คำเตือน
การพยายามร้อยเรียงเรื่องราวมันคงจะชัดเจนจนสับสนมาก
อ่านประโยคเดียวงงไหมคะ?
ไม่ต้องพยายามเข้าใจอะไรให้มันง่ายหรอกค่ะ เดี๋ยวมันไม่สนุก ไปกันแบบงงๆกับคนงงๆดีกว่า
.
Pre-
ช่วงประมาณกลางเดือนตุลาคม 2561
Storytellers In Journey นักเล่าเรื่องในที่อื่น
“เปิดรับเยาวชนนักเล่าเรื่องที่สนใจสะไปเที่ยว” คำสะดุดจากเพจ ‘สมัชชาเครือข่ายปฏิรูปการศึกษา’ การสมัครเพียงการเล่าเรื่องใดใดที่ใจต้องการ
วันที่ 26 ตุลาคม 2561
หลังจากนั่งพรรณาครุ่นคิดแล้ว คิดมาก คิดเพ้อเจ้อ ปรับเปลี่ยนคำนามที่ใช้เรียกแทนตัวเอง ปรับเปลี่ยนเรื่องราวให้ดูกระชับ เพื่อเหตุอะไรก็ไม่รู้สิ ไม่นานมากนักก็ตัดสินใจส่ง ส่งแบบมีความหวัง แต่ก็พอทำใจเพราะตัวเองเล่าเรื่องออกมาไม่เอาไหน แต่ก็ต้องลุ้นกันไป ในใจภาวนาให้ประกาศผลโดยเร็ว เพื่อที่จะได้คิดวางแผนชีวิตต่อ เพราะเพื่อนล้วนนัดเที่ยวก่อนออกฝึกงาน
วันที่ 2 พฤศจิกายน 2561
ช่วงเวลาเช้าแล้ว จนล่วงเลยบ่ายแล้วหนา สุดท้ายก็มีEmailเข้ามา แสดงว่าเราไม่ได้ เราคงไม่มีวาทะศิลป์มากพอกับการพิมพ์เล่า จึงตัดสินใจในใจจะเดินทางไปเที่ยวกับเพื่อนที่เชียงคานในวันที่4 ผิดหวังเล็กๆแต่ไม่เป็นไรนะ ฮึบ
วันที่ 4 พฤศจิกายน 2561
ในยามดึกมืดค่ำ ออกเดินทางจากหมอชิตกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่เชียงคาน จังหวัดเลย แผนของการเดินทางในครั้งนี้ เพื่อการพักผ่อนสมอง กายา และจิตใจ ให้มีความพร้อมผจญโลกกว้าง หมู่เพื่อนพ้องล้วน
นึกถึงการฝึกงานที่ใกล้เข้ามา ช่วงเวลามีการหมุนเวียนสู่วัยทำงานจะต้องมีสิ่งเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน
พวกเราเดินทางในวันที่4 อยู่พักกันถึงเย็นๆ วันที่7 คิดว่าคงเพียงพอให้จิตใจสงบ
วันที่ 5 พฤศจิกายน 2561
ณ เชียงคาน จังหวัดเลย
หลังจากการเดินทางเมื่อคืนผ่านมาอย่างราบรื่น พวกเรามาถึงจุดหมายในรุ่งเช้า เมื่อลงจากรถทัวร์มีหมอกจางๆทักทาย เดินตรงไปเล็กน้อยจะเจอตลาดสด ผู้คนมาจับจ่ายซื้อของสดและอาหารเช้า บ้างก็ใส่บาตร ตามวิถีชาวบ้านที่เรียบง่าย
ตามธรรมเนียมของที่พักทั่วไป ให้ผู้พักเข้าCheck-Inในเวลาเที่ยง-14.00 เป็นต้นไป แต่เรามากันในวันธรรมดา และได้เจอกับพี่ผู้ดูแลที่พักที่ใจดี พี่อนุญาตให้พวกเราเข้าพักในบ้านพักก่อนเวลา แนะนำสถานที่ต่างๆอย่างเป็นกันเอง พวกเราจึงตัดสินใจนอนพักผ่อนก่อน ช่วงเย็นๆจะออกไปเดินถนนคนเดิน ในวันรุ่งขึ้นจะออกเดินทางไปภูทอก(สถานที่ดูทะเลหมอก)และสถานที่อื่นๆโดยเช่ามอร์เตอร์ไซค์ ขับกับตามความอยากไป
