Skip to main content

 

                                                                                           

                                                           บทนำ


… นวนิยายเด็กข้างถนน เคยถูกนำมาลงไว้ในประชาไทบางตอน แต่ก็ไม่เคยเขียนจบสักที เพราะเป็นเรื่องที่คิดว่าจะยาวมาก พร้อมด้วยความรู้สึกลึก ๆ ถึงความไม่แน่นอนของชีวิต ก็เลยตั้งใจว่า อยากจะเขียนให้จบ แต่ก็ไม่ได้เริ่มสักที คงใช้เวลานานถ้าจะจริงจังกับการเขียนนี้ ด้วยเวลาอันน้อยนิดของกรรมชีพอย่างผู้เขียน จึงตัดสินใจว่าจะเริ่มนำตั้งแต่ตอนแรก ลงประชาไท และเขียนตอนต่อ ๆ ไปทีละตอนจนครบ จบบริบูณ ก็เพราะคิดว่า ชีวิตคนเราไม่แน่นอนนี่แหละ จะตายวันตายพรุ่ง หรือจะถูกคนดีในประเทศนี้จับไปขังคุกวันใดวันหนึ่ง ก็ไม่อยากให้สิ่งที่ตัวเองเขียนตายไปกับเราด้วย เคยอ่านเจอในชีวประวัติของนักเขียนบางคน ที่เก็บงานตัวเองไว้หลังจากตายไปแล้วหลายสิบปีจึงได้มีการค้นพบแล้วนำมาจัดพิมพ์ ส่วนตัวคิดว่า คงไม่ได้มีความสำคัญขนาดนั้น อีกอย่างพื้นที่ส่วนตัวที่เขียนงานไว้ก็มีหรัส ไม่ใช่สมุดบันทึกที่วางไว้รอให้ผู้คนมาค้นพบ ก็เอาสรุปตามนี้ เริ่มจากบทแรก ตอนที่หนึ่ง

 

 

 

 

 

 

                                                                             นวนินยาย เด็กข้างถนน บทที่ 1 ตอน ปีกแมลง

 

 

 

...พอรู้ตัว ฉันก็หลงทางอยู่ในความมืดมิดเสียแล้ว จำได้คล่าว ๆ ว่าขณะนั้น เมื่อเศษเสี้ยวของปรารถนากระพือปีกหลอกล่อเช่นผีเสื้อกลางคืนที่เห็นอยู่เมื่อสักครู่ มันชี้นำข้อสงสัยบางประการให้เกิดคำถาม แล้วก็บินหนีหายไปในพงป่าของความนึกคิด ซึ่งโดยข้อจำกัดเช่นทุก ๆ อย่าง ทำให้คำถามนั้นงอกเงยอยู่แค่ในความเงียบงันของค่ำคืนที่มีบรรยากาศเหมาะสมสำหรับความเพ้อฝัน ฉันนั่งอยู่เมื่อครู่ในห้องว่างเปล่า ตรงริมหน้าต่างบานเก็ดที่ไม่มีอะไรประดับประดานอนจากคราบฝุ่นเกาะหนา ไม่มีผ้าม้าน ไม่มีแจกันดอกไม้ ไม่มีโมบายเสียงใสไพรเราะ ไม่มีความสวยงามอันใด ที่จะสามารถชัดนำให้ผู้คนที่ผ่านไปมาเกิดความสนใจจนต้องชะเง้อขึ้นมองอย่างพินิจ เป็นเพียงหน้าต่างที่ทุก ๆ บานเก็ดเปิดเงียบเชียบ ราวกับว่า มันคือกำแพงที่กั้นกลางระหว่างฉันกับโลกภายนอก กองหนังสือพะเนินเทินทึกส่งกลิ่นชื่นเก่าและกลิ่นกาแฟค้างแก้วคราบหนา ที่ฉันมักทิ้งไว้นานหลังจากจิบดื่มคำสุดท้ายหมดไป ก็จนกว่าจะได้ลุกจากโต๊ะเขียนหนังสือแล้วเท่านั้น จึงจะได้นำไปล้างหรือชงเติมเอาดื้อ ๆ เพราะยังคงคิดถึงรสชาติค้างแก้วที่แล้วของมัน

 

