Skip to main content

หมายเหตุผู้เขียน

วันที่ 7 เมษายน ผมได้โพสต์ตั้งข้อสังเกตุเกี่ยวกับการอดอาหารประท้วงของเพนกวิน รุ้ง และฟ้าลงบนเฟสบุ๊ค และได้รับความสนใจกว่าโพสต์ปกติทั่วไปของผม พี่กุ้ย ศรายุทธ ตั้งประเสริฐ ผู้สื่อข่าวอาวุโสของประชาไทอยากให้ผมนำโพสต์ดังกล่าวมาเผยแพร่บนบล๊อกกาซีน ผมจึงนำโพสต์ดังกล่าวมาปรับแก้ภาษาและโพสต์เผยแพร่ไว้ ณ ที่นี้สำหรับผู้ที่สนใจ 

ข้อสังเกตที่ผมโพสต์บนเฟสบุ๊คมีคนเสนอแลกเปลี่ยนกลับมาจำนวนหนึ่ง ข้อเสนอที่ส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผมโพสต์ และผมคิดว่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับท่านผู้อ่านเช่นกันคือโพสต์ของวริศ ลิขิตอนุสรณ์และเทวฤทธิ์ มณีฉาย ข้อแลกเปลี่ยนของทั้งสองท่านช่วยเติมเต็มส่วนที่ผมมองข้ามหรือผิดพลาดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปได้อย่างดี ผมขอขอบคุณที่ทั้งสองท่านมาแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับสิ่งที่ผมเขียนไว้ ณ ที่นี้ด้วย  

อย่าไปบอกให้ใครเลิกอดอาหารประท้วงเลย

อย่าไปบอกให้ใครเลิกอดข้าวประท้วงเลย มันเป็นการตัดสินใจของเขา ลองทำความเข้าใจสิ่งที่เขาทำดูว่าเขาทำแบบนั้นทำไม การเรียกร้องให้เขาเลิกอดข้าว มันต่างจากสิ่งที่รัฐเผด็จการต้องการตรงไหน ทำไมคุณถึงพูดเหมือนกับเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ที่ไม่อยากให้เขาดื้อ เวลาอยู่ในคุก ปากและท้องเป็นเพียงไม่กี่อย่างที่เหลืออยู่เพื่อเอาไว้สู้กับความอยุติธรรม ทั้งที่เป็นแบบนั้นก็ยังจะริบอาวุธเพียงไม่กี่อย่างที่เขามีเช่นนั้นหรือ

เอาจริง ๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นตอนที่คนร้องขอให้ถอยด้วยความเป็นห่วงเวลามีเหตุปะทะ หรือตอนที่คนร้องขอให้ถอยด้วยความเป็นห่วงเวลาอดข้าวประท้วง ในแง่หนึ่งแล้วมันอาจนำไปสู่การตั้งคำถามเดียวกัน นั่นคือ คุณกำลังคิดถึงกลยุทธ์ที่ดีกว่าหรือกำลังเอาความขี้ขลาดของตัวเองไปลดทอนการต่อสู้ของคนอื่นกันแน่

หรืออาจจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง คือคุณกำลังเห็นว่าการอดข้าวมันฟังดูรุนแรงไม่พอในการต่อสู้ ต้องก่อจราจลมีคนเลือดตกยางออกแบบไม่เลือกหน้าถึงจะสาแก่ใจกับการสนับสนุนตามคอมเมนต์ในเฟสบุ๊คของคุณใช่ไหม ถ้าใช้ความรุนแรงกันจริง ๆ แล้วมันจะได้ผลกว่านี้หรือ คำถามเหล่านี้เอาจริง ๆ ผมก็ยังไม่มีคำตอบให้ตัวเองเหมือนกัน

หากมองจากมุมของสันติวิธี ยีน ชาร์ป เคยศึกษาการอดอาหารประท้วงในฐานะปฏิบัติการไร้ความรุนแรงเอาไว้ โดยจัดมันอยู่ในหมวด "การแทรกแซงจิตวิทยา" มากกว่าที่จะอยู่ในหมวด "ประท้วงและจูงใจ" นั่นหมายความว่ามันมุ่งสร้างแรงกดดันทางศีลธรรมกับกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม มากกว่าที่จะโน้มน้าวจูงใจให้ใครคล้อยตาม

