Skip to main content

โศกนาฏกรรมสองฝั่งน้ำ


มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับสายน้ำเรื่องหนึ่งที่ผู้เฒ่าปกากะญอ มักเล่าให้ลูกหลานฟังอยู่เสมอ เรื่องเล่าเรื่องนี้มีอยู่ว่า


นานมาแล้วมีเจ้าเมืององค์หนึ่งจะตึกแค-กั้นน้ำ เพื่อจับปลาในแม่น้ำสาละวิน ให้ลูกที่อยากกิน ปลาตัวนี้ใหญ่มาก ส่วนหัวของปลาอยู่โจโหละกุย-วังน้ำใหญ่อยู่ในเขตสาละวินตอนกลาง ลำตัวของปลายาวลงไปตามลำน้ำ ส่วนหางอยู่ที่แจแปนทีลอซู แต่ก็มีเรื่องที่ทำให้ชาวบ้านชาวเมืองตกอกตกใจ เพราะหากว่าเลือดหรือน้ำมันจากปลาตัวนี้ไหลลงพื้นดินเมื่อใด แผ่นดินก็จะลุกเป็นไฟ


เมื่อชาวบ้านทราบข่าวก็เกิดความกังวลว่า เมื่อน้ำท่วมบ้านแล้วไม่รู้ว่าจะหนีไปอยู่ที่ไหน หลังจากความเป็นห่วงของชาวบ้านแพร่ออกไปจากปากสู่ปาก มารชื่อมะกอลี ก็ทราบเรื่อง จึงขออาสามาขัดขวางการตึกแคของเจ้าเมือง โดยครั้งแรกมารมะกอลีไปบอกท่านเจ้าเมืองว่า ลูกตาย ช่วยไปทำศพให้หน่อย เจ้าเมืองซึ่งกำลังจะกั้นน้ำอยู่ก็ตอบกลับมาว่า ลูกตายไปก็มีลูกใหม่ได้


เมื่อพูดจบเจ้าเมือง ก็เริ่มทำงานของตนต่อไปไม่สนใจเจ้ามารมะกอลี หลังจากเห็นว่าเจ้าเมืองไม่สนใจ มารมะกอลีก็จากไป แต่จากไปไม่นานก็กลับมาใหม่แล้วบอกกับเจ้าเมืองว่า เมียตายช่วยไปทำศพให้หน่อยเถิด เจ้าเมืองก็ตอบกลับมาว่า เมียตายก็หาเมียใหม่ได้ แล้วเจ้าเมืองก็กั้นน้ำต่อไป


เมื่อบอกกับเจ้าเมืองถึง ๒ ครั้งไม่สำเร็จ ในครั้งที่สามมะกอลีก็มาบอกกับเจ้าเมืองว่า แม่ตายช่วยไปทำศพให้หน่อยเถิด เจ้าเมืองไม่รู้จะตอบไปอย่างไร จึงต้องเลิกกั้นน้ำ และตามเจ้ามะกอลี กลับไปยังเมือง พอกลับไปถึงเมืองก็พบว่า ทุกคนยังอยู่ครบ ดังนั้นเจ้าเมืองจึงไม่ได้กั้นน้ำสาละวิน ตามที่ใจปรารถนา และชาวบ้านก็ได้อยู่กันอย่างปรกติสุขเรื่อยมา


จากเรื่องเล่าที่ยกมา ปัจจุบันเรื่องเล่าเรื่องนี้กลายเป็นข้อปฏิบัติสำหรับชาวปกากะญอที่ยึดถือกันเสมอมา ข้อปฏิบัติที่ว่าคือ เมื่อมีการกั้นน้ำเอาหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ตึกแค ภายหลังเอาปลาเสร็จแล้ว คนที่กั้นน้ำจะต้องปล่อยน้ำให้ไหลเป็นอิสระ เพราะถ้าไม่ปล่อยน้ำ ในปีต่อไปก็จะไม่มีปลากินอีก ด้วยการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า คำสอนผ่านเรื่องเล่าเรื่องนี้จึงเป็นคำสอนที่ลูกหลานแห่งเผ่าพันธุ์ยึดมั่นถือมั่นมาจนถึงปัจจุบัน การกั้นไม่ให้น้ำไหลเป็นอิสระจึงถือเป็นข้อห้ามสำหรับชนเผ่าปกาปะญอ