ขณะลมพัดกิ่งใบของต้นไม้ที่ใกล้สายตาที่สุดไหว ๆ ฉันไม่ได้ยินเสียงลมผ่านช่องบานเก็ดหนาเข้ามาแม้แต่ขณะหนึ่งที่เบาราวกระซิบ ทั้งที่เห็นว่ายอดไม้ไหวอยู่ในความมืดของค่ำคืน  ได้ยินแต่เสียงลมหายใจกระเพื่อมอยู่ในแผ่นอกที่ลึกเข้าไปจนฉันแทบไม่รู้จัก ฉันได้ยินเพราะมันส่งเสียงในห้องที่เงียบเหงาเช่นนี้ หัวใจที่เงียบเหงากับห้องที่เงียบเหงา ไม่มีอะไรจะสอดประสานกันได้ดีเท่ากับสองสิ่ง ราวกับความเงียบเหงาในหัวใจคือระฆังที่แขวนไว้กลางหุบเขา แล้วด้วยการสั่นเพียงครั้งของความเงียบเชียบ มันก็ดังกังวานไปราวกับจะชั่วนิรันดร์

 

ณ เวลากลางคืน ไฟทางจากถนนเปิดสว่างเหมือนเช่นที่เคยเป็นมาคืนแล้วคืนเล่า ทั้งในคืนของฤดูหนาว ฤดูร้อน และจวบจนฤดูฝนเช่นค่ำคืนนี้ จากวันเวลาที่ผ่านมานับแต่ละปีสู่เรื่องราวที่ยังคงอยู่อย่างไม่มีเหตุผล และที่หลงลืมหายไปอย่างไม่มีเหตุผลเช่นกัน ฝูงแมลงกลางคืนดูครื้นเครงในช่วงค่ำที่ฝนเพิ่งจะหยุดตกหมาด ๆ เหมือนเช่นคำคืนของทุก ๆ ปีในฤดูฝนที่ฉันได้มีชีวิตอยู่รู้เห็นความเป็นไปเช่นนี้ ฝนทิ้งรอยทางเฉอะแฉะสร้างแอ่งน้ำบาง ๆ บนผิวถนนสะท้อนแสงไฟทางที่อยู่สูงขึ้นไปบนยอดเสา จนบางครั้งฉันหลงคิดไปว่า มีดวงไฟอีกหลายดวงประดับประดาไว้ที่พื้นถนนนั่นเสียแล้ว บางทีฉันก็หลงไปกับภาพลวงตาพวกนั้น  ยิ่งเป็นเวลากลางคืนก็ยิ่งมีภาพลวงตาเช่นนั้นให้ฉันหลงไปอย่างไม่มีสิ้นสุด ก็เหมือนกับพวกแมลงที่หลงอยู่กับแสงไฟในเวลากลางคืน ไม่ว่าจะเป็นแสงไฟหน้ารถที่นาน ๆ จะวิ่งผ่านไปมาสักคัน หรือแสงไฟจากหน้าต่างห้องของอาคารบ้านเรือน หรือจากไฟทางดวงที่ฉันกำลังนั่งมองอยู่ขณะนี้ ราวกับว่า มันคือพระจันทร์ในคืนเดือนเพ็ญที่สุกอร่าม พวกแมลงกลางคืนครื้นเครงในงานระบำใต้แสงจันทร์ที่มีรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าตั้งตระหง่านด้วยเสาเหล็กที่เชื่อมกับพื้นถนน พระจันทร์ในจินตนาการของพวกมันจึงไม่ได้ลอยเคว้งคว้างอยู่ในอากาศด้วยแรงยึดโยงจากการดึงดูดของโลกเบี้ยว ๆ อย่างที่พวกมันคิด แต่จริง ๆ พวกมันไม่ได้คิด ฉันต่างหากที่คิด คิดเสียจนจินตนาการไปไหนต่อไหน แต่ในขณะที่ฉันมองพวกแมลงที่กำลังมีความสุขอยู่นั้น ตัวฉันกลับไม่ได้อะไรเลยจากสิ่งที่ได้ใช้เวลาจ้องมอง เมื่อเป็นเช่นนั้น ฉันจึงแกล้งทำเป็นลืมข้อเท็จจริงบางอย่างไปเสียบ้าง หลับตาลงกับภาพตรงหน้าเสียบาง ลดทอนสมองให้เหลือเท่าสมองแมลงเสียบ้าง ซึ่งมันก็ได้ผลดีที่จะปล่อยตัวเองที่มีสมองเท่าแมลงไว้ในจินตนาการ และแน่นอน เพราะบนฟ้ามืดมิดปกคลุมด้วยเมฆฝน เศษเสี้ยวของแสงที่สะท้อนผ่านดาวบริวาณเช่นดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้จึงไม่ปรากฏ มีผลทำให้ดวงจันทร์ในความหลง ซึ่งไม่ใช่ดวงเดียวแต่มีมากมายหลายดวง แต่ก็คงไม่มากเท่าจำนวนของดวงดาวบนฟ้าที่กำลังหลับใหล ซึ่งดวงจันทร์ในความหลงอาจมีรูปวงลี สี่เหลี่ยม แปดเหลี่ยม หรืออาจจะเป็นรูปวงแหวน ฉันจินตนาการว่ามันเป็นดวงจันทร์เหมือนที่พวกแมลงเหล่านั้นหลงเข้าใจผิด โดยแกล้งทำเป็นไม่รู้เพื่อที่จะสนุกสนานร่วมไปกับงานระบำใต้แสงไฟที่มีมากมายละลานตา สร้างภาพในความคิดที่กึ่ง ๆ จะหลุดไปสู่โลกแห่งจินตนาการของฉัน แต่อะไรบางอย่างก็ยังพยายามดึงฉันไว้ให้ยังคงอยู่กับความเป็นจริงในห้องว่างเปล่าที่เงียบเหงาแห่งนี้ ซึ่งฉันก็ไม่ได้กระไรที่จะค้นหาว่า อะไรบางอย่างนั้นคืออะไร แต่ในขณะที่ใต้หลอดไฟทางบนท้องถนนกำลังส่องสว่างให้เห็นความงดงามตามแต่สภาพของธรรมชาติจะอำนวย ในขณะที่ฉันนั่งมองดูเรื่องราวเล่านั้นผ่านหน้าต่างบานเก็ตหนาจากห้องเปล่าดายที่ไม่มีสิ่งใดภายนอกจะทลายมันเข้ามาได้

