บทที่ 2 อันตรายของการเจรจา
เมื่อพบกับปัญหาร้ายแรงอันเป็นผลพวงมาจากเผด็จการ (จากที่ได้สำรวจปัญหาไปแล้วในบทที่ ๑) หลายคนอาจยอมจำนนต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ส่วนคนอีกกลุ่มหนึ่งอาจไม่เห็นวี่แววว่าประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นได้ จึงด่วนสรุปว่าพวกเขาจำเป็นต้องยอมรับเผด็จการที่คงอยู่ในอำนาจในระยะยาวไปก่อน และหวังว่าด้วยการ “ปรองดอง” “ต่อรอง” หรือการ “เจรจา” พวกเขาจะสามารถช่วยให้ผลดีเกิดขึ้นได้บ้างและหยุดความเลวร้ายไม่ให้เกิดขึ้นอีก หากมองอย่างผิวเผิน จะเห็นว่าเพราะไม่มีทางเลือกอื่นที่เป็นไปได้จริง ความคิดดังกล่าวจึงดูเป็นเรื่องไม่เลวนัก
การต่อสู้กับเผด็จการที่โหดร้ายไม่มีวี่แววว่าจะทำให้อะไรดีขึ้นเลย มีความจำเป็นอะไรถึงต้องทำอย่างนั้น ? แค่ให้ทุกคนใช้เหตุผล หันหน้าเข้าหากัน แล้วเจรจาเพื่อหาทางนำเผด็จการไปสู่จุดจบอย่างค่อยเป็นค่อยไปไม่ได้หรือ ? เป็นไปไม่ได้เลยหรือที่ผู้นิยมประชาธิปไตยจะโน้มน้าวพวกเผด็จการโดยใช้ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ ทำให้เผด็จการค่อย ๆ ลดการครอบงำลง จนบางทีเผด็จการอาจยอมลงสู่อำนาจและหลีกทางให้แก่ประชาธิปไตยในที่สุด ?
บางครั้งมีการโต้แย้งว่าไม่มีฝ่ายใดพูดถูกทั้งหมด ผู้นิยมประชาธิปไตยอาจเข้าใจเผด็จการผิดไป เพราะอันที่จริงแล้วเผด็จการเป็นเพียงผู้มีเจตนาดีที่ต้องการแก้ไขปัญหาภายใต้สถานการณ์ที่ยากลำบากหรือไม่ ? หรือบางที บางคนอาจคิดว่าเผด็จการจะรีบถอนตัวจากสถานการณ์ยากลำบากที่ประเทศต้องเผชิญอยู่ไปเอง ถ้าหากมีการเสนอหรือพูดคุยดี ๆ บางครั้ง มีการโต้เถียงว่าเผด็จการอาจตอบรับข้อเสนอที่ให้ผลดีแก่ทุกฝ่ายโดยไม่มีใครต้องแพ้ ทั้งนี้ อาจมีการท้วงติงด้วยว่า ความเสี่ยงและการล้มตายอันมาจากการต่อสู้เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้น ถ้าฝ่ายประชาธิปไตยมีเจตนาแก้ไขความขัดแย้งโดยสันติผ่านการเจรจา (ซึ่งอาจได้รับการสนับสนุนจากบุคคลที่มีความสามารถ หรือแม้แต่รัฐบาลเผด็จการเองด้วย) สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ทางออกที่ดีกว่าหรอกหรือเมื่อเทียบกับการต่อสู้กับเผด็จการอย่างยากลำบาก ต่อให้เป็นการต่อสู้โดยสันติวิธีแทนที่จะเป็นสงครามทางการทหารก็ตาม ?
