Skip to main content

บล็อกกาซีน ประชาไท

กวีประชาไท
แก้ไขสี จากต้นฉบับ http://www.flickr.com/photos/poakpong/491087791/ ( ๑ ) หลับใหลแล้วเห่ให้ ที่ทุกข์ล้ำย้ำกราย หลับแล้วตื่นดั่งสาย ที่มิ่งขวัญคืนครั้น ลับหายอย่างนั้นหยุดดอก ไม้พันธุ์หวั่นคร้ามข้ามคืน ฯ ( ๒ ) เพื่อชีพตื่นอยู่ย้ำมาอยู่ปรนปรับเหมือนเพื่อสัมผัสน้อมเตือน มามิ่งใจกายคล้อย เยี่ยมเยือนชีพน้อยกรายสู่เคลื่อนครั้งจรัสจรูญ ฯ ( ๓ ) แสงธรรมคูณค้ำแม่ กระจ่างจำรัสฝันแสงศรีนพคุณครัน กระจ่างเหตุก่อแก้ ผู้สรรค์ สร้างเอยใฝ่แท้บรรสพทุกข์ล้ำกล้ำกราย ฯ ( ๔ ) จากสายหยุดกลิ่นเช้า                       สายบ่ายเช้างมงายจากหยดกลั่นหยาดหมายสายเสน่หาฉ่ำแล้ง จางสลาย ชื่นมาหม่นแจ้งคืนค่า ชีพฤๅวาดต้องละอองถึง ฯ ( ๕ ) เทียมซึ้งจริงเท็จทั้ง โลกอยู่ร้อยเสน่หาเทียมสายหยุดชื่นวา -โลกคติเผยอ้าง สวรรยาโศลกสล้างจาหนึ่งผ่องไว้เผยวาร ฯ.  ณรงค์ยุทธ โคตรคำ 
นาลกะ
วันเวลาเคลื่อนคล้อยไปจนใกล้สิ้นปี สายรุ้งและแม่ผ่านวันเวลาร่วมกันมาอย่างกล้าหาญ เช่นเดียวกับต้นไม้ที่ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางลมพายุ รู้จักการโอนเอนตามแรงลมเมื่อพายุกระหน่ำหนักในขณะที่รากนั้นยึดเกาะดินไว้อย่างมั่นคงสายรุ้งมีอายุเพิ่มมากขึ้นอีกปี การผ่านวันเวลาไปจนมีอายุเพิ่มขึ้นหนึ่งปีนั้นอาจเป็นเรื่องปกติสำหรับคนอื่น ๆ แต่สำหรับแม่ของสายรุ้งแล้ว เธอรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่มีความหมาย และความสำคัญอย่างยิ่งยวด เธอตระหนักถึงคุณค่าของแต่ละวินาที และรู้ว่ากาลเวลาในหนึ่งวินาทีของเธอกับของคนอื่นนั้นแตกต่างกันด้วยเหตุว่าเธอมีมาตรวัดความยาวนานของเวลาต่างออกไป ส่วนสายรุ้งอาจยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจในเรื่องนี้ “ปีใหม่ลูกอยากได้อะไรเป็นพิเศษหรืออยากให้แม่พาไปเที่ยวที่ไหนหรือเปล่า”“ไม่ครับแม่” สายรุ้งตอบ “ผมมีความสุขดีอยู่แล้ว ของเล่นผมก็มีเยอะแล้ว ไม่อยากได้อะไรอีก แต่ผมอยากไปเที่ยวครับ เอาไว้หลังปีใหม่เราค่อยไปเที่ยวก็แล้วกันเพราะผมรู้ว่าแม่ไม่ชอบออกไปไหนตอนเทศกาลที่มีคนเยอะ ๆ” “ถ้างั้นเราจัดงานเลี้ยงรับปีใหม่กันที่บ้านดีไหมลูก” “ดีครับ แลกของขวัญกันด้วย ผมจะชวนเพื่อนที่โรงเรียนมาด้วย” “เอาสิลูก แม่กับน้ามลจะเตรียมอาหารไว้ให้”วันสิ้นปีมาถึงแล้ว ไปที่ไหนก็ได้ยินแต่เสียงอึกทึก เสียงร้องเพลงดังอยู่ทั่ว  สายรุ้งพลอยรู้สึกคึกคักไปด้วย แต่บางทีสายรุ้งก็รู้สึกสงสัยเมื่อเห็นคนเมาเหล้าทั้งชายและหญิงโซซัดโซเซเหมือนคนเสียสติ สายรุ้งสงสัยว่าคนที่อยู่ในสภาพนี้จะมีความสุขได้อย่างไร
ชาน่า
ส่งท้ายปลายปี  ความหนาวเข้ามาเยือนเหมือนใจหวิว ๆ  หลายคนเปรียบเปรยถึงความอ้างว้างว้าเหว่ ในช่วงฤดูหนาว  ช่างเข้ากันนัก  แต่ที่นี่ในต่างแดนเขตทะเลแคริบเบี้ยน สำหรับคนท้องถิ่นไม่รู้จักคำว่าหนาวเหน็บนอกจากอากาศเย็น ๆ  ณ วันนี้ที่เกาะท้องฟ้ามืดมน ตั้งเค้าฝนจะตก  บ่อยครั้งที่ฝนฟ้าและอากาศเป็นใจมักจะปล่อยใจฝัน แบบบิวด์อารมณ์ได้ไม่ยากนักสำหรับหัวโปกไร้นม อารมณ์เกินหญิงของเกย์อย่างเรา  ฉันนั่งอยู่บาร์เล็ก ๆ แห่งหนึ่งของเกาะ Antigua and Barbuda เขตทะเลแคริบเบี้ยน  หลังจากที่เราสามคนเกย์เพื่อนรัก พากันออกจาก รีสอร์ทหรูราคาสี่ร้อยล้านเหรียญ หรือที่รู้จักกันดี  “เรือสำราญ”  ซึ่งมาจอดเทียบท่าแต่ละเมืองที่พาผู้โดยสารท่องเที่ยวเราเดินช้อปปิ้ง สักพักเพื่อนสองคนขอตัวกลับไปพักผ่อนก่อนจะตะบี้ตะบันเสิร์ฟเดือนแสน ตามวิถีสาวเสิร์ฟอินเตอร์ ลูกเรือสำเริงสำราญทำงานระบมอย่างเรา ๆ  อารมณ์อยากนั่งคนเดียวจึงทำให้นึกถึงอะไร ๆ หลายอย่างในช่วงปลายปีเหมือนเป็นการสรุปและทบทวนชีวิตของตัวเองต่างๆ นานาในหนึ่งปีที่ผ่านไป ทำให้นึกถึงสองสามประโยคที่สนทนากับเพื่อนเมื่อก่อนหน้านี้
เมธัส บัวชุม
คุณสมัคร  สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน พูดถึง “มือสกปรก” และ “มือที่มองไม่เห็น” ที่พยายามสอดเข้ามาจุ้นจ้านแทรกแซงการเมืองเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล คุณสมัคร สุนทรเวชบอกว่าเป็นมือที่อยู่ “นอกวงการเมือง” เป็นมือที่จะเข้ามาทำลายระบอบประชาธิปไตยเสียงข้างมาก โดยมีความต้องการที่จะขัดขวางพรรคพลังประชาชนไม่ให้จัดตั้งรัฐบาล“ไอ้มือสกปรกที่อยู่ข้างนอก ที่จะยื่นมาทำให้การเลือกตั้งล้มเหลวนั้น ผมขอแถลงว่า เราต้องทำอย่างนี้ เพื่อรักษาเกียรติยศ เกียรติคุณของ กกต.ไม่ให้ท่านโดยอำนาจมืดมาบีบบังคับ มาทำให้การจัดตั้งรัฐบาลเป็นการเฉไฉ ทั้ง 4 พรรค เราได้ตกลงกันแล้วว่า เราจะดำเนินการตั้งรัฐบาล ซึ่งตั้งได้แน่นอน” (มติชน 31 ธันวาคม 50)บางคนอาจจะรู้ว่าเจ้าของ “มือสกปรกที่มองไม่เห็น” นี้เป็นใครเพราะคุณสมัคร  สุนทรเวช บอกเป็นนัยไว้แล้ว   และบุคคลที่เป็นเจ้าของ “มือสกปรก”  นี้ย่อมรู้อยู่แก่ใจดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่อาจจะมองไม่เห็น “มือตนเอง” หรือไม่รับรู้ว่า “มือของตนเอง” นั้น “สกปรก” เพราะเขาและมือเขา “อยู่ในที่มืด”   และเป็นเพราะว่ามือของเขา “ไม่เคยสะอาด”  มาก่อนเลยนั่นเอง สมัคร  สุนทรเวช กล่าวถึงบุคคลผู้นี้ว่า “เมื่อตนไปหาเสียงที่ภาคอีสาน เจอหนังสือวางขาย ตนเห็นรูปที่หน้าปก เห็นชื่อ ตำแหน่ง แล้วข้างใต้ชื่อเขียนว่า 'ก้อนกรวดในรองพระบาท' เห็นแล้วก็ใจหายวูบ ไม่กล้าแม้จะเปิดอ่าน ตนแค่เล่าให้ฟังเท่านั้นเอง วันนี้ก็จะเล่าเพียงเท่านี้ ใครจะถามเท่าไหร่ ก็จะไม่พูดอีก ไปหาอ่านเองก็แล้วกัน มีวางขายอยู่ทั่วไป ป่านนี้ถ้าใครเก็บแล้วก็ไม่ทราบได้” (มติชน 31 ธันวาคม 50)
วาดวลี
กระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่า กำลังถูกประทับด้วยตราปั๊มสีแดงเพื่อบอก “อนุญาต” ให้ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองไปยังพม่า ผู้คนจำนวนนับร้อยนับพัน ต่อแถวกันอยู่ที่ท่าขี้เหล็กในเขตแม่สายด้วยใบหน้ารอคอย ตั้งแต่ขั้นตอนการทำบัตร ชำระเงิน ตรวจเอกสาร จนกระทั่งพวกเขาจะได้ข้ามพ้นประตูด่านของเจ้าหน้าที่เมื่อนั้น ใบหน้าที่บึ้งตึงก็จะเปลี่ยนเป็น “โล่งอก”ฉันและเพื่อนยืนรออยู่ที่ทำบัตรเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ขณะที่เพื่อนกำลังวาดฝันว่าเขาจะซื้ออะไรบ้างจากฝั่งพม่า ไม่ทันที่จะอ้าปากพูดว่า “เกาะกันไว้นะเดี๋ยวหลง” เพราะคนเยอะขนาดจนมีประกาศหาคนตลอดเวลา ไม่ทันไรฉันก็ถูกดันจากคนข้างหลังให้ขยับเข้าไปข้างหน้า ทั้งที่แถวมันเต็มแล้ว คนที่ดันเข้าไปพูดอย่างอารมณ์เสียว่า“ทำไมมันช้าแบบนี้ รีบๆ หน่อย จะได้เร็วๆ”เมื่อการต่อแถวกลายเป็นเรื่องน่ารำคาญ พวกเขาก็เริ่มแตกแถว แทรกมาจากทางซ้ายที ขวาที คนทำดีแต่ต้นเริ่มไม่พอใจ ต่างกระทบกระทั่งกันทั้งด้วยวาจา และร่างกาย เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงขั้นตอนการรับบัตรผ่าน ผู้คนแยกย้ายกันไปกรอกชื่อ เซ็นเอกสาร เราก็จะไปแออัดยัดเยียดกันอีกครั้ง ณ ประตูผ่านข้ามแดนแรกเริ่มเดิมที ฉันตั้งใจว่า เมื่อมีโอกาสแวะมาฝั่งพม่าแล้ว จะใช้บริการรถโดยสารไปเที่ยวที่วัด และตลาดของชาวบ้าน เพื่อนที่เคยไปแล้วบอกฉันไว้ว่า มองหารถสองแถวก็ได้ สามล้อก็มี หรือจะมอเตอร์ไซค์ ค่าโดยสารไม่เกินคนละ 50 บาท อยากไปที่ไหนก็บอกเขาได้ แต่ไปได้ไม่เกิน 5 กิโลเมตร และต้องกลับออกมาก่อนพลบค่ำ ฉันใช้เวลาระหว่างยืนต่อแถว ชะเง้อชะแง้หารถโดยสารที่ว่า มองผ่านผู้คนทะลุเข้าไปอีกฝั่ง ด้วยหวังว่า จะได้ไปเที่ยวก่อนกลับมาซื้อของ“มันมีแต่รถแบบนี้เหรอ” ชายคนหนึ่งส่งเสียงมา ฉันหันขวับไปดู เขาถือเอกสารไว้เป็นกำ เดินนำหน้าคณะญาติมิตรของเขา พลางใช้ร่างกายใหญ่โตนั้นเบียดเสียดคนเพื่อเร่งเร้าเจ้าหน้าที่ ทั้งที่เรายังอยู่ห่างจากด่านอีกตั้งหลายสิบเมตร“นั่นไงๆๆ ตรงโน้นมีรถแท็กซี่” อีกคนชี้ชวนให้ดู ชายร่างใหญ่ทำหน้าครุ่นคิด“เออ น่าสนใจๆ เพราะคนขับแต่งตัวดี น่าจะเป็นคนไทย จำไว้นะอย่าไปกับพม่า!”อ้าว ทำไมล่ะ ก็เรากำลังข้ามไปพม่าไม่ใช่เหรอนี่เป็นเสียงของฉันภายใต้ความคิด สงสัยพลังจิตเราจะสื่อถึงกัน เขาก็พูดออกมาอีก“พวกพม่าไว้ใจไม่ได้ อย่างมากเราก็ไปกับไทยใหญ่ เผลอๆ มันเอาไปปล่อยแล้วไม่ให้ออก เรียกเงินเพิ่มอีกจะลำบาก”อ้อ อย่างนี้นี่เองหรือ? ฉันนิ่งงันในความคิด ถามตัวเองว่า มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือ ย้ายสายตามามองผู้คนที่ต่อแถว ใกล้จะถึงคิวแล้ว ไม่น่าจะเกิน 10 คน“ผู้ถือบัตรอยู่ชิดซ้ายมือ รวมเอกสารกันได้ คนไม่ถืออยู่ขวามือค่ะ”เสียงประกาศจากด่านตรวจดังผ่านไมโครโฟน คณะทัวร์ของชายร่างใหญ่หัวเราะคิกคักๆ ในเสียงพูดไม่ชัดของเธอ เขาแอบล้อเลียนเสียงพม่ากันอยู่ในกลุ่ม ขณะที่สังเกตเห็นคนหนึ่งในนั้นมีสีหน้าสุดเซ็ง หัวหน้าทีมโยนคำปลอบใจ“ไม่ต้องเซ็งน่า รออีกนิดเดี๋ยวก็ได้เข้าแล้ว”“ถ้ารู้คนเยอะขนาดนี้จะไม่มาเลย” “อย่าคิดมากน่า เดี๋ยวเข้าได้แล้วก็อารมณ์ดี เพราะของโคตรถูกมาก เดี๋ยวซื้อเหล้าให้ขวดหนึ่งอะ”“จิงอะ”“จริ๊งง ซื้อไปแจกยังได้เลย ไม่งั้นไม่ข้ามมาหรอก”“อ้อ แต่ว่าบุหรี่อย่าซื้อนะ มันของปลอม ที่พวกพม่าหิ้วๆ มาน่ะอย่าซื้อ เดี๋ยวพาไปซื้อร้านคนไทย ส่วนนาฬิกาก็ต่อเยอะๆนะ มันขาย 400 นี่ขอไปเลย 60 ยังไงมันก็ขายให้”“เดี๋ยวเขาด่าตาย” อีกคนออกความเห็น“มันด่าเราก็ไม่รู้เรื่อง ช่างมันเถอะ นี่เรานำเงินมาให้เขานะตั้งเท่าไหร่ ดูคนสิ”อาจจะจริงอย่างเขาว่า เงินจำนวนมากคงสะพัดอยู่ในบริเวณนี้ ในอากาศที่มองไม่เห็นนั้นเต็มไปด้วยความต้องการ เฝ้ารอ ปรารถนา ตื่นเต้น และเบื่อหน่าย ขณะเดียวกัน ในฝั่งที่ห่างออกไปไม่กี่ก้าวนั้น จะมีความคิดใดบ้างอยู่ภายใต้ชุดผ้าถุง กระบุงหาบ หรือท่าด่านจะมีก็แต่การแลกเปลี่ยนเงิน หรือว่าเราไม่อาจจะแลกเปลี่ยนอย่างอื่นแก่กันได้ ไม่ว่าจะวัฒนธรรมหรือทัศนคติใดใด?
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ดูเหมือนว่า ภูกระดึงจะเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ใครๆ หลายคน คิดว่าอยากจะไปเยือนสักครั้งการเดินทาง เป็นเรื่องของการตัดใจ หากทำได้เพียงแต่คิด ทุกสิ่งคงเป็นได้เพียงแค่หมอกควันของอารมณ์ชั่วคราวที่ค่อยๆ บรรเทาเบาบางก่อนจะจางหายไปในที่สุดแต่นั่นแหละกล่าวกันว่า การอ่านเป็นการเดินทางที่ง่ายและถูกที่สุดอย่างน้อยผมก็เชื่อเช่นนั้น…จากหมอชิตเดินทางถึงผานกเค้าในเช้าวันใหม่ ท้องฟ้าเริ่มสาง ไม่ต้องเป็นกังวลหรือหวาดหวั่น เราจะได้พบเพื่อนร่วมทางมากมาย กลุ่มนักศึกษากลุ่มใหญ่ เจี๊ยวจ๊าวเต็มคันรถ บันทึกถ่ายทำวีดีโอไปตลอดการเดินทาง กระทั่งพนักงานต้อนรับคนงามต้องบอกว่า“เดี๋ยวพี่จะปิดไฟแล้วน้องต้องเงียบและเตรียมตัวหลับกันได้แล้วนะคะ เพราะพรุ่งนี้น้องๆ ต้องระกำลำบากกันจนลืมไม่ลงทีเดียว” รอยยิ้มของเธอคล้ายกับคุณครูฝ่ายปกครองผู้หวังดีผมได้ยินใครรำพันมาจากข้างหลัง...จากผานกเค้า เราจะต้องเดินทางต่อรถสองแถวแดง(ทำไมต้องแดง อันนี้คงต้องถามกรมขนส่งทางบกประจำประเทศไทย)เพื่อต่อไปยังบริเวณอุทยาน ในอัตราหัวละ 20 บาท รับได้เต็มคันราว 12 หัว บริเวณผานกเค้า เราสามารถกระทำภาระกิจยามเช้า ตั้งแต่ เข้าห้องน้ำห้องท่า ล้างหน้าล้างตา โด๊ปการแฟ ไข่ลวกหรือกระทั่งหาข้าวแกงราคากรุงเทพฯ กิน ที่ร้านเจ๊กิมและต้องจองตั๋ววันกลับเดี๋ยวนั้น มิฉะนั้น อาจจะหมดสิทธิ์กลับได้เจ๊กิม แกคงเป็นร้านเก่าร้านแก่ เปิดรอรับนักเดินทางมาตั้งแต่ยุคสมัยไหน ..กล่าวกันว่า นักเดินทางพวกแรกๆ ที่มาภูกระดึงก็เป็นอันต้องใช้บริการเจ๊กิมแล้ว .....ฟ้าเริ่มสว่างแล้ว ลมเย็นๆ พัดผ่าน ผานกเค้าตะหง่านเงื้อม มาคิดๆ ดู มีข้อสันนิษฐานได้ 2 ข้อ ข้อแรก คือ มีนกเค้าอาศัยอยู่มากมาย ข้อสอง หน้าตาของหน้าผาดูคล้ายนกเค้า ซึ่งวันนี้ รอบๆ บริเวณตีนผาบ้านเรือนกลายสภาพเป็นร้านค้าขายของที่ระลึก มะขามหวาน ผ้าทอพื้นเมือง หมวกกันหนาวและถุงมืออะไรๆ ที่ป้องกันความหนาวได้ ขายหมด“ใครที่ดื่มเหล้า ซื้อตุนไปได้นะครับ บนภูไม่มีขาย” ชายหนุ่มผิวขาว รูปร่างท้วมแบบหุ่นเถ้าแก่ ตะโกนบอกนักท่องเที่ยวที่เดินเข้ามาภายในร้านเจ๊กิม ในความหมายว่า ทางอุทยานไม่อนุญาตให้ขายเหล้าข้างบนซึ่งในภายหลังถึงได้มาเห็นความจริงกับตาตัวเอง เมื่อขึ้นถึงยอดภูกระดึงว่า บน shelf ในร้านค้าบนภู เต็มไปด้วยกระป๋องเบียร์และเหล้าหลากยี่ห้อ ราวกับเซเว่น อีเลฟเว่น มาเองทีเดียวเชียวแหละ...