 

 

ทันใดนั้น ปีกสีขาวดูแปลกตาจากปีกอื่น ๆ ก็ปรากฏเด่นชัดแยกตัวออกจากฝูงของงานเต้นรำที่กำลังสับสนอลหม่าน เสมือนหญิงสาวปริศนาที่มักจะล่อหลอกให้ชายในดวงใจหลงตามเธอออกมาจากงานเลี้ยงในนิยายโรแมนเรื่องเยี่ยมสักเรื่องที่ฉันไม่เคยได้อ่าน ฉันมองตามปีกนั้นไปเหมือนเผลอหลง และพอเห็นปีกนั้นจนชัดกับตา ความนิ่งเงียบก็กระชิดเข้ามานั่งเคียงข้างจนพากันตกลงไปในหลุมของภวังค์ที่ลึกยังกับหุบเหวของเทือกเขาที่ไม่มีใครเคยรู้จัก คล้ายพบเจอสิ่งอันเป็นที่รักหรือที่ชัง ซึ่งฉันไม่แน่ใจนักว่ามันคืออะไร? แต่พอเจ้าฝีเสื้อสีขาวกระพือปีกเข้ามาใกล้ ทันใดเมื่อเผลอ มันก็บินเล็ดลอดบานเก็ดที่ปิดสนิทเข้ามาเกาะยังร่างของแกที่ปรากฏขึ้นข้าง ๆ !ฉันรู้ได้ในทันทีว่า ปีกผีเสื้อกลางคืนที่ขาวสะอาจเหมือนกระดาษนั่นคือของกำนัลอันเกิดจากความล่อลวงของแก ก่อนวินาทีสุดท้ายที่ฉันจะรู้ว่ามันคือปรารถนาอันล่อลวงที่แกสร้างขึ้น  ทัมันก็ได้บินหนีหายเข้าไปในพงป่าของความนึกคิดนั่นเสียแล้ว และคงจะทอดร่างอยู่ในสุสานเร้นลับที่ฉันค้นหาไม่เจอเช่นเดียวกับที่ความฝันมากมายเมื่อครั้งเก่าก่อนได้หลงหายเข้าไปโดยไม่มีวันกลับออกมา แกสร้างมันขึ้นเพื่อล่อหลอกให้ฉันหลงทาง แล้วเราก็เจอกันอีกจนได้  แกคงมาทวงสัญญา สัญญาที่ว่างเปล่าราวกับอากาศที่ฉันกลืนแทบไม่ลงในลำคอ มันทำให้รู้สึกจุกแน่นเช่นเดียวกับที่เมื่อแกปรากฏกายอยู่ตรงหน้า สัญญานะรึ!  สัญญาแห่งการเขียน เป็นพันธสัญญาจากขุมนรกที่ถูกสาปโดยพระเจ้า แต่ใครเป็นคนพูดละ แกนั่นแหละ แล้วฉันก็ตอบโต้แก “ช่างแม่งคำสาปของพระเจ้า” ช่างแม่งคำสัญญาจากขุมนรก ฉันไม่เคยกลัวไอ้หน้าไหน แต่แกคนเดียวที่ทำให้ปวดหัวฉันแทบแตกเป็นเสียง ฉันปวดหัวทุกครั้งที่แกปรากฎกายขึ้นต่อหน้า ปรากฎขึ้นเพื่อทวงสัญญาจากขุมนรกที่โดนสาปโดยพระเจ้า แต่ช่างแม่งเถอะ ฉันไม่สนใจอะไร สิ่งเดียวที่ฉันสนคือ เมื่อไรแกจะไปให้พ้นจากชีวิตของฉัน หายไปไม่ต้องมาเสนอหน้า หายไปพร้อมกับความเจ็บปวดในหัวที่แกนำมันมาด้วยทุกครั้ง