ข้อดีและข้อจำกัดของการเจรจา
การเจรจาเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างมากในการหาข้อตกลงให้แก่ประเด็นความขัดแย้งบางประเภท และเป็นสิ่งที่ไม่ควรถูกปฏิเสธหรือมองข้ามเมื่อสถานการณ์เหมาะสมต่อการใช้เครื่องมือดังกล่าว
ในบางสถานการณ์ที่ประเด็นไม่ได้กระทบต่อหลักการพื้นฐาน การประนีประนอมเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ การเจรจาจึงสามารถเป็นหนึ่งในวิธีการสำคัญที่ใช้ในการแก้ไขความขัดแย้ง การนัดหยุดงานเพื่อค่าแรงที่เพิ่มขึ้นเป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้การเจรจาในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งอย่างเหมาะสม ข้อตกลงอันเป็นผลพวงมาจากการเจรจาอาจทำให้ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์มากขึ้นจากการเสนอเจรจาระหว่างกันของคู่ขัดแย้งด้วย อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งทางกฎหมายระหว่างแรงงานกับสหภาพการค้า ค่อนข้างแตกต่างจากปมขัดแย้งที่มีการดำรงอยู่ต่อไปของเผด็จการและการสถาปนาเสรีภาพทางการเมืองเป็นเดิมพัน
เมื่อประเด็นของความขัดแย้งเป็นปัญหาในระดับหลักการ เช่น หลักการศาสนา ประเด็นเกี่ยวกับเสรีภาพ หรืออนาคตของการพัฒนาสังคมทั้งหมด การเจรจาอาจไม่ใช่หนทางที่นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ทุกฝ่ายพอใจ ในประเด็นระดับพื้นฐานบางประการ การประนีประนอมเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ การปรับความสัมพันธ์เชิงอำนาจเท่านั้นที่จะทำให้หลักการของผู้นิยมประชาธิปไตยได้รับการกอบกู้และปกป้องรักษา และการปรับความสัมพันธ์เชิงอำนาจดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการต่อสู้เท่านั้น ไม่ใช่ด้วยการเจรจา นั่นไม่ได้หมายความว่าการเจรจาเป็นสิ่งที่ไม่ควรถูกใช้เลย แต่ประเด็นคือ การเจรจาไม่ใช่ทางเลือกที่ใช้จัดการกับอำนาจเผด็จการที่เข้มแข็งได้จริงหากฝ่ายประชาธิปไตยเป็นฝั่งที่ไร้ซึ่งอำนาจ
ถูกเจรจาให้ยอมจำนน ?
ปัจเจกบุคคลและกลุ่มต่าง ๆ ที่ต่อต้านเผด็จการแต่สนับสนุนให้มีการเจรจามักเป็นผู้ที่มีเจตนาดี โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่การสู้รบทางทหารกับฝ่ายเผด็จการยืดเยื้อหลายปีแต่ยังไม่มีใครชนะอย่างเบ็ดเสร็จ เป็นเรื่องเข้าใจได้ว่าไม่ว่าจะมีจุดยืนทางการเมืองเป็นอย่างไร ทุกคนก็ล้วนแต่ต้องการสันติภาพทั้งสิ้น การเจรจาอาจเป็นเครื่องมือที่ฝ่ายประชาธิปไตยควรพิจารณานำมาใช้ ถ้าเผด็จการมีแสนยานุภาพทางทหารเหนือกว่าอย่างชัดเจน และการบาดเจ็บสูญเสียที่เกิดขึ้นกับประชาชนรุนแรงเกินกว่าจะรับไหว ด้วยเหตุนี้ ผู้นิยมประชาธิปไตยจึงพยายามอย่างมากในการแสวงหาวิธีอื่น ๆ เพื่อยุติวังวนของความรุนแรง แลกกับการกอบกู้ประชาธิปไตยกลับมาได้เพียงบางส่วน