ตั้งแต่ผมเกิดมา ก็เห็นสาละวิน ถูกทำลายมาหลายครั้งแล้ว สมัยก่อนก็สัมปทานป่า นายทุนเข้ามาตัดป่ากันจนเกือบจะหมด พอป่าใกล้หมดก็มาโทษชาวบ้านว่าเป็นคนทำ ตอนนี้ชาวบ้านไปเผาไร่ก็โดนจับ ทำไร่ไม่ได้ แล้วจะให้พวกเราทำอะไรกิน ตอนนี้ก็ได้ข่าวว่าจะมาสร้างเขื่อนอีก ผมเคยไปดูเขื่อนที่ตากมา พอมีเขื่อนน้ำท่วม ปลาก็น้อย คนก็ถูกย้าย ต่อไปถ้ามีเขื่อน แม่น้ำสาละวิน ก็จะไม่มีอะไรหลงเหลือไปถึงลูกหลานพวกเรา

วิชัย อำพรนภา ชาวบ้านโพซอ จังหวัดแม่ฮ่องสอน


ในเขตพม่า แม่น้ำสาละวิน ไหลผ่านรัฐฉาน เข้ารัฐคะยา รัฐกะเหรี่ยง และรัฐมอญ หลายเขตที่กล่าวมายังคงมีการสู้รบระหว่างชนกลุ่มน้อยผู้เป็นเจ้าของพื้นที่กับทหารพม่า โดยเฉพาะในรัฐฉาน และรัฐกะเหรี่ยง เป็นเขตที่มีการรายงานถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยทหารพม่าในรูปแบบต่างๆ มากที่สุด ตั้งแต่ข่มขืนผู้หญิง บังคับใช้แรงงานทาส บังคับให้อพยพ จากรายงานขององค์กรมนุษยธรรมชายแดนพม่าหรือทีบีบีซี ได้สรุปจำนวนผู้อพยพในแต่ละพื้นที่ในปี ๒๕๔๗ เอาไว้ว่ามีจำนวนมากถึง ๕๒๖,๐๐๐ คน


และในปี ๒๕๓๙ มีหมู่บ้านนับพันถูกประกาศให้เป็นพื้นที่ ‘เขตยิงอิสระ’


เมื่อถูกขับไล่ออกนอกพื้นที่ ชาวบ้านไม่สามารถกลับมาเอาข้าวของของได้อีก เพราะถ้ากลับเข้าไปในพื้นที่จะถูกยิง บ่อยครั้งเช่นกันที่พื้นที่ในเขตการสู้รบ ชาวบ้านจะถูกทหารพม่ายิงทิ้งอย่างไร้ความปราณี โดยเฉพาะพื้นที่บริเวณการสร้างโรงไฟฟ้าลอปิต๊ะ จากหนังสือการสร้างเขื่อนภายใต้รัฐบาลทหารพม่า ซึ่งเป็นรายงานของกลุ่มวิจัยด้านการพัฒนาคะเรนนี ได้นำเสนอรายงานเอาไว้ว่า เมื่อมีการสร้างเขื่อนโมเบีย เพื่อผันน้ำให้กับโรงไฟฟ้าลอปิต๊ะ ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมกินบริเวณกว้างถึง ๒๐๗ ตารางกิโลเมตร และจากการสร้างเขื่อนในครั้งนั้นทำให้มีผู้เดือนร้อนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมต้องอพยพถึง ๘,๐๐๐ คน ที่สำคัญคือในช่วงฤดูฝน เขื่อนจะปล่อยน้ำทำลายพืชผลทางการเกษตรซึ่งกำลังอยู่ในช่วงการเริ่มต้นของฤดูการทำเกษตร


นอกจาก ทหารพม่าจะบังคับให้ชาวบ้านโยกย้ายออกจากพื้นที่แล้ว ในที่ที่มีการสู้รบ ชาวบ้านจำนวนมากมายต้องอาศัยหลบซ่อนภัยอยู่ในอาศัยอยู่ในป่าสาละวิน เพื่อเอาชีวิตรอดไปวันๆ และในที่สุดคนจำนวนมากเหล่านั้นก็กลายเป็นผู้พลัดถิ่นภายในประเทศของตนเอง (Internally Displaced Persons-IDPs) ซึ่งคงไม่ต้องบอกกล่าวว่า ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับผู้คนที่กลายเป็นคนพลัดถิ่นบนแผ่นดินเกิดของตัวเองจะมีมากมายเพียงใด


