คำนำ
จากที่เคยตั้งใจไว้ว่า จะเขียนลงประชาไทแค่เดือนละชิ้น สรุปก็คือทำไม่ได้ เพราะมักจะมีอะไรอัดอั้นตันใจให้ต้องเขียนอยู่เสมอ สำหรับงานชินนี้ก็เหมือนกัน เป็นเรื่องที่อัดอั้นตันใจ มีคนถามว่า เป็นนักเขียนจะต้องเขียนอะไรอย่างไร คือตอบได้เลยว่า มีอะไรในใจก็เขียนไป แต่อย่าเขียนด้วยความไร้จรรยาบรรณ (ส่วนใครจะว่าที่เขียนนี่ไร้จรรยาบรรณก็คงต้องมาถกกันว่ามันไร้อย่างไร) ก็คงเป็นสิ่งเดียวที่พอจะอธิบายได้ สำหรับงานชินนี้ ใครอ่านแล้วคิดว่าไม่แฟร์ ก็แสดงความคิดเห็นได้ แต่สำหรับตัวผู้เขียนคิดว่ามันแฟร์แล้ว สำหรับชาวบ้านและบริบทการเมืองสังคมที่เป็นอยู่นี้ ก็เท่านี้แหละ
เรื่องสั้น
ย้อนเวลาผ่าเมษา
... Google ไม่ได้ล่มสลาย แต่ใครสักคนที่มีความรู้ดีพอย่อมเข้าใจว่า อะไรบางอย่างทำให้สิ่งจำนวนหนึ่งที่ถูกบันทึกไว้นั้นจะถูกค้นหาไม่พบ จนเหมือนเรื่องราวทั้งหมดกลายเป็นแค่นิทานปรัมปราไปแล้วเมื่ออดีตกาล หรือจริง ๆ อาจง่ายกว่านั้น คือ ตามสมมุติฐานของระบบการเก็บข้อมูลเบื้องต้น สิ่งที่ถูกส่งผ่านซ้ำ ๆ เช่นข้อมูลบางอย่าง เรื่องราวบางอย่างที่มีชื่อหัวข้อเหมือนกัน ข้อมูลจากหัวข้อเดียวกันที่เก่าที่สุด ก็จะถูกดันลึกหายไปข้างในจนไม่มีใครสามารถพบเจอมันได้อีก
เขากำลังค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การต่อสู้ของคนกลุ่มหนึ่ง ที่บัดนี้ในตำราเรียนถูกบันทึกไว้เพียงแค่สิบบรรทัด! ในความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการต่อสู้ทางการเมืองใดในโลกจะสั้นราวกับสิ่งที่ถูกตัดทอนเช่นนี้ เขาเชื่อว่า ประวัติศาสตร์นั้นคงจะถูกเก็บซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งจากการหลงลืมของผู้คน หรือจากการผลิตซ้ำข้อมูลใหม่ที่มีเจตจำนงตัดทอนเอาทุกสิ่งทุกอย่างในข้อมูลเก่าออกไป
และนั่นเองที่เป็นสาเหตุให้เขาทำเรื่องเสนอขอทุนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเกี่ยวกับการกู้คืนประวัติศาสตร์และพิสูจน์ทราบเรื่องราวที่หายไปเหล่านั้น เขาอยากรู้เห็นมันกับตาตัวเอง เพราะฉะนั้นเขาจึงขอผ่านความเห็นชอบที่จะย้อนเวลากลับไป พร้อมสมมุติฐานที่ว่า ต้องมีใครสักคนพยายามลบล้างประวัติศาสตร์ที่ว่านั้น เขาอยากจะรู้ว่า ใครกันที่ทำเรื่องเลวร้ายขนาดนี้ได้! เผด็จการยุคไหน อำนาจเก่าล้าหลังใด เขาจะต้องรู้ให้ได้ เขาบอกกับตัวเอง
เป็นเวลาสิบแปดเดือนกว่าที่ข้อเสนอของเขาจะถูกนำขึ้นพิจารณา และสุดท้ายมันก็ผ่านที่ประชุมสภานักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ จนบัดนี้เหลือเวลาอีกไม่กี่อาทิตย์ที่เขาจะได้เดินทางไปยังที่ที่เป็นอดีตอันไกลโพ้น เพื่อขุดคุ้ยเรื่องราวความเป็นจริงที่เกิดขึ้น และนำมันกลับมาทดแทนเรื่องราวสิบบรรทัดในตำราเรียนที่ไม่มีความหมายอะไรนั่น