ข้อเสนอเจรจา “สันติภาพ” กับฝ่ายประชาธิปไตยที่ริเริ่มโดยเผด็จการ แน่นอนว่าเป็นการกระทำที่มักไม่จริงใจ เพราะความรุนแรงเป็นสิ่งที่สามารถยุติลงได้ในทันทีโดยเผด็จการเอง ขอเพียงแค่ฝ่ายเผด็จการต้องการเลิกทำสงครามกับประชาชนของตัวเองเท่านั้น พวกเขาสามารถริเริ่มฟื้นฟูสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ปล่อยนักโทษการเมือง หยุดการทรมาน ยุติปฏิบัติการทางทหาร ถอนตัวออกจากรัฐบาล และขอโทษต่อประชาชนด้วยตัวเองได้ทันทีโดยไม่ต้องร้องขอต่อรองกับใครเลยแม้แต่น้อย
หากเผด็จการมีความเข้มแข็ง แต่ยังมีการต่อต้านรบกวนอยู่ เผด็จการอาจต้องการเจรจากับฝ่ายต่อต้านโดยใช้คำว่า “สันติภาพ” เพื่อหลอกล่อให้อีกฝ่ายยอมแพ้แต่โดยดี แม้การเจรจาจะฟังดูน่ายั่วยวน แต่อันตรายอย่างร้ายแรงอาจซุกซ่อนอยู่ในห้องเจรจาได้เช่นกัน
ในทางกลับกัน หากฝ่ายต้านเผด็จการมีความเข้มแข็งเป็นพิเศษ และอำนาจเผด็จการถูกคุกคาม ฝ่ายเผด็จการอาจแสวงหาการเจรจาเพื่อกอบกู้อำนาจและความมั่งคั่งของตัวเองเอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่มากได้ ไม่มีกรณีใดเลยที่ผู้นิยมประชาธิปไตยควรช่วยเผด็จการให้บรรลุเป้าหมายที่พวกเขาวางไว้
ผู้นิยมประชาธิปไตยควรระวังกับดักที่ถูกลอบวางไว้อย่างจงใจในกระบวนการเจรจาโดยฝึมือของเผด็จการ การเรียกร้องขอเจรจาในขณะที่เสรีภาพทางการเมืองซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง อาจหมายความว่าเผด็จการกำลังพยายามหลอกล่อให้ผู้นิยมประชาธิปไตยยอมแพ้แต่โดยดี เพื่อให้ความรุนแรงของเผด็จการยังคงดำรงอยู่ต่อไป ในกรณีเช่นนี้ การเจรจาจะเป็นสิ่งเหมาะสมต่อเมื่อการต่อสู้จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของเผด็จการอย่างแน่นอน จนพวกเผด็จการต้องหาเส้นทางปลอดภัยเพื่อหนีไปที่สนามบินนานาชาติแล้วเท่านั้น
อำนาจและความยุติธรรมในการเจรจา
หากข้อเสนอยังฟังดูเป็นคำวิจารณ์ที่รุนแรงต่อการเจรจามากเกินไป ใจที่ยกยอการเจรจาอย่างเกินเลยต้องได้รับการปรับให้เป็นกลาง การคิดให้คมชัดเป็นเรื่องจำเป็นต่อการทำความเข้าใจกลไกการทำงานของการเจรจา
“การเจรจา” ไม่ใช่กระบวนการที่สองฝ่ายนั่งลงในฐานะเท่าเทียมกันแล้วพูดคุยเพื่อหาทางออกให้แก่ความแตกต่างอันเป็นสาเหตุของความขัดแย้ง มีข้อเท็จจริงสองประการที่ต้องระลึกถึง ประการแรก การให้ความยุติธรรมแก่มุมมองและเป้าหมายที่ขัดแย้งกันไม่ได้เป็นตัวกำหนดผลลัพธ์ข้อตกลงของการเจรจาแต่อย่างใด ประการต่อมา ผลลัพธ์ข้อตกลงจากเจรจาส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ถูกกำหนดโดยอำนาจที่แต่ละฝ่ายมี
โจทย์ที่ตอบยากสองสามข้อต้องได้รับการพิจารณา แต่ละฝ่ายสามารถทำอย่างไรได้บ้างเพื่อบรรลุเป้าหมายของฝ่ายตัวเอง ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งล้มเหลวในการบรรลุข้อตกลงบนโต๊ะเจรจา ? แต่ละฝ่ายจะทำอย่างไรถ้าการเจรจานำไปสู่ข้อตกลงแล้ว แต่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ทำตามสัญญาและใช้อำนาจที่มีในการบรรลุเป้าหมายของตัวเอง เสมือนไม่เคยมีการเจรจาเกิดขึ้น ?