แต่แล้ว เวลาประมาณ บ่าย2โมง
ฉันกำลังงัวเงียจากการนอนกลางวัน มีเสียงโทรศัพท์ดัง ครืด ครืด เป็นเสียงโทรศัพท์ที่วางไว้กับโต๊ะไม้ ฉันรวบรวมสติและรับสาย
“สวัสดีค่ะ” ฉันพยายามเรียกสติ
“สวัสดีค่ะ น้องกฤษณ์มนนะคะ จากโครงการStoryteller In Journey ค่ะ อย่างที่มีการแจ้งไปว่าอยากให้มีการแลกเปลี่ยนการเล่าต่างๆ บลาๆๆๆๆ น้องสะดวกเข้ามาร่วมกันไหมคะ” ปลายสายอธิบายวัตถุประสงค์ที่โทรมา
“… คะ?” ฉันพยายามเรียกสติอยู่! ห้ะ ห้ะ อะไรนะ เดี๋ยวก่อน ฉันได้ไปหรอวะ เอ๊ะ อ๊ะ เอออออ
“ค่ะ น้องยังสะดวกมาไหมคะ” ปลายสายย้ำในสิ่งที่พูดไป
“ค่ะ สะดวกค่ะ ไปได้เลยค่ะ” ฉันตัดสินใจภายใน เสี้ยววินาที พร้อมนึกในใจว่าคงต้องรีบจองตั๋วกลับกรุงเทพฯ
หลังจากบทสนทนานี่จบลง พี่ผู้ประสานงานแจ้งถึงรายละเอียดต่างๆพร้อมส่งกำหนดการมาให้กำหนดการจะมีWorkshop วันที่7เวลา10โมงเช้า และวันที่8-11คือการเดินทางท่องเที่ยวเรียนรู้สาธารณะจุดสำคัญนาทีนี้ฉันกำลังตื่นเต้นถึงการเรียนรู้ใหม่ พร้อมกับโครงการดีๆ
ฉันตัดสินใจบอกเพื่อนๆว่ามีสิ่งสำคัญที่ต้องกลับกรุงเทพฯก่อน ตอนเย็นเพื่อนๆจึงพาฉันมาเปลี่ยนตั๋วเดินทางจากวันที่ 7 มาเป็นวันที่ 6 ในตอนเย็นแทน เพื่อให้วันที่ 6 ช่วงเช้ากลางวันได้เที่ยวเชียงคานตามกำหนด และกลับมาทันเข้าตามกำหนดการของโครงการ
วันที่ 6 พฤศจิกายน 2561
วันแห่งการท่องเที่ยงเชียงคาน เช้าแล้วหนา เช้าตรู่เวลาประมาณ ตี4 เพื่อนอีก2คนจากกรุงเทพฯ เดินทางมาสมทบ โทรมาเพื่อบอกว่าถึงเชียงคาน ให้พวกเราที่นอนอยู่ตอนนี้ตื่นไปรับ พวกเราจึงไปรับเพื่อนมาที่พักเพื่อฝากของก่อน และเดินทางออกจากที่พักในเวลาตี 5
ตอนนี้เวลา 5.00 น. เดินทางออกจากที่พักโดยการขับมอเตอร์ไซค์ฝ่าหมอกเย็นๆ ขึ้นเขาไปที่ภูทอก เพื่อดูทะเลหมอก และตอนรับเจ้าพระอาทิตย์ที่กำลังจะมา ในการขับมอเตอร์ไซค์ไม่ยากนัก แต่การไปให้ถูกเส้นทางนั้นคือสิ่งที่ยาก มีหลงอ้อมไปบ้างแต่ก็ไปจนถึง เมื่อถึงตีนเขาทางขึ้นภูทอก จะมีเจ้าหน้าที่รับฝากมอเตอร์ไซค์ ให้เราต่อรถขึ้นไปด้านบน เพื่อความปลอดภัยของชีวิตต้องปฏิบัติตาม เมื่อไปถึงแล้วสัมผัสได้ถึงไอเย็นสบาย มองทอดสายตาไป300องศา เป็นทะเลหมอกที่สวยกว่าในรูปภาพร้อยเท่า ทะเลหมอกเหมือนปุยนุ่นรวมๆกัน ตัดกับสีท้องฟ้าส้มนิดๆค่อยๆเปลี่ยนสีจ้าขึ้นตามการขึ้นของพระอาทิตย์ รู้สึกเหมือนได้รับกำลังใจจากธรรมชาติ นึกถึงรอยยิ้มยามท้อแท้ที่ครอบครัวมอบให้