หลังเพนกวิน รุ้ง และฟ้าอดข้าว พลวัตที่ตอนนี้คนอาจยังมองเห็นกันไม่ค่อยชัดน่าจะมี 2 อย่างหลัก ๆ คือ

1. มันช่วยระดมการสนับสนุน (mobilize) จากฝ่ายเดียวกันได้ อย่างที่รู้ ๆ กันว่าตอนนี้ในฝ่ายประชาธิปไตยแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มและไม่ได้มีความเป็นเอกภาพขนาดนั้น การปรึกษาหารือและพูดคุยกันมีต้นทุนบางอย่างอยู่ การอดข้าวประท้วงสามารถสร้างความรู้สึกเร่งด่วนและช่วยกระตุ้นให้เกิดการระดมกำลังสนับสนุนในสภาพแบบนี้ได้ พูดในเชิงรูปธรรมก็คือ

- ถ้าเพนกวิ้น รุ้ง และฟ้าไม่อดข้าว ส.ส. โรมคงไม่รีบร้อนขนาดนี้ และคงไม่มีอำนาจต่อรองในการเชิญประธานศาลฎีกามาซักถามใน กมธ. กฎหมาย ของสภา

- ถ้าเพนกวิ้น รุ้ง และฟ้าไม่อดข้าว คงไม่มีการประท้วงอดข้าว 1 วันของกลุ่มอื่น ๆ และอีกหลาย ๆ กลุ่มที่จะจัดในลักษณะเดียวกัน

- ถ้าเพนกวิ้น รุ้ง และฟ้าไม่อดข้าว เรื่องคงเงียบกว่านี้มากและเงินบริจาคสำหรับประกันตัวคงน้อยกว่านี้

- ถ้าเพนกวิ้น รุ้ง และฟ้าไม่อดข้าว คงไม่มีการสร้างแรงกดดันเป็นเผือกร้อนให้นักวิชาการสันติวิธีต้องมานั่งอธิบาย

(เอาจริง ๆ เรื่องหลังสุดมันก็มีคำถามอยู่ คือไม่ค่อยแน่ใจว่าการเรียกร้องให้นักวิชาการสันติวิธีต้องมาให้คำอธิบายทุกครั้งที่มีอะไรแบบนี้ มันเป็นการลดทอนหรือเสริมพลังกันแน่ ผมเข้าใจดีว่านักวิชาการด้านนี้มีปฏิสัมพันธ์กับสังคมไม่ค่อยพอเท่าไหร่เวลามีเรื่องแบบนี้ แต่ตามความเห็นผมแล้วปฏิบัติการไร้ความรุนแรงเป็นการต่อสู้ของประชาชนมาก่อน ก่อนที่จะมีอาชีพนักวิชาการสมัยใหม่แบบทุกวันนี้ขึ้นบนโลกเป็นพันปีด้วยซ้ำ ประชาชนแม่งสู้ด้วยวิธีแบบนี้มาตั้งแต่สมัยโรมันแล้ว และเขาไม่ได้ต้องพึ่งพาคำอธิบายอะไรจากนักวิชาการ)

2. มันช่วยเปิดโปงความต่ำทรามและไร้มนุษยธรรมของฝ่ายตรงข้ามได้ ในกรณีนี้คือ

- ถ้าเพนกวิ้น รุ้ง และฟ้าไม่อดข้าว สลิ่มคงไม่มานั่งคอมเมนต์หรอกว่า สงสัยอยากผอม กินนมกินน้ำหวาน สมน้ำหน้าตายห่าไปเร็ว ๆ ยิ่งดี และอื่น ๆ

- มันช่วยให้คนทั่วไปหันมาสนใจเรื่องความเป็นอยู่ของคนในคุกมากขึ้น ถ้าเพนกวิ้น รุ้ง และฟ้าไม่อดข้าว ผมคงไม่รู้หรอกว่าเจ้าหน้าระดับสูงในกรมราชทัณฑ์ยุคปัจจุบันเป็นชุดเดียวกับตอนที่หมอหยองตายเพราะติดเชื้อในกระแสเลือด