 

ใช่ ฉันสัญญาว่าจะเขียน แต่นอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้มันก็คือการประจานตัวแกเอง  ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าจะมีใครสนใจเรื่องราวของเด็กจรจัดอย่างแก แกคิดว่าจะมีใครอยากรู้ซึ้งรสชาติเศษของกินหล่นพื้นที่แกเก็บยัดใส่เข้าไปในปาก เศษของกินเปื้อนผสมเนื้อดินบนพื้นถนน แกคิดว่ามันจะเป็นรสชาติที่ผู้คนอยากจะดื่มด่ำไปพร้อม ๆ กับแกรึไร? แกโง่มากที่คิดว่าสิ่งเหล่านั้นสามารถจะอวดอ้างต่อโลกใบนี้ได้  เด็กน้อยผิวเปื้อนคราบไคล ผมเผ้ากร้านแดงกร่ำ เล็บมือเล็บเท้าเบี้ยวบูด เสื้อผ้าขาดเก่า รอยคราบเหลืองในฟัน แววตาเหมือนหมาหิวและสภาพที่ไม่ใช่จินตนาการอันสุดแสนจะน่ารักน่าสงสานเหมือนในละคร สุดท้ายเรื่องราวของแกก็คงจะถูกโยนทิ้งไปในกองขยะ เหมือนหนังสือเล่มที่แกเก็บมันขึ้นมาจากกองขยะนั่นแหละ หนังสือเล่มที่แกคลั่งไคล้จนทำให้แกวาดฝันว่าสักวันแกจะเขียน นักเขียนรึ? คนพวกนั้นคือมนุษย์สมองแมลงที่หลงใหลแสงไฟซึ่งรุกไหม้ด้วยเชื้อจากกองหนังสือที่พวกเขาเขียนขึ้น และสุดท้ายคนพวกนั้นจะไม่เหลือแม้แต่ซากเช่นเดียวกับที่พวกแมลงบินเข้ากองไฟ ฉันจำได้ว่าแกอยากเขียนเรื่องราวที่มีเจ้าชายกับเจ้าหญิง มีปราสาทสวยงามที่สุขสมบูรณ์ มีม้าสีขาว มีทุ่งหญ้าสีเขียว มีทิวาและเดือนดาว มีการผจญภัยและบทสรุปที่มีความสุข ทั้ง ๆ ที่แกยังไม่เคยจับช้อนส้อมนั่งกินข้าวบนโต้ะที่มีพร้อมสมบูรณ์ ฉันสงสัยว่า แกจะสร้างฉากบนโต๊ะอาหารที่เจ้าหญิงและเจ้าชายกำลังเสวยสุขในงานเขียนที่แสนจะเพ้อฝันของแกได้อย่างไร แกจะเขียนเรื่องราวการผจญภัยของเจ้าชายและเจ้าหญิงขึ้นมาได้อย่างไร ในเมื่อโลกของแกก็มีแค่ตรอกซอกซอยแคบ ๆ สกปรกแออัด มีแต่ตลาดริมน้ำกลิ่นเหม็น มีแต่กองขยะและกระท่อมริมน้ำที่พอแค่อาศัยซุกหัวนอน แกจะสร้างฉากความรักและบทสนทนาแบบที่เจ้าชายและเจ้าหญิงมีต่อกันขึ้นมาได้ยังไง ในเมื่อแกรู้จักแต่คำสาปด่าจากผู้คนที่ไม่เคยมีคำหวานหูให้กับแก และที่สำคัญ แกยังไม่เคยรู้จักความรัก