Skip to main content

                                                                                        คำนำ
 

          ก็ยังคงนำบางส่วน (จริง ๆ เขียนได้เท่าไหร่ก็เอามาหมด) ที่เขียนได้มาให้อ่านกันอยู่เสมอ ด้วยเหตุผลเดิม ๆ คือ ไม่รู้จะเขียนจบเมื่อไหร่ อาจตายก่อนก็ได้ ไม่อยากให้งานมันตายไปกับตัวเอง ชีวิตไม่แน่นอน แต่งานเขียนยังอยู่ต่อ ข้อให้มีความสุขกับการอ่าน (ถ้างานมันพอจะดีและน่าอ่านอยู่บ้าง) 

ด้วยความเคารพ  เขียน ตะวัน

 

                                           

 

                                                                                     "นวนิยาย เด็กข้างถนน" 

 

 

 

ฯลฯ ไม่ใช่เพราะเมืองพัทยามีหน้าที่สอนสั่งให้ผู้คนรู้ซึ้งถึงชีวิตอันแสนจะบัดซบของตัวเองที่คืบคลานเข้ามาในยามที่ไม่มีใครเคยสงสัย แต่เพราะตัวแกเองเริ่มที่จะโตขึ้น เริ่มที่จะรู้และเรียนรู้ และสิ่งที่ได้เรียนรู้ และรู้ในอันดับแรก ๆ ของผู้คนอย่างแกก็คือ ความล้มเหลวของครอบครัวและพ่อแม่ที่ไม่เคยรู้ว่า ปัญหานั้นมาจากไหน เช่นเดียวกับวิธีการแก้ไขที่ลับหายไปในทุก ๆ คืนของการหลับไหล

และมันเป็นเวลาเดียวกับที่แกก็เริ่มที่จะเรียนรู้ถึงสิ่งที่คืบคลานอยู่ในที่มืดและเงียบ ณ ซอกหลืบของบ้านเช่าย่านชุมชนสลัมที่แกใช้ชีวิตรวมอยู่กับมันและคนอื่น ๆ ซึ่งนับวันมันจะค่อย ๆ เกาะกินทุกคนในบ้าน ไม่มีใครสักคนที่รู้ จนเมื่อแกเริ่มโตขึ้น เริ่มที่จะรับรู้ กระทั้งเมื่อถึงจุดหนึ่งของบทเรียนแรกนี้ แกก็เริ่มหัดที่จะวิ่งหนีมันไปให้ไกล เหมือนสัตวเล็ก ๆ ที่หวาดกลัวต่ออันตรายแล้วก็หาทางวิ่งหนี

 

คืนนั้นเอง หลังจากที่แม่ของแกถกเถียงกับผัวใหม่เรื่องฝรั่งแก่ที่เข้ามาติดพัน เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ไอ้ผู้ชายที่นับวันแกโตขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งถอยห่างและเกลียดกันมากขึ้นเท่านั้น แกทนฟังมันจีบปากจีบคอพูดอ้อมไปอ้อมมาแล้วก็หาวิธีวกเข้าเรื่องที่อยากจะให้แม่ของแกหลอกเอาเงินฝรั่งมาบำเรอ ส่วนแม่ของแกก็จีบปากจีบคอพูดอ้อมไปอ้อมว่าไม่เคยไปนอนแบให้ไอ้ฝรั่งแก่นั้นเลยสักครั้ง แกทนฟังจนพวกนั้นหลับไปขณะที่ในใจก็คอยแช่งด่าทั้งไอ้แมงดาและอีนางกระหรี่ราวหัวใจจะแตกพัง จนแน่ใจว่าน้องสาวของแกหลับสนิท แล้วแกก็หนีออกไปจากบ้าน ไปนั่งที่สะพานปลา คืนแล้วคืนเล่าที่แกหนีออกมาโดยที่ไม่มีใครรู้ แกหนีมานั่งฟังเสียงคลื่นซัดเสาสะพานครั้งแล้วครั้งเล่า ลมทะเลระลอกแล้วระลอกเล่าที่โถมเข้าหาชีวิตจ้อยเล็กของแก แต่มันก็ไม่เคยพัดเอาสิ่งที่ติดค้างข้างในสักเพียงเศษเสี้ยวหายไป ขณะแกเหม่อมองไปสุดเวิ้งที่มืดสนิทของท้องทะเลยามเรือหาหมึกแล่นออกจากชายฝั่งไปไกลลับตา ในช่วงเวลานั้น หรือต่อให้ตราบจนชั่วชีวิต