สองแถวสีแดง มาส่งเราถึงหน้าอุทยานแห่งสวรรค์ กล่าวกันว่า ภูกระดึงถูกค้นพบโดยนายพรานระดับชาวบ้านๆ คนหนึ่งจากหมู่บ้านโพธิ์ศรีฐานที่ติดตามรอยกระทิงขึ้นไปตามทางเดินขึ้นภูจากซำแฮ่กถึงซำแคร่ผ่านหลังแป ถึงได้รู้ว่า ภูเขาแห่งนี้มียอดตัดเป็นที่ทุ่งราบกว้างใหญ่ หญ้าระบัดใบเสียดยอดอ่อนขึ้นมาจากผืนดิน เก้งกวางและเล็มอย่างเอร็ด ลูกน้อยยืนประชิดติดแม่ เคี้ยวเอื้องอยู่ข้างๆ อย่างรู้สึกถึงความอบอุ่น ตรงลูกน้อยนี่ผมเติมลงไปเองนะครับเพื่อให้เห็นภาพ จริงๆ ข้อมูลไม่มีบอก แต่คิดว่า คงมีภาพอย่างนี้บ้างแหละน่าหลังจากนั้นนานนับสิบๆ ปี หากพรานคนนี้ยังอยู่ คงได้รับรู้ว่า ภูกระดึงกลายเป็นที่อยู่อาศัยของ คนคน ค่น ค้น ค๊น ค๋น...“พี่กัน ขาตั้งกล้องไปไหน” ยาดาถาม“...” ตายห่ _ ลืมเอาไว้บนรถสองแถวแดงภูมิภาพทุ่งราบกว้าง, ฤดูหนาว ทุ่งกว้างมองเห็นเป็นสีน้ำตาล มองดูแปลกตาไปอีกแบบมองผ่านดอกหญ้าใกล้ๆเมเปิล, สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของภูกระดึงกำลังเปลี่ยนสีน้ำตกดูแดงฉานด้วยใบเมเปิลดอกหญ้าชนิดนี้มองเห็นได้ทั่วไประหว่างทาง, สนสองใบ ทรายละเอียดและพรมใบสนร่วงตามฤดูกาล, งามราวภาพวาดยามเช้าที่ผานกแอ่น, ต้องตื่นแต่เช้า รอเวลาฟ้าสางกระดิ่ง, สัญลักษณ์อีกชนิดของภูกระดึง
แพร จารุ
  ฉันรู้สึกว่ามันเป็นช่วงปีใหม่ที่ไม่รู้สึกสดชื่นนัก ดูเหงา ๆ วังเวง ในท่ามกลางงานเลี้ยงรื่นเริงที่มีอยู่และเป็นไปตามวาระของมัน ความรู้สึกอย่างนี้มันอยู่ลึกลงไปแต่ฉันสัมผัสได้อย่างเย็นเยียบจริง ๆ ฉันไม่รู้ว่าคนอื่นจะรู้สึกหรือไม่ หรือว่าฉันรู้สึกอยู่คนเดียว ว่าเป็นปีใหม่ที่ไม่มีความรื่นเริงอยู่จริง มันหดหู่อยู่ภายในหัวใจอย่างไรไม่รู้ คล้ายรู้สึกว่า ความเศร้ามารอคอยเคาะประตูอยู่หลังบ้าน... หลังจากงานรื่นเริงจบลงฉันถามตัวเองหลายครั้งว่าความรู้สึกนี้เป็นจริง หรือว่าฉันกำลังจะป่วยด้วยอาการกลัวหรือกำลังจะเป็นโรคซึมเศร้า อะไรทำให้ฉันคิดอย่างนั้น หรือเป็นเพราะสภาพเศรษฐกิจของตัวเอง แต่ก็ไม่น่าจะใช่เพราะครอบครัวเราผ่านความยากจนมาจนเคยชินแล้ว จนเรามีความยากจนเป็นสมบัติของเราแล้ว หรือเป็นเพราะสภาพทั่วไปของสังคม เราอยู่ในสังคมที่น่ากลัว โดยเฉพาะสถานการณ์การเมืองที่ตึงเครียดตั้งแต่ช่วงมีขบวนการขับไล่ผู้นำรัฐบาลชุดเก่า ไปจนถึงทหารยึดอำนาจสู่รัฐบาลทหาร และมาถึงวันเลือกตั้งใหม่ สองพรรคการเมืองใหญ่ที่แบ่งแยกประชาชนอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งเพิ่มบรรยากาศการขัดแย้งชัดเจนความขัดแย้งตั้งแต่ระดับ บุคคลไปจนถึงชุมชน จังหวัด และระดับภาค เช่น กลุ่มภาคเหนือ กลุ่มภาคใต้ กลุ่มภาคอีสาน แรกฉันคิดว่าปีนี้ คงจะอยู่เงียบ ๆ อยู่กับบ้าน นั่งอ่านเขียนหนังสือแต่หาได้ทำเช่นนั้นเลย นอกจากมีงานเลี้ยงตั้งแต่ปลายเดือนแล้ว ยังมีญาติ มีเพื่อน ๆ หลาน ๆ เดินทางมาท่องเที่ยวเมืองเหนืออีกหลายกลุ่ม ซึ่งต้องออกไปกินข้าวในเมืองบ้าง รอรับที่บ้านบ้าง รอรับหลานที่บ้านสองชุดสองวัน หลานชุดแรกกลับไปแล้วก่อนหน้านี้สองวัน เธอมากันสามคน ท่องเที่ยวแถว "ปาย" และแวะมาค้างหนึ่งคืน บ่นกันว่า ผู้คนที่ปายมากเหลือเกิน ค่าที่พักหกร้อยบาท แย่งกันกิน แย่งกันอยู่ และสรุปว่าเหมือนถนนข้าวสารที่กรุงเทพฯหลานชุดที่หนึ่งเป็นหลานอา หลานชุดที่สองมาใหม่เป็นหลานน้า ทีมนี้ไปเชียงรายก่อน แล้วค่อยมาเชียงใหม่ มาถึงมุ่งตรงไปที่ดอยอินทนนท์ ฉันไม่ลืมที่จะบอกหลานว่า ให้ไปดูที่สร้างหอดูดาวบนยอดดอยด้วย เธอกลับมาในช่วงสาย ๆ รีบลงมาเพราะกลัวรถติดตอนเย็น พร้อมกับบอกเล่าแบบเดียวกันคือคนเยอะเหลือเกิน รถติดบนดอยด้วย และไม่มีที่พักต้องกางเต๊นท์ติด ๆ กัน ค่ากางเต๊นท์สามร้อยบาทและไม่ได้ดูอะไรเลย ไม่ได้ดูสถานที่สร้างหอดูดาว แต่เธอคิดว่าไม่เหมาะสมที่จะสร้างอะไรแล้วดูมันแน่นไปหมด เธอว่าทั้งที่ฉันยังไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรเลย เธอว่าอย่างนั้นจริง ๆ เธอไม่รู้เรื่องที่ว่าต้องเอาน้ำจากชั้นใต้ดินที่มีอยู่ไม่มากมาใช้ เธอไม่รู้หรอก ว่าที่สูงเช่นนั้นเอาน้ำมาจากลำธารไม่ได้ และเธอก็ไม่รู้เรื่องนกหรือพืชเฉพาะถิ่น แต่เธอชอบดอยอินทนนท์ เพราะเป็นดอยสูงที่รถขึ้นได้ เธอชอบสองข้างทางที่รถผ่าน เธอว่าการเดินทางมาที่ดอยนี้เหมือนมาเติมพลัง พวกเธอพากันหัวเราะเมื่อฉันบอกว่า บนดอยสูงที่ไปอยู่กันแน่นจนไม่มีที่นอน มาจากเมืองหลวงและจังหวัดอื่น ๆ ผู้คนพร้อมที่ใช้ที่จะเสพความสุขใจสุขกายจากธรรมชาติ แต่ไม่เหลียวแล และคิดว่าธุระไม่ใช่ หรือไม่ใช่เรื่องของคนที่อื่น เป็นเรื่องของคนเชียงใหม่ อย่างนี้เห็นทีจะไมได้แล้ว ธรรมดาเมื่อใคร ๆ มาถึงบ้านเรา (บ้านทุ่งเสี้ยว) เรามีที่นำเที่ยวก็มีอยู่อยู่สองแห่ง ยามเย็นไปเดินในโรงเรียนบ้านทุ่งเสี้ยว เดินออกกำลังกาย หรือเดินดูดอกไม้ ต้นไม้ และดูอาคารศิลาแลง พร้อมกับอธิบายให้ฟังว่า อาคารเรียนหลังนี้อายุเก่าแก่เกือบจะร้อยปีแล้ว หลังจากนั้นก็จะเดินต่อไปตลาดตอนเย็นข้างถนนไปกินโรตีเจ้าอร่อยของพ่อหลานซึ่งเป็นคนอินเดียที่ทำโรตีอร่อยและที่สำคัญคือสะอาดมาก ๆ และใช้ของดีในการปรุง ไม่ว่าจะเป็นแป้ง น้ำมัน และอื่น ๆ ที่เป็นส่วนประกอบในการทำโรตี เรียกว่าภูมิใจนำเสนอ จบรายการยามเย็น ยามเช้ามืด ๆ ก่อนสว่าง พวกเธอและเขาก็จะได้เดินไปเที่ยวตลาดเช้า ที่มีของขายสารพัด แวะดื่มกาแฟแบบดั้งเดิม ยิ่งกว่าโบราณอีก แก้วละสิบบาทกาแฟใส่นมข้นหวาน กินกับข้าวเหนียวสังขยาห่อละห้าบาท หรือจะกินกับขนมครกแบบดั้งเดิม ที่ไม่ใส่น้ำตาลหรือต้นหอมในน้ำกะทิ คือมีแต่แป้งกับกะทิ และมีน้ำตาลทรายไว้ต่างหาก ห้าบาทเหมือนกัน หรือจะกินข้าวหลามที่ย่างเผาอยู่ตรงนั้นก็ได้หลังจากนั้นซื้อผักพื้นบ้านไปทำกับข้าว เช่นแกงแค ผัดถั่วงอก มีถั่วงอกอยู่เจ้าหนึ่ง คนชายเป็นผู้ชายเขาเพาะถั่วงอกโดยไม่ใช้สารฟอกขาว ไม่ขาวอวบไม่อ้วน จึงต้องนำเสนอ และ ซื้อดอกไม้ ที่ชาวเขาเอามาขายกำละสิบบาท หลังจากนั้นกลับมาทำกับข้าวกินที่บ้าน กินข้าวนอนเปล อ่านหนังสือ จบ...