ผลลัพธ์ของการเจรจาไม่ได้มาจากการประเมินความถูกผิดของประเด็นปัญหาโดยตัวมันเอง แม้การเจรจาจะมีการโต้เถียงกันมากในเรื่องความถูกผิดของปมขัดแย้ง แต่ผลลัพธ์ของการเจรจา แท้จริงแล้วมาจากการประเมินอำนาจที่แต่ละฝ่ายมีและอาจส่งผลต่อกันภายใต้เงื่อนไขต่าง ๆ ผู้นิยมประชาธิปไตยทำอะไรได้บ้างเพื่อให้มั่นใจว่าข้อเรียกร้องขั้นพื้นฐานจะไม่ถูกปฏิเสธ ? เผด็จการควรทำอย่างไรเพื่อให้ฝ่ายประชาธิปไตยอยู่ภายใต้การควบคุมและถูกกำจัด ? หากมีการบรรลุข้อตกลง ผลลัพธ์ของการเจรจามีแนวโน้มว่าจะมาจากการประเมินอำนาจของแต่ละฝ่ายโดยเปรียบเทียบ และการคาดคะเนว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรหากมีการเปิดฉากต่อสู้ระหว่างกัน
ความสนใจต้องเพ่งไปที่สิ่งซึ่งแต่ละฝ่ายใช้แลกเปลี่ยนเพื่อบรรลุข้อตกลงเจรจาด้วย การเจรจาที่ประสบความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการประนีประนอมและการยอมไกล่เกลี่ยความแตกต่างบางประการออกไป แต่ละฝ่ายจะได้สิ่งที่ตัวเองต้องการบางส่วน และต้องสละเป้าหมายวัตถุประสงค์ของตัวเองไปบางส่วนเช่นกัน
ในกรณีของเผด็จการสุดโต่ง ฝ่ายประชาธิปไตยจะยอมสละอะไรให้แก่เผด็จการได้บ้าง ? มีข้อเสนอใดของฝ่ายเผด็จการที่ฝ่ายประชาธิปไตยจะสามารถยอมรับได้บ้าง ? สิ่งที่ฝ่ายประชาธิปไตยต้องสละให้ฝ่ายเผด็จการคือบทบาทถาวรในการสถาปนารัฐธรรมนูญของรัฐบาลในอนาคตหรือไม่ ? หากใช่ ประชาธิปไตยไปอยู่ตรงไหนของการเจรจาเช่นนี้ ?
ต่อให้การเจรจาดำเนินไปด้วยดีก็ตาม ยังจำเป็นต้องตั้งคำถามด้วยว่า สันติภาพอันเป็นผลลัพธ์ของการเจรจาจะออกมาในรูปแบบใด ชีวิตจะดีขึ้นหรือแย่ลงหากฝ่ายประชาธิปไตยเริ่มต่อสู้หรือดำเนินการต่อสู้ต่อไปแทนการเจรจา
เผด็จการที่ “ยอมรับได้”
เหล่าเผด็จการอาจมีแรงจูงใจและเป้าหมายหลากหลายในการปกครองอย่างไม่เป็นประชาธิปไตย เช่น อำนาจ ความมั่งคั่ง การเปลี่ยนแปลงสังคม และอื่น ๆ ทุกคนควรตระหนักว่าเป้าหมายเหล่านี้ของเผด็จการจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้หากเผด็จการยอมสละอำนาจ เผด็จการจึงต้องพยายามรักษาเป้าหมายต่าง ๆ ของตนเอาไว้บนโต๊ะเจรจา
ไม่ว่าคำมั่นสัญญาใดใดจะออกมาจากปากเผด็จการเมื่อมีการบรรลุข้อตกลง โปรดอย่าลืมว่าเผด็จการอาจให้สัญญาใดใดแก่ฝ่ายประชาธิปไตยก็ได้เพียงเพื่อให้ฝ่ายปฏิปักษ์วางมือ แล้วจึงค่อยผิดคำสัญญาที่เคยให้ไว้อย่างหน้าไม่อาย
ถ้าฝ่ายประชาธิปไตยยอมหยุดเคลื่อนไหวต่อต้านเพื่อหวังว่าวันปราบปรามจะถูกเลื่อนออกไป คงเป็นเรื่องน่าผิดหวังสำหรับฝ่ายประชาธิปไตยอย่างมาก การหยุดเคลื่อนไหวต่อต้านแทบไม่เคยทำให้การปราบปรามลดลงเลย ทันทีที่แรงกดดันต่อต้านเผด็จการจากในและนอกประเทศถอนออกไป เผด็จการอาจใช้กำลังปราบปรามรุนแรงยิ่งกว่าเดิม บ่อยครั้ง การสิ้นสุดลงของการต่อต้านโดยประชาชนหมายถึงการนำพลังในการจำกัดอำนาจและความโหดร้ายของเผด็จการออกไปด้วย ดังนั้นทรราชจึงสามารถจัดการกับใครก็ตามได้ตามอำเภอใจ Krishnalal Shridharani เคยเขียนไว้ว่า “ทรราชมีอำนาจบังคับข่มเหงได้ ต่อเมื่อเราอ่อนแอไม่ขัดขืนเท่านั้น”[1]
