Skip to main content

บล็อกกาซีน ประชาไท

กิตติพันธ์ กันจินะ
ผมเพิ่งกลับจากค่ายเยาวชนที่จังหวัดเชียงราย เป็นการจัดกิจกรรมเรื่องเพศ มีวัยรุ่นหลายคนเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว ซึ่งโดยหลักแล้วก็เป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในเรื่องเพศ เพศภาวะ และเพศวิถี ซึ่งเน้นการพูดคุยจากมุมภายในของผู้เข้าร่วมแต่ละคนมีน้องคนหนึ่งที่มาร่วมกิจกรรม บอกความรู้สึกกับผม “ผมดีใจมากครับ ที่ได้มาร่วมกิจกรรมนี้ อยากเข้าร่วมกิจกรรมแบบนี้ แต่ไม่ค่อยมีโอกาสเลย ดีนะครับที่พวกพี่มาจัด” น้องอีกคนหนึ่งก็บอกอีกว่า ที่ชุมชนของตัวเองได้มีการจัดกิจกรรมโดยอบต. แต่กิจกรรมส่วนใหญ่จะเน้นการกีฬา กิจกรรมตามวันสำคัญ และเยาวชนในชุมชนก็เข้าร่วมฟังน้องทั้งสองคนพูดขึ้นมาผมก็คิดถึง ผลการศึกษาวิจัยเรื่อง “ท้องถิ่นสร้างสรรค์ เยาวชน1000ทาง: ทิศทางนโยบายที่เอื้อต่อการทำกิจกรรมของเด็กและเยาวชนระดับท้องถิ่น” ที่โครงการเยาวชนไทยไม่ทอดทิ้งสังคมได้จัดการศึกษาขึ้นในการศึกษาเบื้องต้นจากการสอบถามวัยรุ่นทั่วประเทศจำนวนมากกว่า 5,000 คน พบว่า วัยรุ่นที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำกิจกรรมเกือบทั้งหมดถึง 97 เปอร์เซ็นต์ บอกว่าต้องการทำกิจกรรมเพื่อสังคม ซึ่งกิจกรรมที่วัยรุ่นอยากทำมากที่สุดคือ กิจกรรมด้านท่องเที่ยว กิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม กิจกรรมด้านดนตรี กิจกรรมด้านยาเสพติด และกิจกรรมด้านกีฬา ตามลำดับหล่านี้ย่อมสะท้อนให้เห็นว่าวัยรุ่นในปัจจุบันอยากทำกิจกรรมเพื่อสังคมแต่ยังขาดโอกาส พื้นที่ เวทีในการเข้าร่วม และแม้ว่าจะได้เข้าร่วมในชุมชนแต่ก็เป็นเพียง “ผู้เข้าร่วม” มากกว่า “ผู้นำ” กิจกรรม วัยรุ่นเข้าร่วมกิจกรรมในฐานะกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งหากวัดตามบันไดการมีส่วนร่วมของเด็กและเยาวชน 8 ขั้นที่ยูนิเซฟ กำหนดไว้ ก็คงจะอยู่ในระดับ “ต่ำ” คือเป็นเพียงแค่ ผู้เข้าร่ม หรือ “ไม้ประดับ” เท่านั้นเอง ซึ่งการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้สะท้อนในกิจกรรมที่วัยรุ่นตอบแบบสำรวจคือกิจกรรมวันสำคัญ และกิจกรรมประเพณี ที่กล่าวว่าเป็นกิจกรรมสั้นๆ เพราะไม่ได้มีกระบวนการพัฒนาทักษะของวัยรุ่นอย่างต่อเนื่อง เช่น ฝึกกระบวนการคิด กระบวนการพัฒนาทักษะ ซึ่งสวนทางกับความต้องการของวัยรุ่นที่อยากทำกิจกรรมคือเป็นกิจกรรมที่น่าสนใจกระตุ้นการเรียนรู้ พัฒนาทักษะ สร้างคุณค่าความดีให้กับตัววัยรุ่นเอง ฉะนั้นแล้ว กิจกรรมที่วัยรุ่นอยากทำเพื่อสังคม จึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาทักษะ ความคิดของตัวเองมากกว่าการแค่เป็นมือไม้ แรงงานในการจัดกิจกรรมของชุมชนเพียงเท่านั้นเมื่อน้องคนที่บอกผมว่า อบต.เขาจัดกิจกรรมแค่วันสำคัญและวันตามประเพณี ผมก็เล่าให้เขาฟังถึงสิ่งที่การศึกษาวิจัยได้ค้นพบ แต่ทว่าในมุมของ อบต.เองการศึกษาวิจัยก็พบว่า อบต.มีทัศนคติที่เปิดกว้างต่อการทำงานกับวัยรุ่น รวมถึงมีความสนใจในการพัฒนาทักษะชีวิต ความรู้ ส่งเสริมศักยภาพของวัยรุ่น อีกทั้งยังให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของวัยรุ่นในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม อบต. ยังขาดข้อมูลที่บอกเกี่ยวความสนใจในการทำกิจกรรมสร้างสรรค์ของวัยรุ่นในชุมชนทั้งนี้ อบต.หลายแห่งยังมีความพร้อมที่จะสนับสนุนงบประมาณและทำงานกับวัยรุ่นในรูปแบบต่างๆ ทั้งการดำเนินโครงการ การเป็นพี่เลี้ยง/ที่ปรึกษา การอำนวยความสะดวกในเรื่องสถานที่ รวมถึงอาหารและยานพาหนะ  แต่แนวทาง องค์ความรู้ และวิธีการนั้นยังไม่สามารถที่จะเข้าถึงความต้องการของวัยรุ่นได้อย่างทั่วถึง  ซึ่งสาเหตุเบื้องต้นนั้น อาจเป็นเพราะกิจกรรมต่างๆ ที่ อบต.จัด ยังคงเป็นกิจกรรมระยะสั้น และไม่ได้กระตุ้นให้วัยรุ่นในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานตั้งแต่ต้น ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า หาก อบต. หรือผู้ใหญ่ที่อยากสนับสนุนกิจกรรมของวัยรุ่นก็ต้องหากิจกรรมที่กระตุ้นการเรียนรู้ น่าสนใจ และพัฒนาทักษะของวัยรุ่นให้มากกว่ากิจกรรมแบบไม้ประดับเพียงอย่างเดียวทุกวันนี้ วัยรุ่นอยากทำกิจกรรมเยอะ แต่ขาดช่องทางในการสนับสนุน หากผู้ใหญ่ที่มีบทบาทในการสนับสนุนวัยรุ่นให้ทำกิจกรรม เช่น โรงเรียน อบต. อาจต้องชวนวัยรุ่นมาคิด มาร่วมทำในฐานะ “ผู้นำ” มากกว่า แค่การให้วัยรุ่นเป็นเพียง “กลุ่มเป้าหมาย” เท่านั้น 
แสงพูไช อินทะวีคำ
   โอน้อ เจ้าผู้พ้วดอกอ้ม ผมพี่ดำนิน เฮียมเอยผมดำงามพอดูช่างตื่มสีแดงเข้มดำแดงคนเขาเอี้นสองสีแตกต่างสังมาอยู่ฮ่วมเค้าเกสาเจ้าผู้เดียวน้องบ่ออยากเว้าเลี้ยวเว้าล่ายความจริงมีบ่อนอีงจริงมาจา ว่ากันตามเรื่องย่อนมันเคืองคาข้อง หม้องใจน้องอุ่นความคิดเป็นว่าวุ้น นำอ้ายบ่าวพี่ชายน้องนี้หมายอยู่ซ้อนเฮียงฮ่วมชายเดียว อ้ายเอยคนอื่นนางบ่อเหลียวม่ายตานางซ้ำกรรมหยังนางบ่อฮู้ มาเห็นชายจริงหวังฮ่วมหวังอยากมาฮ่วมซ้อน นำอ้ายแต่ผู้เดียวแต่ว่าอ้ายพัดเบี้ยว แปล เปรียนสัญญาว่าสิแปลงผมยอย ย่อนลงทางหน้าชายสิเอามันถี้ม ให้เป็นสีดำธรรมชาติบาดมาเห็นเทื่อนี้ หูอ้ายพัดบ๋องกลางหูเป็นยอยเพราะใส่ต้างใจพี่ต่างคราวหลังสังบ่อเป็นครืเฮาจา ว่ากันคราวนั้นความฝันเป็นลมแล้ง นอนสะแคงไห้จ่มอกระทมแทบม้าง หัวใจอ้ายช่างเปรี่ยนแปรงแยงหมู่ดาวอยู่ฟากฟ้า ตานางส่องละเมีหาครืสิเห็นชายมาก่าวจา ดอมน้องผมผ่องหูของอ้าย ชายก็แปรงแปลเปี่ยนเป็นบทเฮียนแก่อ้าย ชายฮู้เมื่อคีงหากบ่อจริงดั่งเว้า เมือตื่นจากความฝันอกกะสันชวงระทมผู้ขื่นขมคืรน้องลมตีตองใบกร้วยปลายชานพัดวีว่ำอกระกรรมนั่งไห้ สัญญาฮ้างถูกลืมมื้อใดฟ้ามืดครื้ม ฮ้องหื่มโหยหวนปั่นปวนในอุลานาง ฮักบ่อจางแต่มายม้างทางฮักเฮาเวเวี้ง เพราะชายเวีงเวห่างสัญญาจริงถูกม้าง ให้เฮาฮ้างห่างกันความฝันสิอยู่ซ้อน นอนเสื่อเฮียงหมอนครืนกเขาลาครบ่อนเดีมบ่อคืนโค้งเหมือนดั่งหงลาน้ำ บ่อคืนมาวังเก่ากอดเข่าได้แต่ไห้ ใจสะอื้นอ่าวหลังความหวังมาขาดสิ้น เมื่อพี่ห่างลาไกลใจนางม้วหมองทุข์ อั่งทวงเทกั้นจิดกระสันฮักมาม้าง ฮักอำพางหลวงหลอกบอกว่าฮักเท่าฟ้า ให้นางบ้าป่วงบ่อเช่า แท้น้อ