เรามีที่เที่ยวแค่นี้แหละ...เพื่อนของหลานบอกว่า มาครั้งนี้ไปมาหลายแห่ง แต่ที่นี่ดีที่สุด ไม่มีคนมาก รู้อย่างนี้มาที่นี่ตั้งแต่วันแรกหลังจากส่งแขกกลุ่มสุดท้ายกลับไปแล้ว คืนที่ผ่านมาฉันรู้สึกหดหู่เป็นที่สุด และบอกกับตัวเองว่า โชคดีจังที่พวกเขากลับไปหมดแล้ว เพราะแถบบ้านเริ่มมีหมอกควันแล้ว ยามหัวค่ำเต็มไปด้วยควันไฟฟุ้งกระจายจนแสบตา เริ่มมีการเผา เผา และเผาแล้ว ส่วนหนึ่งเขาเผาเพื่อว่าจะกำจัดไม่ให้เกิดเพลิงไหม้ในฤดูแล้ง เรียกว่าชิงเผาเสียก่อน และส่วนหนึ่งเพื่อเปลี่ยนสภาพนาข้าวเพื่อปลูกพืชอย่างอื่น และส่วนหนึ่งคือเผาปกติเหมือนเช่นที่เคยเผา เช่นเผาขยะตามบ้าน ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ราชการ โรงเรียน หรือวัด ก็กำจัดขยะด้วยการเผา แน่นอนว่า กลุ่มควันที่เผาไปรวมกับกลุ่มควันต่าง ๆ เช่นท่อไอเสียรถยนต์ที่เข้ามามากมาย กับกลุ่มควันจากโรงงานขนาดเล็กขนาดกลางที่ระจายอยู่ทั่วไป ฟันธงได้เลยว่า ร้อนปีนี้ที่เมืองเหนือ เมืองแอ่งกระทะรับศึกหนัก เป็นเมืองในหมอกควันแน่นอนหากเป็นไปเช่นนี้ และไม่มีมาตรการอะไรออกมาตอนนี้ ต่อไปเด็ก ๆ จะเป็นภูมิแพ้มากขึ้น หรือรับโรคภูมิแพ้เป็นรางวัล เพื่อนที่เป็นพยาบาลบอกว่า ต่อไปมีแนวโน้มว่าจะเป็นภูมิแพ้ตั้งแต่เป็นทารกเลยแหละ ใครไม่มีลูกก็ถือว่าโชคดีไป ดังนั้นคนมีลูกต้องเตรียมพร้อมกันหน่อย ...ขอบอก
ฐาปนา
หากให้ลองย้อนคิดดูว่า ในหนึ่งวันที่ผ่านไปเราได้ทำอะไรไปบ้าง คงไม่ใช่เรื่องยากเกินไปที่จะระบุให้ครบถ้วน เพราะการกระทำเป็นรูปธรรม มีผลลัพธ์ชัดเจน มีร่องรอยที่ติตตามได้แต่หากให้ลองย้อนคิดดูว่า ในหนึ่งวันที่ผ่านไป เราได้ "พูด" อะไรไปบ้าง ต้องไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ เว้นเสียแต่ว่า วันนั้นเราจะพูดน้อยจนนับคำได้คำพูด คือความคิดที่แสดงออกเพื่อสื่อสาร ซึ่งเนื้อแท้ของสิ่งที่ต้องการสื่อสารนั้นก็คือ ความรู้สึก ความรู้สึกคือภาษาของวิญญาณ เป็นหัวใจเป็นแก่นแกนกลางของการสื่อสารทุกชนิด แต่เราก็มักจะหลงลืมหัวใจของการสื่อสารนี้ไป และไปให้ค่ากับคำพูดเสียมากกว่าฉะนั้น หากเปลี่ยนคำถามเสียใหม่ว่า ในหนึ่งวันที่ผ่านไป เราได้สื่อสารด้วยความรู้สึกใดบ้าง บางทีเราอาจระลึกได้ง่ายกว่า เพราะที่สุดแล้วความรู้สึกที่มนุษย์แสดงออกในแต่ละวันมีเพียงความรักและความกลัว เท่านั้นแต่คำถามที่สำคัญที่น่าสนใจที่สุดคือคำถามที่ว่า ในหนึ่งวันที่ผ่านไป เราได้ "คิด" อะไรไปบ้าง?หนึ่งวันอาจจะมากเกินไป เอาเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงที่ผ่านไป เราก็ไม่สามารถระบุได้เสียแล้วว่าเราได้คิดอะไรไปบ้างความคิดเป็นสิ่งที่มีความซับซ้อนมาก เพียงหนึ่งวินาที อาจมีความคิดเกิดขึ้นพร้อมกันได้นับสิบเรื่อง ทั้งที่เรารู้ตัวและไม่รู้ตัว ทั้งที่เราสั่งการได้ และทั้งที่เราสั่งการไม่ได้ ขณะที่เรากำลังคิดสิ่งหนึ่ง อาจมีความคิดเบื้องหลังกำลังทำงานอยู่อีกร้อยความคิด และเบื้องหลังของความคิดร้อยความคิดอาจมีอีกพันความคิดกำลังขับเคลื่อนให้กระบวนการแห่งความคิดนี้ดำเนินต่อไปแต่ละวันที่ผ่านไป มีความคิดที่เกิดขึ้นทั้งที่เราตั้งใจและไม่ตั้งใจ ทั้งที่เรารู้ตัวและไม่รู้ตัว อาจมากถึงหลายพันหรือหลายหมื่นเรื่องความคิดคือพลังงาน ความคิดขับเคลื่อนทุกคำพูด ทุกการกระทำของเรา แต่ด้วยความซับซ้อน และเกิดดับอย่างรวดเร็วของมัน จึงทำให้ความคิดกลายเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยากกว่าคำพูดและการกระทำ  เราเคยชินกับการปล่อยให้ความคิดทำงานแทบจะไม่ได้หยุดพัก ยกเว้นเวลานอน หรือหลายครั้งที่แม้แต่เวลานอน เรายังคงปล่อยให้ความคิดทำงานต่อไป  การจะให้ความคิดหยุดอยู่กับที่ จดจ่ออยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งใด กลับกลายเป็นเรื่องยากโดยปกติแล้ว ความคิดของเรา หากไม่หยุดอยู่กับปัจจุบัน ก็จะกระโดดไปมาระหว่างอดีตและอนาคต ไม่คิดถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ก็คิดถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง"...หากแต่จิตของเรานั่นเองเป็นทาสของความเคยชิน มันคอยแต่จะวิ่งวนอยู่กับสิ่งที่ล่วงไปแล้ว หรือมิฉะนั้นก็วิ่งไปหาสิ่งที่ยังมาไม่ถึง โดยไม่ไม่ต้องการที่จะอยู่กับปัจจุบันเลย นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้จิตของเรา มีแต่ความปั่นป่วนเร่าร้อนอยู่เสมอ ทั้งนี้ก็เพราะมันไม่รู้จักวิธีการมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน..."(ธรรมบรรยายหลักสูตร 10 วัน โดยท่านอาจารย์โกเอ็นก้า : มูลนิธิส่งเสริมวิปัสสนากรรมฐานในพระสังฆราชูปถัมภ์ จัดพิมพ์)หากไม่สามารถหยุดคิดได้ ความคิดของเราก็จะยิ่งฟุ้งซ่าน สับสน จับต้นชนปลายไม่ถูก หนักๆ เข้าก็ส่งผลต่อพฤติกรรม ต่อคำพูด ต่อการกระทำ บางครั้งคนเราจึงจำเป็นต้องหยุดการใช้ความคิด แล้วหันไปทำกิจกรรมที่ไม่ต้องใช้ความคิด หรือกิจกรรมที่ทำให้จิตเป็นสมาธิจดจ่อ ไม่ฟุ้งซ่านเสียบ้าง ฉะนั้น สิ่งที่เรียกว่าการพักผ่อน จุดประสงค์สำคัญก็คือการออกไปจากความคิดของตัวเรานั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายด้วยการเล่นกีฬา การทำงานบ้าน การทำกิจกรรมใช้แรง เช่น ขุดดิน ตัดหญ้า หรือ การมีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งบันเทิงต่างๆ เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง ร้องเพลง ดูหนัง เล่นเกม หรือ แม้แต่การนั่งสมาธิแต่แท้ที่จริงแล้ว แม้จะไม่ทำกิจกรรมใดๆ เราก็สามารถที่จะออกจากความคิดของเราได้ด้วยตัวเราเอง เพียงแต่เรามีสติรู้ตัวในสิ่งที่เรากำลังทำ โดยไม่ย้อนกลับไปจ่อมจมอยู่กับความคิด เราก็สามารถที่จะออกจากความคิดได้ทุกเวลาที่เราต้องการตามธรรมชาติของมนุษย์ การหยุดคิดเป็นสิ่งที่กระทำได้ยากยิ่ง เพราะจิตเป็นธาตุที่ไม่อาจหยุดนิ่งได้นานๆ จะต้องวิ่งไปวิ่งมาอยู่ตลอดหากเราไปเพิ่มกำลังให้จิตด้วยการใส่ความคิดเข้าไป จิตก็จะยิ่งวิ่งเร็ว ซับซ้อน สับสน  แต่เมื่อใดที่เราถอยออกมาจากความคิด และมุ่งไปที่การกระทำกิจกรรมใดๆ  จิตก็จะวิ่งช้าลง ฉะนั้น เมื่อเราทำกิจกรรมใดซ้ำๆ จนกระทั่งไม่ต้องใช้ความคิด หรือใช้ความคิดน้อยมาก ก็เท่ากับเราได้ออกจากความคิด และปล่อยให้จิตได้พักผ่อนในแต่ละวันที่เราต้องใช้ความคิดมากมาย จิตต้องวิ่งวุ่นตลอดเวลา จึงควรจะมีเวลาสักช่วงหนึ่งของวันที่เราได้ออกจากความคิด โดยไม่ต้องเอาอารมณ์ ความรู้สึกใดๆ ไปขับเคลื่อน อาจแค่นั่งเฉยๆ ฟังเสียงที่เกิดขึ้นรอบตัว อาจเพียงแค่มองสิ่งต่างๆ ผ่านไป หรืออาจเฝ้าดูลมหายใจเข้าออกของตนเอง เพียงแต่ขอให้อยู่กับปัจจุบันเท่านั้นสังคมแห่งข่าวสารข้อมูล ชี้นิ้วบังคับให้คนต้องใช้ความคิด คิดเสียจนฟุ้งซ่าน เหน็ดเหนื่อย ไม่สามารถหยุดคิดได้ กระทั่งติดอยู่ในการจ่อมจมอยู่กับความคิดของตนเอง ออกจากความคิดกันบ้างเถิด จะได้มีมีที่ว่างให้ความสงบบังเกิดขึ้นในใจบ้าง
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ไม่ว่าคนจะเกิดดับนับเท่าใดโลกนี้ไม่เคยแปลกแยกคุณค่ายังเป็นโลกที่เคยเห็นเป็นธรรมดาใครจักมาใครจักพรากไกลจากจรดวงอาทิตย์ยังเวียนวกขึ้นตกดินสายน้ำรินยังเริงไหลไม่หยุดหย่อนดวงดาวและดวงจันทร์ยังสัญจรสายลมอ่อนหรือแรงจัดยังพัดพรายฟากฟ้ายังสูงส่งยังโล่งลึกดินยังผนึกมวลมิแยกแตกสลายกาลเวลายังเคลื่อนไหวไม่ว่างวายคนจักตายหรือก่อร่างมาอย่างไรมวลแห่งความจริงแท้ไม่แปรผันยังคงอยู่ชั่วนิรันดร์ไม่หวั่นไหวไม่ว่าคนจะเกิดดับนับเท่าใดโลกยังคงหมุนไปไม่ใยดีไม่โกรธเกลียดไม่รักไม่ผลักไสไม่อาลัยหักห้ามปรามวิถีใครจะเริงใครจะร่ำลาเวทีโรงละครแห่งนี้ไม่สะเทือนยุคแล้วยุคเล่าเก่าไปใหม่มาใต้อำนาจกาลเวลาขับเคลื่อนโอ้ผองเผ่าเราเกิดดับลับเลือนเหมือนความฝันคงอยู่ชั่วครู่-ชั่วยาม.
สุมาตร ภูลายยาว
[๑]เมษายน ๒๕๔๗...แสงแดดใกล้ลับขอบฟ้า คนหาปลาบางกลุ่มกำลังเตรียมตัวเอาเรือเข้าฝั่ง เพื่อกลับคืนสู่บ้านผ่อนคลายความเมื่อยล้าจากการหาปลามาตลอดทั้งวัน การหาปลาเป็นกิจวัตรปกติของคนริมฝั่งแม่น้ำโขงมาเนิ่นนาน แต่ในยามเย็นวันนี้ไม่เป็นเหมือนยามเย็นของวันอื่นๆ ที่ผ่านมา ช่วงนี้ริมฝั่งแม่น้ำโขงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะข่าวการเดินทางมาของปลาบึก ปลาใหญ่ที่คนหาปลาขนานนามให้ว่า ‘ปลาเทพเจ้าแห่งลำน้ำโขง’ พี่รงค์ จินะราช คนหาปลาบ้านหาดไคร้ได้เอาเรือออกไปไหลมองในแม่น้ำโขงบริเวณดอนแวงตามปกติ มองที่ไหลไปตามกระแสน้ำเป็นมองขนาดเล็ก พอมองไหลไปปะทะกับสิ่งมีชีวิตใต้น้ำ ชั่วพริบตานั้นฟองอากาศขนาดใหญ่ก็เกิดขึ้นบนผิวน้ำ แล้วมองผืนเล็กก็ขาดเป็นช่องขนาดใหญ่‘ตอนนั้นผมคิดว่าต้องเป็นปลาบึกแน่ เพราะเมื่อ ๒-๓ วันก่อนมีคนเห็นนกนางนวลสัญลักษณ์คู่กันกับปลาบึกบินขึ้นมาสามตัว หลังจากนกนางนวลบินขึ้นมา พวกนกกระยางก็บินตามมา นอกจากนกแล้วยังมีปลาปลาที่ขึ้นมาก่อนปลาบึกก็มีพวกปลาเลิม, ปลาค้าว, และปลาอีกหลายชนิด’ พี่รงค์ เล่าย้อนไปถึงการขึ้นมาของปลาบึกเมื่อปีที่ผ่านมาให้ฟังด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ว่ากันว่าปลาบึกคือ ปลาน้ำจืดชนิดไม่มีเกร็ด ปลาบึกธรรมชาติสามารถพบได้เฉพาะในแม่น้ำโขง (ปัจจุบันปลาบึกสามารถพบได้ตามบ่อเลี้ยงทั่วไป) จากสถิติที่คนหาปลาบ้านหาดไคร้ซึ่งรวมตัวกันเป็นชมรมปลาบึกได้เคยบันทึกไว้ ปลาบึกตัวที่มีน้ำหนักสูงสุดคือ ๒๘๒ กิโลกรัม!, คนหาปลาบ้านหาดไคร้จับได้เมื่อปี ๒๕๓๒ รูปร่างของปลาบึกจะคล้ายกับปลาสวายและปลาเทโพคือ ลักษณะของลำตัวจะแบน ข้างจะงอยปากจะมีป้านใหญ่ปลายกลมมน, หัวยาวใหญ่, นัยน์ตาเล็กอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่ามุมปาก ในปากไม่มีฟัน ตอนที่ยังเล็กปลาบึกจะกินสัตว์เป็นอาหาร แต่พอโตขึ้นมา ปลาบึกจะกลายเป็นปลากินพืชน้ำที่ชาวบ้านเรียกว่า ‘ไก’ สาหร่ายน้ำจืดชนิดหนึ่งที่เกิดตามหินผาในแม่น้ำโขง นอกจากไกจะเป็นอาหารของปลาบึกแล้ว ไกยังเป็นอาหารของคนอีกด้วย [๒]เมษายน ๒๕๔๘เสียงเครื่องยนต์เรือหางยาวครางกระหึ่มมาจากตรงหัวดอนแวง และค่อยๆ เบาเสียงลงเมื่อเข้าใกล้ถึงฝั่ง เรียวระลอกคลื่นจากเรือพุ่งเข้ากระทบฝั่งแล้วลับหายไปในความมืด ยามเช้ามืดอย่างนี้สายน้ำทั้งสายคล้ายไหลไปสู่ความเงียบ แต่หากว่าความจริงไม่ได้เป้นอย่างนั้น เพราะตอนนี้เรือหาปลา ๓-๔ ลำสลับกันวิ่งขึ้น-ลงทุกๆ สิบนาที ขณะที่เรือบางลำกำลังเดินทางไปบนสายน้ำ แต่เรืออีกบางลำบนกำลังเดินทางเข้าสู่ฝั่ง เรือลำหนึ่งที่กำลังเดินทางเข้าสู่ฝั่งในตอนนี้ บนเรือมีคนหาปลา ๕ คน และปลาใหญ่น้ำหนัก ๑๐๐ กว่ากิโลกรัมอีกหนึ่งตัว….๕.๓๐ น. ของเช้าวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๔๘ หากเป็นตอนกลางวัน ผู้คนที่กระจัดกระจายอยู่ตามริมฝั่งน้ำคงเบียดเสียดแย่งกันเข้าไปใกล้ปลาตัวใหญ่ที่นอนทอดร่างอยู่ในลำเรือ เพื่อเฝ้าดูความยิ่งใหญ่ของมัน แต่เพราะยังเช้าอยู่ผู้คนที่ได้ยลโฉมปลาตัวนี้จึงมีเพียงคนหาปลาไม่กี่สิบคนเท่านั้นแสงอาทิตย์ยามเช้าโผล่พ้นขอบฟ้าด้านตะวันออกขึ้นมาเรื่อยๆ พร้อมๆ กับข่าวการจับปลาบึกตัวแรกของปีนี้ได้โดยคนหาปลาบ้านหาดไคร้แผ่กระจายออกไป  สำหรับคนหาปลาที่โชคดีเป็นกลุ่มแรกในปีนี้ เป็นกลุ่มคนหาปลาบ้านหาดไคร้ภายใต้การนำของพี่สนั่น สุวรรณทา อายุ ๔๕ ปี ปลาบึกตัวแรกของปีถูกจับได้เมื่อเวลา ๕.๓๐ น. เป็นปลาบึกเพศผู้ น้ำหนัก ๑๘๔ กิโลกรัม ความยาว ๒.