Skip to main content

วารสารวรรณศิลป์บนแผ่นดินลาว

ลมหนาวและความร้อนแล้งโชยผ่านยอดขุนเขาด้านทิศตะวันตกแห่งเมืองหลวงของราชอาณาจักรล้านนามาแผ่วๆ แล้วฤดูกาลแห่งความเหน็บหนาวก็เดินทางมาอีกครั้งพร้อมกับลมสายลมนั้น

\\/--break--\>
ในสายลมหนาวของยามค่ำวันหนึ่ง ข้าพเจ้าหวนนึกถึงเรื่องราวบางเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเพียงชั่วไม่กี่เดือน ข้าพเจ้าลองไล่เรียงลำดับความสัมพันธ์ระหว่างข้าพเจ้ากับเรื่องราวแห่งสวนอักษรที่งอกงามขึ้นมาในใจเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่ามันช่างเป็นความสัมพันธ์ที่เล็กน้อยเสียเหลือเกิน เล็กน้อยถึงขนาดที่ใครบางคนบอกกับข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้ายังรู้จักมันน้อยเกินไป ไม่ต้องไปฟูมฟายกับมันมากนักก็ได้ ใช่ !! เมื่อเรารู้จักเรื่องราวบางเรื่องราวเพียงเล็กน้อย เราจะไปตัดสินใจว่า มันดีหรือเลวไม่ได้


เรื่องราวที่ข้าพเจ้ากำลังย้อนคืนความทรงจำในครั้งนี้ มันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับหนังสือเล่มหนึ่ง ที่ข้าพเจ้าพบโดยบังเอิญขณะเดินย่ำไปบนถนนสายหนึ่งในเมืองหลวงพระบางยามค่ำคืน หนังสือเล่มเล็กๆ บางๆ ขนาดกระดาษ A ๔ ราคา ๕,๐๐๐ กีบ (๒๕๐ กีบเท่ากับ ๑ บาท) ที่ข้าพเจ้าพบเจอนั้นชื่อ “วารสารวรรณศิลป์”


แรกพบสบตาซึ่งกันและกัน ทั้งที่ยังไม่ทันได้เอ่ยเอื้อนทำความรู้จักกัน หนังสือ ๔ เล่มก็มาอยู่ในมือของข้าพเจ้า


ยามเมื่อเรือทวนคืนสายน้ำของกลับมายังประเทศไทย ข้าพเจ้าก็ได้รู้จักวารสารเล่มนี้มากขึ้น ข้าพเจ้าเฝ้าสังเกตความเป็นไปของมันด้วยการอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า เรื่องสั้นบางเรื่อง บทกวีบางบท ที่ข้าพเจ้าเฝ้ามองและเฝ้าอ่าน ในที่สุดข้าพเจ้าก็ค้นพบว่า การเขียนกวีแบบลาวคือการเขียนกวีแบบผญาอีสาน


ในเรื่องสั้นบางเรื่องมีกลิ่นอายของประเทศรัสเซียปรากฏ โดยเฉพาะเรื่องสั้นของ บุญเสิน แสงมณี นักเขียนลาวที่ไปร่ำเรียนในประเทศรัสเซีย ฉากบางฉาก เรื่องเล่าบางเรื่องเล่า ล้วนมีกลิ่นอายของหิมะแห่งแผ่นดินรัสเซียโปรยปรายอยู่


ข้าพเจ้าได้รู้จักนักเขียนเรื่องสั้นรางวัลซีไรต์ของประเทศลาวในปี ๑๙๙๙ จากหนังสือเล่มนี้ แม้ว่างานเขียนของเขาจะแผ่วเบาทางอารมณ์ลงไปบ้างก็คงไม่ใช่เรื่องสำคัญนัก แต่หากว่า ความสำคัญของมันคือ การเปลี่ยนผ่านจากนักเขียนผู้เฒ่าสู่พัฒนาการของนักเขียนรุ่นใหม่


จันที เดือนสะหวัน คือนักเขียนผู้เฒ่าคนนั้นที่ได้แสดงให้นักเขียนรุ่นใหม่ได้เข้าใจว่า เขาคือนักเขียนที่เขียนได้หลากหลายเรื่องราว ดุจเดียวกันกับพญาอินทรีแห่งดอยโป่งแยงได้แสดงให้คนรุ่นหลังได้ประจักษ์เช่นกัน