แล้วในคืนนั้นเอง ตอนที่แกกำลังนั่งเหม่อลอยและจ้องมองความมืดมิดซึ่งเสมือนเดียวกับชีวิตที่ถูกแกะออกจากสรรพสิ่งเพื่อที่จะจมปลักอยู่ในความนิ่งงันแต่เพียงผู้เดียว เสียงเล็ก ๆ ของเด็กสาวคนหนึ่งก็ร้องทักดังมาจากด้านหลัง เสียงของเธอละเอียดเหมือนเม็ดทราย จนสายลมที่พัดผ่านไปทางหลังอยู่ตลอดเวลาไม่อาจชะมันให้แตกสลายเหมือนที่ไม่เคยพัดเอาระลอกคลื่นชะชายฝั่งให้แตกพังได้เลยสักเพียงน้อย "ขอนั่งด้วยนะ วันนี้วันเกิดเรา" เธอพูด

 

ฉันเพียงสังเกตเธอผ่าน ๆ ผิวพรรณของเธอเข้ม ทั้งโครงหน้าและรูปร่าง เธอคงมาจากทางใต้ แต่สำเนียงภาคกลางเธอชัดคำ เธอคงจะเกิดที่นี่หรือไม่ก็มาอยู่ตั้งแต่เด็ก สำเนียงแบบคนใต้ของเธอจึงไม่ปรากฏให้ได้ยินในคำสนทนายามแรกพบจวบจนคำพูดสุดท้ายที่เธอได้บอกกล่าว

แกอนุญาตให้เธอนั่งข้าง ๆ หลังจากสำรวจดูแล้วว่าไม่ใช่นักมนุษยชนเด็กที่เที่ยวมาตั้งคำถามโง่ ๆ กับแกบ่อยครั้ง แกจำได้ว่าครั้งหนึ่งที่ได้เจอพวกนั้นเข้าขณะนั่งเหม่อมองท้องทะเลและเงียบหูฟังเสียงคลื่น พวกนั้นพยายามจะให้แกพูดให้ได้ว่าแกเป็นเด็กมีปัญหา และพ่อแม่ของแกกระทำทารุณหรืออะไรสักอย่างจนแกต้องแอบหนีมานั่งคนเดียวในยามวิกาล พวกนั้นอาจแจ้งความและยื่นเรื่องต่อศาลเยาวชนเพื่อที่จะพาแกไปให้พ้นจากบ้านและครอบครัวล้มเหลว ไปสู่สถานธนานุบาลของระบบอุปถัมภ์ที่วัน ๆ สั่งสอนให้เด็กเต้นแร้งเต้นกาทำท่าน่าสงสารเพื่อให้ผู้มาเยี่ยมเยือนเกิดใจกุศลจนต้องควักกระเป๋าเงินออกมาบริจาค ขณะที่เด็ก ๆ ร้องเพลงแม่จ๋าอยู่ไหน นี่ถ้าแกไปอยู่ที่นั่นแล้วต้องร้องเพลงแบบนั้น แกคงแอบคิดและขำในใจละว่า "แม่ฉันเป็นกะหรี่อยู่พัทยา"

แต่ความคิดฟุ้งเฟ้อของแกก็ต้องแตกกระจายและสว่างขึ้นเหมือนพลุจากยอดตึกของโรงแรมหรูในวันที่ผู้มาเยือนเข้าพักจนเต็มทุกห้อง เมื่อเธอไม่ได้พูดแต่เพียงปากเปล่าว่าเป็นวันเกิด เพราะในตอนนั้นเธอได้หยิบเอาขนมเค้กก้อนเล็ก ๆ สีสันน่ากินออกมาด้วย ก่อนจะปักเทียนสีสวยแบบที่เป่าดับยากลงไป "เราจะแบ่งให้เธอกินหลังจากเป่าเค้กแล้ว"

 