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
เชื่อกันว่า ช่วงเวลาระหว่าง 200-500 ปี ชาวไทยใหม่อูรักลาโว้ยหรือโอรังละอุตจากดินแดนฆูณุงจไร เดินทางมาตั้งถิ่นฐานบนเกาะลันตา จนหลายสิบปีต่อมา เมื่อคนจากแผ่นดินใหญ่หลั่งไหลมาถึง พร้อมเปิดศักราชใหม่ของการท่องเที่ยว เกาะลันตาที่เคยสงบสันโดษกลับกลายเป็นดินแดนแห่งสีสัน...เฉดสีต่างๆ ถูกละเลงโดยนักแสวงสุขมากหน้า...ท้องฟ้าสีฟ้าเบื้องหน้าหัวเรือข้ามเกาะดูเจิดจ้า จากท่าเรือคลองจิหลาด จ.กระบี่ ข้ามไปเกาะลันตาถึงท่าศาลาด่านใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมง ในอัตรา 350 บาท/หัว ภายใต้ท้องฟ้าและผืนน้ำสีเขียวคราม หลายคนรวมทั้งผมและเพื่อนนับสิบ ตัดสินใจไปละเลงชีวิตช่วงปีใหม่ที่เกาะลันตา...หากใครเคยเที่ยวช่วงปีใหม่คงจะรู้ดีเป็นอย่างยิ่งว่า นอกจาก ต้องฝ่าฝูงชนที่คราคร่ำในสถานีขนส่ง (กรณีนี้สายใต้) แล้ว ยังต้องผจญกับความผันผวนของราคาตั๋ว ตารางเวลาเดินรถและอัตราค่าบริการอันแพงหูฉี่ของห้องพักช่วง Hi Season ... แต่โชคดีที่มีเพื่อนเราอยู่บนเกาะ...เกาะลันตา เป็นหนึ่งในหมู่เกาะ 53 เกาะ เรียงรายขนานกับแผ่นดินใหญ่บนฝั่งทะเลอันดามัน ‘ลันตา’ เป็นชื่อใหม่ที่เรียกกัน เพี้ยนมาจากคำว่า ‘ลานตา’ เพราะหากมองเข้ามายังเกาะจะเห็นชายหาดเรียงรายหรือเพราะเกาะลันตาเป็นที่อยู่อาศัยของชนหลายชาติ ชาวไทยใหม่ ไทยพุทธ ไทยมุสลิมและชุมชนจีนชาวอูรักลาโว้ยให้ชื่อหมู่เกาะแห่งนี้ว่า ‘ปูเลาตอข้า’ หมายถึง ‘เกาะที่มีหาดทรายทอดตัวเป็นแนวยาว’ ชาวมลายูมุสลิม เรียก ‘ลันต๊าสหรือลันตัส’ หมายถึง ‘แผงหรือร้านสำหรับตากหรือย่างปลา’ สำหรับ ชาวจีน เรียก ‘ลุนตั๊ดซู่’ หมายถึง ‘เกาะที่มีภูเขาเป็นแนวยาวมองเห็นได้แต่ไกล’…หาดทรายสีขาวโพลนสะท้อนประกายแดดเจิดจ้า ดูดูแล้วเกาะลันตาในยุคของการท่องเที่ยวครอบครองพื้นที่ทุกตารางเมตร ไม่ได้แตกต่างไปจากอุทยานการท่องเที่ยวแห่งอื่นๆ หมายความถึง นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ หัวสีทองและหัวสีดำ ทั้งผิวขาวและผิวคล้ำ เกลื่อนหาดผมนัดตัวเองพบกับเพื่อนๆ ที่โอโซน บาร์ ในร่มชายคาของต้นมะพร้าวและหูกวางขนาดยักษ์ที่ยื่นล้ำออกมาริมหาด นักท่องเที่ยวผมสีทองบางคนกำลังหลับอาบแดด คาดว่า เค้าคงไม่เคยเจอแดดใสใสสักเท่าไรนัก ดนตรี Reggae แว่วมากระทบโสตพร้อมๆ กับเสียงคลื่นกระทบฝั่งเบียร์ขวดแรกถูกเปิดพร้อมกับความสนุกสนานที่จะตามมาอีกหลายระลอก...เกาะลันตาถูกถากถางเส้นทางเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวมาตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์สึนามิ ในฐานะ ‘ไข่มุกเม็ดสุดท้ายแห่งทะเลอันดามัน’ แต้มโฉมหน้าให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับหรู เปิดพื้นที่การลงทุน ทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่ รายย่อย ทั้งกลุ่มคนบนเกาะและกลุ่มนักลงทุนต่างชาติคือ ความหมายของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่สมบูรณ์แบบ ,ด้วยธรรมชาติที่งดงามและต้องสะดวกสบาย ,เกาะลันตาจึงถูกกล่าวถึงในฐานะแหล่งปะการัง ประเพณีเขเรือ รีสอร์ท&สปา อินเทอร์เน็ตคาเฟ่ บาร์ริมหาดและดนตรี reggae & blues...ผมเริ่มโยกตัวไปตามจังหวะดนตรี ลมเย็นจากทะเลพัดเข้าหาฝั่ง เฉดสีส้มเหลืองแดงของพระอาทิตย์กำลังจางลงไปยังผืนทะเลเบื้องล่าง ขับเน้นเงาดำๆ ของนักท่องเที่ยวที่เดินอยู่ริมหาดและไกลออกไปเรือใบขนาดสองใบเรือเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ กำลังเคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆ ที่ริมขอบฟ้าตัดกับเฉดสีส้ม“ต่อกันที่ไหนดี” ดูเหมือนใครคนหนึ่งจะเร่งเร้าสำหรับความมันส์ที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า“คืนนี้ชิลก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องไปดำน้ำ” อีกคนวางโครงร่างคร่าวๆ“ต่อที่ไหน” ใครถามผมชักไม่แน่ใจ“Go Dive ร้านดำน้ำ” เพื่อนบนเกาะว่า“แล้วเข้านอนแต่หัวค่ำนะ”“เออ ก_ จะคอยดู”...ขอบคุณความเอื้อเฟื้อของเพื่อนๆ ทุกคนบนเกาะลันตา น้อง,พี่เบียร์,นุช,ยันนี่,กร,บัง,สาวๆ แห่งโทเก้ ดีไซน์และพี่โทนี่กะภรรยา ครับ บริเวณเกาะรอกในและนอก จะมีจุดช่องเขาขาด ทางออกสู่ทะเลเปิด น้ำสีเขียวครามอย่างที่เห็น (คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่)ครอบครัวนี้มาพร้อม speed boat ลำของเรา น้องในภาพ ชื่อ ซันนี่ไม่ได้ดำน้ำก้อถ่ายภาพปลาบนผิวน้ำภาพนี้ถ่ายที่บ้านหัวแหลม เด็กชาวน้ำกำลังเล่นน้ำ หาดทรายสีทอง ส่วนตัวผม ลายสี...ชาวน้ำบ้านหัวแหลม คุณยายกำลังเดินกลับจากไร่แบกพร้าเล่มเขื่อง ทำเอาผมต้องแอบถ่ายอบอุ่นดีครับสระน้ำหรูของ ลาส บีช รีสอร์ทหลายเฉดสียามย่ำสนธยาสองภาพสุดท้ายเป็นภาพที่ กร ช่างภาพแห่งโทเก้ ดีไซน์ ถ่ายไว้
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนาอย่างที่เธอได้บอกฉันนั่นแลว่า กว่าคนเราจะสามารถเอาใจมาอยู่กับกายได้นั้นต้องใช้เวลาและให้โอกาสตัวเองพอสมควร ซึ่งหลายคนอาจไม่เคยคิดเลยว่าทำไมต้องเอาใจมาอยู่กับกาย หรือเอากายมาอยู่กับใจ เพราะเขาไม่มีโอกาสได้รู้ว่าควรทำอย่างไร ควรทำเมื่อไหร่บ่อยครั้งที่ “ความสุข” ทางโลก ที่เข้ามากระทบเราทั้งทาง หู ตา จมูก ลิ้น และกาย รวมถึงใจของเรานั้นทำให้เราคิดว่านี่คือความสุขที่แท้จริง แต่หารู้ไม่ว่าการที่รับผัสสะเหล่านั้นมาปรุงแต่งก็กลับทำให้จิตใจของเรามีแต่การสร้างกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว หลายคนที่เข้าถึงธรรมปฏิบัติ บางคนพบว่าความสุขทางโลกไม่ใช่ทางออกหรือคำตอบของชีวิต พวกเขาจึงเลือกที่จะแสวงหาความสุขอันแท้จริง ความสุขที่เป็นความจริงอันสูงสุด ด้วยวิธีการทางธรรมตอนที่ไปชัยภูมิ ณ วัดป่าสุคะโต ฉันเดินทางโดยไม่คิดว่าจะพบอะไรบ้าง ไม่ได้คิดว่าต้องเจอพระอาจารย์มาสอน เพราะไม่ได้คาดหวังอะไรมากไปกว่า