เมื่อต้นเดือนธันวาคมมาเยือนพร้อมกับการเฉลิมฉลองวันชาติของลาวได้ผ่านพ้นไป ข้าพเจ้าก็ได้รับวารสารวรรณศิลป์ปี ๒๐๐๔ จำนวน ๑๑ ฉบับ จากความปรารถนาดีของเพื่อนนักเขียนคนหนึ่งที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากนครหลวงเวียงจัน ข้าพเจ้าพินิจวารสารจำนวน ๑๑ ฉบับนั้นกลับไปกลับมา แล้วสายตาของข้าพเจ้าก็สะดุดเข้ากับตัวหนังสือแถวหนึ่งในถ้อยแถลงของบรรณาธิการคือ ท่านทองใบ โพธิสาน ในถ้อยคำนั้นมีเนื้อความว่า “ปีนี้เป็นปีครบครอบ ๒๕ ปี ของวารสารวรรณศิลป์ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ ปี ๑๙๗๙ ” ถ้าเป็นคนหนุ่มก็เลยเบญจเพสมาหลายปี


ห้วงยามปัจจุบันวารสารวรรณศิลป์ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก (แต่ราคาคงเดิม) เนื้อหาต่างเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ทั้งเรื่องสั้น บทกวี สารคดี เรื่องแปลจากต่างประเทศ และในปีนี้เองที่วารสารวรรณศิลป์ได้จัดประกวดรางวัลสินไช-รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ดีเด่นปี ๒๐๐๔ ขึ้นมา ในจำนวนเรื่องราวที่ส่งเข้าประกวดแล้ว นอกจากกรรมการเป็นผู้ตัดสิน ผู้อ่านยังมีส่วนร่วมในการตัดสินด้วย เรื่องที่ส่งเข้าประกวดรางวัลสินไชนั้นมีทั้ง เรื่องสั้น บทกวี และนิยาย ซึ่งเรื่องที่ส่งเข้าประกวดได้ทยอยตีพิมพ์ในวารสารวรรณศิลป์เพื่อให้ผู้อ่านได้อ่าน


นอกจากเรื่องสั้น บทกวี และนิยายแล้ว วารสารวรรณศิลป์ยังมีนิทานพื้นบ้านเพิ่มเข้ามาเป็นสีสันให้คนอ่านได้อ่านสนุกสานอีกด้วย


ยิ่งข้าพเจ้าเพ่งพินิจวารสารวรรณศิลป์มากเท่าใดก็ยิ่งเกิดคำถามมากขึ้นเท่านั้นว่า “แล้ววารสารฉบับนี้ใครเป็นเจ้าของ” ในที่สุดคำตอบของคำถามก็ถูกเฉลยไว้ในหน้าแรกของวารสารนั่นเอง กระทรวงแถลงข่าวและวัฒนธรรมคือผู้เป็นเจ้าของหนังสือเล่มนี้ โดยการผลิตหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาก็เพื่อให้เป็นวารสารเพื่อวัฒนธรรม และเป็นเวทีส่งเสริมวรรณคดีและศิลปะ


ในประเทศเล็กๆ ที่ไม่เจริญและล้าหลังในสายตาของคนไทย ข้าพเจ้าเชื่อว่ายังมีบ้างสิ่งที่ไม่ล้าหลัง แต่ในประเทศที่เจริญอย่างประเทศไทยต่างหากเล่าที่กำลังล้าหลังลงเรื่อยๆ ทั้งที่เราอยากเป็นเมืองแห่งศิลปะ เมืองแห่งแฟชั่น ถ้าไม่เชื่อลองเอาเรื่องราวเหล่านี้ไปถามกระทรวงวัฒนธรรมดูก็คงจะรู้เอง


วารสารวรรณศิลป์บนแผ่นดินลาวต่างมีเรื่องเล่าให้เล่าขานได้ไม่รู้จบจากการถือกำเนิดและการดำรงอยู่ของวารสารเล่มนี้ และข้าพเจ้าแอบหวังว่า มันคงอยู่อย่างเนิ่นนานและรับใช้ผู้อ่านไปอีกเนิ่นนานเช่นกัน

 

 

