...แล้วในตอนที่ฉันกำลังจะข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามนั่นเอง ทันใดรถพ่วงข้างขายไก่ย่างก็เลี้ยวออกจากซอยตัดหน้าให้ฉันต้องชะงักขาที่กำลังจะก้าวลงจากฟุตบาท พ่อค้าทำลอยหน้าลอยตาอารมณ์ดีร้องเพลงเสียงดังได้ยินกันเสียชัดเจน เขาไม่สนเลยสักนิดว่าได้กระทำการขัดขวางจังหวะก้าวเท้าของผู้สรรจรด้วยสุจริตคนหนึ่ง แต่กระนั้น บทเพลงลูกทุ่งที่เขาร้องราวกับอยู่ผู้เดียวในไร่นาก็สะดุดใจฉันเข้าจั๊งหนับยิ่งกว่าตอนที่เขาขับรถพ่วงขายไก่ย่างปาดหน้าเสียอีก
"เมื่อสุริยน ย่ำสนธยา จะกลับบ้านนาตอนชื่อเสียงเรามี
จะยากจะจน ถึงอดจะทนเต็มที่ นักร้องบ้านนอกคนนี้
จะกล่อมน้องพี่ และแฟนเพลง"
เพลงของพุ่มพวง ดวงจันทร์นั่นเอง ไม่ค่อยเคยได้ยินผู้ชายร้องเพลงนี้ และในความจำเพาะของเนื้อเพลงย่อมบ่งบอกถึงความฝัน นั้นสะท้อนว่า ลึก ๆ พ่อค้าขายไก่ย่างผู้นี้คงจะมีความฝันซ่อนอยู่ในใจ
"เมื่อสุริยน ย่ำสนธยา หมู่นกกาก็บินมาสู่รัง
ให้มาคิดถึงท้องทุ่งนาเสียจัง ป่านชะนี้คงคอยวัน
เมื่อไหร่จะกลับบ้านนา"
ฟังแล้วรู้สึกเหมือนย้อนวันในครั้งยังเยาว์ที่ไร่ทุ่งไร่นา ฟังแล้วรู้สึกเหมือนยืนอยู่คนเดียวบนถนนที่ผู้คนผ่านไปผ่านมา ฟังแล้วเหมือนได้คิดย้อนถึงการทำบางสิ่งบ้างอย่างหลุดหายไป
"ก่อนจากบ้านมา เพื่อนมันว่าให้ช้ำทรวง
ไปเป็นนักร้องให้เขาล้วง มันเจ็บในทรงไม่หาย
ไม่เด่นไม่ดัง จะไม่หันหลังกลับไป ทุกวันคืน
นอนร้องไห้ อีกเมื่อไหร่จะโชคดี"
ฉันล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า แล้วก็พลันนึกขึ้นได้ว่า ครั้งหนึ่งฉันก็เคยมีฝัน และชอบเพลงที่สะท้อนภาพฝัน ยิ่งเพลงที่กระตุ้นส่วนของกำลังใจในบึ่งลึกแบบนั้นช่างปลอบประโลมดีนัก พ่อค้าขายไก่ย่างที่เพิ่งขับรถผ่านหน้าฉันไปหมาด ๆ กลิ่นเถ้าในเตาย่างไก่ยังคลุ้งไม่มอดดับไปเสียทีเดียว เหมือนที่ความฝันของผู้คนจะไม่มอดดับสนิท ทุกคนยังมีไฟฝันซ้อนอยู่ใต้เถ้าของการสูญหาย พนังงานเซเว่น คนกวาดตลาด แม่ค้าขนมหวาน หรือแม้แต่ชายลับมีด ทุกคนมี
ฉันเองก็มี ก่อนปี 53 ฉันยังจำได้ว่าที่ทางของฝันนั้นอยู่ตรงไหน ฉันฝันว่าสักวันฉันจะเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียง เป็นที่ยอมรับและผลิตผลงานจนสามารถเลี้ยงตัวเองได้ แต่ตอนนี้ฉันกลายเป็นคนเขียนเรื่องราวในนามคนเสื้อแดง และก็เหมือนกับทุกสิ่งที่ได้สูญหายไปจากที่หนึ่ง และบางครั้งผู้คนมากมายได้พบเจอมันในอีกที่หนึ่ง เช่นพ่อค้าขายไก่ย่าง เมื่อค้นพบว่าการร้องเพลงนั้นทำให้มีความสุข แต่การที่จะต้องเข้าไปทนกับสังคมแกร่งแย่ง แลดูจะเป็นทุกข์จากที่ช่างน้ำหนักในหัวใจ เขาก็เลือกเอาทางใดทางหนึ่งที่สามารถปลดปล่อยตัวเองจากแรงปรารถนาได้ เหมือนที่ฉันเลือกจะใส่เสื้อสีแล้วรังสรรค์งานเขียน
ทุกวันนี้ฉันก็คงเป็นแบบนั้น เมื่อค้นพบว่าการเขียนคือความสุข และได้สนองตอบต่อหน้าที่ของนักเขียนที่ว่า นักเขียนนั้นรับใช้ผู้คน โดยเฉพาะผู้คนที่ไม่มีทางสู้ ผู้คนที่ต่ำต้อยกว่า ผู้คนที่โดนเบียดบังเอาทุกสิ่งที่อย่างไป
ถ้าไม่ร้องเพลงอย่างมีความสุขฉันก็คงจะหยิบสมุดเล่มเล็ก ๆ เดินไปเขียนไป เหมือนที่พ่อค้าไก่ย่างขับรถพ่วงข้างไปร้องเพลงไป แต่ฉันจะระวังไม่ให้ตัวเองเดินไปเขียนไปจนขัดจังหวะฝ่าไฟแดงของพวกรถเมล์ร้อนสายด่วนก็แล้วกัน