นโยบายการพัฒนาต่างๆ ของรัฐบาลทหารพม่า เราคงกล่าวได้เต็มปากว่า พวกเขาไม่เคยสนใจ คนพื้นถิ่นผู้เป็นเจ้าของแผ่นดิน เพราะหลายโครงการที่เกิดขึ้น ทั้งโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้า การวางท่อก๊าซ การสร้างเขื่อน รัฐบาลทหารพม่าก็ไม่เคยสนใจว่า จะเกิดสิ่งใดขึ้นกับผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ของโครงการ


คงไม่ต้องกล่าวซ้ำว่า เมื่อมีการสร้างเขื่อนบนแม่น้ำสาละวิน น้ำจะท่วมเข้าไปในฝั่งพม่า หรือมีทหารพม่าเข้ามา ‘คุ้มกัน’ พื้นที่มากขึ้น เมื่อทหารเข้ามาในพื้นที่มาก คนที่เป็นเจ้าของพื้นที่ก็จะถูกให้บังคับโยกย้ายไปอยู่ที่อื่น ในเมื่อบ้านอยู่ไม่ได้แล้วจะให้คนเหล่านี้หลบหนีไปไหน นอกจากหนีมาพึ่งแผ่นดินไทย


และในอนาคตเมื่อมีโครงการสร้างเขื่อนในแม่น้ำสาละวินมากขึ้น แผ่นดินไทยคงเต็มไปด้วยระลอกคลื่นผู้ลี้ภัยมหาศาลจากพม่า มิต้องกล่าวถึงผู้ลี้ภัยร่วมแสนคนที่อาศัยอยู่ตามค่ายผู้ลี้ภัยต่างๆ แถบชายแดนไทย-พม่าในทุกวันนี้


หากมีโอกาสได้ถามผู้ลี้ภัยคนหนึ่งคนใด คำตอบที่ชัดเจนจากพวกเขาคงเป็นคำตอบที่ว่า พวกเรารอคอยวันที่พม่าเกิดสันติสุข และพวกเราก็จะได้หวนคืนสู่มาตุภูมิ


แน่ละเมื่อมีการสร้างเขื่อน แผ่นดินที่ผู้ลี้ภัยส่วนหนึ่งหวังว่าจะได้เดินทางกลับไปต้องจมอยู่ใต้น้ำหลังการสร้างเขื่อน แล้วในอนาคตผู้ลี้ภัยเหล่านี้จะเป็นเช่นใด พวกเขาจะเป็นผู้ลี้ภัยถาวรที่ไม่มีแม้กระทั่งบ้านให้กลับอีกต่อไปกระนั้นหรือ


หากมีการสร้างเขื่อนชีวิตของประชาชนจำนวนมากต้องสูญเสีย และเดือดร้อนนับหมื่นแสน ยังไม่ต้องคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่จะต้องเกิดขึ้นตามมาระหว่างและหลังการสร้างเขื่อน


ย้อนกลับมามองฝั่งประเทศไทย หากว่ามีการสร้างเขื่อนบนแม่น้ำสาละวิน แม้ว่าประเทศไทยจะไม่มีสงคราม แต่ก็มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ต้องอพยพหนีน้ำท่วม ในขณะที่รัฐไทยไม่ได้มองความเป็นจริงว่า ผู้คนริมฝั่งแม่น้ำสาละวิน เขาอยู่ที่นี้มานาน และพวกเขาก็มีวิถีชีวิตที่สัมพันธ์กับป่า และแม่น้ำอย่างแยกออกจากกันไม่ได้ เมื่อป่าและน้ำถูกทำลาย คนเหล่านี้จะเป็นเช่นไร


พ่อหลวงนุ ชำนาญคีรีไพร กล่าวว่า

พวกเราอยู่กับป่า กินกับป่า พวกเราอยู่ตรงนี้มานาน จะมาสร้างเขื่อนเอาไฟฟ้าไปให้ใครใช้ก็ไม่รู้ พอเขาเอาไฟไปแล้ว พวกเราก็เดือดร้อน พวกเรามีบัตรประชาชนเป็นคนไทย พอสร้างเขื่อนจะมาให้พวกเราอพยพ ทั้งที่เราเป็นคนไทยจะให้เราเป็นผู้อพยพในประเทศของเราเองทำไม แม่น้ำมันดีอยู่แล้ว มันได้ไหลจะไปสร้างเขื่อนกั้นน้ำไม่ให้ไหลทำไม สร้างเขื่อนได้ไฟ แต่รู้ไหมว่า คนจำนวนไม่น้อยจะเดือดร้อน’


