Skip to main content

                                                                                คำนำ

 

 

  "แรงบันดาลใจที่หายไป" เป็นนิยายแฟนตาซีเรื่องยาวที่เริ่มเขียนไว้นานแล้ว ตั้งแต่ปี 55 พอดียุ่งวุ่นวายอยู่กับเผด็จการ และสภาพความแตกแยกในเส้นทางการต่อสู้จนลืมไปเลย หลังจากที่เขียนเรื่องสั้นลงในประชาไทมาหลายเรื่อง เพื่อสะท้อนแนวคิดและมุมมอง ซึ่งท่านผู้อ่านก็พอจะทราบกันดีถึงแนวคิดและทัศนคติทางการเมืองของผู้เขียน สถานการณ์ก็ถือว่าดีขึ้น ตามความคิดของผู้เขียน ปัญหาการลดทอนความชอบธรรมของชาวบ้านก็มีคนรู้เห็นกันมากขึ้น ซึ่งตรงนี้ตัวผู้เขียนก็ไม่ได้คิดว่าผู้เขียนไปทำอะไรได้มาก แต่คงเพราะมันเป็นปัญหาจริง ๆ ผู้คนก็เลยเห็นกัน เมื่อสถานการณ์ดีขึ้น ก็อยากจะเขียนอะไรที่ไม่การเมืองบ้าง ละเลิกบ้าง แต่จริง ๆ มันไม่มีงานเขียนอะไรที่ไม่การเมือง ทุกอย่างเป็นการเมือง ผู้เขียนทุกคนมีแนวคิดถ่ายทอด ถ้างานเขียนไม่มีแนวคิดถ่ายทอด งานเขียนก็คงไม่ใช่ศิลปะ แต่เป็นเพียงสิ่งประดิษฐ์ และตัวนักเขียนก็คงเป็นแค่นักประดิษฐ์ เหมือนที่ช่างทำรองเท้าประดิษฐ์รองเท้า คือต้องขอพูดว่า เปลี่ยนบริบทการเมืองในงานเขียนก็แล้วกัน  จริง ๆ เปลี่ยนนามปากกาก็ดีเหมือนกันนะ ยังคิดอยู่ เพราะทัศนคติทางการเมืองมันทำให้คนไม่อยากอ่านงานของผู้เขียนเยอะ แต่คิดไปคิดมา ก็ในเมื่อเรามั่นใจว่าสิ่งที่เราคิดนั้นถูก ก็ไม่จำเป็น ยังคงใช้ เขียน ตะวัน ต่อไป

 

 

                                                                        "แรงบันดาลใจที่หายไป"

 

... ณ โรงเรียนประถม อดิสร ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนระดับกลางแห่งหนึ่งย่านลาดพร้าว ผลการตัดสินการประกวดการเขียนเรื่องสั้นของนักเรียนชั้นประถมศึกษารอบชิงชนะเลิศ อายุไม่เกินสิบสองปี กำลังจะเริ่มประกาศผลท่ามกลางสายตาของพ่อแม่ผู้ปกครองและเหล่านักเรียนนับร้อย บ่ายคล้อยแล้ว แต่อากาศในฤดูหนาวยังคงเย็นอยู่ไม่สร่างซา ผู้ประกาศผลการแข่งขันเป็นหญิงรูปร่างเล็ก ไว้ผมยาวดูเรียบร้อย เธอสวมเสื้อเนื้อผ้าหางกระรอกลายลูกไม้สีขาว กระโปงยาวเป็นกลีบสีดำยาวถึงข้อเท้า กำลังวุ่นอยู่กับไมโครโฟนที่กำลังหอนเป็นวักเป็นเวร กว่าจะได้เริ่มประกาศ ก็เล่นเอาผู้รับฟังรับชมกระสับกระส่ายตื่นเต้นกันเป็นแถว แต่สุดท้ายเธอก็ประกาศมันออกมาจนได้

“ผลการประกวดรางวัลชนะเลิศ การแข่งขันเรื่องสั้น ระดับประถมศึกษาอายุไม่เกิน สิบสองปี ประจำปีพ.ศ.2555 รางวัลชนะเลิศอันดับที่หนึ่งได้แก่... ”

ไม่มีเสียงดนตรีประกอบใด ๆ มีแต่ความเงียบก้อนใหญ่อัดแน่นอยู่ในลำคอของผู้คนบริเวณรอบเวทีที่กำลังลุ้นระทึก เสียงค้อนตอกตะปูจากบริเวนก่อสร้างใกล้ ๆ ดังแทรกเข้ามาขั้นระหว่างช่วงเงียบอึดใจนั้น ก่อนที่ผู้ประกาศจะพูดต่อไป

“รางวัลชนะเลิศอันดับที่หนึ่งได้แก่... เด็กชาย ปีติ สกุลวงศ์ จากผลงานเรื่องสั้น ห้องสมุดของฉัน! “

ทันทีที่ผลการประกวดถูกประกาศออกมา เสียงปรบมือก็ดังกึกก้องขึ้นเหมือนเครื่องประโคม ทุกคนร่าเริงแจ่มใส ที่ได้เห็นการแข่งขันอันสร้างสรรค์แบบนี้ผ่านไปได้ด้วยดี เป็นไปตามหมายกำหนดการที่วางไว้ และ รางวัลชนะเลิศกำลังจะถูกมอบแก่ผู้ชนะ

แต่ทันใดนั้นเอง!? ...