๔๐ เมตร ‘ดีใจอยู่ที่เป็นกลุ่มแรกที่จับปลาได้ ถือว่าเป็นโชคดีนะ เพราะปลามันอยู่ในน้ำไม่รู้ว่าใครจะจับได้’ พี่สนั่น สุวรรณทา เล่าให้ฟังด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ก่อนที่จะพาลูกทีมเอาเรือตัดผ่านท้องน้ำกลับไปสู่ดอนแวงอีกครั้ง[๓]แดดเดือนเมษายนร้อนปานจะผ่าศีรษะออกเป็นเสี่ยงๆ สายน้ำโขงที่เคยไหลรินมาชั่วนาตาปีค่อยๆ แห้งลงเรื่อยๆ เกาะแก่งน้อยใหญ่รวมทั้งดอนทรายต่างๆ ได้โผล่พ้นน้ำ โดยเฉพาะดอนแวงดอนทรายขนาดใหญ่กลางแม่น้ำโขง ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับบ้านหาดไคร้ อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ในความหมายของคนท้องถิ่นแล้ว คำว่า ‘ดอน’ เป็นหนึ่งในระบบนิเวศที่สำคัญของแม่น้ำโขง หมายถึงเกาะกลางน้ำซึ่งเกิดขึ้นจากการทับถมของตะกอนทรายและก้อนหินขนาดเล็กมากมายที่น้ำได้พัดพามากองมาทับถมกันเอาไว้ในช่วงหน้าน้ำหลาก ดอนเป็นตัวบังคับน้ำตามธรรมชาติให้น้ำไหลไปตามร่องน้ำ ในฤดูแล้งบริเวณดอนจะมีทั้งที่เป็นหาดหินและหาดทรายโผล่พ้นน้ำ หากมองจากริมแม่น้ำโขงบริเวณหน้าวัดบ้านหาดไคร้ไปทางด้านทิศตะวันออกจะเห็นดอนแวงและหาดทรายทอดยาวไปตามลำน้ำสวยงาม ในมุมมองที่สูงขึ้นไปจะเห็นแม่น้ำโขงไหลคดเคี้ยวผ่านหัวดอนแวงวกเข้าไปในแผ่นดินของประเทศลาว ในช่วงฤดูกาลจับปลาบึก คนหาปลาทั้งสองฝั่งจะมาตั้งเพิงพัก เพื่อร่วมกันหาปลาอยู่บนดอนแวง การจับปลาบึกของชุมชนริมน้ำโขงจะเริ่มขึ้นในช่วงปลายเดือนเมษายนพอดี และน้ำในแม่น้ำโขงตรงบริเวณดอนแวงก็จะมีลักษณะกว้าง ไม่ลึกมาก ใต้น้ำเป็นพื้นทรายผสมกรวดจึงทำให้เหมาะที่จะปล่อยมองปลาบึก จึงทำให้อำเภอเชียงของเป็นเพียงอำเภอเดียวในประเทศไทยที่มีพื้นที่เหมาะสมในการจับปลาบึกธรรมชาติในช่วงหน้าแล้ง        [๔]สำหรับวงจรชีวิตของปลาบึก ชีวิตที่ลึกลับแห่งสายน้ำโบราณสายนี้ยังเป็นปริศนาที่ไม่เคยมีใครให้ความกระจ่างได้ คนหาปลาริมฝั่งโขงเชื่อกันว่า ปลาบึกอาศัยอยู่ใต้น้ำลึก ในแก่งที่จมหลับอยู่ใต้น้ำที่เต็มไปด้วยโพรงหินขนาดใหญ่ บางคนเรียกว่า ‘วังปลาบึก’ พ่อผุย บุปผา พรานปลารุ่นลายครามแห่งบ้านปากอิงใต้บอกว่า ‘ปลาบึกที่ขึ้นมาในช่วงนี้ น่าจะอยู่ตามแก่งหินลึกใต้น้ำแถวก่อนถึงเมืองหลวงพระบาง เพราะแถวนั้นมีแก่งเยอะ น้ำมันลึกด้วย พ่อเคยเห็นคนลาวเขาบวงสรวงจับปลาบึกเหมือนกันกับทางประเทศไทย ในช่วงก่อนวันปีใหม่ลาว’แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานที่บันทึกไว้ชัดเจนว่า ปลาบึกธรรมชาติในแม่น้ำโขงขึ้นไปวางไข่บริเวณไหนหรืออาศัยอยู่ที่ใดของแม่น้ำโขง และปลาบึกธรรมชาติตัวโตเต็มที่พร้อมจะผสมพันธุ์และวางไข่มีอายุเท่าใด แต่ความทรงจำของคนริมน้ำที่เคยพบเห็นปลาบึกตามที่ต่างๆ ก็พอร้อยเรียงให้เห็นถึงเส้นทางของปลาบึกในแม่น้ำโขงได้ลางๆพ่อหนานตา คนหาปลาวัย ๖๕ ปี แห่งบ้านแซวเล่าให้พวกเราฟังหลังจากนั่งครุ่นคิดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับปลาบึกอยู่ไม่นาน ‘สมัยก่อนสักเมื่อประมาณ ๑๐ กว่าปี ที่บ้านแซวก็มีคนจับปลาบึกอยู่ แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว คนหาปลาเคยเห็นปลาบึกผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ตรงกว๊านบ้านแซวช่วงเดือนพฤษภาคม ปลาบึกมันน่าจะอยู่ที่นี้นะ หรือไม่อย่างนั้นมันก็มาหื่น (ผสมพันธุ์) กันตรงนี้แล้วก็ขึ้นเหนือไปวางไข่’บริเวณกว๊านบ้านแซวที่พ่อหนานตากล่าวถึงมีลักษณะเป็นคุ้งน้ำใหญ่คล้ายกับคกอยู่ด้านในของแม่น้ำโขง กระแสน้ำในบริเวณกว๊านจะหมุนวนเป็นวงกว้าง กว๊านจะเป็นที่อยู่อาศัย, แหล่งหากิน และแหล่งวางไข่ของปลาหลายชนิดนอกเหนือจากแม่น้ำโขงบริเวณอำเภอเชียงของแล้ว จากงานวิจัยไทบ้านลุ่มน้ำสงคราม จังหวัดนครพนมพบว่า ปลาบึกจะอพยพจากแม่น้ำโขงเข้าสู่แม่น้ำสงครามและห้วยสาขาในฤดูน้ำหลาก ช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม และจะอพยพกลับลงสู่แม่น้ำโขงในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้ปลาบึกอพยพเข้าไปสู่แม่น้ำสงคราม เนื่องจากป่าทามของลุ่มแม่น้ำสงครามมีระบบนิเวศที่หลากหลายเหมาะต่อการหากิน และในป่าทามยังมีพืชน้ำที่เป็นอาหารของปลาบึกโดยเฉพาะ ‘เทา’ สาหร่ายน้ำจืดชนิดหนึ่ง (ทางภาคเหนือเรียกว่า ‘เตา’ )พ่อประพงค์ รัตนะ นักวิจัยไทบ้านลุ่มน้ำสงครามเล่าว่า ‘เมื่อประมาณ ๓๐ ปีที่แล้ว เคยเห็นปลาบึกขนาดใหญ่มาบ้อน--โผล่พ้นผิวน้ำ และหากินอยู่แถวห้วยซิง มีหลายคนจับปลาบึกได้จากห้วยซิงทุกปี แต่ตอนนี้ไม่เห็นปลาบึกในน้ำสงครามาหลายปีแล้ว’เช่นเดียวกันกับหนังสือแม่มูนการกลับมาของคนหาปลาได้บันทึกเรื่องราวของปลาบึกไว้ว่า ช่วงที่มีการเปิดประตูเขื่อนปากมูนตามมติคณะรัฐมนตรีเป็นเวลา ๑ ปี ในช่วงปี ๒๕๔๕ นั้นทำให้มีปลาบึกขึ้นจากแม่น้ำโขงเข้ามาในแม่น้ำมูน มีคนหาปลาหลายคนบังเอิญจับปลาบึกได้หลายตัว บริเวณปากแม่น้ำมูนไหลบรรจบกับแม่น้ำโขง มีบริเวณที่ชาวบ้านเชื่อว่ามีปลาบึกอาศัยอยู่คือ ‘บริเวณเวินบึก’ แม่น้ำโขงตรงบริเวณเวินบึกนั้นมีลักษณะเป็นเหมือนกว๊านในแม่น้ำโขงทางภาคเหนือของประเทศไทยน่าแปลกที่เราต่างก็เคยเห็นปลาบึกธรรมชาติตัวใหญ่ในแม่น้ำโขง แต่สำหรับลูกปลาบึกตัวเล็กแล้วกลับไม่เคยมีใครเห็น! หลังจากพ่อแม่ผสมพันธุ์กันแล้ว, ลูกปลาบึกอพยพกลับลงมาจากด้านตอนเหนือของแม่น้ำโขงในช่วงระยะเวลาใด และมันอพยพไปอยู่ในที่ใด เพื่อเป็นปลาใหญ่ในแม่น้ำโขงต่อไป เรื่องนี้ยังเป็นปริศนาที่เฝ้ารอให้เกิดการค้นพบ![๕] นอกจากเรื่องราวของถิ่นที่อยู่อาศัยของปลาบึกจะเป็นเรื่องราวปริศนาแล้ว คนหาปลาในแต่ละพื้นที่ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับปลาบึกแตกต่างกันออกไปด้วย คนหาปลาบ้านหาดไคร้เชื่อว่า เมื่อนกนางนวลโผบินอยู่เหนือแม่น้ำโขงยามใด ยามนั้นปลาบึกก็จะขึ้นมา และคนหาปลาก็จะลงมือทำการบวงสรวง เพราะคนหาปลาที่บ้านหาดไคร้เชื่อว่า ปลาบึกเป็นปลาที่มีภูตผีคุ้มครอง ดังนั้นจึงต้องทำพิธีเลี้ยงภูตผีเสียก่อนที่จะมีการจับปลาบึก โดยนอกจากจะเลี้ยงภูตผีแล้ว คนหาปลายังได้เลี้ยงเรือที่ใช้ในการหาปลาของตนเองด้วย  