บทเรียนซ้ำซาก ที่ปรากฏให้เห็นอยู่เสมอมาคือ เมื่อมีการสร้างเขื่อนหมู่บ้านที่อยู่ใกล้กับบริเวณสร้างเขื่อนก็จะถูกอพยพ หากเขื่อนบนแม่น้ำสาละวิน ถูกสร้างก็ยังไม่มีใครรู้ว่าจะต้องอพยพคนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมไปอยู่ในที่ใดภายหลังการสร้างเขื่อน แล้ววิถีชีวิตของคนอยู่ป่าที่เคยชินกับการทำไร่ และไม่ต้องพึ่งพาระบบเศรษฐกิจในระบบของทุนนิยมเช่นปัจจุบัน


พวกเขาจะทำอย่างไรต่อไปเมื่อวิถีชีวิตต้องปรับเปลี่ยน แม้กลุ่มผู้มีอำนาจในสังคมจะบอกว่า บางทีคนส่วนน้อยต้องเสียสละให้คนส่วนใหญ่บ้าง บทเรียนที่ผ่านมาก็แสดงให้เห็นอยู่แล้วว่า เราปล่อยให้ผู้เสียสละประสพความลำบากมามากต่อมากแล้ว และพวกเขาก็เป็นผู้สังเวยชะตากรรมที่ตัวเองไม่ได้สร้างอยู่ร่ำไป


ถึงเวลาหรือยังที่จะยอมรับว่า แม่น้ำสาละวิน คือ บ้านของคนนับแสน และถึงเวลาหรือยังที่จะยอมรับว่า เขื่อนขนาดใหญ่ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของเรื่องการจัดการน้ำ


ความสัมพันธ์ของคนกับสายน้ำมีมาเนิ่นนาน สายน้ำยังมีความหมายในหลายๆ ทาง ทั้งทางสังคม วัฒนธรรม และจิตวิญญาณของผู้คนสองฝั่งน้ำ การที่มนุษย์ได้พึ่งพาอาศัยน้ำ มนุษย์จึงได้ก่อเกิดวัฒนธรรมประเพณีที่แสดงออกให้เห็นถึงการเคารพนอบน้อมธรรมชาติ


นอกเหนือจากนั้นแล้ว บนสายน้ำเดียวกัน มนุษย์ยังได้เรียนรู้ที่จะรักษาสายน้ำไว้เพื่อประโยชน์ของตนเอง และปฏิเสธไม่ได้ว่า ผู้คนสองฝั่งแม่น้ำสาละวิน รักและหวงแหนแม่น้ำที่พวกเขาได้ใช้ประโยชน์ ด้วยความรักที่มีต่อแม่น้ำผู้เฒ่าผู้แก่จึงคอยย้ำเตือนลูกหลานแห่งเผ่าพันธุ์อยู่เสมอว่า

อ่อทีกะต่อที อ่อก่อกะต่อก่อ กินน้ำรักษาน้ำ อยู่ป่ารักษาป่า”


และปฏิเสธอีกไม่ได้เช่นกันว่า ดิน น้ำ ป่า คน ล้วนเป็นความสมดุลที่ตั้งอยู่บนความหลากหลายโดยแท้จริง ฉะนั้นแล้วเมื่อมนุษย์คิดกอบโกยเอาประโยชน์จากธรรมชาติ เราควรคิดให้ดีว่า

เมื่อเราใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ เราเคารพในธรรมชาติ และศรัทธาในความเท่าเทียมกันของมนุษย์แล้วหรือยัง’


ข้อมูลประกอบการเขียน


เขื่อนสาละวิน: โศกนาฏกรรมสองแผ่นดิน, แผ่นดิน สายน้ำ และลมหายใจของกลุ่มชาติพันธุ์ที่จะจมใต้น้ำ, รายงานข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับโครงการเขื่อนบนแม่น้ำสาละวิน, ๒๕๔๖