แกยังไม่ทันได้รู้จักความรัก ความรักก็ทิ้งแกไว้พร้อมกับความสงสัยที่นับวันจะกัดกินลงลึกเข้าไปในวิญญาณ ฉีดพิษร้ายคือความหวาดกลัวเข้าไปในชีวิต จนทุกสิ่งที่อยู่ภายในของแกอ่อนระทวยแหลกเหลว แล้วมันก็ดื่มด่ำวิญญาณแหลกเหลวของแกจนอิ่มหนำ จนชีวิตของแกเหือดหายไปที่ละเล็กละน้อยไม่หลงเหลืออะไรนับจากจุดเริ่มต้นที่เคยมี  สุดท้าย ละอองของความสิ้นหวังที่ฟุ้งกระจายจากซากอันผุพังก็พลันงอดเงยขึ้นและถมทับแกไว้ในที่ ๆ ลึกที่สุดไปชั่วนิรันดร์ ความรักนะหรอ ใช่! ใครก็รู้ว่ามันเป็นความรู้สึกอย่างหนึ่ง แต่แกคิดว่า ความรู้สึกของความรักมันจะเป็นยังไง จะเหมือนความรู้สึกตอนกินลูกอม ตอนกินขนมปังนิ่ม ๆ หอม ๆ หรือสนุกเหมือนตอนอ่านหนังสือการ์ตูน หรือจะรู้สึกเหมือนการถูกตบถูกเตะแรง ๆ เวลาโดนจับได้ว่าขโมยของ หรือจะรู้สึกเหมือนรอยแผลหมากัดที่ปูดบวมระหว่างคืนอันเหน็ดหนาว หรือจะรู้สึกเหมือนความหิวที่ประคบประงมชีวิตอันเปล่าดายของแกให้เติบโตขึ้นอย่างน่าอดสู แกคิดว่าความรู้สึกของความรักมันจะเหมือนกับอะไร

 

 

ใช่! แกตอบไม่ถูกหรอก เพราะแกไม่รู้จักความรัก เรื่องราวในชีวิตของแกมันไม่มีอะไรเลยสักอย่าง ถ้าจะให้ฉันเขียนลงในหน้ากระดาษสักแผ่น มันก็คงจะมีรอยแก้ ขีดฆ่า แล้วก็รอยยับเยินจากการถูกขยำขยี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชีวิตของแกมันเป็นแบบนั้น คงไม่มีอะไรที่จะเปรียบได้ดีไปกว่านี้อีกแล้ว สิ่งที่แกเรียกร้องกับฉันมันไร้เหตุผล เป็นความเปล่าเปลือยของความพยายามที่จะมีตัวตน แม่ทิ้งแก โลกใบนี้ทิ้งแก ไม่มีใครต้องการ แม้แต่หน้ากระดาษสักหน้าก็ยังไม่ต้องการให้แกมีเรื่องราวอยู่ในนั้น รวมถึงฉันก็ไม่ต้องการให้แกมีตัวตนอยู่ เรื่องราวชีวิตของแกจะเป็นการตีพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่ถูกโยนทิ้งซ้ำแล้วซ้ำอีก เหมือนชีวิตที่ถูกทิ้งซ้ำ ๆ ซาก ๆ จมปรักอยู่ในกองขยะเช่นเดียวกับหนังสือที่แกเก็บได้นั่นแหละ ชีวิตที่แกสำคัญตัวเอามาเป็นบุญคุณกับฉัน