เรื่องนี้ถูกเก็บเป็นความลับ เขาบอกคนที่บ้านเพียงแต่ว่าจะต้องเดินทางไปต่างประเทศหลายปีเพื่อทำงานวิจัย ครอบครัวชนชั้นกลางแบบเขาเข้าใจดี และยังพร้อมให้การสนับสนุนเต็มที่ มันเป็นเรื่องน่าชื่นชมที่ครอบครัวทรงความรู้ของเขาจะเพิ่มมาด้วยความมุมานะต่องานด้านการวิจัยเช่นนี้โดยลูกชายอันเป็นที่รัก
และเมื่อถึงเวลาที่เขานั่งอยู่ในเครื่องย้อนเวลาอย่างตื่นอกตื่นใจ เขารู้เพียงสิ่งเดียวคือจุดหมายปลายทาง 10 เมษา 53 เวลา ตีสอง ขณะได้ยินเสียงไทม์แมชชีนกำลังนับเวลาถอยหลัง มันยาวนานราวกับสิบวินาทีนั้นยืดขยายออกไปสู่ที่ที่เขาไม่อาจมองเห็น แต่ที่นั่นคงจะนำพามาซึ่งสิ่งที่หายสาบสูญไปในประวัติศาสตร์ และเขากำลังจะได้รู้แจ้งต่อตาในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า
เมื่อเสียงกระหึ่มของไทม์แมชชีนทำงานเต็มกำลัง มันก่อให้เกิดแวบแสงที่สว่างจ้าจนเขาต้องหลับตาอย่างแสบทรวงพร้อมกับคิดถึงคำเตือนของเจ้าหน้าที่ควบคุมซึ่งกำชับให้เขาหลับตาให้สนิท และไม่กี่วินาทีต่อมาก็เหมือนกับมีเสียงฟ้าผ่าอย่างรุนแรงอยู่ในบรรยากาศรอบตัว แล้วทุกอย่างก็เงียบสนิทลงในความมึนงงราวกับเมามายอย่างหนัก เขารู้สึกเหมือนกำลังคุกเข่าอยู่กับพื้นอุ่น ๆ รายล้อมด้วยอากาศอบอ้าว เสียงสนั่นคล้ายพลุเป็นระยะ และเสียงร้องตะโกนของผู้คน เขาพยายามตั้งสติลุกขึ้นยืนและก้าวออกไปข้างหน้า พยายามปรับสภาพดวงตาที่พร่ามัวซึ่งในเวลานั้นเริ่มจะรับรู้ภาพเบื้องหน้าได้ราง ๆ ว่าตอนนั้นมันคือเวลากลางคืน ท้องฟ้าสีแดงและเต็มไปด้วยควันไฟ เขายืนขึ้นมองทอดสายตาออกไปข้างหน้า เขามองฝ่านเข้าไปในความมืดของถนนเส้นที่เขายืนอยู่ มันเหมือนเป็นความมืดที่ทอดยาวออกไปไกลถึงที่ไหนสักแห่งในขุมนรก แล้วทันใดนั้นเขาก็เห็นแสงวาบเล็ก ๆ เหมือนสะเก็ดดาวระเบิดระยับขึ้นตรงที่ไกลออกไปอีกฟากของถนนที่ทอดตัวยาว ก่อนจะมีใครคนหนึ่งกระโดดเยื้องมาจากข้างหลังผลักให้เขาล้มลง จากนั้นเสียง ปัง ๆ ๆ ก็ดังมาจากจุดที่มีแสงวาบ เศษเล็ก ๆ ของพื้นถนนแตกกระเด็นไปทั่ว ใครอีกคนลากเขาออกไปจากจุดนั้น ก่อนที่วินาทีต่อมาจะตามมาด้วยการกระหน่ำยิงอีกไม่ยั้ง
เขาหลบอยู่กับผู้คนในความมืดที่ถูกโหมด้วยห่ากระสุน เสียงคนเจ็บ ภาพคนตาย และการแช่งด่าจากผู้คนที่มีต่อเหล่าทหารชั่วและผู้ปกครองในเวลานั้น เขาไม่ปริปากถามอะไรต่อใครเลยสักคนราวกับตกอยู่ในสภาพช็อคทางความรู้สึก จนถึงเวลาเช้า ท้องถนนและตึกรามใกล้ ๆ ลุกไหม้ปรักหักพัง เขาลุกขึ้นยืนอีกครั้งจากซอกตึกที่ใช้เป็นที่กำบังตลอดคืนอันยาวนาน เขาไม่เคยคิดเลยว่า เมื่อเขาย้อนเวลากลับมาด้วยไทม์แมชชีนจากโลกอนาคต เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองในยุคนี้ให้เห็นกับสองตาตัวเอง และเมื่อนั้น เขาก็ต้องตกตะลึงกับภาพเหตุการณ์ล้อมฆ่าประชาชน โดยชาวบ้านมีเพียงหนังสติ๊ก พลุ และยางรถยนต์ที่จุดไฟเพื่อบดบังวิถีมองของพวกสไนเปอร์บนตึกสูง ความกล้าหาญที่จะสู้แม้มือเปล่า น้ำใจ และความช่วยเหลือกันและกันเท่าที่ชีวิตธรรมดาสามัญเช่นนั้นจะทำได้