การสร้างเขื่อนภายใต้รัฐบาลทหารพม่า,จัดทำโดยกลุ่มวิจัยด้านการพัฒนาของกลุ่มคะเรนนี, ๒๕๔๙

ผ่าสาละวินก่อนจะสิ้นป่าผืนสุดท้าย,โดยยอด ยิ่งยวด,

การพลัดถิ่นฐานภายในประเทศ และสภาวะเปราะบางของผู้พลัดถิ่นในประเทศพม่าแถบตะวันออก,โดยองค์การมนุษยธรรมชายแดนไทย-พม่า และเพื่อนไร้พรมแดน

งานวิจัยปกากะญอสาละวิน,วิถีน้ำ วิถีป่าของปกากะญอสาละวิน, โดยคณะนักวิจัยปกากะญอ สาละวิน, ศูนย์พัฒนาเครือข่ายเด็กและชุมชน, เครือข่ายแม่น้ำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้,๒๕๔๘

ขอบคุณข้อมูลจากโครงการแม่น้ำเพื่อชีวิต เครือข่ายแม่น้ำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ขอบคุณเครือข่ายชาวบ้านลุ่มน้ำสาละวินยวมเมยทุกคนที่ร่วมกันรังสรรค์สิ่งดีงามด้วยการปกป้องแผ่นดินเกิด

หมายเหตุ: งานชิ้นนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกหนังสือ “โศกนาฏกรรมคนชายขอบ”