หลังจากการชมทะเลหมอก พวกเราได้ใส่บาตรต้อนรับสิ่งดีๆตามความเชื่อชาวพุทธ และขับมอเตอร์ไซค์ตระเวนทั่วล้า ข้ามอำเภอ ตามความคะนองของวัย
และแล้วก็เย็น ทุกคนมาส่งฉันขึ้นรถเพื่อกลับกรุงเทพฯ โบกมืออำลากันประนึงว่าจะไม่เจออีก แต่ไม่หรอกที่เราอำลากันอาจเป็นเพราะโอกาสที่จะมาเที่ยวด้วยกันมันไม่มากนัก เลยต้องใช้เวลาและซึมซับมัน ถึงเวลาที่ฉันได้อยู่ที่นี้มันจะน้อยไป แต่มันก็เป็นเวลาที่มีคุณค่าให้จดจำ และเป็นช่วงเวลาดีๆ
วันที่ 7 พฤศจิกายน 2561
หาววววว อ้าปากน้ำตาเล็ด ขณะนี้เวลาประมาณตี5 ฉันรู้สึกตัวเป็นระยะตลอดเวลาที่นั่ง(นอน)บนรถทัวร์ ผ่านมาร่วมสิบชั่วโมง การเดินทางจากเชียงคาน จังหวัดเลย สู่หมอชิต กรุงเทพฯ เวลากำหนดการของโครงการStoryteller In Journey เริ่มที่10โมง ตอนนี้เพิ่งจะตี5 ขอกลับบ้านไปนอนก่อนแล้วกัน
หึบ ! ถึงบ้านอย่างปลอดภัยขอนอนสัก1งีบ ในใจมุ่งคิดวิธีการไปเรือนร้อยฉนำ (สถานที่จัดWorkshop) แต่งตัวอะไรดี ตื่นเต้นเบาๆ คนที่ไปต้องเก่งแน่ๆเลย เอาวะเราไปเพราะอยากไปเที่ยว ไม่ได้หวังเรียนรู้แต่อย่างใด(55555555555555) อะอะ ขอนอนตื่นมาคงไปได้พอดี
สคิปข้ามวาปมาWorkshop ณ เรือนร้อยฉนำ!
“ขณะนี้เวลา 10 นาฬิกา 0นาที 0วินาที”เคยได้ยินปะจากวิทยุอะ แต่คือฉันไม่ได้มีหรือฟังวิทยุอยู่ เพียงแต่หันมองหน้าจอโทรศัพท์เวลามันขึ้นหราเหมือนตอกย้ำความสายนี้ สายไม่พอยังหลงอีก ให้ตายสิไม่ทันแล้วโว้ยยยย ฉันโดยสารพี่แกรป(Grab) พี่แกรปก็ไม่รู้จักไอที่ฉันปักหมุดจะถูกรึเปล่าก็ไม่รู้ เอาวะ!! ไม่ได้จะสู้ต่อนะ แต่ตัดสินใจโทรหาพี่ที่โครงการให้คุยกับพี่แกรป 5555555
~ แต่เราก็หากันจนเจอ .. ถึงแล้วจ้าทางเข้าเรือนร้อยฉนำ เห้อม ทางเข้านี้จะถูกปะเนี่ย
เอาวะ! สู้ .. ฉันเจอพี่ผู้ชายคนนึงแกคงสงสัยไอนี่เป็นใคร ท่อมๆมองๆ แกตัดสินใจเข้ามาถามฉัน
“จะไปไหนรึเปล่าครับ”
“พอดีมาเรือนร้อยฉนำคะ พอจะทราบไหมคะ”
“อ๋อครับ เชิญเลยครับมาถูกแล้ว”
เขร้!ในใจเบาๆ ฉันมาถึงที่หมายแบบสายๆ แต่ ณ ตอนนั้นมาถึงก็ดีใจแล้ว
ฉันมาถึงในช่วงเวลาที่พี่ๆทีมงานแนะนำตัวไปแล้ว กำลังจะเริ่มแนะนำเพื่อนร่วมโครงการ หว่าาา พลาดจริงเชียว แต่ไม่เป็นไรเราต้องMove on ตีเนียนไปจ้ะ
”สวัสดีครับ/ค่ะ.. จากคณะศิลปศาสตร์ จาก~นิเทศ ” (จากอิสานบ้านนามาอยู่กรุง ~ เสียงเพลงมาเฉย555555555) นี่คือการแนะนำตัวจากหลากหลายบุคคลที่เข้าร่วมโครงการ ดีกรีการบอกเล่าการถ่ายทอดนานาคงจะดีแน่ๆ คิดว่าฉันจะดูถูกตัวเองหรอ ไม่หรอก ฉันไม่ได้มาเพื่ออะไร ฉันมาเพื่อเที่ยวววว!!