แต่ที่เขาตกตะลึงไม่ใช่เพราะว่า ภาพที่เห็นมันเป็นเช่นนั้น หากทะว่า เขาตกตะลึงก็เพราะประวัติศาสตร์เรื่องราวเหล่านี้ในอนาคตข้างหน้า ถูกบันทึกไว้เพียงแค่สิบบรรทัด! ซึ่งเป็นสิบบรรทัดที่บรรยายถึงกลุ่มคนที่หลงมืดบอดอยู่กับนักการเมือง ใช้ความรุนแรง เป็นส่วนเสี้ยวของความไม่สมบูรณ์ในกระบวนการต่อสู้ทางประชาธิปไตย เขาไม่อยากจะเชื่อว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาของเขาจะถูกลบหายไปเสียราวกับว่า มันไม่มีค่ามีราคาอะไร
หลายเดือนต่อมาเมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างสงบดีแล้ว เขาจึงเริ่มทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชิ้นนี้โดยทันที เขาเริ่มศึกษาความคิดผู้คน บุคคลที่มีอิทธิพลทางความคิดหลากหลายกลุ่ม เพื่อมองหาจุดเริ่มต้นบางอย่างที่ค้างคาใจ นานหลายปีที่เข้าใช้ชีวิตอยู่ในห้องเช่าเล็ก ๆ ติดตามการเคลื่อนไหวในโลกโซเชียลที่ถูกบันทึกไว้ว่า เป็นจุดเปลี่ยนของการต่อสู้ที่นำพาไปสู่ชัยชนะของประชาชน และในบางครั้งเขาก็ไปงานเสวนาต่าง ๆ ที่ถูกจัดขึ้นโดยนักวิชาการและนักศึกษาตลอดจนปัญญาชนสายต่าง ๆ ไปแม้แต่งานชุมนุมกินเบอร์เกอร์ขยะ ขณะมองทอดสายตาออกมาจากห้องติดแอร์ของร้าน จนได้ตระหนักว่า ชนชั้นของคนมันแบ่งแยกได้ง่าย ๆ ด้วยสงวนราคาไม่กี่บาท เท่ากับราคาอาหารที่ขายกันในพื้นที่ติดแอร์ซึ่งจำแนกคนจนและจรจัดตัวเหม็นให้ออกห่างได้อย่างมีนัยยะสำคัญ และผู้คนจะเท่าเทียมกันอีกครั้งก็ต่อเมื่อ พวกเขาเดินร่วมกันอยู่ในท้องถนนร้อน ๆ อบอวลไปด้วยกลิ่นเหงื่อของทุกชนชั้น
และแล้วกลิ่นที่เขาติดตามมานานก็ปรากฏเค้าโครงในปี พ.ศ. 2558 หลังรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งถูกล้มไปเพราะการนำเสนอ พรบ. นิรโทษกรรม ซึ่งเป็นจุดแตกหักของการเกือบจะสมานของกลุ่มคนสองกลุ่ม ได้แก่ชนชั้นกลางปัญญาชนและกลุ่มชาวบ้านจากชายขอบของประเทศ เขาสันนิษฐานจากข้อมูลที่พยายามรวบรวมและเริ่มประติดประต่อมันเป็นเรื่องราว การลดทอนคุณค่าในการต่อสู้ของชาวบ้านเริ่มกลายเป็นแนวคิดในหมู่นักวิชาการปัญญาชนคนชั้นกลางและค่อย ๆ ขยายตัวรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเกิดขึ้นในเวลานั้น มีคำครหาและวาทกรรมมากมายถูกผลิต และผลิตซ้ำ “คลั่งตัวบุคคล” “เป็นประชาธิปไตยไม่สมบูรณ์” “เห็นแก่นโยบายปากท้องไม่เห็นแก่ประชาธิปไตยจริง” ฯลฯ ซึ่งแนวคิดเหล่านี้ค่อย ๆ ถูกเผยแพร่ไปตามสื่อต่าง ๆ ที่ชนชั้นกลางเท่านั้นที่จะสามารถเข้าถึง โดยที่ชาวบ้านผู้ถูกกล่าวหาไม่มีทรัพยากรทางด้านนี้เพื่อตอบโต้แก้ต่างให้ตัวเองแต่อย่างใด