บล็อกของ สุมาตร ภูลายยาว

สุมาตร ภูลายยาว
  ผมได้รู้ข่าวว่าไฟฟ้าที่บ้านดับก็ตอนอยู่บนดอยบ้านห้วยคุ ข่าวสารที่ส่งมาบอกเพียงว่า หลังจากผมและเธอออกจากบ้านมาได้ ๒ วันหลอดไฟที่อยู่ข้างนอกก็ดับลง ทั้งที่มันเพิ่งได้รับการติดตั้ง คนส่งสารยังบอกอีกว่า เขาได้ไปดูที่มิเตอร์ไฟฟ้าของบ้านแล้วปรากฏว่า สายไฟที่ต่อกับมิเตอร์ถูกดึงออกด้วยมือนิรนาม เมื่อสนทนากันอยู่นานสองนาน คนส่งสารผู้ใจดีก็บอกหมายเลขโทรศัพท์ของการไฟฟ้า หลังผู้แจ้งสารหมดสิ้นหน้าที่ ต่อไปจากนี้คงเป็นหน้าที่ของผมที่ต้องดำเนินการต่อ ผมและเธอเรามองหน้ากัน ต่างคนต่างตั้งคำถามในใจ เกิดอะไรขึ้นกับบ้านที่เราเช่าอยู่มาเกือบครึ่งปี? ผมถามเธอก่อนหลังความเงียบมาเยือนเราสองคนได้ไม่นาน"นั่นสิ…
สุมาตร ภูลายยาว
บนเทือกเขาสูงอันไกลโพ้นในดินแดนที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นหลังคาโลก บนเทือกเขาสูงกว่า ๕,๐๐๐ ฟุตจากระดับน้ำทะเลถูกปกคลุมด้วยหิมะเย็นจัด หลังการปกคลุมของหิมะ หลายร้อยหลายพันปี เมื่อความร้อนชื้นของอากาศมาเยือน หิมะจึงถูกหลอมละลายจนก่อเกิดเป็นต้นธารของแม่น้ำอันยิ่งใหญ่สายหนึ่งของโลก ในตอนบน แม่น้ำสีเขียวมรกตอันเกิดจากการละลายของหิมะสายนี้อุดมไปด้วยความหนาวเย็น แม่น้ำได้ไหลจากต้นกำเนิดบนที่สูงลงสู่ด้านต่ำตามกฏแรงโน้นถ่วงของโลกผ่านซอกหุบเขาอันสลับซับซ้อน ผ่านผืนแผ่นดินอันอุดมไปด้วยความแตกต่างทางสังคม วัฒนธรรม และลัทธิการเมืองการปกครอง ทุกพื้นที่ที่แม่น้ำไหลผ่าน…
สุมาตร ภูลายยาว
[๑]เมษายน ๒๕๔๗...แสงแดดใกล้ลับขอบฟ้า คนหาปลาบางกลุ่มกำลังเตรียมตัวเอาเรือเข้าฝั่ง เพื่อกลับคืนสู่บ้านผ่อนคลายความเมื่อยล้าจากการหาปลามาตลอดทั้งวัน การหาปลาเป็นกิจวัตรปกติของคนริมฝั่งแม่น้ำโขงมาเนิ่นนาน แต่ในยามเย็นวันนี้ไม่เป็นเหมือนยามเย็นของวันอื่นๆ ที่ผ่านมา ช่วงนี้ริมฝั่งแม่น้ำโขงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะข่าวการเดินทางมาของปลาบึก ปลาใหญ่ที่คนหาปลาขนานนามให้ว่า ‘ปลาเทพเจ้าแห่งลำน้ำโขง’ พี่รงค์ จินะราช คนหาปลาบ้านหาดไคร้ได้เอาเรือออกไปไหลมองในแม่น้ำโขงบริเวณดอนแวงตามปกติ มองที่ไหลไปตามกระแสน้ำเป็นมองขนาดเล็ก พอมองไหลไปปะทะกับสิ่งมีชีวิตใต้น้ำ ชั่วพริบตานั้นฟองอากาศขนาดใหญ่ก็เกิดขึ้นบนผิวน้ำ…
สุมาตร ภูลายยาว
เสียงผู้คนส่งเสียงเชียร์เรือยาวในแม่น้ำดังไปทั่วริมฝั่ง งานแข่งเรือเริ่มขึ้นในวันสาขารล่อง--ประมาณวันที่ ๑๔ เมษายน เบื้องล่างเหนือสายน้ำ เรือ ๒ ลำกำลังขับเคี่ยวกันอย่างหนัก ไม่นานนักเรือที่มีฝีพายใส่เสื้อสีแดงก็ทะยานเข้าเส้นชัยหลังเรือลำนั้นเข้าเส้นชัยแล้ว การแข่งเรือรอบคัดเลือกจึงสิ้นสุดลง พรุ่งนี้จะเป็นวันตัดสินว่า เรือของคุ้มบ้านไหน จะได้ลอยลำเฉิดฉายเข้าเส้นชัย เสียงเพลงเฉลิมฉลองทั้งปราชัย และมีชัยดังมาเป็นระยะ เมื่อผู้คนเริ่มทยอยกลับบ้าน ชายชราก็ลุกจากเสื่อที่ปูนั่ง และเดินออกมาจากริมน้ำคืนสู่บ้าน ก่อนจะเดินมาถึงบันไดทางขึ้นวัด ชายชราก็ก็หยุดคุยกับใครบางคนตรงเชิงบันได“เด็กบ้านเรามันไม่สู้…