การได้ทำความรู้จักกับ แนวปฏิบัติสาย หลวงพ่อเทียน จิตตฺสุโภ คือการเจริญสติแนวเคลื่อนไหว เพียงเท่านั้นการมาเยือนที่วัดป่าสุคะโตในช่วงปลายปี เป็นสิ่งที่ดีและเหมาะแก่การปฏิบัติเพื่อละบางอย่างจากทางโลก ผู้คนที่เข้ามาปฏิบัติมีหลายสิบคน ที่วัดนี้เราอยู่กันดั่งญาติมิตร เหมือนที่หลวงพ่อคำเขียน ท่านได้เขียนไว้ว่า “ที่นี่ไม่มีใครแปลกหน้า มีแต่ญาติมิตรที่เพิ่งได้พบกัน” ไม่มีใครแปลกหน้า, ฉันเดินทางมาเพียงลำพัง แต่เมื่อขากลับออกจากวัด ได้พบกับญาติมิตรทางธรรม สองคน คนหนึ่งเป็นไกด์ ชื่อพี่อุ๊ อีกคนเป็นนักออกแบบ ชื่อ พี่หนู พวกเราต่างเดินทางมาโดยไม่รู้จักใคร แต่ท้ายที่สุด เมื่อได้ใช้ชีวิตร่วมกันที่วัดก็ได้รู้จักและสนิทกัน จนพี่ๆ คนอื่นๆ ให้สมญาพวกเราทั้งสามว่า “แก๊งหลุมศพ”เนื่องเพราะคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2550 พวกเราทั้ง 3 คน ได้ร่วมกันเดินจงกรม ที่สุสานภายในวัดป่าสุคะโต พี่อุ๊เดินตรงศาลา พี่หนูเดินตรงหลุมศพ ส่วนฉันเดินตรงเมนเผาศพ ที่เป็นเชิงตะกอน โดยเริ่มเดินตอน 3 ทุ่ม แต่ละคนได้ไฟฉายประจำกายและเดินไปในป่ามืดตามลำพัง คนละเส้นทาง เพื่อไปพบกันที่สุสาน – เราใช้เวลาปฏิบัติที่สุสาน จนถึง 5 ทุ่มกว่าๆ พระอาจารย์ปู่ ที่เป็นครูสอบอารมณ์ก็เข้ามารับออกไปช่วงที่เดินจงกรมนั้น เป็นการเดินในสถานที่ที่เรามีแต่ “ความกลัว” การเดินก็เพื่อมุ่งให้เรามีสติ อยู่กับปัจจุบันขณะ เรียนรู้ที่จะเฝ้าดูจิตของตน โดยใช้กายเป็นฐานของการปฏิบัติซึ่งแนวปฏิบัติโดยการเคลื่อนไหวทางกายนี้เอง เป็นแนวที่หลวงพ่อเทียนได้สั่งสอนลูกศิษย์มาเรื่อยๆ ทั้งนี้ที่วัดป่าสุคะโต นักแสวงหาทางธรรมที่เดินทางมาเองหรือมากับคอร์สปฏิบัติที่มีการจัดทุกๆ เดือน ก็จะมีที่พักให้ และจะมีการทำวัตรเช้า เย็นร่วมกัน ตอนตี 4 และ 6 โมงเย็น ส่วนเวลาที่เหลือก็เป็นการปฏิบัติ ใครที่นั่งก็เคลื่อนไหวมือตามจุด สร้างจังหวะ และเดินจงกรมเพื่อให้รู้กาย ระลึกรู้ตามกายในตัวเราอาหารนั้น เป็นการรับประทานร่วมกัน ตอนเช้า 7 โมง และใครที่จะกินตอนกลางวันก็สามารถห่อใส่ปิ่นโตเอาไว้ทานได้ และอาจเผื่อสำหรับเวลาเย็นด้วยฉันใช้เวลาอยู่ที่วัดป่าสุคะโต 4 วัน ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2550 ถึง วันที่ 1 มกราคม 2551 และก็ได้เดินทางกลับกรุงเทพฯ พร้อมกับญาติธรรมทั้ง 2 คนการเดินทางไปยังวัดป่าสุคะโตในครั้งนี้ ฉันพบว่า การปฏิบัติที่ฉันเคยปฏิบัติกับการปฏิบัติในแนวทางนี้ แม้ว่าจะมีความแตกต่างกันใน “สติปัฏฐาน” จากเดิมที่ใช้ “เวทนา” เป็นฐาน ก็พบ “กาย” เป็นฐาน ซึ่งเราสามารถที่จะประยุกต์เข้ากับตัวเองได้ นั่นคือ หากเรารู้สึกตรงไหน แบบใด ก็เพียงแค่รู้ก็พอ ย้ำ แค่รู้ก็พอเวลาเราคิด เกิดอารมณ์โกรธ กลัว เราก็เพียงรู้ แล้วดึงสติกลับมายังฐานสติของเรา ซึ่งแต่ละคนก็อาจมีแนวทางต่างกัน ทว่าหลักใหญ่แล้ว ก็มีสองแบบ คือ “ดูกาย” และ “ดูจิต” ดูกายก็คือการรู้กาย ดูจิต ก็คือการรู้จิต รู้ใจ ของตน แค่เพียงรู้ก็พอ....มาถึงตรงนี้ ฉันก็พบว่าอันที่จริงแล้ว เมื่อจิตกับกายเราไม่ได้ล่องลอยหลุดออกจากกันแล้ว เราสามารถที่จะรู้การทำงานของกาย การทำงานของจิต รู้ว่าอันที่จริงแล้ว เราควรดู “ภาวะด้านใน” ของตนมากกว่า ผัสสะภายนอกที่มาในรูปของ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ผ่านทางตา ลิ้น จมูก หู และร่างกายของเราการเข้าถึงสุคะโต หนนี้ ยังมีเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนการเดินทางมาถึงวัดป่าสุคะโตอีก นั่นคือเรื่องมารผจญและเรื่องเล็กๆ ที่เกิดก่อนมาถึงวัด ไว้มาเล่าให้เธอรับรู้อีกครา ฉบับหน้านะครับธรรมรักษา....
เงาศิลป์
“ต้นไม้ไม่ต้องการคำภาวนา มันต้องการน้ำ” อาการห่อเหี่ยวของเรียวใบยังคงอยู่ บางต้นปลิดใบสีน้ำตาลร่วงพราวเกลื่อนพื้น........แม้แต่ความรัก ก็ยากจะเยียวยา.....ไม่ว่าฉันจะพูดปลอบประโลมอย่างไร มันก็ไม่อาจฟื้นคืนมาสู่ความสดใสได้อีกแล้วฉันสิ ที่ต้องคร่ำครวญและพาลโมโหตัวเองที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกชาวสวน แต่ไม่เคยมีวิชาทำสวนติดตัวสักกระผีกริ้น สิ้นลมหายใจพ่อ เหมือนสิ้นคู่มือชีวิต เรื่องของต้นไม้และเม็ดดินกลายเป็นความลี้ลับ ที่ต้องใช้เวลา และสติปัญญา มาถอดรัสลับ ซึ่งไม่รู้ว่าชาตินี้ฉันจะทำสำเร็จหรือไม่ โดยเฉพาะเรื่องดินฟ้าอากาศ ที่สัมพันธ์กับอารมณ์ของต้นไม้แต่ละชนิดแม้เวลานี้ ยังได้ชื่อว่าเป็น “ฤดูหนาว” แต่ยามหลังเที่ยงวันไปแล้ว บรรยากาศร้อนอบอ้าวราวกับอยู่ในเตาอบ  มหึมา ต้นไม้ของฉันจึงต้องการน้ำ  น้ำ และน้ำเท่านั้นสายลมหนาวแผ่วผ่านมาแล้ว ในยามเย็น คล้ายปลอบประโลมเรียวใบที่หรุบหรู่ให้อดทน“แน่จริงก็ปล่อยให้แผ่นดินเลือกสรรพันธุ์ไม้ แล้วปล่อยให้โลกนี้ฟูมฟักหน่ออ่อนด้วยวิถีทางของมันเองสิ”  เสียงหนึ่งตะโกนก้องท้าทาย ล่องลอยมากับสายลมเอื่อย“แล้วฉันจะได้อะไร จากการเป็นผู้เฝ้าดู”  ใจที่กระด้างโต้ตอบ“ก็ได้ชีวิต ได้ความสุขตามที่อยากได้ไงเล่า” เสียงนั้นยังท้าทายฉันนิ่งเงียบ ครุ่นคิด จริงหรือ การที่ไม่จัดการสิ่งใดๆ คือการเข้าถึงชีวิตและความสุข  ก็ฉันต้องการปลูกต้นไม้เพื่อโลกนี้“อะฮ้า อะฮ้า อาจหาญจริงนะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า “ เสียงนั้นหัวเราะเยาะ จนฉันรู้สึกตัวลีบเล็กลงฉับพลัน รู้สึกคล้ายมีบางอย่างจ้องมองมาจากเบื้องไกล ด้วยความเวทนาสงสาร จึงเหลียวหลัง เงยหน้ามองหาที่มาแห่งดวงตาลึกลับนั่น  ฉันเห็นพระจันทร์ค่อนดวง ลอยเด่นเหนือแนวไม้ป่าทางทิศตะวันออก ทั้งที่พระอาทิตย์ยังคงระบายริ้วสีส้มเหนือฟากฟ้า ยังส่องแสงเจิดจ้าอาบแนวไพร และยังส่งประกายอันอบอุ่นอ่อนโยนมาถึงฉันด้วย ยามนั้นฉันรู้สึกว่าความสุข มันช่างเป็นเสี้ยวเวลาที่สั้นแสนสั้น จากนั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนผ่านไปสู่ค่ำคืนที่เหน็บหนาวอ้างว้าง  เพราะโลกนี้ถูกจับจองแล้วด้วยจันทราที่มีแสงกระด้างชืดชา เป็นนัยยะที่ถากถางหยามหยันชีวิตคนอย่างฉัน“ฉันไม่ชอบพระจันทร์” ฉันพึมพำอยู่ข้างใน ตั้งใจให้อีกเสียงหนึ่งนั้นรับรู้   สูดลมหายใจเข้าอย่างล้ำลึก แล้วค่อยๆผ่อนออกช้าๆ จนเห็นความร้าวรวดที่ดิ้นรนอยู่ภายใน และยอมจำนนต่อความเยือกเย็นที่ส่งผ่านมา  ยอมรับว่าแสงจันทร์ คล้ายสายตาของครูบาอาจารย์ที่เคารพรักยิ่งที่คอยติดตาม ทวงถามว่า “เจ้ากำลังทำอะไรอยู่ ”คำตอบจึงไม่เคยส่งผ่านไปที่ใด นอกจากย้อนคืนสู่หัวใจตัวเอง“ฉันเพียงต้องการมีชีวิตอยู่ ในท่ามกลางสรรพสิ่งที่ควรมีอยู่” เป็นคำตอบที่มีแรงปรารถนาหนุนเนื่องอยู่เต็มเปี่ยมดังนั้น เพื่อการมีชีวิตอยู่ ต้นไม้จึงจำเป็นต้องมีน้ำ และฉันจำเป็นต้อง “ภาวนา”