จบการแนะนำตัวเอง ก็ไปจ้ะ Workshop
ขออนุญาตสรุปโดยสังเขป Workshop นี้เป็นการละลายพฤติกรรม แลกเปลี่ยนความคิด และที่สำคัญคือเสริมความรู้ความเข้าใจที่อาจผิดพลาดระหว่าง ‘การศึกษา’ กับ ‘การเรียนรู้’
การศึกษา คือ การสิ่งที่เราจำเป็นต้องศึกษา มีข้อแม้ กฎระเบียบ นานาจิตตัง เป็นไปอย่างมีระบบ มีขั้นตอน มีตัวชี้วัดเหมือนกับเราต้องเข้าเรียนกันตามหลักสูตรพื้นฐาน
การเรียนรู้ คือ การที่เราเรียนรู้โดยไม่ได้บังคับ ไม่ได้มีกฎระเบียบ ไม่มีขั้นตอน อย่างการที่เรานั่งรถเมล์ผิดสาย มันทำให้เราเรียนรู้ว่าควรนั่งรถสายอะไรให้ถูกต้อง
ทุกวันนี้อาจมีการเถียงกันไปมา เกิดข้อโต้แย้งเยอะแยะ ทำไมการศึกษาไทยไม่เป็นแบบนู่นแบบนี้
ไอเถียงไอค้านฉันเองก็เป็นนะ แต่พอมาแยกจริงๆระหว่างการศึกษากับการเรียนรู้ ก็เริ่มเข้าใจมากขึ้น
บางสิ่งที่เราอยากศึกษามันไม่จำเป็นหรอก มันสามารถเรียนรู้ได้ถ้าอยากทำและชอบมันจริงๆ
จบการ Workshop
ผ่านมาเนิ่นนานล่วงเลยจนดึกดื่น เอ๋ ทำไมเพื่อนๆเอากระเป๋ามาบ้าง ดูไม่กระวนกระวายกลับบ้านดึก จึงตัดสินใจถามเพื่อน ได้ความว่า เขาให้เตรียมเสื้อผ้ามานอนด้วย มานอนด้วย มานอนด้วยยยยย โว้ยยย (วันคืนเก่าๆยังคอยย้ำอยู่ในช่วงเวลา~) ช้ำให้สุด ตั้งแต่มาสาย หลง ยันไม่รู้เรื่องต้องกลับบ้านไปละกลับมาใหม่ในวันรุ่งขึ้น
ตามโครงการเที่ยวนี้ เราก็ต้องวางแผน ดูงบประมาณ คุยกับพื้นที่ ทำทุกอย่างเอง ส่วนตัวอยากไปใต้เกิดมาไม่เคยไปเลย อีกอย่างอยากไป3จังหวัดชายแดน แต่ในโครงการยังมีข้อจำกัดนิดหน่อย ด้วยความเป็นห่วงความรู้สึกของพ่อแม่ ก็ต้องขอให้ไปได้แค่ในพื้นที่ที่มีในแผนที่ในแอพพลิเคชั่น C-site Reporter กล่าวถึงแอพหน่อยนึง แอพนี่เป็นแอพที่เราสามารถบอกเล่าเหตุการณ์ของพื้นที่ต่างๆ ชาวบ้านเองก็สามารถทำได้
ถ้าอ่านข่าวทั่วไปเบื่อๆมาอ่านตามชาวบ้านก็สนุกดี และในวันรุ่งขึ้นฉันก็จะเป็นผู้รายงานผ่านแอพนี้
ถึงเวลาอำลาจากเพื่อนๆโครงการพี่ๆทีมงาน กลับบ้านในเวลา4ทุ่ม และกลับมาในวันรุ่งขึ้น 9โมงเช้า พร้อมมีการบ้านคือการคิดว่าจะไปที่ไหน เขียนงบประมาณมา ที่สำคัญคือคุยกับตัวเองว่าต้องการอะไร?