 

 

แกคิดว่าฉันจะต้องขอบคุณที่ชีวิตต้องมาจมแหงกอยู่กับการเขียนบ้า ๆ บอ ๆ นี่นะรึ แกคิดว่าฉันจะต้องขอบคุณใครสักคนที่ทำให้ฉันหลงเขามาตามบทบาทยามเมื่อสำเร็จกับเมล็ดพันธุ์ซึ่งคนที่สมควรจะถูกขอบคุณนำมันมาปลูกฝังให้ ฉันจะต้องขอบคุณใครดี บางคนขอบคุณแม่ บางคนขอบคุณพ่อ หรือไม่ก็ครู หรือไม่ก็ญาติผู้ใหญ่ หรือไม่ก็เพื่อนสนิทสักคนที่นำพาหนังสือเข้ามาในชีวิต มีคนนำสิ่งเหล่านั้นเขาเพาะบ่มให้กับชีวิตแล้วมันก็งอกเงย บางคนงอกเงยไปเป็นนักแปลน นักเขียน บางคนเป็นนักหนังสือพิมพ์ เป็นคอลัมนิสต์ เป็นเจ้าของสำนักพิมพ์ หรืออะไรอีกตั้งมากมายที่งอกเงยมาจากเมล็ดพันธุ์ที่ปลูกฝังไว้ตั้งแต่ยามเด็ก พวกเขาจะต้องขอบคุณใครดี ฉันไม่รู้ ก็แล้วแต่พวกเขาสิ เพราะพวกเขาก็คงจะขอบคุณใครต่อใครของพวกเขาไปตามเรื่องตามราวตามบทบาทยามเมื่อสำเร็จกับเมล็ดพันธุ์ซึ่งคนที่พวกเขาขอบคุณนำมันมาปลูกฝังให้ แต่มันไม่ใช่เรื่องอะไรของฉัน และแกไม่ควรชี้นำให้ฉันเกิดคำถามว่าฉันจะต้องขอบคุณใครดี เพราะทุกอย่างมันเป็นแค่เรื่องบังเอิญของวันนั้น ในบ่ายที่ร้อนระอุวันหนึ่ง ท้องฟ้าแทบจะไม่มีเมฆปิดกั้นแดดแรงของฤดูร้อน แกใช้ถุงปุ๋ยเก่า ๆ ยกขึ้นสูงบังแดดที่ฟาดลงมาใส่ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกเบี้ยว ๆ ใบนี้อย่างไม่หยุดหย่อน ขณะที่มืออีกข้างคุ้ยเขียนกองขยะมหึมาเพื่อหาอะไรไปขายเป็นค่าอาหารของแต่ละวัน ใครนะช่างทิ้งขว้างของของตัวเองจนมันก่องเท่าภูเขา แกคิดว่าถ้าเอาสิ่งที่ถูกทิ้งพวกนี้มากองรวมกันมันจะมีความสูงเท่ากับภูเขาลูกใดในโลก แกไม่อยากรู้หรอก เชื่อฉันเถอะ

 

 