ฐาปนา
“...ยังไม่เคยเห็นธนาคารไหนในโลกให้ดอกเบี้ยร้อยเปอร์เซนต์ ฝากพันให้พัน ฝากหมื่นให้หมื่น ฝากล้านให้ล้าน ไม่เคยเห็น แต่ธรรมชาติจะให้มากกว่านั้นแทบทุกเรื่อง ถ้าเราฝากธรรมชาติ อย่างเช่น ถ้าเราเอาเงินสิบบาทไปฝากธนาคาร ถ้าเขาให้ดอกร้อยเปอร์เซนต์ สิ้นปีก็ได้สิบบาท รวมที่ฝากเป็นยี่สิบบาท คือสูงสุดแล้ว แต่ถ้าฝากธรรมชาติ ก็เหมือนฝากให้คนอื่นทำงาน สมมติต้นกล้วยห้าบาท ค่าปลูกกล้วยอีกห้าบาท รวมเป็นต้นทุนสิบบาท พอสิ้นปีได้ปลีกล้วยมาอันหนึ่ง เครือกล้วยอีกเครือหนึ่ง หน่อกล้วยอีกสองหน่อ อันนี้ไม่รู้ราคาเท่าไรแล้ว ถามว่ามันได้ร้อยเปอร์เซนต์ หรือกี่ร้อยเปอร์เซนต์ แถมปีที่สองก็ไม่ต้องไปฝากอีกมันมีของมันสองหน่อแล้ว ธรรมชาติจะให้เรามากขึ้นเรื่อยๆ...”(คำเดื่อง ภาษี ปราชญ์ชาวบ้านผู้ริเริ่มการทำเกษตรกรรมธรรมชาติ)ครอบครัวของแม่ผมเป็นครอบครัวชาวนา ตากับยายยังทำนาอยู่แม้ว่าลูกทุกคนจะมีครอบครัวไปหมดแล้วที่นาของตามีอยู่หลายสิบไร่ นอกจากนี้ตายังเลี้ยงวัว และมีบ่อปลาอีกหลายบ่อ  พอถึงหน้านา รอบบ้านตาจะกลายเป็นทุ่งข้าวเขียวสุดลูกหูลูกตา ทุกช่วงปิดเทอมผมจะได้ไปอยู่กับตา ช่วยตาเลี้ยงวัวบ้าง จับปลาบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็จะวิ่งเล่นตามประสาเด็ก ภาพท้องนา จึงเป็นภาพที่อยู่ในใจผมมาตลอดเมื่อผมอายุได้ประมาณสิบขวบ ตาให้ผมได้ลองดำนาเป็นครั้งแรก ในวัยนั้น อะไรแปลกๆ ใหม่ๆ คือเรื่องน่าสนุกทั้งสิ้น เมื่อรู้วิธี ผมก็โหมทำทั้งวัน สนุกอย่างลืมเหน็ดลืมเหนื่อย ผลของการดำนาวันแรก ผมเลยได้เป็นไข้นอนซมอยู่บนเตียงเนื่องจากตากแดดทั้งวัน คุยถึงเรื่องนี้ทีไร ตากับยายจะหัวเราะด้วยความเอ็นดูทุกครั้งหลังจากนั้นไม่นาน ตาจากไปด้วยโรคไต ยายขายนาส่วนหนึ่ง ที่เหลือก็ให้เขาเช่า วัวถูกขายไป บ่อปลาถูกถม ผมไม่ได้กลับไปที่นั่นอีกเลยผมเติบโตเช่นเดียวกับบุตรข้าราชการทั่วไป จบมอหกต่อปริญญาตรี จบแล้วหางานทำ วนเวียนเข้าๆ ออกๆ เป็นลูกจ้างอยู่นานปี ก่อนจะพบหนทางของตัวเอง อาจเพราะบางสิ่งในวัยเด็กยังอยู่ในความทรงจำอย่างยาวนาน ผมจึงหวนหาวันคืนในท้องนามาตลอดยี่สิบปีเต็มนับจากครั้งแรกที่ผมได้ดำนา ผมได้ดำนาอีกครั้งบนที่นาแปลงเล็กๆ ของมูลนิธิที่นา  แม้จะเป็นเพียงที่นาแปลงเล็กๆ ที่แบ่งให้ทุกคนได้ลองทำคนละแถว สองแถว แต่มันก็ทำให้ผมได้สัมผัสกับประสบการณ์การดำนาอีกครั้งแสงแดดพื้นเลนในท้องนาต้นกล้าข้าวเหนียวต้นเล็กในอดีต ก่อนที่การปฏิวัติเขียวจะเปลี่ยนชีวิตมนุษย์ไปค่อนโลก ผืนดินคงอุดมกว่านี้ ธรรมชาติคงสมบูรณ์ยิ่งกว่านี้ เพียงแค่หว่านข้าวลงในแปลง ปล่อยให้สายลม แสงแดดและพื้นดินดูแล เมล็ดข้าวก็เติบโตจนกลายเป็นต้นข้าว ที่เต็มไปด้วยรวงข้าว มีเมล็ดข้าวในแต่ละรวงนับสิบนับร้อยเมล็ด หรือจะเพาะจากเมล็ดข้าว ให้เป็นต้นกล้า จากนั้นก็ดำนา ปักดำกล้าข้าว 3-4 ต้นเป็นหนึ่งกอ ทำไปทีละจุดๆ จนเต็มท้องนา ผ่านวันผ่านคืน ข้าวก็จะเติบโตเป็นแถวแนว เขียวไปทั้งท้องทุ่งหากไม่ได้ลงมือดำนา หากไม่ได้เฝ้ามองการเติบโตของต้นข้าว หากไม่ได้ลงมือเก็บเกี่ยว หากไม่ได้สีข้าว หากไม่ได้หุงข้าว และหากไม่ได้ลิ้มรสข้าวที่ปลูกเอง ไหนเลยจะรับรู้ถึงความรักอันไพศาลจากธรรมชาติธรรมชาติไม่เคยเรียกร้องสิ่งใด นอกจากให้ ทั้งยังให้มากเกินกว่าที่จำเป็นต่อการดำรงชีพของมนุษย์ แต่ความต้องการของมนุษย์กลับมากยิ่งกว่าที่ธรรมชาติมอบให้ และไม่เคยเพียงพอ นั่นจึงเป็นโศกนาฏกรรมตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติขณะที่ดำนา ผมเกิดความคิด ความรู้สึกหลายอย่าง เหมือนได้ย้อนกลับไปในวันที่ได้ดำนาเป็นครั้งแรก เพียงแต่ครั้งนี้มันมากกว่าความสนุกประสาเด็กในวันวานหากการวิปัสสนา คือหนทางแห่งการเรียนรู้ตนเอง ทำให้เห็นทุกข์และหาหนทางที่จะลด หรือไปให้พ้นจากความทุกข์การได้ผลิตอาหารเองเช่นการปลูกข้าว ก็เป็นหนทางที่ทำให้เห็นความจริงว่า ชีวิตมนุษย์คือส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่อาจหลีกพ้น และการใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับธรรมชาติเท่านั้น จึงจะเป็นหนทางสู่สันติหากความรักคือคำตอบ ธรรมชาติซึ่งเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็มีคำตอบสำหรับทุกคำถามเมื่อการดำนาเสร็จสิ้น ผมนั่งมองแนวต้นกล้าเบี้ยวๆ เฉๆ ของตนเองและชาวนาสมัครเล่นทั้งหลายแล้วก็ให้นึกขำแน่นอน ความสำคัญของมันย่อมอยู่ที่การเติบโตของต้นข้าวไม่ใช่ความเป็นระเบียบเหมือนแถวทหาร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความเที่ยงตรงสม่ำเสมอของระยะห่างก็เป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตเช่นกันพวกเราเหมือนเด็กปอหนึ่งที่เพิ่งหัดเขียนกอไก่ กว่าจะเขียนได้เต็มหน้ากระดาษก็โย้ไปเย้มา  ขณะที่ชาวนาผู้ปลูกข้าวมาทั้งชีวิต เหมือนกับช่างอักษรผู้มีลายมืออันหมดจดงดงาม บรรจงเขียนอักษรแต่ละตัวด้วยความชำนาญ รวดเร็ว และเป็นระเบียบยิ่ง ทั้งเมื่อเขียนเสร็จแล้ว ต้นข้าวแต่ละกอ แต่ละแถวก็มีระยะห่างราวกับใช้ไม้บรรทัดวัดชาวนา นำเมล็ดข้าวหนึ่งเมล็ดไปฝากผืนดิน แล้วผืนดินก็คืนเมล็ดข้าวอีกสิบร้อย พัน หมื่นเมล็ดให้แก่ชาวนาบางที เมื่อถึงวันหนึ่ง ผมอาจจะหมดความสนใจในการจับดินสอ ปากกา แล้วหันไปขีดเขียนบนผืนดินแทน มันคงจะคล้ายกับการจับดินสอหัดเขียนกอไก่อีกครั้งหนึ่ง แต่ไม่ใช่การดุ่มเดินไปเพียงลำพังแน่นอน เพราะผมรู้ว่าปลายทางของการทำงานนี้อยู่ที่ไหนสักวันหนึ่ง...
