได้ประการณ์ที่ไม่เหมือนกัน และนี่ก็เป็นอีกประสบการณ์ที่ไม่รู้ว่า
Storytellers
          ผมได้เข้าร่วมโครงการ Storytellers in journey ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้ผมได้ออกเดินทางไปเรียนรู้อะไรใหม่ตามที่ต่างๆ และผมได้มีโอกาสเดินทางไปยังบ้านปลาบู่ จังหวัดหมาสารคาม เพื่อไปดูการจัดการธุรกิจแบบ Social Enterprise เพราะผมได้รู้มาว่าที่นั้นมีการทำธุรกิจแบบ