การต่อต้านขัดขืนเท่านั้นที่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเปลี่ยนแปลงความขัดแย้งที่มีประเด็นหลักการพื้นฐานเป็นปมปัญหา ไม่ใช่การเจรจา ในเกือบทุกกรณี การต่อต้านต้องดำเนินต่อไปเพื่อทำให้เผด็จการลงจากอำนาจ ความสำเร็จโดยส่วนใหญ่แล้วไม่ได้ถูกกำหนดโดยผลลัพธ์ของการเจรจา แต่มาจากการใช้วิธีการต่อต้านที่มีอยู่ให้ฉลาดและเหมาะสมที่สุด ข้อถกเถียงที่จะได้รับการอภิปรายในรายละเอียดอีกครั้งในภายหลัง จะแสดงให้เห็นว่า การขัดขืนทางการเมืองและการต่อสู้โดยสันติวิธี เป็นวิธีการที่ทรงพลังที่สุดในการต่อสู้เพื่อเสรีภาพ
สันติภาพแบบไหน ?
หากเผด็จการและผู้นิยมประชาธิปไตยต้องพูดคุยกันเกี่ยวกับสันติภาพจริง ๆ การคิดให้คมชัดอย่างถึงที่สุดเป็นสิ่งที่พึงกระทำเนื่องจากการเจรจาอาจทำให้เกิดอันตรายหลายประการ ไม่ใช่ทุกคนที่ใช้คำว่า “สันติภาพ” เพื่อเจตนาถึงสันติภาพซึ่งมาพร้อมกับเสรีภาพและความยุติธรรม การจำนนต่อการปราบปรามอันทารุณและการจำยอมต่อเผด็จการที่ไร้ความปรานี ซึ่งนำความเลวร้ายมาสู่ประชาชนจำนวนนับไม่ถ้วน ไม่สามารถถือได้ว่าเป็นสันติภาพที่แท้จริง ฮิตเลอร์เรียกร้องสันติภาพอยู่บ่อยครั้ง เพียงเพื่อให้คนยอมจำนนต่อความปรารถนาของเขา สันติภาพของเผด็จการส่วนใหญ่ไม่ใช่อะไรมากไปกว่าสันติภาพของการกักขังและความตาย
อันตรายอื่น ๆ ยังมีอยู่เช่นกัน ผู้เจรจาที่มีเจตนาดีบางครั้งอาจสับสนเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ในการเข้าเจรจาและขั้นตอนกระบวนการเจรจาด้วย ยิ่งกว่านั้น ผู้เจรจาฝั่งประชาธิปไตย หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการเจรจาจากต่างประเทศที่รับเชิญมาเป็นผู้ช่วยสนับสนุนการเจรจา อาจเผลอหยิบยื่นความชอบธรรมทั้งในระดับประเทศและระดับระหว่างประเทศให้แก่เผด็จการโดยไม่รู้ตัว ทั้งที่ก่อนหน้าเคยปฏิเสธความชอบธรรมของเผด็จการมาโดยตลอดเพราะการรัฐประหาร การละเมิดสิทธิมนุษยชน และความโหดร้ายทารุณ หากปราศจากความชอบธรรมอันเป็นที่ต้องการอย่างยิ่งยวด เหล่าเผด็จการจะไม่สามารถดำรงอยู่ในอำนาจได้นาน ผู้สนับสนุนสันติภาพไม่ควรมอบความชอบธรรมให้แก่พวกเขา
เหตุผลสำหรับความหวัง
จากได้กล่าวไว้แล้วก่อนหน้า ผู้นำฝ่ายปฏิปักษ์อาจรู้สึกถูกกดดันให้ต้องยอมเจรจา เพื่อหาทางออกจากความสิ้นหวังของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย อย่างไรก็ตามความรู้สึกไร้อำนาจเป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เผด็จการเป็นสิ่งไม่ยั่งยืน ประชาชนภายใต้ระบอบเผด็จการไม่จำเป็นต้องอ่อนแอไปตลอด เช่นเดียวกับเผด็จการที่ไม่จำเป็นต้องมีอำนาจค้ำฟ้าเสมอไป อริสโตเติ้ลเคยกล่าวไว้ตั้งแต่อดีตกาลว่า “...ทุชนาธิปไตยและทรราชมีอายุสั้นกว่าการสถาปนาอำนาจรูปแบบอื่น... ไม่ว่าในที่ใด ทรราชล้วนไม่เป็นสิ่งสถาวร”[2] เผด็จการสมัยใหม่มีลักษณะอ่อนแอไม่ต่างกัน การโจมตีที่จุดอ่อนสามารถบั่นทอนอำนาจเผด็จการให้ล่มสลายลงไปได้ (ในบทที่ 4 เราจะพิจารณาจุดอ่อนของเผด็จการในรายละเอียดต่อไป)