ลุงเรียน จินะราช เล่าให้ฟังว่า ‘การเลี้ยงผีลวงก็ทำก่อนช่วงที่จะมีการจับปลาบึกของทุกปี คนจับปลาบึก ลวงนี่แปลว่า ‘ฟ้า’ หรือ ‘ใหญ่’ การเลี้ยงผีลวงก็เลยหมายถึงการเลี้ยงผีที่อยู่บนฟ้า การเลี้ยงผีลวงคนหาปลาก็จะเตรียมเครื่องเซ่น เช่น เหล้าขาว,ไก่,สรวยดอกไม้,สรวยหมาก และสวยพลู วันเลี้ยงนี่คนหา-ปลาจะไปเลี้ยงกันเองเขาไม่บอกใครหรอก พอไปถึงก็ตั้งศาลเพียงตาขึ้น ให้ผู้เฒ่าผู้แก่บอกกล่าวบนบานให้จับปลาบึกได้ แต่ตอนนี้ที่เลี้ยงกันในช่วงวันที่ ๑๘ เมษายนของทุกปี เพราะการท่องเที่ยวเข้ามาส่งเสริมให้ทำ ตั้งแต่ปี ๓๐ มาก็ทำอย่างนี้เรื่อยมา แต่ก็มีบางคนไปทำแบบดั้งเดิมอยู่’ภายหลังที่คนหาปลาจับปลาบึกได้แล้ว พวกเขาก็จะทำการแก้บนตามที่ได้บนบานไว้ คนหาปลาที่จับปลาบึกตัวแรกของปีนี้ได้จึงได้ประกอบพิธีกรรมการเลี้ยงผี ซึ่งคนหาปลาเรียกว่า การเลี้ยงผีโพ้ง, การเลี้ยงผีแม่ย่างนางเรือ, การเลี้ยงผีเจ้าที่ หากจะดูว่าเรือหาปลาลำใดจับปลาบึกได้ก็ให้สังเกตดอกซอมพอสีแดงที่ห้อยพาดอยู่บนหัวเรือ เพราะว่ากันว่าแม่ย่านางเรือชอบดอกไม้แดง เมื่อเรือลำที่ออกสู่แม่น้ำโขงกลับมาพร้อมกับปลาบึก หัวเรือจึงมีดอกไม้แดงห้อยอยู่ใช่ว่าเรื่องของพิธีกรรมเกี่ยวกับปลาบึกจะมีแต่ที่บ้านหาดไคร้ที่เดียว ตามชุมชนริมแม่น้ำมูน ซึ่งเป็นแม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขงยังมีพิธีกรรมเกี่ยวข้องกับปลาบึกรวมอยู่ด้วย คนหาปลาที่แม่น้ำมูนมีความเชื่อว่า ปลาบึกเป็นปลาศีลธรรม ถ้าบังเอิญปลาบึกไปติดเครื่องมือประมงของใคร คนนั้นต้องปล่อยปลาบึกไปหรือถ้าปลาบึกตายก็ต้องทำบุญทำทานสะเดาะเคราะห์ ถ้าไม่ทำเช่นนั้นเชื่อกันว่าจะต้องมีอันเป็นไปในชีวิตและทรัพย์สินช่วงหลังเมื่อมีปลาบึกว่ายทวนน้ำเข้าสู่แม่มูนมาติดเครื่องมือหาปลา เพราะความที่ปลาบึกถูกกระทำให้เป็นปลามีราคา คนหาปลาจึงเอาปลาบึกไปขาย แต่พอขายได้เงินมาแล้ว คนหาปลาก็จะทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้กับปลาบึกตัวนั้นๆ พิธีกรรมดังกล่าวคนหาปลาต้องรีบทำให้เร็วที่สุด เพราะเชื่อกันว่าถ้าหากทำล่าช้าจะเกิดอันตรายกับครอบครัวการทำบุญให้ปลาบึกนั้นก็ทำเหมือนกับงานศพของคนทุกประการ โดยคนหาปลาที่จับปลาบึกได้ต้องนิมนต์พระสงฆ์มาที่บ้าน เพื่อสวดชักอนิจจาในตอนค่ำและกรวดน้ำหาดวงวิญญาณของปลาบึก เพื่อไม่ให้มีกรรมมีเวรต่อกัน เช้าวันต่อมาเจ้าภาพก็จะจัดให้มีการถวายภัตตาหารเช้าแด่พระสงฆ์ จากนั้นก็จะจุดไฟเผารูปปลาบึกที่วาดขึ้นบนกระดาษ พระสงฆ์ให้ศีลให้พรเมื่อฉันภัตตาหารเสร็จ ทางผู้เข้าร่วมพิธีร่วมกันรับประทานอาหารเป็นอันเสร็จพิธีจากความเชื่อทั้งสองพื้นที่นั้นได้แสดงให้เห็นว่า ปลาบึกเป็นปลาที่คนหาปลาให้ความเคารพและถือว่าเป็นปลาศักดิ์สิทธิ์ เพราะความที่ปลาบึกเป็นปลาศักดิ์สิทธิ์นี่เอง รูปเขียนโบราณที่ผาแต้มจึงมีรูปปลาใหญ่ที่พอสันนิษฐานได้ว่าเป็นรูปปลาบึก ปลาเทพเจ้าแห่งลำน้ำโขงรวมอยู่ด้วย[๖]แม้ว่าในช่วงเดือนเมษายนของทุกปี ที่บ้านหาดไคร้จะมีการเฝ้ารอเพื่อจับปลาบึกของคนหาปลา ซึ่งถูกระหน่ำว่าเขาเหล่านั้นเป็นผู้ล่า--นักล่า ที่พรากชีวิตปลาบึกจากลำน้ำโขงไปนักต่อนักแล้ว แต่หากย้อนกลับไปมองให้ถ้วนถี่แล้วจะพบว่า ธรรมชาติของหน้าแล้ง ปลาในแม่น้ำก็ย่อมมีน้อย และเมื่อมีปลาใหญ่ขึ้นมาและสามารถที่จะทำรายได้ให้กับคนหาปลาได้ ก็คงไม่แปลกนักที่จะมีการจับปลาบึกอยู่ทั้งฝั่งลาวและไทยหลายปีมาแล้วที่บ้านหาดไคร้ คนที่มาเฝ้ารอปลาบึกใช่ว่าจะมีเพียงแต่คนหาปลาเท่านั้น หนึ่งในจำนวนคนที่มาเฝ้ารอนั้นก็มีเจ้าหน้าที่ของกรมประมงรวมอยู่ด้วย การมาถึงของเจ้าหน้าที่กรมประมงก็เพื่อรีดไข่และน้ำเชื้อเพื่อผสมพันธุ์ปลาบึก โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อการวิจัยและหาแนวทางในการอนุรักษ์ปลาบึกต่อไป ส่วนกลุ่มนักอนุรักษ์กลับมีแนวคิดในการอนุรักษ์ที่ต่างออกไป โดยหลายคนได้นำเสนอถึงแนวคิดพื้นฐานที่ว่า หากเราจะอนุรักษ์ปลาบึก เราต้องอนุรักษ์พื้นที่อันเป็นแหล่งอาศัยของปลาบึก ที่สำคัญคือเราต้องไม่แยกคนออกจากน้ำ เพราะคนหาปลาจะต้องอยู่กับน้ำ รวมทั้งปลาบึกก็ต้องอยู่กับน้ำด้วยเช่นกันในกระแสการอนุรักษ์นั้นหากว่าหลายภาคส่วนร่วมมือกันอย่างเต็มที่ ปีหน้าเมื่อฤดูกาลจับปลาบึกเวียนมาถึง เราคงได้เห็นปลาบึกอย่างน้อยสักหนึ่งคู่ว่ายทวนกระแสน้ำขึ้นไปทางเหนือเพื่อสืบสายพันธุ์อันยิ่งใหญ่แห่งสายน้ำ ให้คงอยู่คู่สายน้ำโขงตลอดไป วันนี้เกาะแก่งในแม่น้ำโขง อันเปรียบเป็นบ้านของปลาบึกและปลาน้อยใหญ่อีก๑,๐๐๐ กว่า ชนิดในลำน้ำแห่งนี้ กำลังถูกคุกคามด้วยโครงการระเบิดแก่งแม่น้ำโขงเพื่อการเดินเรือพาณิชย์ ซ้ำร้ายระบบการขึ้น-ลงของระดับน้ำตามวัฎจักรฤดูกาลของแม่น้ำก็ถูกเปลี่ยนแปลงด้วยเขื่อนหลายแห่งที่สร้างขึ้น เพื่อกั้นน้ำทางตอนบนในเขตจีน ความอุดมสมบูรณ์และระบบนิเวศที่ซับซ้อนของสายน้ำแห่งนี้จะคงอยู่เพื่อหล่อเลี้ยงนานาชีวิตได้อีกนานแค่ไหน?วันนี้ชะตาอนาคตของปลาบึกและสรรพชีวิตแห่งลุ่มน้ำโขงเหมือนอยู่บนเส้นด้ายเส้นเล็กๆ เส้นด้าย ที่เฝ้ารอวันขาดสะบั้น เพราะทิศทางการพัฒนาที่ไม่มุ่งเน้นเพียงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจด้านเดียว และคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ และชีวิตที่พึ่งพาสายน้ำนี้มาถึงช้าเหลือเกิน!   แล้วเมื่อวันนั้นมาถึงทุกสิ่งอาจหลงเหลือแต่เพียงตำนานให้ลูกหลานลุ่มน้ำโขงได้เล่าขานกันต่อไปในอนาคตก็เป็นได้?.....[๗]๑๘ เมษายน ๒๕๔๙งานบวงสรวงก่อนการจับปลาบึกของคนหาปลาบ้านหาดไคร้ได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับกระแสว่าชาวบ้านหาดไคร้จะไม่จับปลาบึกอีก แต่ไม่แน่นักว่าหลังจากวันนี้ไปไม่มีใครทำนายทายทักได้ว่า ปลาบึกตัวแรกจะถูกคนหาปลาคนใดจับได้ และเรื่องราวความขัดแย้งในเรื่องการอนุรักษ์ปลาบึกจะยังคงมีอยู่ต่อหรือไม่? นั่นเป็นเรื่องราวที่ต้องติดตามและค้นหาคำตอบกันต่อไป...