บล็อกของ สุมาตร ภูลายยาว

สุมาตร ภูลายยาว
วารสารวรรณศิลป์บนแผ่นดินลาว ลมหนาวและความร้อนแล้งโชยผ่านยอดขุนเขาด้านทิศตะวันตกแห่งเมืองหลวงของราชอาณาจักรล้านนามาแผ่วๆ แล้วฤดูกาลแห่งความเหน็บหนาวก็เดินทางมาอีกครั้งพร้อมกับลมสายลมนั้น
สุมาตร ภูลายยาว
สี่พันดอน: บ้านของคนและปลา เมื่อเอ่ยถึงสี่พันดอนเชื่อว่าหลายคนที่เคยไปเยือนคงจินตนาการถึงได้ แต่สำหรับคนที่ไม่เคยไปเยือนคงงุนงงไม่น้อยว่าหมายถึงอะไร คำว่า ‘สี่พันดอน’ เป็นชื่อเรียกเกาะ ดอนต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแม่น้ำโขงในเขตเมืองโขง แขวงจำปาสัก ภาคใต้ของประเทศลาว ดินแดนแห่งนี้ได้ถูกเรียกขานว่า สี่พันดอน เพราะเต็มไปด้วยเกาะน้อยใหญ่ที่มีจำนวนมากมายเรียงรายอยู่ในแม่น้ำโขงที่มีความกว้างกว่า ๑๔ กิโลเมตร เกาะต่างๆ เริ่มขึ้นที่เมืองโขงและยาวลงไปจนถึงชายแดนลาว-กัมพูชาที่บ้านเวินคามกับเมืองสตรึงเตร็ง ในจำนวนเกาะที่มีอยู่มากมาย เกาะใหญ่ที่สุดชื่อ ‘ดอนโขง’ คำว่า ‘ดอน’…
สุมาตร ภูลายยาว
เจ้าม้าศึกสีเทา ๒,๒๐๐ ซีซี ทะยานไปตามทางลูกรังสีแดงเบื้องหลังฝุ่นคลุ้งตลบ หากมีรถวิ่งตามมาคงบอกได้คำเดียวว่า ‘ขอโทษ’ ก่อนจะถึงทางแยกเสียงโทรศัพท์ของผู้ไปถึงก่อนก็บอกให้ตรงมาตามทางอย่าได้เลี้ยวซ้ายเป็นอันขาด เพราะนั่นหมายถึงการหลงทางจะเกิดขึ้น
สุมาตร ภูลายยาว
การเดินทางเที่ยวนี้มีผู้หญิงนำ เช้านี้เป็นอีกวันที่ตื่นเช้ากว่าวันอื่น แต่หากว่าเมื่อเทียบกับชาวบ้านทั่วไปแล้ว ถือว่ายังสาย โดยเฉพาะกับพ่อค้าแม่ค้าการตื่นนอนตอน ๖ โมงเช้านั้นถือว่าสายมากแล้ว เช้านี้กว่าจะเปิดเปลือกตาตื่นช่างหนักหนาสาหัส ราวกับว่าเปือกตาทั้งสองข้างถูกปิดทับไว้ด้วยเทปกาวชั้นดี หลังล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ สมองยังคงงุนงง อาจเป็นเพราะช่วงนี้พักผ่อนไม่ค่อยพอ รวมทั้งมีเรื่องหลายเรื่องให้ได้คิด แต่เพราะงานที่ทำจึงต้องบังคับตัวเองให้ลุกจากที่นอน
สุมาตร ภูลายยาว
จะแกคนเลี้ยงวัวผู้ไม่เคยขุ่นมัวในหัวใจ ผมจำได้ว่าพบชายคนนี้ครั้งแรกเมื่อเข้าไปบ้านสองพี่น้อง เขาดูแปลกกว่าคนอื่นในหมู่บ้าน เพราะเขาเป็นผู้ชายคนเดียวในหมู่บ้านที่ไว้ผมยาว เค้าโครงใบหน้าของเขาราวกับถอดแบบออกมาจากหัวหน้าชนเผ่าของอินเดียนแดง
สุมาตร ภูลายยาว
การงานของชีวิตที่ตกค้าง ฝนเทลงมาอีกวันแล้ว...เสียงสังกะสีดังราวกับมีก้อนหินนับล้านร่วงลงมาใส่ เย็นวันนี้มีเรื่องราวให้ขบคิดมากมาย กลับมาจากการประชุมที่เคร่งเครียด อันนับว่าเป็นการงานส่วนหนึ่งของชีวิต เล่นเอาเหนื่อยสายตัวแทบขาด แล้วยังมีงานอะไรที่ยังไม่ได้ทำอีกไหมนี่
สุมาตร ภูลายยาว
บันทึกในค่ำคืนที่เปลี่ยนผ่านกับนิทรรศการที่ไม่ได้จัด สายฝนของเดือนกันยายนโปรยสายลงมาทั้งวัน เราออกเดินทางจากเชียงของมาแต่ตอนเช้าด้วยรถคันเล็ก บนกระบะทางตอนท้ายบรรทุกเอกสารต่างๆ รวมทั้งนิทรรศการมาเต็ม รถต้องจดหลายครั้ง เพื่อห่มผ้ายางกันฝนให้ของบนกระบะรถ เราผ่านมากว่าครึ่งทาง ฝนยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก ซ้ำร้ายยังตกลงมาหนักกว่าเดิม รถวิ่งทำความเร็วได้ไม่มากนัก ทั้งที่ความเป็นจริงแม้ฝนจะไม่ตก มันก็ไม่เคยวิ่งได้เร็วกว่าที่วิ่งอยู่เท่าใดนัก
สุมาตร ภูลายยาว
เมฆสีดำเหนือฟ้าด้านตะวันออกส่งสายฝนลงมาตั้งแต่เช้าจนล่วงบ่าย แม่น้ำเป็นสีชานมเย็น เศษขยะ ขอนไม้ ท่อนไม้ และต้นไม้ลอยมากับสายน้ำ และไหลไปตามแรงเฉื่อยของกระแสน้ำ
สุมาตร ภูลายยาว
เช้านี้เหมือนกับทุกเช้าในช่วงนี้พ่อท่อน ยาแก้วเดินทอดน่องในสวนบนดอนทรายริมฝั่งแม่น้ำโขงเพื่อดูแปลงมะเขือราว ๔ ไร่ ในใจพ่อท่อนเองไม่อยากเก็บมะเขือในตอนนี้แม้ว่าจะถึงช่วงเวลาในการเก็บแล้ว สาเหตุที่ทำให้พ่อท่อนไม่อยากเก็บมะเขือในตอนนี้ เพราะราคามะเขือต่ำกว่าปีที่ผ่านมา ปีนี้มะเขือหนึ่งหมื่น (๑๒ กิโลกรัม) ขายส่งจากสวนได้เงิน ๑๒ บาท
สุมาตร ภูลายยาว