เมธัส บัวชุม
คงเป็นเพราะความเชี่ยวชาญส่วนตัวหรือเคยผ่านประสบการณ์เลวร้ายเรื่องยาเสพติดมาก่อน คุณเฉลิม อยู่บำรุง จึงนำเสนอนโยบายปราบปรามยาเสพติดเพื่อหาเสียงในการเลือกตั้งครั้งหนึ่งว่าจะจัดการเฉียบขาดต่อพ่อค้า (และแม่ค้า) ยาเสพติดโดยลงโทษรุนแรงคือประหารชีวิต อย่างไรก็ตามคุณเฉลิม อยู่บำรุงไม่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นผู้แทนในครั้งนั้น ดังนั้น นโยบายอันดุดันเรื่องนี้ของคุณเฉลิม  อยู่บำรุงจึงถูกพับเก็บไปการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา นโยบายทางสังคมอย่างเรื่องยาเสพติดและเรื่องอื่น ๆ ไม่ได้ถูกชูขึ้นหาเสียงมากนัก ผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้งหลายโดยมากแล้วจะเน้นเรื่องนโยบายทางเศรษฐกิจ การสร้างความอยู่ดีกินดี สร้างรายได้ให้แก่ประชาชนเสียเป็นส่วนใหญ่ซึ่งจะว่าไปก็ล้วนแล้วแต่เป็นนโยบายประชานิยมไม่แตกต่างจากนโยบายพรรคไทยรักไทยที่เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์แต่อย่างใด พรรคประชาธิปัตย์นำเสนอเรื่องการศึกษาฟรีในระดับชั้นมัธยมซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่การให้การศึกษาแก่เยาวชนนั้นเป็นแนวนโยบายแห่งรัฐที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ว่าพรรคไหนได้เป็นรัฐบาลก็จะต้องดำเนินการตามแนวนโยบายนี้อยู่ดี การนำเสนอเรื่องการศึกษาฟรี 12 ปี ของพรรคประชาธิปัตย์จึงไม่มีอะไรใหม่และไม่น่าสนใจน่าเสียดายที่บรรดาผู้อาสาเป็นผู้แทน ไม่ได้หยิบยกประเด็นทางสังคมขึ้นมานำเสนอเป็น "ทางเลือก" แก่ประชาชน อาทิเช่น ประเด็นเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ ผู้หญิง เอดส์ สิทธิผู้บริโภค ชนกลุ่มน้อย เด็กเร่ร่อนหรือปัญหาการระบาดของยาเสพติด ประเด็นเหล่านี้ถูกปล่อยให้อยู่ในความดูแลตามมีตามเกิดของหน่วยงานราชการที่รับผิดชอบอยู่แล้ว หรือองค์กรพัฒนาภาคเอกชนที่ไม่มีกำลังความสามารถเพียงพอต่อปัญหาใหญ่ๆ ที่มีความซับซ้อนการเกิดสุญญากาศทางการเมืองทำให้ประเด็นทางสังคมถูกละเลยไปจนน่าเป็นห่วง หลายฝ่ายระดมทรัพยากรเพื่อต่อสู้เอาชนะกันทางการเมืองหรือมุ่งสร้างความสมานฉันท์ทางการเมืองโดยไม่ตระหนักว่าความสมานฉันท์จะเกิดไม่ได้ หากสมาชิกในสังคมยังประสบปัญหาการมีคุณภาพชีวิตที่ย่ำแย่ อันที่จริงก่อนหน้านี้ผมไม่เคยตระหนักถึงความสำคัญและสภาพปัญหายาเสพติด คิดแต่เพียงว่ามันเป็นเรื่องไกลตัว แต่หลังจากที่พบ "ตัวอย่าง" มากมายหลาย "ตัวอย่าง" ด้วยกัน ตลอดจนได้คุยกับผู้ปกครองหลายคนของเด็กที่ตกอยู่ในวังวนยาเสพติดกระทั่งได้ประสบพบเจอกับตัวเอง ผมจึงเห็นว่าเรื่องนี้เป็น "ความจริงของชีวิต" ที่สำคัญอย่างมากบริเวณที่ผมอาศัยอยู่นั้นยาเสพติดสามารถหาได้ง่ายมาก    และเด็กวัยรุ่นรู้กันดีว่าจะหามันมาได้อย่างไร แล้วพอได้มาแล้วก็พากันไปรวมตัวกันในทุ่งร้างแห่งหนึ่งซึ่งเหมือนเป็นจุดนัดพบ มิดชิดต่อสายตาสาธารณชนและตำรวจบทความที่แล้ว ผมยกตัวอย่างเด็กคนหนึ่งซึ่งมัวเมาจนยากจะถอนตัวจากยาบ้าจนผู้ปกครองประกาศตัดหางปล่อยวัดเด็กอีกคนที่ผมพบก็มีลักษณะคล้าย ๆ กัน  เด็กคนนี้เริ่มต้นจากบุหรี่เหมือนเด็กคนแรก จากนั้นก็เป็นกัญชาซึ่งราคาไม่แพงนัก ต่อมาก็พัฒนาเป็นยาบ้าซึ่งผมไม่รู้ว่าการเปลี่ยนระดับขั้นจากบุหรี่เป็นกัญชาแล้วเป็นยาบ้านั้น เด็กมีกระบวนการตัดสินใจเกิดขึ้นอย่างไรบ้าง? อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้เด็กบางคนหยุดอยู่ที่การบุหรี่ในขณะที่บางคนไปไกลถึงยาบ้า? ภูมิคุ้มกันของเด็กแต่ละคนแตกต่างกันอย่างไร?หลังจากเชี่ยวชาญเรื่องการเสพแล้วเด็กคนนี้ก็พัฒนากลายเป็น "เด็กเดินของ"  ซึ่งจะได้ทั้งเงินและยาบ้าเป็นค่าตอบแทนแล้วแต่กรณีจะเห็นได้ว่าเด็กทั้งสองคนที่ผมกล่าวถึงมี "เส้นทาง" คล้ายกันซึ่งไม่แน่ใจว่าเส้นทางนี้จะไปสุดที่ "บ้านเมตตา" หรือที่คุกหรือเด็กจะพัฒนาต่อไปเป็นพ่อค้ารายใหญ่ อย่างไรก็ตาม เด็กคนนี้ไปไกลกว่าเด็กคนแรกตรงที่ว่ามีผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นจึงมั่วสุมเมามันกันไปทั้งยาเสพติดและผู้หญิงซึ่งก็ได้ผลทันตาเห็น เพราะเด็กผู้หญิงท้องและคลอดลูกออกมาขณะที่ทั้งคู่อายุยังไม่ถึง 15 ปี ทั้งพ่อและแม่ที่ยังเป็นเด็กเมื่อวานซืนไม่มีปัญญาจะเลี้ยงลูกที่คลอดออกมาโดยไม่ตั้งใจ และก็ไม่มีกะจิตกะใจที่จะเรียนหนังสือได้แต่อยู่ว่าง ๆ ไปวัน ๆ ส่วนลูกที่คลอดออกมานั้นก็ส่งไปให้ญาติฝ่ายหญิงเลี้ยงดู การมีลูกไม่ได้ทำให้ผู้เป็นพ่อตัดขาดจากยาเสพติด มันแทบไม่เกี่ยวกันเลย "ความเป็นพ่อ" หรือ "ความเป็นแม่"  เป็นเรื่องของวัฒนธรรม ที่ต้องผ่านการสั่งสมสั่งสอน ต้องค่อย ๆ เรียนรู้จากโลกของผู้ใหญ่ซึ่งเด็กเพียงอายุ 15 ไม่สามารถเข้าใจได้ง่าย ๆ นี่เป็น "ความจริงของชีวิต" ที่เด็กต้องรับมือในภาวะที่ไม่มีความพร้อมแม้แต่ด้านเดียว เป็นผลพวงจากการใช้ชีวิตเลยเถิด ขาดภูมิต้านทานต่อสิ่งยั่วเย้า และยาเสพติดก็เป็นสิ่งยั่วเย้าที่นอกจากยากจะต้านทานแล้วยังยากที่จะถอนตัวจากมันด้วย.                                                                       
วาดวลี
อากาศขมุกขมัว เริ่มต้นมาได้หลายวันแล้ว ขณะที่หมอกบางเพิ่งจางลงไปในตอนเช้า ตอนสายๆ ของฤดูหนาวกลับมีเม็ดฝนมาเยือน คนในครอบครัวต้องปรับตัวในการออกไปทำงาน  ด้วยการใส่ทั้งเสื้อกันหนาวและเสื้อกันฝน ส่วนฉัน ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปติดอยู่ที่แผงขายผักเล็กๆ ในหมู่บ้าน คุณยายมองดูสายฝนที่หนาหนักลงมา แล้วก็ถอนหายใจ"อย่าเพิ่งกลับเลยหนู รอให้ฝนซาก่อน"เขาบอกฉันอย่างมีไมตรี แล้วชวนให้เข้าไปหลบฝนด้านในร้าน เหลือบไปมองถนน บางคนฝ่าเม็ดฝนไปไม่กลัวเปียก บางคนทำท่าเก้ๆ กังๆแล้วบทสนทนาของฝนหลงฤดูก็เกิดขึ้น"มันแปลกจริงๆ ฝนจะมาช่วงนี้ได้ยังไง""อากาศวิปริต""จะเข้าหน้าร้อนแล้วก็แบบนี้แหละ ฝนหัวปี""เฮ้ย ยังไม่ถึง"ฯลฯฉันยืนนิ่งๆ  พร้อมห่ออาหารในมือ สายตามองดูเม็ดฝน หูก็ฟังพวกเขาคุยกัน คุณลุงคนหนึ่งขี่จักรยานฝ่าสายฝนมา จอดรถเสร็จ ไม่พูดพร่ำทำเพลง เดินอาดเข้ามาหายาย"ลาบดิบมีไหม