“อะไรกัน !! ทำไมเรื่องสั้นของผมไม่ได้รางวัลละ”

เสียง เล็ก ๆ จากเด็กชายตัวน้อยคนหนึ่งที่เข้าร่วมประกวดจนมาถึงรอบสุดท้ายได้อย่างน่าประหลาดใจ ร้องเอะอะโวยวายขึ้น ด้วยสัญชาตญาณความอยากรู้อยากเห็น ทุกคนในอาคารอเนกประสงค์ จึงเริ่มเพลามือที่กำลังตบปะ ๆ และเพลาเสียงเซ็งแซ่ลง จนพอที่จะได้ยินได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นบริเวณเวทีการประกวด

“ ทำไมเรื่องสั้นของผมไม่ได้รางวัลละ เรื่องปาท่องโก๋ผจญภัยเนี่ย นี่คือเรื่องปาท่องโก๋ที่เป็นเพื่อนกับน้ำเต้าหู้เชียวนะ ทำไมไม่ได้รางวัล” เด็กน้อยวัยเจ็ดขวบ เอะอะโวยวายด้วยน้ำเสียงที่ยังไม่ชัดถ้อยชัดคำเท่าไหร่นักของเขา จนคณะกรรการต้องเดินออกมาชี้แจงกันยกใหญ่

“ว่าไงจ๊ะที่รัก”

กรรมการหญิงตัวใหญ่ไว้ผมบ๊อบดัดหยิก มีแว่นตาทรงแหลมคนหนึ่งเดินเข้ามาหาหนูน้อย และดูเหมือนว่า เธอจะเป็นบุคคลที่มีสิทธิ์มีเสียงมากที่สุดในกลุ่มเสียด้วยสิ

“ทำไมละ ทำไม ทำไมเรื่องสั้นของผมถึงไม่ชนะละ ทำไม ”

เสียงหนูน้อยยังคงร้องขอต่อความสงสัยของเขา

“ดูนี่สิที่รัก”

กรรมการหญิงคนดังกล่าวแย่งแผ่นกระดาษเอสี่ที่มีผลงานเรื่องสั้นของหนูน้อยมาจากมือของเขาอย่างแผ่วเบา แล้วเริ่มพรรณนาถึงเหตุผลต่าง ๆ ในการตัดสินครั้งนี้ด้วยน้ำเสียงสูง ต่ำ อ่อนโยนเหมือนกับการเล่านิทาน

“เธอยังเขียนหนังสือผิดเยอะมากเลยดูสิ และ ลายมือของเธอก็ยังไม่เข้าเกณฑ์ แม้เนื้อหาในเรื่องจะดีและมีความคิดสร้างสรรค์ แต่ถ้าเธอต้องการจะเป็นนักเขียนอาชีพในอนาคตให้ได้ เธอจะต้องหมั่นฝึกฝนและ มีความอดทนให้มากนะที่รัก” กรรมการหญิงตัวใหญ่พูดไปก็ยิ้มกว้างให้หนูน้อยไป แต่หนูน้อยยังเถียงสู้ไม่ยอมเลิก

“เรื่องที่ได้รางวัลนั่นนะ ไม่เห็นจะสนุกเลย มีแต่เรื่องที่ต้องทำตัวเป็นเด็กดี นั่งอ่านหนังสือเงียบ ๆ อยู่ในห้องสมุดไม่รบกวนใคร ๆ ไม่เห็นสนุกเลย แต่นี่มันเรื่องปาท่องโก๋ผจญภัยเชียวนะ ปาท่องโก๋ที่มีเพื่อนเป็นน้ำเต้าหู้น่ะ คุณไม่ได้อ่านเหรอ ตอนที่น้ำเต้าหู้โดนไม้จิ้มฟันแกล้งจนถุงรั่ว ตอนนั้นปาท่องโก๋ใช้ตัวของเขากอดซับถุงน้ำเต้าหู้เอาไว้ ไม่ให้ถุงน้ำเต้าหู้ต้องเสียน้ำเต้าหู้มากเกินไปจนน้ำเต้าหู้รอดตายมาได้ แล้วตอนที่ฝนตกหนักอีก น้ำเต้าหู้แบ่งที่ในถุงหิ้วที่มีเพียงน้อยนิดให้กับปาท่องโก๋ ปาท่องโก๋ก็เลยไม่ต้องเปียกฝนจนตัวละลายตายไป แล้วเรื่องราวการผจญภัยต่าง ๆ ของพวกเขาอีกมากมาย คุณได้อ่านมันหรือเปล่า ทำไมเรื่องนี้ถึงไม่ได้รางวัลละ ทำไม ทำไม?”