สุมาตร ภูลายยาว
ตะวันสายแดดส่องฟ้า เรือหาปลากับชายชรากำลังเดินทางออกจากท่า เพื่อหาปลาอีกครั้ง ในแสงแดดยามสาย ชายชรากำลังสลัดคราบไคร้ที่เกาะติดเบ็ดออก เพื่อทำความสะอาดให้มันกลับมาพร้อมใช้งานอีกครั้งสายน้ำลดระดับลงอีกครั้งหลังโถมถั่งในหน้าฝน สายน้ำเชี่ยวกรากกลับกลายเป็นแผ่วเบา และลดความเกรี้ยวกราดลง วันนี้ไม่แตกต่างจากหลายวันในช่วงเริ่มต้นฤดูหนาว ชายชรายังคงดำเนินชีวิตไปตามปกติในครรลองของคนกับเรือเหนือสายน้ำอันกล่าวได้ว่าคือสายชีวิตของชายชราด้วยสายลมแห่งเดือนมกราคมพัดมาเยือกเย็น ริมฝั่งน้ำตรงกระท่อมหาปลา ชายชรานั่งเงียบงันอยู่ข้างกองไฟ ๒ วันมาแล้วยังหาปลาไม่ได้ ช่วงนี้จึงมีเพียงกุ้งติดฟดริมฝั่งน้ำเท่านั้น…
สุมาตร ภูลายยาว
หลังจากวันแรกจนถึงวันนี้ ผมลองนับเดือน นับปีดูแล้ว ผมมาอยู่เมืองชายแดนริมแม่น้ำแห่งนี้ ล่วงเข้าไป ๕ ปีแล้ว ใน ๕ ปีของการใช้ชีวิต แน่ล่ะย่อมแตกต่างจาก ๗๖ ปีของชายชราอย่างสิ้นเชิง แต่สิ่งที่ผมได้เห็นไม่ต่างกับชายชราเลยแม้แต่น้อยแม้จะนานกี่ชั่วอายุคน ผู้คนริมฝั่งน้ำยังคงพึ่งพาแม่น้ำสายนี้ในด้านต่างๆ อยู่เช่นเดิม คนหาปลายังคงหาปลา แม้ว่าจะได้ปลาน้อยลงก็ตามที คนขับเรือรับจ้างก็ยังคงขับเรืออยู่เช่นเดิม แม้ว่าจะมีข่าวการเกิดขึ้นของสะพานข้ามแม่น้ำก็ตามที คนแบกของตรงท่าเรือก็ยังคงทำหน้าที่แข็งขันกว่าเดิม แม้จะแบกของได้น้อยลง…
สุมาตร ภูลายยาว
ในยามเย็น หลังแสงตะเกียงสว่างขึ้น ความสว่างของแสงไฟตะเกียงก็ตัดกับท้องฟ้ามืดครึ้มไร้ดวงดาวแต้มขอบฟ้า ดูเหมือนว่ายามนี้สายฝนต้นฤดูมาถึงแล้ว ในที่ไกลออกไปฟ้าแลบแปลบปลาบ ทุกครั้งที่ฟ้าแลบ ความสว่างที่เกิดขึ้นเพียงสั้นๆ ทำให้ฟ้าสีดำดูน่ากลัว ไม่นานนักหลังฟ้าร้องเข้ามาใกล้ สายฝนปานฟ้ารั่วก็โถมถั่งลงมายามนี้ปลาหลายชนิดอพยพขึ้นเหนือ เพื่อวางไข่ จะเหลือเพียงปลาบางชนิดเท่านั้นอพยพขึ้นมาช่วงน้ำลด ในช่วงนี้ คนหาปลาไหลมองก็จะเริ่มยุติการหาปลาลง เพราะน้ำในแม่น้ำเป็นน้ำใหญ่หาปลาลำบาก ช่วงน้ำใหญ่นี่เองถือว่าธรรมชาติได้จัดการมนุษย์…
สุมาตร ภูลายยาว
หลังกลับมาถึงบ้าน ผมหวนคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ที่แกเล่าให้ฟัง ห้วงอารมณ์นั้น ผมคิดถึงหนังสือเล่มหนึ่ง หนังสือเล่มนี้เล่าถึงการรอนแรมออกทะเล เพื่อตกปลาของชายแก่คนหนึ่ง การเดินทางออกทะเลของชายชราในหนังสืออาจแตกต่างกับการเดินทางออกสู่แม่น้ำของชายชราแห่งโลกของความจริงอยู่บ้าง แต่ในวิถีของชายเฒ่าทั้งสองคน มีเรื่องราวทั้งเหมือน ทั้งแตกต่างรวมอยู่ด้วยกัน การเดินทางไปสู่วิถีของการเป็นนักล่าของชายทั้งสองอาจจะไม่ต่างกันมากนักในการกระทำ แต่เป้าหมายในการออกเรือ เพื่อเป็นนักล่าของชายทั้งสองอาจแตกต่างกัน คนหนึ่งออกเรือไปล่าเพื่อความสุขตามคิดความเชื่อของตัวเอง แต่อีกคนหนึ่ง…