แต่ก็ดีแล้ว เพราะมันทำให้แกมีเงินซื้ออะไรกินได้บ้าง มีอะไรให้แกคุ้ยเขี่ยไปเรื่อย ๆ ยามที่ชีวิตยังไม่มีจุดหมายนอกจากความเพ้อฝันแบบเด็ก ๆ  มันดีสำหรับแก แกจะได้ขยับเดินจากจุดนั้นไปจุดนี้ จากจุดนี้ไปจุดนั้น ทำให้แกต้องเคลื่อนไหว ถ้าไม่มีอะไรให้แกคุ้ยเขียนแกคงต้องยืนนิ่ง ๆ จนใคร ๆ คิดว่าแกเป็นส่วนหนึ่งของกองขยะ หรือเป็นศพที่ตายแล้ว หลังจากนั้นก็คงจะเอาแกไปเผารวมกับศพไม่มีญาติ แล้วในตอนนั้นเอง แกก็คุ้ยเขี่ยเจอหนังสือเล่มนั้นเข้า มันจมอยู่ในก่องขยะ โชคดีที่ไม่ใช่ฤดูฝน หนังสือเล่มนั้นเลยไม่เสียหายอะไรนอกจากดูสกปรก คงเป็นหนังสือเก่าเก็บของใครบางคนที่ไม่ใยดีกับมันแล้ว หนังสือเล่มนี้มันน่าสนใจสำหรับแก เพราะหน้าปกเป็นรูปเครื่องบินรบดูแปลกตา มองแล้วก็คล้าย ๆ หนังสือการ์ตูน ทีแรกแกคงคิดว่ามันเป็นหนังสือการ์ตูนแกก็เลยเหน็บมันไว้ในกางเกงด้านหลัง แทนที่จะโยนมันลงไปในถุงปุ๋ยเพื่อเอาไปขายในช่วงเย็น แต่ก็นั่นแหละ เพราะคืนนั้นเป็นคืนที่แกอยู่คนเดียวในกระท่อมริมน้ำ เด็กคนอื่น ๆ ไปไหนกันหมดไม่รู้ การไม่มีคนอื่น ๆ อยู่ด้วยดีอย่างหนึ่งคืนมันเงียบและไม่แออัด แต่แย่ตรงที่มันน่าเบื่อ เบื่อที่ไม่มีใครคุยด้วย ไม่มีใครเล่นด้วย แกก็เลยนึกถึงหนังสือที่เพิ่งเก็บมาได้เมื่อตอนบ่าย แต่พอเปิดออกดูมันกลับไม่มีภาพอะไรเลย ไม่ใช่หนังสือการ์ตูน แต่เป็นหนังสือนิยายวิทยาศาสตร์ที่มีตัวหนังสือเยอะแยะเต็มไปหมด เหมือนที่กองขยะมีขยะเยอะแยะ แทบจะไม่มีที่ให้สิ่งใดอยู่ร่วมด้วยในหน้ากระดาษ มีก็แค่ช่องไฟระว่างตัวอักษรและการเว้นวรรคระหว่างคำ แล้วก็บรรทัดระหว่างแถว เหมือนที่กองขยะมีพวกเก็บขยะยืนอยู่เป็นจุดเล็ก ๆ เพื่อขั้นเป็นช่องไฟและเว้นวรรคให้ความเลอะเถอะของพวกมันดูเรียบร้อยขึ้น  ตอนนั้นแกกลัวแต่จะมีคนมาแย่งหนังสือเล่มนั้นไป ก็เลยไม่ทันได้ดูให้ดีว่ามันไม่ใช่หนังสือการ์ตูน ถ้ารู้ว่าไม่ใช่หนังสือการ์ตูนแกคงโยนมันทิ้งหรือไม่ก็โยนมันใส่ถุงปุ๋ยแล้วเอาไปขายรวมกับของอย่างอื่น แต่ก็เพราะมันเป็นคืนที่น่าเบื่อ แล้วแกก็ไม่รู้จะทำอะไร แกก็เลยเริ่มอ่านมันที่ละคำช้า ๆ อย่างเบื่อ ๆ ใต้แสงเทียนที่ซีดจากเมืองความรู้ที่ประดับในตัวของแก เทียนที่แสดงแสงเศร้า ๆ กัดกินชีวิตของตัวเองทีละน้อยเพื่อให้แกอ่านหนังสือเล่มนั้นไปทีละคำ แกอ่านตัวหนังสือไม่ค่อยเก่งเพราะเป็นเด็กหัวทึบประจำห้องสมัยที่ยังได้เรียนหนังสือ แกยังเขียนหนังสือผิดและอ่านคำยาก ๆ ไม่ออก แต่เพราะคืนนั้นเป็นคืนที่น่าเบื่อ แกก็เลยอยู่กับหนังสือเล่มนั้นไปเรื่อย ๆ อยู่กับมันจนหลงเข้าไปในโลกที่แปลกประหลาด มันทำให้แกได้รู้จักหนังสืออื่นนอกเหนือจากหนังสือการ์ตูนและหนังสือเรื่องฉาวดาราของแม่แก

 

 