และนั่นเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เขาอยากรู้ความคิดชาวบ้านว่าทำไมยังสนับสนุนพรรคการเมืองที่ผลักดัน พรบ.นิรโทษกรรม มีชาวบ้านมากมายให้ความเห็นว่า พวกเขารู้ดีว่าไม่อาจเอาผิดคนสั่งฆ่าได้ในเวลาอันสั้น และคนพวกนั้นก็ไม่ได้มีค่าอะไรมากเท่ากับพี่น้องของพวกเขา ชาวบ้านรู้ว่าชัยชนะคือการได้มาของประชาธิปไตย หาใช่การแก้แค้นตัวบุคคล การชนะคือการชนะระบบและความคิด และกว่าจะถึงเวลานั้น เขาไม่อาจทนเห็นพี่น้องต้องตกระกำลำบากอยู่ในคุก การฆ่าศัตรูร้อยคน ไม่มีค่าเท่ากับอิสระของเพื่อนที่น้องของพวกเขาเพียงคนเดียว
แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่จะหยุดยั้งจุดเริ่มต้นของการบิดเบือนและลบล้างประวัติศาสตร์ของชาวบ้านในส่วนนี้ลงได้ วาทกรรมต่าง ๆ แนวคิดและการโจมตีจากปัญญาชน นักวิชาการนักศึกษาที่มีต่อชาวบ้านโดยการสนับสนุนของสื่อหรือก็คือ ทรัพยากรในมือของชนชั้นที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น ยังคงดำเนินต่อไป และรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ถึงขนาดสร้างภาพและใส่ร้ายให้ชาวบ้านเป็นผู้ใช้กำลังอาวุธเข้าเข่นฆ่าคนมือเปล่าที่คิดต่างอย่างไม่ละอาย แม้ว่าผู้คนจะร้องหาหลักฐานที่คนกล่าวหาไม่สามารถยกมาพิสูจน์ได้ ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกถึงความเลวร้ายที่ซ่อนลึกอยู่ที่นั่นราวกับมันเป็นสัตว์ประหลาดที่ยังไม่มีสิ่งใดสามารถระบุตัวตนของมัน และแน่นอนที่สุดอีกอย่างหนึ่งคือ คนเหล่านี้แหละที่มีสิทธิ์เขียนเรื่องราวไว้ในหน้าประวัติศาสตร์แต่เพียงฝ่ายเดียว และเมื่อพวกเขามีความคิดเช่นนี้ ย่อมไม่มีใครแปลกใจ ถ้าในอนาคตข้างหน้า ประวัติศาสตร์การต่อสู้ของชาวบ้านที่คลืบผ่านเวลาหลายสิบปีจะถูกตัดทอนให้เหลือเพียงไม่กี่บรรทัด
ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในโลกอดีต เขาจะรู้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ด้วยความเจ็บปวดใจ แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้เนื่องจากกฎข้อบังคับในการย้อนเวลากลับมาไม่อนุญาตให้เปลี่ยนแปลงอดีต หลังจากรวบรวมข้อมูลได้มากพอ เขาจึงทำได้เพียง เริ่มต้นเขียนบทกวีและเรื่องสั้นแฝงนัยยะเกี่ยวกับปัญหาที่ผู้คนยังมองไม่เห็นทิ้งไว้บนโลกโซเซียล ก่อนที่จะเดินทางกลับไปยังโลกอนาคต โดยหวังใจไว้ลึก ๆ ว่าจะมีใครสักคนค้นพบและเข้าใจปัญหาอันจะนำพาไปสู่การบิดเบือนและลบล้างประวัติศาสตร์ของชาวบ้านที่ทรงเกียรตินี้ในวันข้างหน้า เขาหวังว่าจะมีใครสักคนตีความมันออกและพยายามแก้ไขมันด้วยตัวของตัวเองในโลกอดีต แต่น่าเศร้า เพราะเมื่อเขากลับไปถึงยังที่ที่เขาจากมา เรื่องราวและประวัติศาสตร์ของชาวบ้านที่ถูกบันทึกไว้ก็ยังคงยาวเพียงสิบบรรทัดเหมือนก่อนที่เขาจะจากไป แต่อย่างน้อยที่สุด เขาก็ได้มาซึ่งความเป็นจริงที่ได้รู้เห็นมากับสองตาตนเอง และประวัติศาสตร์ของคนเหล่านั้นจะถูกเขียนขึ้นใหม่จากความยุติธรรม อุดมการณ์ และเหตุผลที่ไม่ได้จอมปลอมเหมือนเช่นเมื่อในอดีตที่พวกเขาไม่เคยได้รับ