เรื่องสุดท้ายที่อยากจะพูดก็คือพอเถอะกับการลดทอนการต่อสู้ของลูกหลานด้วยการบอกว่าสันติวิธีได้ผลเฉพาะกับสังคมที่เป็นอารยะ เรื่องนี้เป็นแค่คำตัดพ้อที่ไม่มีอะไรรองรับในทางวิชาการเลย เรื่องเงื่อนไขปัจจัยความสำเร็จของปฏิบัติการไร้ความรุนแรง ผมคงไม่มีเวลาเอางานวิจัยมาอธิบายในโพสต์นี้ แต่ขอแสดงความเห็นเร็ว ๆ ว่ามันอาจจะเป็นไปในทางตรงกันข้ามด้วยซ้ำ กล่าวคือ ยิ่งสังคมศีลธรรมเสื่อมลงเท่าไหร่ การมี "วิญญูชน" ลุกขึ้นมาต่อสู้ด้วยมาตรฐานศีลธรรมของตัวเอง ยิ่งขับเน้นให้เห็นความต่ำทรามของสังคม และกระตุกต่อมศีลธรรมของประชาชนที่มีศักยภาพในการมองเห็นเรื่องแบบนี้ให้ยิ่งต้องทำอะไรสักอย่างมากขึ้น

 

 

บล็อกของ Thammachart Kri-aksorn

Thammachart Kri-aksorn
หมายเหตุผู้เขียนวันที่ 7 เมษายน ผมได้โพสต์ตั้งข้อสังเกตุเกี่ยวกับการอดอาหารประท้วงของเพนกวิน รุ้ง และฟ้าลงบนเฟสบุ๊ค และได้รับความสนใจกว่าโพสต์ปกติทั่วไปของผม พี่กุ้ย ศรายุทธ ตั้งประเสริฐ ผู้สื่อข่าวอาวุโสของประชาไทอยากให้ผมนำโพสต์ดังกล่าวมาเผยแพร่บนบล๊อกกาซี
Thammachart Kri-aksorn
รวมเว็บไซต์ข่าวเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของไทย เอาไว้ประกอบการทำงานมอนิเตอร์ข่าวของตัวเอง และอาจเป็นประโยชน์กับคนในแวดวงหรือผู้ที่สนใจ
Thammachart Kri-aksorn
แนวทาง 10 ขั้นตอนเพื่อรับมือการข่มขู่คุกคามจากครู เมื่อตัดสินใจจะใส่ไปรเวทเพื่อต่อสู้แบบอารยะขัดขืน
Thammachart Kri-aksorn
ซาอิด จีลานี เขียนลงวารสาร Jacobin วันที่ 8 มกราคม​ 2562 แปลโดย ธรรมชาติ​ กรีอักษร​อลิซาเบธ วอร์เรน​ใช่ว่าจะเป็นนักการเมืองสายกลาง​ แต่​เบอร์​นีย์​จะ​เ
Thammachart Kri-aksorn
(แปล) ความซับซ้อนของอุตสาหกรรมการกุศล ปีเตอร์ บัฟเฟต เขียนธรรมชาติ กรีอักษร แปล 
Thammachart Kri-aksorn
(แปล) คิดใหม่เกี่ยวกับปฏิบัติการสันติวิธีในยุคประชานิยมปีกขวาจันจิรา สมบัติพูนศิริ เขียนธรรมชาติ กรีอักษร แปล
Thammachart Kri-aksorn
 บทที่ 4 เผด็จการมีจุดอ่อนภาคิน นิมมานนรวงศ์ แปล
Thammachart Kri-aksorn
บทที่ 3 เมื่อใดจึงมีอำนาจ ?
Thammachart Kri-aksorn
 บทที่ 2 อันตรายของการเจรจา
Thammachart Kri-aksorn
 บทที่ 1 เผชิญหน้ากับเผด็จการอย่างเป็นจริง
Thammachart Kri-aksorn
 บทนำ - จากเผด็จการสู่ประชาธิปไตย : กรอบมโนทัศน์เพื่อการปลดแอก