แกดีใจจนลืมความประหลาดใจเมื่อแรกเจอ ที่อยู่ ๆ เด็กสาวที่ไม่เคยรู้จักหน้าค่าตามาขอนั่งด้วย ครั้นก็ชวนให้ร่วมกันเป็นสักขีพยายานในวันคล้ายวันเกิด เธออายุเท่าไหร่กันนะ 14 หรือ 15 หรือ 16 ขนมเค้กมันเล็กเกินกว่าที่จะปักเทียนจำนวนขนาดนั้นลงไป แล้วทำไมเธอถึงมาฉลองงานวันเกิดที่สะพานปลากลิ่นเหม็น แทนที่จะไปที่ห้าง หรือที่บ้านเพื่อจัดงานวันเกิดเล็ก ๆ แบบที่เด็กสาวชั้นมัธยมชื่นชอบ หรือว่าชีวิตของเธอก็เลวร้ายพอ ๆ กับแก ก็เลยต้องออกมานั่งที่สะพานปลาเป็นการปลอบประโลใจ แต่แววตาเธอก็ดูสดใสเกินกว่าจะมีชีวิตสิ้นไร้ขนาดนั้น หรือว่าเธอเก็บซ่อนเก่ง หรืออาจจะเพราะว่าเธอชินกับมันเสียจนกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา ราวกับเป็นสิ่งไร้ตัวตนที่จะไม่ปรากฏร่องรอยในแววตาสุกสกาวดั่งผืนทะเลยามต้องแสงจันทร์ เป็นสิ่งปกติธรรมดาเหมือนลมพัด เหมือนเสียงคลื่น เหมือนแสงไฟ เหมือนเสียงเพลง เหมือนซ่องกะหรี่และอาโกโก้ ฉันพยายามจ้องตาเธอเพื่อค้นหา กระทั่งเทียนเล่มนั้นถูกจุดขึ้นในสายลมจากท้องทะเล อันไม่เคยปรานีต่อดวงประทีปใดในชายฝั่งที่ถมทับอัดแน่น จนลึกลงในก้นบึ้งของความนิ่งเงียบ ราวกับชายหาดที่ทอดตัวยาวสุดสายตา เบื้องหน้าของแกและเธอในเวลานั้น

 

เธอสวยนะ แกคิดขณะจ้องมองใบหน้าของเธฮ ริมฝีปากได้รูป ถึงผิวเธอจะเข้ม แต่ริมฝีปากและขอบตาไม่คล้ำ ผิวแลดูนุ่มเละเนียนจนแกอยากลองเอามือด้าน ๆ ของแกสัมผัสต้นแขนเล็ก ๆ ของเธอที่กำลังยกถาดเค้กขึ้นเหนืออกด้วยแรงอธิฐาน ดวงตาที่ปิดสนิทบ่งบอกถึงความรู้สึกปลอดภัย แกจ้องมองดูเธอในชั่วอึดใจนั้นดั่งว่า มันนานราวกับชั่วกัปชั่วกัลป์ และแกก็พึงใจที่จะนิ่งนานอยู่แบบนั้น จนเธอลืมตาขึ้นหันกลับจ้องแกด้วยรอยยิ้มก่อนเป่าเทียนเล่มนั้นดับในคราเดียว

 

เธอหยิบมีดพลาสติกเล็ก ๆ ออกมาจากถุงหิ้วแล้วตัดขนมเค้กก้อนนั้นเป็นสองชิ้น เธอพยายามตัดมันให้เท่ากันที่สุด ทั้งชิ้นผลไม้ และเชอร์รี่ราวกับว่า ขนมเค้นชิ้นนั้นคือประจักษ์พยานต่อความยุติธรรมที่จะถือกำเนิดและสถิตอยู่ท่ามกลางชีวิตของเธอและแกซึ่งไม่เคยได้รับเลยนับตั้งแต่เกิดมาบนโลกใบนี้ เพราะฉะนั้น มันจึงต้องถูกแบ่งให้เท่าและยุติธรรมที่สุด

 