สุมาตร ภูลายยาว
แสงแดดยามบ่ายคลี่ม่านกระจายโอบไล้ยอดไม้ แรงลมพัดยอดไม้เอนไหว ดอกไม้ป่าสีขาวของฤดูฝนกำลังร่วงหล่นลงพื้นดิน แม้ว่าดอกไม้จะจากไป แต่ธรรมชาติก็ได้มอบความเขียวชะอุ่มของผืนป่ามาทดแทนเช่นกันยามบ่ายขณะหลายคนยังวุ่นอยู่กับงาน ผมเดินเตร็ดเตร่ตามถนนมาถึงหน้าบ้านหลังหนึ่ง หลังอ่านป้ายก็รู้ว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านของชายชรา ผมมองหาเจ้าของบ้านอยู่นอกรั้วในใจยังหวั่นอยู่ว่าจะได้พบเจ้าของบ้านหรือเปล่า เมื่อมองดูอยู่ครู่หนึ่ง ผมก็เห็นชายชราผู้เป็นเจ้าของบ้านกำลังก้มๆ เงยๆ อยู่กับกองไม้ไผ่ข้างห้องครัวผมร้องเรียกชายชราอยู่นอกรั้ว เมื่อได้ยินเสียงเรียก แกก็เงยหน้าขึ้นมาดู และเรียกผมเข้ามาในบ้าน…
สุมาตร ภูลายยาว
หลังกลับมาจากเมืองริมแม่น้ำในครั้งนั้น ไม่นานผมก็เดินทางมาเมืองริมแม่น้ำอีกครั้งพร้อมกับความทรงจำเมื่อ ๒ เดือนก่อน...ความทรงจำเมื่อ ๒ เดือนก่อนเกิดขึ้นบนแม่น้ำสายนี้ ผมจำได้ว่าช่วงนั้นเป็นฤดูฝน น้ำปริ่มฝั่งหมุนวนน่ากลัว ผมได้พบชายชราอีกครั้งหลังจากไม่ได้พบกันนาน ชายชรานั่งอยู่บนเรืออีกลำหนึ่ง ซึ่งวิ่งสวนทางกับเรือที่ผมโดยสารมา เมือเรือวิ่งสวนทางก็ได้ยินเสียงทักทายของคนขับเรือทั้งสอง แม้ว่าจะฟังสำเนียงการสนทนาไม่รู้เรื่องทั้งหมด แต่ก็พอจับใจความได้ว่าคนขับเรือทั้งสองคุยกันเรื่องอะไร บนนาวาชีวิตกลางสายน้ำของชะตากรรม…
สุมาตร ภูลายยาว
สายโขงยังตัดไม่ขาด สายสวาทตัดขาดอย่างไรตัดบัวก็ยังไว้ใย ตัดน้ำใจยังมีเมตตาค่อยอิง ค่อยอาศัยกัน เอาไว้รักกันในวันข้างหน้ามาเถิด มาเถิดแก้วตา รำวงดีกว่าร่าเริงหัวใจ รำวงดีว่าร่าเริงหัวใจ....เสียงเพลงแหบพร่าลอยตามสายลมไกลออกไป จนเงียบหายไปกับโค้งขอบฟ้ากลางคืน นานครั้งชายชราจะร้องเพลง แต่บทเพลงที่ชอบร้องสม่ำเสมอคือเพลงนี้ ค่ำคืนนี้อากาศหนาวเย็นลง ชายชราจึงก่อกองไฟ เพื่อผ่อนเบาความหนาว เนิ่นนานที่กองไฟสว่างไสว แต่เมื่อฟืนที่กองสุมไว้ในตอนเย็นใกล้หมด แสงไฟก็สลัวลง เปลวไฟมีอยู่น้อยนิดเหมือนจะมอดดับลงทุกครั้งยามสายลมพัดเข้ามา พอสายลมพัดผ่านไป แสงไฟก็สว่างขึ้นมา หลังแสงไฟสว่าง…
สุมาตร ภูลายยาว
ภาพของชายชราวัย ๗๕ ปี กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่บริเวณระเบียงกระท่อมแจ่มชัดขึ้นเมื่อเข้าไปใกล้ กุ้งสีชมพูขนาดนิ้วก้อยหลายสิบตัวนอนนิ่งอยู่ในจานเบื้องหน้าของชายชรา ถัดจากจานกุ้งไปเป็นถ้วยน้ำพริกปลาร้าที่กินเหลือจากเมื่อวานรายการอาหารที่กล่าวมาทั้งหมดคืออาหารมื้อเย็นสำหรับชายชรา     ลูกแมวสองตัว ตัวหนึ่งสีน้ำตาล ตัวหนึ่งสีขาว หมอบคลอเคลียอยู่ด้านข้าง นานครั้งมันจะเดินมาหยอกล้อเล่นกัน พอหยอกล้อกันจนหนำใจมันก็กลับไปนอนนิ่งอยู่ที่เดิม บนท้องฟ้าอาทิตย์อัสดงลงไปไม่นานนัก ท้องฟ้าที่เคยกระจ่างเป็นสีฟ้าเริ่มกลายเป็นสีดำหลังจากอิ่มหนำสำราญ…