ข้าวเหนียวด้วยเน้อ"แกนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ ซึ่งมีอยู่โต๊ะเดียวในร้าน ยายทำตาแลมอง แล้วเดินเข้าไปใกล้"ฝนตกซิกๆ แบบนี้จะกินลาบดิบเหรอ เอาแกงอ่อมอุ่นๆ หน่อยไหม"ยายไม่กลัวเลย ว่าจะขายของไม่ได้ เสนอเมนูแกงอ่อมร้อนๆ น่ากินนัก"แกงอ่อมไม่เอา เอาเบียร์ช้างขวดหนึ่ง" ลุงตะโกนตอบ"ปาดโทะ จะกินแต่เช้าเลยเหรอ"คุณยายอดแสดงความเห็นไม่ได้ แต่ก็เดินไปทำกับข้าวแต่โดยดี เปิดฝาถังแช่ หยิบหมูที่สับไว้แล้ว ตักใช่กะละมัง จากนั้นก็ตักน้ำพริกลาบ คลุกเคล้าผสม เติมเครื่องเทศ หยอดเลือดสดๆ เข้าไป คลุกๆ แล้วก็เติมเต็มด้วยเครื่องในหั่นเป็นชิ้นๆลุงผู้ชายคงเปรี้ยวปากน่าดู ขออนุญาตเดินไปหยิบเบียร์เอง แล้วก็นั่งรอ "อากาศแบบนี้ ฝนซิกๆ ครึ้มอกครึ้มใจเหรออ้าย" ใครบางคนตะโกนถาม ลุงผู้ชายส่ายหัวแทนคำตอบ"ฝนตกแบบนี้ มันก็อยากกิน กินแก้เครียด  อ้ายตากตอกเอาไว้ มันชื้นมาหลายวันแล้วไม่มีแดด มาวันนี้ฝนตก เก็บแล้วก็ยังขึ้นรา""ก็ดีแล้ว  ได้พักผ่อนสักวัน"ยายให้กำลังใจอย่างไม่เห็นว่าเป็นเรื่องหนักหนา ขณะโรยหน้าลาบรสเด็ดด้วยต้นหอม ผักชี แล้วยกมาเสริ์ฟลุงตักลาบใส่ปาก ตามด้วยเบียร์อีกคำ หน้าตาชื่นอกชื่นใจ "จะว่าไป ฝนตกก็ดี มันแล้งเกินไป ต้นไม้เหลืองหมด ดูน้ำในคลองสิ ถึงเข่า"เขาหมายถึงน้ำปิงน้อยที่ไหลผ่านข้างหมู่บ้าน ที่ตอนนี้เดินไปลงเล่นได้โดยไม่ต้องกลัวจมยายฟังแล้วหัวเราะเอิ๊กอ๊าก "ก็เห็นพากันไปจับปลาสบายใจอยู่นี่วันก่อน""ก็น้ำมันแห้ง ปลาจะตายเอา จับก็ง่าย ได้ไปหลายมื้อใหญ่""แล้วไม่ดีเรอะ" ยายทำเสียงแหลม"ไม่ดีน่ะสิ จับกันทีสิบคน รอบเดียวหมดคลอง ฮ่าๆ"คุยไปหัวเราะไป ไม่รู้ว่าเพราะเขาเป็นคนอารมณ์ดี หรือเพราะฟ้าฝนเป็นแบบนี้ มองไปบนท้องฟ้า ฝนซาลงบ้างแล้ว ฉันขยับตัว เตรียมออกไปยายมีแก่ใจเป็นห่วง เอื้อมไปหยิบถุงพลาสติกเก่าๆ ส่งให้ใบหนึ่ง"เอาคลุมหัวไว้หนู" ไม่อยากรับ แต่ก็ไม่อยากขัดใจยาย เอ่ยขอบคุณแล้ว ก็ได้ยินเสียงยายรำพึงเบาๆ"ไม่รู้มันจะตกอีกกี่วัน ยายจะได้ตุนของเอาไว้ ไม่งั้นออกไปตลาดไม่ได้ จะไม่มีของขายเอา""อ๋อค่ะ ลำบากหน่อยเนอะ" ฉันพูดได้แค่นั้น  ยายพยักหน้า ก่อนจะตามด้วยประโยคที่ว่า"ฝนหลงฤดู คนก็ต้องปรับเปลี่ยนตาม"นี่เป็นบทสรุปจากเจ้าของแผงผักเล็กๆ และคนทำลาบขาย บางทีบทสรุปนั้น อาจเผื่อแผ่ไปยังคุณลุงที่นั่งเคี้ยวลาบตุ้ยๆ อยู่ หรือคุณป้าอีกหลายคน ที่พากันติดฝน และเลือกซื้อข้าวของอยู่ บางคนเหลือบมองเวลา ที่จะออกไปจัดการธุระ สลับกับมองสายฝน บางคนคิดแผนใหม่ ว่าจะทำอะไรดีในวันนี้ และบางคนคิดเลยไกลออกไปถึงอีกหลายๆ วัน ของฤดูกาลข้างหน้าฉันขี่รถฝ่าสายฝนมา พลางคิดในใจว่า อย่างน้อย ขอให้เป็นแค่สายฝนที่หลงฤดู อย่ามีอะไรหนักหนาให้ถึงกับต้องเปลี่ยนชีวิตบางด้านต้องหลงทางไปด้วยหรือก็ไม่แน่ว่า...บางที ฤดูกาล ก็แค่มาเตือนให้รู้ว่า มนุษย์เราหลงทางไปล่วงหน้า ตั้งนานแล้วก็ไม่รู้.
กวีประชาไท
* " ศิลปินสร้างงานศิลปะ" คารวะศิลปินจิตไพศาลล้ำลึก- กว้างใหญ่เป็นจิตจักรวาลเป็นสีสัน- บทเพลงขับขานความเป็นไท!!! ใครมิรู้จักศิลปะ- ศิลปินจิตสิ้นปัญญาญาณอย่าสงสัยคับแคบแล้วโถยังอ้างเป็นพระสงฆ์ไทยสิ้นไร้คุณค่ามีแต่อวิชชาโชว์ลุ่มหลงแต่ลาภยศสรรเสริญเพลิดเพลินกับชีวาคิดว่าโก้ทำลายโบสถ์วิหารเก่าแก่เพื่อพัดยศ- จิตพองโตพุทโธธัมโมสังโฆ... เหี๋ยเต๊อะทั่นดำรงชีวีไหนว่าเป็นศิษย์พระตถาคตมิเคยลดละเลิกกิเลศไร้ศักดิ์ศรีเป็นพระสงฆ์ศักดินาชั่วนาตาปียึดมั่นถือมั่นในทุกที่มิปล่อยวางท่านน่าจะชมเชยเห็นด้วยกับศิลปินที่มีจิตวิญญาณพุทธะกันซะบ้างเขาวิพากษ์สงฆืที่มิเฉิดรางชางเพื่อให้พุทธะงามพราวพร่างกลางใจคนคารวะพระสงฆ์ที่งดงามเราเลื่อมใสท่ายพุทธทาสท่านโพธิรักษ์เราค้อมคารวะไว้แสงดาว ศรัทธามั่น** ภาพประกอบจากกวีศิลปินโดย พันธุ์ปกรณ์ พงศารม  
ภู เชียงดาว
 ภาพประกอบโดย : ขวัญข้าวจากตาน้ำน้อยน้อยค่อยหยาดหยดผ่านขุนห้วยเคี้ยวคดรดรินไหลสู่ลุ่มน้ำสาขา -  -เดินทางไกลไปเลี้ยงชีพหล่อเลี้ยงในหัวใจคนกว่าจะเป็นแม่น้ำอันกว้างใหญ่ต้องผสานสายใยอันใหญ่ล้นดินอุ้มน้ำ  ป่าอุ้มฝน  คนอุ้มคนกว่าจะเป็นผลิตผลของแผ่นดินนั่นแสงแดด สายลมคอยห่มป่าโน่นเม็ดฝนหล่นโปรยมามิรู้สิ้น…ฟังสิเพลงนกป่า หญ้าผลิบานให้ได้ยินว่าชีวินนั้นสอดคล้องกันและกันลองหันมองจ้องดูสรรพสิ่ง…เราจะเห็นความจริงมิแปรผันคน ดิน น้ำ ป่า ฯ พึ่งพาอาศัยกันหากสิ่งหนึ่งผกผัน  สิ่งนั้นตาย !มาเถิด,  มาร่วมกันปกป้องป่ามารักษาสายน้ำ อย่าให้สูญหายมาฟื้นฟูธรรมชาติก่อนวอดวายมาค้นหาความหมายของชีวิต.๑๕ มี.ค.๒๕๕๐
สุมาตร ภูลายยาว
  ผมได้รู้ข่าวว่าไฟฟ้าที่บ้านดับก็ตอนอยู่บนดอยบ้านห้วยคุ ข่าวสารที่ส่งมาบอกเพียงว่า หลังจากผมและเธอออกจากบ้านมาได้ ๒ วันหลอดไฟที่อยู่ข้างนอกก็ดับลง ทั้งที่มันเพิ่งได้รับการติดตั้ง คนส่งสารยังบอกอีกว่า เขาได้ไปดูที่มิเตอร์ไฟฟ้าของบ้านแล้วปรากฏว่า สายไฟที่ต่อกับมิเตอร์ถูกดึงออกด้วยมือนิรนาม เมื่อสนทนากันอยู่นานสองนาน คนส่งสารผู้ใจดีก็บอกหมายเลขโทรศัพท์ของการไฟฟ้า หลังผู้แจ้งสารหมดสิ้นหน้าที่ ต่อไปจากนี้คงเป็นหน้าที่ของผมที่ต้องดำเนินการต่อ ผมและเธอเรามองหน้ากัน ต่างคนต่างตั้งคำถามในใจ เกิดอะไรขึ้นกับบ้านที่เราเช่าอยู่มาเกือบครึ่งปี? ผมถามเธอก่อนหลังความเงียบมาเยือนเราสองคนได้ไม่นาน"นั่นสิ มันเกิดอะไรขึ้น เราก็อยู่กันมานานไม่เห็นมีอะไร พอไม่อยู่บ้านไม่กี่วัน ไฟฟ้าก็มาดับ""แต่ก่อนเราก็ไม่อยู่ไม่เห็นมันจะมีอะไร""หรือว่าจะเป็นเพราะ..."แล้วเราทั้งสองก็หาเหตุผลนานมาอธิบายความเชื่อของตัวเอง จริงแล้วจะบอกว่ามันเป็นความเชื่อก็คงไม่ได้เท่าใดนัก แต่ถ้าหากเรียกมันว่าการสันนิษฐานยังจะดูดีกว่า เราสันนิษฐานเอาเองต่างๆ นานา"หรือว่าเรายังไม่ได้ไปจ่ายค่าไฟ เขาก็เลยมาตัด--เขาในที่นี้หมายถึงเจ้าหน้าที่ของการไฟฟ้า""ไม่ใช่หรอกก็เราเพิ่งไปจ่ายมา มันจะมาตัดได้ยังไง""หรือว่าจะเป็นเพราะบ้านที่เขาทะเลาะกันแล้วมาดึงสายไฟบ้านเรา เพราะคิดว่าเป็นของคู่อริ""ไม่แน่อาจจะมีส่วน"เราต่างหาข้อสันนิษฐานขึ้นมารองรับเหตุผลความเชื่อของตัวเอง แต่ก็นั้นแหละ มันเป็นเพียงข้อสันนิษฐานที่เราตั้งขึ้น ผมพยายามกดเบอร์โทรศัพท์ที่คนส่งสารให้มาอยู่หลายครั้ง จากนี้ไปเราคงได้ทราบความจริงกันเสียทีว่า ทำไมไฟฟ้าที่บ้านดับ "ผมมีเรื่องอยากสอบถามครับ""เรื่องอะหยั่งเจ้า""คือว่าไฟฟ้าที่บ้านผมดับนะครับ ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ที่บ้าน ผมอยู่เชียงรายครับ""ดับมากี่วันแล้วเจ้า""เห็นเพื่อน--บ้าน (อันนี้ไม่ได้เขียนผิด แต่เพราะบ้านเช่าข้างๆ บ้านเช่าของผม เขาเป็นเพื่อนผม-ผมจึงเรียกเขาว่า เพื่อน--บ้านข้างๆ) ข้างๆ บอกว่า ประมาณ ๒ วันครับ เขาบอกว่าสายไฟถูกดึงออกจากมิเตอร์ด้วยครับ""อ้ายมีหมายเลขผู้ใจ้ไฟก่อเจ้า""ไม่มีครับ มีแต่เลขที่บ้าน...""