รถตู้วิ่งไปบนถนนลาดยางมะตอยที่บางช่วงเป็นหลุมเป็นบ่อ ถนนสายนี้เป็นเส้นทางจากจังหวัดกระแจะไปอำเภอสามบอ เพราะถนนไม่ค่อยดีนัก ระยะทาง ๓๕ กิโลเมตรต้องใช้เวลาเกือบ ๑ ชั่วโมงจึงถึงจุดหมาย เมื่อรถตู้ทั้ง ๓ คันจอดสงบนิ่งลงตรงประตูหน้าวัด ผู้โดยสารในรถตู้ก็พากันทยอยลงจากรถ เบื้องล่างของถนนเป็นแม่น้ำสายใหญ่ คนท้องถิ่นเรียกแม่น้ำสายนี้ว่า ‘โตนเลของ-แม่น้ำของ-โขง’ แม้ยังไม่สายมากนัก แต่แสงแดดก็ส่องประกายร้อนแรงเหนือสายน้ำ ฟ้ากว้างเปล่าแปนเป็นสีฟ้าไกลสุดสายตาหยั่งถึง บนสายน้ำเรือหลายลำจอดลอยลำอยู่ ใกล้กับเรือตรงโคนต้นจามจุรีมีเด็ก ๓-๔ คนนั่งอยู่ ถัดจากโคนต้นจามจุรีไปมีเรือลำหนึ่งลอยลำอยู่…
สุมาตร ภูลายยาว
จากพื้นที่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำที่แม่น้ำโขงไหลผ่าน ผู้คนสองฝั่งได้ใช้ประโยชน์จากแม่น้ำที่มีความยาว ๔,๙๐๔ กิโลเมตรสายนี้ไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ ล้าน ลักษณะการใช้ประโยชน์ก็แตกต่างกันออกไปตามแต่สภาพของพื้นที่ ในช่วงที่ไหลผ่านประเทศไทยตั้งแต่จังหวัดเชียงรายจนถึงจังหวัดอุบลราชธานี ก็มีผู้คนไม่จำนวนไม่น้อยได้ใช้ประโยชน์ในด้านแตกต่างกันออกไป ผู้ใหญ่ใช้หาปลา และใช้พื้นที่ตามหาดทรายที่โผล่พ้นน้ำ และริมฝั่งทำการเกษตร เด็กๆ ใช้เป็นห้องเรียนสำหรับฝึกหาปลา และว่ายน้ำ
สุมาตร ภูลายยาว
  ผาชันเป็นหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ริมแม่น้ำโขงอยู่ในเขตอำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี หมู่บ้านแห่งนี้มีเรื่องราวน่าสนใจหลายอย่าง เริ่มแรกเดิมทีก่อนเดินทางไปถึง ผมจินตนาการถึงหมู่บ้านแห่งนี้ในรูปแบบต่างๆ และพอเดินทางไปถึงบ้านผาชันเป็นครั้งแรก ซึ่งอยู่ในหน้าฝน ผมก็พบว่า ในฤดูฝนหมู่บ้านแห่งนี้กลายเป็นเกาะขนาดย่อมๆ ชาวบ้านบอกว่า "ในฤดูฝน น้ำจากห้วยจะไหลจนท่วมสะพาน และถนนที่เข้าสู่หมู่บ้าน การเดินทางเข้าหมู่บ้านต้องใช้เรือข้ามลำห้วยแล้วไปต่อรถ" ร่องรอยของคำพูดปรากฏให้เห็นเมื่อผมเดินทางเข้าสู่หมู่บ้าน รถข้ามสะพานที่น้ำในลำห้วยเริ่มปริ่มอยู่ใต้สะพาน…