แต่ยังไม่ทันที่ขนมเค้กก้อนนั้นจะแยกออกจากกันเพื่อเป็นภัตตาหารในงานฉลองที่จัดขึ้นท่ามกลางหมู่ดาว คลื่นลม และท้องทะเลอันไพศาล ผู้ชายคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของเรา เขาเดินเข้ามาหาเธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงธรรมดา "ขายมั้ย?" "ขาย ๆ" เธอรับคำ แล้วหันมาบอกลาพร้อมยื่นขนมเค้กทั้งก้อนที่ยังไม่ได้แบ่งใสจานกระดาษเล็ก ๆ ให้เพื่อนที่พานพบแผ้วผ่าน เด็กชายไม่ประสีประสาอย่างแกก็มัวแต่งุงงงสงสัย ไม่ทันที่จะถามว่าเธอชื่ออะไรด้วยซ้ำ ได้แต่มองเธอเดินจากไปกับชายแปลกหน้า ชายคนนั้นแปกลหน้า เธอแปลกหน้า แกก็แปลกหน้า ขนมเค้กราคาถูกก้อนเล็ก ๆ มีเทียนปักซึ่งโดนเป่าดับไปแล้ว มันถูกตัดแบ่งเป็นสองชิ้น ชิ้นหนึ่งให้แก อีกชิ้นหนึ่งของเธอเอง วันนี้วันเกิดเธอ เธอชื่ออะไรไม่รู้ แต่แกอธิษฐานให้เธอพบกับชีวิตที่ดี

 

แล้วขณะที่ในมือเเกยังถือถาดเค้กซึ่งยังไม่ได้แตะต้องนอกจากการตัดแบ่งเป็นสอง อยู่ ๆ ผู้ชายท่าทางอรชรอ้อนแอ้นกว่าปกติคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหา "ขายมั้ย?" เขาถาม พอได้ฟังแกรีบเก็บซ่อนขนมเค้กชิ้นนั้นอย่างหวงแหน "ไม่ขาย!" เขาเดินจากไปอย่างหัวเสียหลังแกระเบิดคำพูดแข็งกระด้างและเย็นเยือกราวกับเสาสะพานปลาที่นิ่งลึกลงไปในก้นทะเลตรงที่แกนั่ง แกช่างไม่ประสีประสากับชีวิตจริง ๆ เด็กน้อย

 

ก็จนกว่าจะได้พบบทเรียนต่อไป ตอนที่แกเจอเธออีกครั้งขณะเดินไปกับชายต่างชาติคนหนึ่ง โดยที่เธอเพียงชายตามองแล้วเลยผ่าน ราวกับงานเลี้ยงท่ามกลางหมู่ดาวเสียงคลื่นและท้องทะเลในวันนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับชีวิตของเธอ "นางกะหรี่!" แกสบถแช่งชักในใจ แต่แกก็ยังรักเธอ และคิดในใจว่า ต่อให้เธอออกไปนอนกับผู้ชายที่แวะเวียนมาซื้อบริการเธอครั้งแล้วครั้งเล่าในทุก ๆ คืน แกก็ยังจะรักเธออยู่ดี รักนางกะหรี่คนนั้น ใช่มั้ย? และนั่นจะเป็นบทเรียนต่อไป “ความรัก” ยังไงละ ฯลฯ

 

บล็อกของ เขียน ตะวัน

เขียน ตะวัน
ฯลฯ ฉันคิดว่า เราควรจะต้องพักเรื่องซีเรียสของแกไว้เสียบ้าง เพราะมันทำให้ฉันอึดอัดราวกับใส่เสื้อกันหนาวสไตล์เกาหลีออกไปเดินกลางแดดของวันที่สี่ หลังจากที่อุณหภูมิเริ่มสูงขึ้นตั้งแต่วันที่สอง 
เขียน ตะวัน
                                                      &n
เขียน ตะวัน
...แล้วในตอนที่ฉันกำลังจะข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามนั่นเอง ทันใดรถพ่วงข้างขายไก่ย่างก็เลี้ยวออกจากซอยตัดหน้าให้ฉันต้องชะงักขาที่กำลังจะก้าวลงจากฟุตบาท พ่อค้าทำลอยหน้าลอ
เขียน ตะวัน
...เช้านั้น คุณเขียนตื่นขึ้นแล้วได้พบว่า ตัวเองต้องการเข้าห้อ
เขียน ตะวัน
                                                                &nbs
เขียน ตะวัน
                                                                &nb
เขียน ตะวัน
                                                                &nbsp