รอคำเจ้า เดียวน้องจะผ่อหื้อ..............น้องผ่อแล้วเจ้า ค่าไฟอ้ายไปจ่ายแล้ว รายการตัดไฟก็บ่มีนะเจ้า""แล้วผมต้องทำยังไงครับ""เดียวพอวันจันทร์อ้ายก่อโทรมาแจ้งตี้ช่าง แล้วช่างเพิ่นจะไปผ่อหื้อเจ้า""ขอบคุณครับ""ยินดีเจ้า"เมื่อไม่ทราบแน่ชัดถึงสาเหตุแห่งไฟดับ ผมก็ครุ่นคิดอะไรหลายอย่าง ขณะที่ไฟฟ้าดับอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น อาหารในตู้เย็นคงเริ่มเสียเป็นอย่างแรง อย่างต่อมาคือน้ำไม่ไหล สาเหตุที่ร้ำไม่ไหลก็คงไม่ใช่อย่างอื่น เนื่องมาแต่บ้านที่ผมเช่าอยู่ยังใช้น้ำบ่อ เวลาที่เราจะใช้น้ำต้องเปิดไดน์เพื่อดึงน้ำขึ้นมาใช้ พอไฟฟ้าดับน้ำก็เลยไม่ไหลไปด้วย หากว่าน้ำไม่ไหลอะไรจะเกิดขึ้น แน่ละอย่างน้อยเราก็คงไม่ได้อาบน้ำ แต่สำหรับผมการไม่ได้อาบน้ำดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับเธอมันคือเรื่องใหญ่ เมื่อไม่มีน้ำอาบถ้วยจานใส่อาหารจะล้างยังไง ผ้าที่กองเลยหัวเข่าจะซักยังไง เครื่องซักผ้าก็กลายเป็นเพียงกล่องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ไร้ประโยชน์บางคนอาจจะบอกให้เราหวนคืนสู่อดีตด้วยการใช้ถังตักเอาน้ำขึ้นมาใช้จนกว่าไฟฟ้าจะกลับสู่สภาพเดิม แต่ความจริงเงื่อนไขหลายอย่างที่เราสร้างขึ้นไม่สามารถให้เราทำอย่างนั้นได้ ทั้งเราไม่มีเชือก ไม่มีถัง และน้ำที่เราใช้ก็ต้องผ่านตัวกรองน้ำ เพื่อให้น้ำสะอาดขึ้นมาหน่อย แต่นี่น้ำไมได้กรองเวลาอมไว้ในปากคงเหมือนอมเชื้อโรคนับร้อยเอาไว้ผมและเธอ เราต่างถกเถียงกันเพิ่มขึ้นถึงเหตุผลของไฟฟ้าดับ แลการถกเถียงของเราก็ใช่ว่าจะยุติลงได้ง่ายๆ นานแสนนานของการโต้เถียง เราต่างไม่ได้ข้อยุติอันใดเลย ในที่สุดเราก็ตกลงกันว่า พอเสียทีกับเรื่องไฟฟ้าดับ เราจะไม่พูดถึงมันอีกจนกว่าจะได้กลับบ้านไปดูด้วยตา แล้วจะพูดถึงมันอีกครั้งหลังกลับมาถึงบ้าน ความรู้สึกแรกเมื่อเปิดประตูเข้าไปในบ้านคือความหวาดกลัว เราต่างกลัวว่าตัวเองจะได้อยู่ในความมืด ไม่ได้อาบน้ำ ไม่มีตู้เย็นใช้ ไม่ได้ซักผ้า แม้ว่าบ้านหลังไม่ใหญ่มาก แต่ไฟจากเทียนไม่กี่แรงเทียนจะทำให้บ้านสว่างไสวได้เพียงใด เมื่อเก็บข้าวของเข้าที่เข้าทางเรียบร้อย สิ่งแรกที่ทำคือเดินไปดูสายไฟ แล้วเราก็พบว่า สายไฟไม่ถูกดึงออก สายไฟที่ถูกดึงออกเป็นของใครก็ไม่รู้ จากนั้นก็ค่อยๆ ไล่เรียงหาสาเหตุแห่งไฟฟ้าดับ และที่สุดมันก็มืดแปดด้าน เมื่อน้ำไม่ไหลอันเนื่องมาแต่ไฟฟ้าดับ แสงเทียนได้คืบคลานเข้ามาหลังพระอาทิตย์ตกดิน ขณะนั่งกินข้าว เราตกลงกันว่า เราจะเข้าห้องน้ำให้น้อย เพราะน้ำในห้องน้ำมีจำนวนจำกัด เรื่องอาบน้ำถ้าทนไม่ไหวจริงๆ เราจะไปขออาบน้ำที่บ้านเพื่อน-ข้างๆ และข้อตกลงหลายอย่างก็เริ่มขึ้น หลังกินข้าวเสร็จ เรานั่งพูดคุยกันถึงเรื่องไฟฟ้าดับอย่างเป็นจริงเป็นจังอีกครั้งไฟฟ้าดับอาจมาจากหลายสาเหตุ และที่สำคัญน้ำไม่ไหลก็เป็นสาเหตุหนึ่งด้วย เพราะบ้านเรายังใช้ไฟฟ้าที่มาจากเขื่อนที่ต้องปั่นไฟด้วยระบบน้ำไหลผ่านเครื่องให้กำเนิดพลังงานไฟฟ้าอยู่ หากว่าน้ำในแม่น้ำไม่มีให้ไหล เราจะเป็นอย่างไร ผมยังไม่อยากคิดในตอนนี้ แต่เอาเป็นว่าน้ำไม่ไหลเพราะไฟฟ้าดับในครานั้นทำให้ผมได้เข้าใจเพิ่มขึ้นมาว่า น้ำสำคัญกับเราไม่น้อย แม้แต่ไฟที่เราใช้อยู่ก็มาจากน้ำ แปลกแต่จริงน้ำมาเป็นไฟ และไฟมาจากน้ำ พอไฟไม่มาน้ำก็ไม่มา อันไหนสำคัญกว่าอันไหนยากที่จะตอบจริงๆ  
แพ็ท โรเจ้อร์
  ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีงานรับปริญญากันมาก ผู้เขียนก็ต้องไปมีส่วนในงานแบบนี้ทุกปีนับตั้งแต่เรียนจบมา 11 ปีที่แล้ว เพราะสายงานนั้นบังคับให้ต้องร่วม บทความนี้จึงเป็นบทความที่ไม่เกี่ยวกับองค์การโดยตรงสักครั้งหนึ่ง แต่เกี่ยวกับ "คน" ที่รับปริญญาและคนที่เกี่ยวข้อง การรับปริญญาในเมืองนอกนั้น ไม่ได้เป็นพิธีที่ยิ่งใหญ่เหมือนเมืองไทย แต่ถามว่ามีคนมาชุมนุมกันมั้ยตอบว่ามี แต่การทำมากินสำคัญกว่า หลายคนจึงไม่ได้สนใจว่าต้องรับหรือไม่ หากต้องย้ายเมืองไปทำงานทีอื่นหรือกลับบ้านไปก่อนวันรับปริญญา กระนั้นเมืองนอกคือสหรัฐฯในที่นี้ (บางแห่งมีการรับปีละสองหน และบางแห่งมีการรับปีละหน ก็มักเป็นเทอมที่สิ้นสุดในเดือน พ.ค. หรือ มิ.ย.) ก็จะมีงานรับปริญญาหลังวันสอบไล่ในเทอมนั้น (ไม่ใช่คอยนานแบบเมืองไทย เพราะต้องให้มั่นใจว่าจบแน่ จบจริง) ที่สหรัฐฯ นั้นรับแบบหลอกๆ ไปก่อน จากนั้น ถ้าพบว่าเรียนผ่านครบข้อบังคับตามหลักสูตรแล้วจริง ก็จะส่งใบปริญญาไปให้ที่บ้านหรือที่อยุ่ที่ให้ไว้ ส่วนใบระเบียนสมบูรณ์ก็จะส่งให้ทาง ปณ.ตามที่ร้องขอมาได้ ส่วนหากมีการสูญหายก็บอกไปว่าหายหรือไม่ได้รับ มหาวิทยาลัยก็จะออกใบให้ใหม่ได้ ไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่แบบเมืองไทยเพราะว่าหากมีการจับได้ว่าใช้วุฒิปลอม มีโทษทางอาญาที่รุนแรงในเมืองไทย บัณฑิตไทยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ผู้เขียนเป็นคนหนึ่งที่ค้านกับเรื่องนี้มาตลอดว่า หากใบปริญญาไม่มีปัญญาในตัวเจ้าของ อย่าไปมีเสียเลย ผู้เขียนจำได้ว่า ตอนเรียนจบที่สหรัฐฯ ก็ไม่ได้คอยจนรับปริญญาเพราะส่งบทนิพนธ์ทุกอย่างกลางเทอม ไม่ได้อยู่รอจนงานรับปริญญา แต่ให้มหาวิทยาลัยส่งมาให้ทางไปรษณ๊ย์ พกกลับมาแค่ใบรับรองจากคณะ/บัณฑิตวิทยาลัยว่า จบแน่ เพื่อเอามาสมัครงาน มีคนสำคัญต่างๆ ของแต่ละสถาบันมาให้โอวาทแก่บรรดาผู้สำเร็จการศึกษา หัวเรื่องใหญ่ๆ คือ 1. แสดงความยินดีที่จบ 2. ขอให้ใช้วิชาความรู้ในด้านดี 3. ขอให้ตระหนักถึงภาระตนเองในสังคม 4. ขอให้เจริญสุขสวัสดิ์ มีอยู่แค่นี้ จากนั้นก็มีคำปฏิญาณของบัณฑิต ที่มีทำนองคล้ายกันในความรับผิดชอบ ซึ่งก็ได้แต่พูดกันไป ไม่เห็นใครเอามาปฏิบัติกันสักกี่คน หลายคนที่จบมานี่ก็โกงๆ เค้าจบมาด้วย ไม่เห็นมีใครพูดสักคำว่าอีนี่โกงมาจึงจบ มัวแต่มาปลื้มกันในท้ายสุด ลืมมองว่ากระบวนการที่ได้มาสกปรกแค่ไหนบรรดาผู้สำเร็จการศึกษากระดี๊กระด๊ากันเกือบทั้งนั้น เหมือนงานรวมรุ่นได้เพราะไม่ได้เจอกันหลังจากเรียนจบ แต่ว่าน่าเสียดายที่จริงๆแล้วนั้นไม่เคยได้ตั้งคำถามเลยว่าจบแล้วนี่ รู้แจ้งจริงตามใบปริญญาที่ให้ไว้เป็นหลักฐานหรือเปล่า มีผู้ใหญ่หลายคนของแต่ละมหาวิทยาลัยมักบอกว่าบัณฑิตที่จบไปมีคุณภาพดี เป็นการโฆษณาเกินจริงเป็นส่วนมาก เพราะผู้เขียนเองพบว่าไม่เกินร้อยละ 10 ของผู้สำเร็จการศึกษาในปัจจุบันนี้ของไทยได้คุณภาพอย่างที่ควรจะเป็น อันนี้ไม่ได้หมายความว่าสหรัฐฯ จะไม่เป็น เพราะที่นั่นเองหลายครั้งผู้เขียนก็อยากจะเอาปริญญาคืนเพราะไม่ได้เรื่อง สอนพวกนี้มากับมือพบว่าตอนเรียนก็ขี้เกียจบรม แต่ด้วยกระบวนการที่ว่า "ถ้าเข้ามาแล้ว ต้องผลักดันให้เรียนให้จบ" ทำให้ต้องปล่อยให้จบแบบที่ไม่น่าเชื่ออย่างไรก็ตาม ได้แต่หวังว่าพวกที่ปล่อยให้จบนั้น จะยังพอเอาตัวรอดได้ และพัฒนาตนเองต่อไป ผู้เขียนเองเคยเป็นเด็กที่เกือบเรียนไม่จบมัธยมต้น เพราะมีปัญหาในเรื่องจิตวิทยาช่วงวัยรุ่น และคณาจารย์กลุ่มหนึ่งเข้าใจและเชื่อในศักยภาพของผู้เขียนจึงให้มีการสอบพิเศษและช่วยให้กำลังใจผู้เขียนมาก จนผ่านพ้น หากจะมองแล้ว การเรียนในมัธยมต้นนั้นไม่ได้มีอะไรมากกว่าทางผ่าน แต่ในระดับปริญญานี่แหละที่อาจมีผลกระทบทางสังคมได้มากกว่า การเชื่อในศักยภาพตรงนี้ต้องมองระดับของการศึกษาด้วย ถ้าคนไม่เก่งจริงก็คงไปลงเอยที่ไม่ได้รับปริญญา น่าเสียดายที่เดี๋ยวนี้ การศึกษาระดับปริญญามันคือการทำมาหากินกันไปเสียหมดจนต้องปล่อยผ่านกันอย่างง่ายขึ้นที่เห็นว่าง่ายขึ้นชัดเจนคือ การที่อาจารย์หลายคนยอมให้เด็กปริญญาตรีสามารถไปลอกงานมาเขียนรายงานเป็นดุ้นๆ แหล่งข้อมูลก็คือ อินเตอร์เน็ทนี่แหละ แล้วการลอกมาลงเป็นดุ้นนี่ยิ่งมากยิ่งดี เพราะอาจารย์ชอบให้เด็กไปเอามามากๆ จะได้เอามาใช้ต่อ ทั้งที่เอามาจากแหล่งข้อมูลเชื่อถือไม่ได้ คนใกล้ตัวของผู้เขียนเจอกับตนเองที่มาถามผู้เขียนว่ารายงานควรทำอย่างไร เนื่องจากอาจารย์สั่งงานมาแบบกว้างสุดขีด ผู้เขียนบอกว่าให้มีประเด็นคำถามแล้วตอบ งานออกมาจึงมีแค่ 5 หน้า เพราะไม่ได้ลอกมาเป็นดุ้นๆ และมีการวิเคราะห์ข้อมูล ปรากฏว่าอาจารย์ไม่ได้ตรวจเอง และให้ผู้ช่วยสอนที่เป็นแค่เด็กป. โท มาตรวจ และให้เกรดที่ขึ้นอยู่กับความหนาของรายงาน ไม่ได้เรื่อง ทำให้เด็กเกิดอาการน้อยใจที่ทำดีแต่ไม่ได้ดี ที่เห็นชัดต่อมาอีกคือผู้เขียนก็พบว่านักศึกษาของผู้เขียนเองก็ชินกับการทำงานแบบนี้ เดาได้ว่าชินมาจากระดับปริญญาตรี ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยปิดหรือเปิด เป็นกันหมด น่าอดสูกันจริงได้พูดคุยกับอาจารย์ที่สอน ป.ตรี ได้ความว่าขี้เกียจตรวจมาก เอาความหนาเป็นเกณฑ์ บอกว่าแค่เด็กหามาตรงจุดก็บุญแล้ว ลอกมาเป็นกระบิๆ หรือลอกมาเหมือนกันก็ได้คะแนน ตกลงกลายเป็นว่าอาจารย์เองนี่แหละก้ไม่ได้เรื่อง พบว่ามีอาจารย์ขยันๆน้อยจนถึงไม่มี และที่สำคัญอาจารย์ระดับ ป.ตรีต้องปล่อยเด็กให้จบเพราะว่าต้องทำตัวเลข และสร้างประชานิยม เพื่อให้เด็กมาลงวิชาที่ตนสอนเยอะๆ โดยเฉพาะสถาบันที่มีสาขาเกือบทุกจังหวัดทั่วไทย ที่เน้นตัวเลขจนไม่น่าเชื่อ ทั้งนี้ก็รวมถึงพวกม.เปิดและปิดต่างๆด้วยหลายแห่ง ที่ขาดการคุมคุณภาพอย่างไม่เหลือหรอน่าเสียดายที่ระบบทุกอย่างทำให้เด็กของเรา ไม่สู้ ไม่อดทน ไม่ไฝ่รู้ จนไม่เหลือเลยว่าคุณภาพเป็นอย่างไร ไม่นานมานี้ได้อ่านข่าวว่าเวียตนามก็มีปัญหาว่าบัณฑิตที่ไปเป็นพนักงานบนเรือบินพูดอังกฤษไม่ได้ ผู้เขียนเองก็พบว่าของเราก็มีปัญหาคล้ายกัน บัณฑิตไทยเอกอังกฤษใช้ภาษาอังกฤษไม่ได้เพียบ บางคนก็เกียรตินิยมมาด้วย ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกไปเสียแล้ว สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่แค่คุณภาพปริญญาที่ไร้ปัญญา แต่เป็นเรื่องคุณภาพของนักศึกษาส่วนใหญ่ที่ไม่มีความวิริยะ ไม่มีความไฝ่รู้ เพราะว่าสังคมไม่ส่งเสริม อีกทั้งตัวเด็กเองก็ขี้เกียจลงๆ เตือนก็ไม่ได้สอนก็ไม่ได้ มีอาการฉุนฉียว น้อยอก น้อยใจ พาลถึงฆ่าตัวตาย เพราะพ่อแม่พี่น้องและสังคมโดยรวมกลัวเด็กเครียด เด็กไร้สุข เหมือนเรื่อง "พ่อแม่รังแกฉัน"ที่ผู้เขียนเรียนมาแต่เด็ก แม้ฝรั่งเองก็ยังบอกว่าต้องเข้มงวดกับเด็ก ไม่งั้นเด็กจะเสีย แต่สังคมไทยเลี้ยงเด็กได้เละตุ้มเป๊ะ ลืมมองว่าวันหน้าเด็กจะเสีย และแข่งขันกับใครไม่ได้เอาเป็นว่า การที่มีเด็กดีๆเหลืออยู่บ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเช่นกัน แต่เป็นสัดส่วนที่น้อยมาก ดังนั้นพวกนี้ก็อย่ามาตะโกนว่าทำไมต้องโดนตำหนิด้วย พวกคุณทำดีก็ดีแล้ว ไม่ต้องเดือดร้อน ผู้ใหญ่ที่เข้าใจเค้ายังคงเข้าใจพวกคุณ อย่ามาว่าผู้ใหญ่นักเลยว่าไม่เข้าใจ ผู้ใหญ่สมัยนี้ดีๆก็พอมี แล้วที่สอนเด็กๆให้ขยันก็เพราะรู้ว่าไม่ขยันแล้ว จะเสียโอกาสในชีวิตอย่างนึกไม่ถึง ปัญหาการไร้ปัญญาต้องอยู่ที่ตัวเด็กด้วยว่า "อย่าสนุกที่ไม่ต้องทำการบ้านมาก อย่าบ่นที่มีการบ้านแยะและหัดฟังผู้ใหญ่บ้าง" การที่ต้องอดทนในการรับฟัง อดทนที่ต้องทำงานหนักไม่ใช่เรื่องน่าดูถูก อย่าอ้างคำว่าประชาธิปไตย หรือไม่ยุติธรรม เพราะการเป็นประชาธิปไตยในจุดนี้ ไม่ได้หมายความว่า เด็กจะเท่าผู้ใหญ่ทุกอย่าง การอบรมบ่มนิสัยเป็นหน้าที่ที่ผู้ใหญ่ต้องทำ และการเรียนรู้เป็นหน้าที่ของเด็ก เนื่องจากวุฒิภาวะและการรับรู้อะไรต่างๆไม่ได้มีระดับที่จะทำให้เข้าใจอะไรได้มากและลึกซึ้ง แม้ในสหรัฐฯเองนั้น เด็กก็ไม่ได้มีสิทธิมากเหมือนเด็กไทยในสมัยนี้ สังคมตรงนั้นสอนเรื่องวินัยและความรับผิดชอบ ดังนั้น วันนี้ไม่ว่าเด็กหรือใหญ่ ทุกคนต้องเปลี่ยนการมองบทบาทและความรับผิดชอบทางสังคมให้คมชัดขึ้น เพราะสังคมนั้นเป็นของทุกคน และทุกคนต้องร่วมรับผิดชอบตามที่ควรจะเป็น คิดให้เป็นและทำให้ได้ ให้เป็น

แท็กล่าสุด

แท็กยอดนิยม