ฉันจะต้องขอบคุณใครดี ? ขอบคุณแกที่เก็บหนังสือเล่มนั้นได้จากกองขยะแล้วอ่านมันนะหรอ เพราะแบบนั้นแกก็เลยตามฉันแจไม่ยอมไปไหน ร่ำร้องแต่จะให้ฉันเขียนเรื่องราวของแกให้โลกทั้งโลกรับรู้ ฉันไม่ใช่เด็กข้างถนนอีกแล้ว ฉันเป็นเพียงคนคนหนึ่งที่เคยมีอดีตเป็นแกเท่านั้น แต่ฉันก็จะเขียนเรื่องราวของแก และหวังว่า เมื่อฉันทำแล้ว ทำมันจนสำเร็จ แกจะไม่มาเจอฉันอีก แกจะหายไปจากห้องอันเงียบเหงาของฉัน หายไปจากบานเก็ดที่กั้นกลางระหว่างฉันกับโลกภายนอก หายไปจากฤดูร้อนที่มีแต่เสียงเจี๊ยวจ้าวของนกและขี้ของพวกมัน หายไปจากฤดูหนาวที่มีแต่กลิ่นไรฝุ่นในผ้าห่มและความอุบอุ่นเดียวคือถุงน้ำร้อน หายไปจากฤดูฝนและทัศนีภาพที่เกิดจากซากแมลงในคืนที่พวกมันเต้นระบำกันอย่างบ้าคลั่งด้วยความเพ้อพก  ถ้าแกรับปาก ฉันก็จะเขียน เอาละ แกรับปากฉัน ฉันก็จะเริ่มเขียนสักที แล้วมันเริ่มจากไหนกันละ ใช่! เริ่มจากท่ารถ บขส. ณ ที่ที่หนึ่งของโลกใบใหม่ที่แกเพิ่งเคยพานพบ แกกับแม่และน้องสาว เดินทางจากที่ที่หนึ่งอันเป็นชนบทห่างไกลมาสู่ประตูแห่งถนนหนทางซึ่งจะนำพาชีวิตแกไปสู่ความเดียวดายทั้งยามหลับและยามตื่น ทั้งความฝันและความจริง สู่หนทางที่แกจะต้องทนทุกข์ทรมาน ถึงแกจะรู้ตัวก่อนแล้วว่าสิ่งเหล่านั้นกำลังรอคอยแกอยู่ แต่แกจะไม่มีวันหนีมันไปไหนพ้น เพราะชีวิตของแกคือเรื่องราวที่ถูกำหนดไว้แล้วโดยความว่างเปล่าของหน้ากระดาษ จากนวนิยายที่จะดูดกินเลือดของแกเพื่อปรนเปรอคมเขี้ยวปากกา จนกว่าจะถึงบรรทัดสุดท้ายของเนื้อเรื่อง ทุกหน้าทุกบรรทัดจะมีแต่เนื้อหนังและกระดูกของแกกระจักกระจาย เรื่องราวของแกกำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว เลือดแกก็กำลังจะเริ่มไหล แล้วแกเริ่มเจ็บรึยัง?

 

 

 

 

เขียน ตะวัน

 

บล็อกของ เขียน ตะวัน

เขียน ตะวัน
ฯลฯ ฉันคิดว่า เราควรจะต้องพักเรื่องซีเรียสของแกไว้เสียบ้าง เพราะมันทำให้ฉันอึดอัดราวกับใส่เสื้อกันหนาวสไตล์เกาหลีออกไปเดินกลางแดดของวันที่สี่ หลังจากที่อุณหภูมิเริ่มสูงขึ้นตั้งแต่วันที่สอง 
เขียน ตะวัน
                                                      &n
เขียน ตะวัน
...แล้วในตอนที่ฉันกำลังจะข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามนั่นเอง ทันใดรถพ่วงข้างขายไก่ย่างก็เลี้ยวออกจากซอยตัดหน้าให้ฉันต้องชะงักขาที่กำลังจะก้าวลงจากฟุตบาท พ่อค้าทำลอยหน้าลอ
เขียน ตะวัน
...เช้านั้น คุณเขียนตื่นขึ้นแล้วได้พบว่า ตัวเองต้องการเข้าห้อ
เขียน ตะวัน
                                                                &nbs
เขียน ตะวัน
                                                                &nb
เขียน ตะวัน
                                                                &nbsp