หนูน้อยวิ่งหนีออกไปพร้อมผลงานเรื่องสั้นในกระดาษเอสี่ที่เขาแย่งคืนมาจากมือของคณะกรรมการหญิงคนนั้น เขาวิ่งหนีออกไปด้วยความผิดหวังและความไม่เข้าใจ ในใจของหนูน้อยได้แต่ตั้งคำถามว่า ทำไม ทำไม และ ทำไม...

หนูน้อยหนีมานั่งรอคุณยายของเขาอยู่หน้าโรงเรียน พร้อมกับคิดถึงเรื่องการตัดสินรางวัลครั้งนี้ เขาไม่เข้าใจว่าคณะกรรมการพวกนั้นเอาหลักเกณฑ์อะไรมาตัดสิน หนูน้อยเคยอ่านเรื่องเป็ดน้อยอานนท์ เขารู้ว่าเรื่องสนุกมันเป็นยังไง เขาจะยอมรับถ้าเรื่องที่ได้รางวัลนั้นมันสนุก แต่เรื่องที่ได้รางวัลชนะเลิศ มันไม่เห็นสนุกตรงไหน ตัวละครที่เป็นเด็กดีนั่งอ่านหนังสือเงียบ ๆ ไม่ส่งเสียงรบกวนใคร คณะกรรมการพวกนั้นตัดสินอย่างไงกัน แค่เป็นเด็กดีก็ชนะแล้วรึ? หรือว่า แค่เขาเขียนหนังสือผิดเยอะและเขียนตัวหนังสือไม่สวยนะหรอ เรื่องของเขาเลยไม่ได้รางวัลชนะเลิศ หนูน้อยนั่งเศร้าอยู่หน้าโรงเรียน ขณะที่คณะกรรมการพวกนั้นเดินผ่านไปโดยที่ไม่สนใจเขา เขาก็ไม่สนใจพวกคณะกรรมการเช่นกัน ใครจะไปสนใจ หนูน้อยคิดในใจขณะยังคงนั่งรอคุณยายที่จะมารับกลับบ้าน

ในตอนนั้นเอง ซึ่งหนูน้อยไม่รู้ว่า บางสิ่งบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้นกับเขา ด้วยการมาถึงของความผิดหวังที่หนูน้อยเพิ่งจะเคยได้เผชิญเป็นครั้งแรกในชีวิต มันได้เปิดประตูมิติลี้ลับ ที่จะปล่อยภูติเจ้าเล่ห์กระหายในตัวหนังสือแห่งโลกมนุษย์ มันได้ลักพาแรงบันดาลใจในการเขียนของหนูน้อยไปเพื่อเป็นเครื่องต่อรองแลกเปลี่ยนความสามารถในการเขียนของหนูน้อย เพียงแต่ตอนนี้ หนูน้อยยังไม่รู้ตัว และเมื่อถึงตอนนั้น หนูน้อยจะทำเช่นไร จะเลือกเอาแรงบันดาลใจคืนมาแล้วยอมเสียความสามารถในการเขียนไป หรือจะคงไว้ซึ่งความสามารถในการเขียน แต่ไร้ซึ่งแรงบันดาลใจ! มันช่างเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากที่กำลังรอเด็กชายวัยเจ็บขวบผู้จะต้องเป็นผู้ชี้ชะตาชีวิตตัวเองเสียจริง ๆ ฯลฯ

 

โปรดติดตามตอนต่อไป 

 

บล็อกของ เขียน ตะวัน

เขียน ตะวัน
ฯลฯ ฉันคิดว่า เราควรจะต้องพักเรื่องซีเรียสของแกไว้เสียบ้าง เพราะมันทำให้ฉันอึดอัดราวกับใส่เสื้อกันหนาวสไตล์เกาหลีออกไปเดินกลางแดดของวันที่สี่ หลังจากที่อุณหภูมิเริ่มสูงขึ้นตั้งแต่วันที่สอง 
เขียน ตะวัน
                                                      &n
เขียน ตะวัน
...แล้วในตอนที่ฉันกำลังจะข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามนั่นเอง ทันใดรถพ่วงข้างขายไก่ย่างก็เลี้ยวออกจากซอยตัดหน้าให้ฉันต้องชะงักขาที่กำลังจะก้าวลงจากฟุตบาท พ่อค้าทำลอยหน้าลอ
เขียน ตะวัน
...เช้านั้น คุณเขียนตื่นขึ้นแล้วได้พบว่า ตัวเองต้องการเข้าห้อ
เขียน ตะวัน
                                                                &nbs
เขียน ตะวัน
                                                                &nb
เขียน ตะวัน
                                                                &nbsp