ประวัติศาสตร์เมื่อไม่นานมานี้แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของเผด็จการ ตลอดจนเผยให้เห็นด้วยว่าเผด็จการสามารถอันตรธานลงได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ขณะที่การโค่นล้มเผด็จการคอมมิวนิสต์ในโปแลนด์ต้องใช้ระยะเวลาถึง 10 ปีในช่วงระหว่าง 1980-1990 กรณีเยอรมนีตะวันออกและเช็คโกสโลวะเกียเมื่อปี 1989 กลับเกิดขึ้นโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ ในปี 1944 การต่อสู้กับเผด็จการทหารที่แข็งแกร่งในเอลซาวาดอร์และกัวเตมาลาใช้เวลาเพียง 2 สัปดาห์ ระบอบทหารอันทรงอำนาจของชาห์ในอิหร่านถูกโค่นล้มโดยใช้เวลาไม่กี่เดือน เผด็จการมากอสในฟิลิปปินส์ล่มสลายลงด้วยอำนาจของประชาชนภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ในปี 1986 โดยรัฐบาลสหรัฐได้ละทิ้งประธานาธิบดีมาคอสอย่างรวดเร็วหลังจากฝ่ายปฏิปักษ์เริ่มก่อตัวเป็นรูปขบวน ความพยายามทำรัฐประหารของพวกหัวอนุรักษ์นิยมในสหภาพโซเวียตเมื่อเดือนสิงหาคม 1991 ถูกสกัดภายในเวลาไม่กี่วันหลังจากมีการขัดขืนทางการเมือง จะเห็นได้ว่าชาติที่ถูกครอบงำมาเป็นเวลานานนั้นสามารถมีอิสรภาพได้โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน ไม่กี่สัปดาห์ หรือไม่กี่เดือนเท่านั้น
ความเชื่อเก่า ๆ ว่าการใช้ความรุนแรงทำให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่การใช้สันติวิธีต้องใช้เวลานาน เป็นความเชื่อที่ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด แม้การเปลี่ยนแปลงสถานการณ์และสภาพสังคมในบางกรณีต้องใช้เวลานาน การต่อสู้กับเผด็จการโดยสันติวิธีจริง ๆ นั้น บางครั้งเกิดขึ้นโดยใช้ระยะเวลาน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการใช้ความรุนแรง
การเจรจาไม่ใช่เพียงทางเลือกเดียวในการหาทางออกจากสงครามทำลายล้างและการยอมจำนนต่อเผด็จการ ตัวอย่างได้ชี้เห็นแล้ว เช่นเดียวกับตัวอย่างอื่น ๆ ในบทที่ 1 ว่าทางเลือกอีกประการหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการทั้งสันติภาพและเสรีภาพนั้นมีอยู่จริง ซึ่งทางเลือกดังกล่าวคือ การขัดขืนทางการเมืองแบบสันติวิธี.
[1] Krishnalal Shridharani, War Without Violence: A Study of Gandhi’s Method and Its Accomplishments (New York: Harcourt, Brace, 1939, and reprint New York and London: Garland Publishing, 1972), p.260.
[2] Aristotle, The Politics, transl. by T.A. Sinclair (Harmondsworth, Middlesex, England and Baltimore, Maryland: Penguin Books 1976 [1962]), Book V, Chapter 12, pp.231 and 232.