มูน
สีสันสดใสในเทศกาลส่งท้ายปี เป็นสัญญาณของการสิ้นสุดและเริ่มต้นใหม่ เพื่อนบ้านคนหนึ่งติดกระดาษริ้วสีทอง เขียนว่า HAPPY NEW YEAR 2008 ไว้เหนือประตูบ้าน อีกหลังติดไฟกระพริบ สลับกันวิบวับตรงนั้นตรงนี้ เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งยื่นเค้กช็อคโกแลตให้ แล้วบอกว่า สวัสดีปีใหม่ คิดอะไรขอให้สมปรารถนาฉันยิ้มกับคำอวยพร ถามตัวเองเล่นๆ ในใจว่าปรารถนาอะไรบ้าง โอ้ ช่างมากมายจนน่าอายตัวเอง หนึ่งในความปรารถนาที่ฉันคิดเสมอมาเมื่อถึงวันปีใหม่ คือขอให้ยายได้พบกับป่องหยอด................ความจริงยายไม่ได้เป็นแค่ยาย ยายเคยเป็นแม่ แต่เมื่อลูกสาวคนเดียวของยายตายไป และยายไม่มีญาติที่ไหนอีก หลานชายจึงรับตัวจากบ้านนอกมาอยู่ด้วยในบ้านที่มีหลานสะใภ้ และลูกๆ ของหลานอีกสามคน ยายเลยได้เป็นทวดหลานชายและหลานสะใภ้ทำงานทั้งคู่ เช้าๆ บ้านจะวุ่นวายด้วยเสียงบ่น เสียงดุด่า เสียงเด็กๆ ทะเลาะกัน บางทีก็มีเสียงร้องไห้งอแง แล้วทุกคนก็ออกไปกันหมด เหลือยายอยู่ตามลำพังกับความเงียบยายจะกระย่องกระแย่งกวาดเศษข้าวส่วนหนึ่งที่เหลือจากใส่บาตรตอนเช้า เอาไปเกลี่ยไว้บนกำแพง ให้นกมาจิกกิน ข้าวอีกก้อนหนึ่ง ยายจะใช้มือสั่นๆ บี้จนร่วนในจานสังกะสี คลุกกับปลาทูบ้าง ไข่ต้มบ้าง เหยาะน้ำปลานิดหนึ่ง คลุกเสร็จก็ยกนิ้วขึ้นแตะลิ้นเพื่อชิมรส แล้วยายก็ถือจานเดินกระย่องกระแย่งออกมาหน้าบ้าน เรียกเบาๆ"ป่องหยอด ป่องหยอดเอ๊ย มากินข้าวลูก"แมวสีโกโก้ตัวหนึ่งจะค่อยๆ ลอดใต้ถุนบ้านออกมา มันเดินกะเผลกเพราะต้องลากขาหลังที่เสียข้างหนึ่ง................ครั้งแรกที่ยายพบแมวนั้น มันตัวผอมลีบ ขี้ตาเกรอะกรังจนลืมตาไม่ขึ้น หางกุดๆ มีรอยแผลที่ยังไม่หายสนิท ขาหลังดูเหมือนจะหัก ตัวผอมจนซี่โครงปูดทั้งๆ ที่ท้องป่องน่าเกลียด มันนอนเหมือนตายอยู่ริมถนนหน้าบ้านในเช้ามืดที่ยายออกไปรอใส่บาตร อาจจะนอนมาทั้งคืนเพราะตัวมันชื้นไปด้วยน้ำค้าง ยายอุ้มแมวไปนอนหน้าเตา ละลายน้ำข้าวกับน้ำตาลและเกลือนิดๆ พอหวานเค็มปะแล่มๆ ค่อยๆ หยอดใส่ปากแมวทุกวัน บางทีก็หยอดข้าวต้มที่ยายบี้จนเละ แล้วก็คอยบีบนวดเนื้อตัวแมววันละหลายครั้ง บางวันยายก็ร้องเพลงกล่อมเด็กให้แมวฟังป่องหยอดแข็งแรงขึ้นทีละน้อย ตาค่อยๆ ใส เสียงที่เบาแผ่วจนแทบไม่ได้ยินก็ดังชัดเจน โดยเฉพาะเวลาร้องอ้อนยาย มันกินเก่งขึ้น แต่ไม่เคยอ้วน แถมท้องก็ยังป่องเหมือนเดิม วันคืนอันเหงาเงียบของยายค่อยๆ มีชีวิตชีวา ป่องหยอดนั่งๆ นอนๆ เป็นเพื่อนคุยกับยายตลอดวัน ยายลุกไปไหน มันจะเดินลากขาตามไป เวลายายเอนหลังตอนบ่ายๆ มันจะนอนซุกตรงรักแร้ของยายเสมอ ฉันยังจำมือสั่นๆ ของยายที่ลูบไล้ขนนุ่มนิ่มของแมวอย่างอ่อนโยน กับเสียงเรียกที่บ่งบอกความรักใคร่ผูกพัน"ป่องหยอดเอ๊ย สบายดีหรือเปล่าลูก" "ป่องหยอดเอ๊ย มากินข้าวกับยายมาลูกมา"ยายไม่ลืมที่จะพาแมวหลบให้พ้นสายตาของหลานสะใภ้ แต่บางทีก็หลบไม่ทัน"หนูบอกแล้วใช่มั้ยยายว่าอย่าเอาอะไรให้มันกิน มันได้กินมันก็ไม่ยอมไปไหนซี แล้วนี่เอามันเข้าบ้านใช่ไหม ดูซิขนแมว เห็นแล้วคลื่นไส้ อย่าให้หนูเห็นไอ้แมวตัวนั้นอีกนะ จะตีให้ตายเลย"คำขู่ของหลานสะใภ้ทำให้ยายแทบจะดึงแมวไว้ข้างตัวตลอดเวลา"อย่าเอาเท้าเตะมันสิลูก บาปนะ โบราณเขาถือว่าแมวมันเท่ากับเณรองค์หนึ่ง" ยายเคยห้ามเหลน"แมวจะเป็นเณรได้ไงทวด ทีแม่ยังตีมันได้เลย" เด็กๆ หัวเราะวันต่อมา ฉันได้ยินเสียงดังลั่นจากบ้านของยาย"ยาย เห็นมั้ย แมวมันมาขี้ไว้ตรงนี้ หนูบอกแล้ว บอกยายแล้วนะ แล้วอย่ามาหาว่าหนูใจดำนะ""มันไม่สบาย มันแก่แล้ว" ยายไม่มีโอกาสอธิบายกับใคร นอกจากฉัน ยายบอกว่าป่องหยอดเป็นแมวแก่ บางทีมันอาจจะเผลอตัว อั้นไม่ไหว หรือลืมไปว่าไม่ใช่ที่ขับถ่าย"มันแก่แล้ว แก่เหมือนยาย"ยายพยายามถูบ้านตรงที่ป่องหยอดทำเลอะ ถูแล้วถูอีกเพราะไม่อยากให้หลานสะใภ้โกรธแมว แต่ดูเหมือนไม่มีอะไรดีขึ้น"เห็นไอ้แมวนั่นมาอีกเมื่อไรบอกแม่นะ" เสียงหลานสะใภ้บอกลูก ทำเอายายแทบกินไม่ได้ นอนไม่หลับแล้ววันหนึ่ง ป่องหยอดก็ไม่ได้โผล่มาตามเสียงเรียกของยายยายถือจานสังกะสีเดินกระย่องกระแย่งตามหาป่องหยอดทั้งวัน รวมทั้งอีกหลายวันถัดมา ยายร้องเรียกป่องหยอด แต่ไม่มีเสียงเหมียวขานรับ ยายคลุกข้าวทุกวัน แต่แมวสีโกโก้ก็ไม่เดินออกมาจากใต้ถุนบ้านอีกเลย...........วันหยุดยาวในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ หลานชายพาครอบครัวไปเที่ยวต่างจังหวัด เหลือยายอยู่บ้านเพียงลำพัง ฉันยังจำภาพที่ยายนั่งคุดคู้อย่างหงอยเหงาบนระเบียงได้ติดตา"ยาย แม่ให้เอาข้าวต้มมาให้ค่ะ" ฉันบอก วางหม้อเล็กบนโต๊ะข้างตัวยาย"ป่องหยอดไม่อยู่" ยายเอ่ยเบาๆ ตามองจานสังกะสีว่างเปล่าตรงหัวบันได ยายเลิกคลุกข้าวนานแล้ว"มันไปเที่ยวมั้งยาย เดี๋ยวมันก็กลับ" "มันไม่กลับมาหรอก ยายรู้" ยายพึมพำ "มันไม่กลับมาอีกแล้ว"ฉันอึ้ง นึกไม่ออกว่าจะพูดอะไรดี"ยายดูโทรทัศน์ไหม หนูเปิดให้" วัยสิบขวบของฉันช่างอับจนถ้อยคำที่จะปลอบใจเพื่อนบ้านวัยแปดสิบ "ยายจะกินข้าวต้มหรือยัง"ฉันยืนละล้าละลัง ไม่แน่ใจว่าควรเดินไปเปิดโทรทัศน์หรือไปหยิบชามในครัว ยายยังคงนั่งคุดคู้ ร่างเล็กๆ นั้นดูเหมือนกองผ้าเก่าๆ "ป่องหยอดเอ๊ย ป่องหยอด" ยายพึมพำกับตัวเองมากกว่าพูดกับฉัน แสงไฟจากบ้านตรงข้ามสะท้อนหยาดน้ำบางๆ ในดวงตาสีน้ำข้าวของยาย
แพ็ท โรเจ้อร์
ไม่กี่วันที่ผ่านมาสังคมไทยก็ได้มีการเลือกตั้งส.ส. ไปแล้ว น่าตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะลุ้นกับเค้าเหมือนกันว่าใครจะมา และใครจะไป พลางให้นึกถึงเลือกตั้งที่สหรัฐฯ เมื่อ สาม-สี่ปีที่ผ่านมา ทำให้เห็นว่าอะไรที่จับกระแส “ประชานิยม” ได้ก็มักชนะ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด เช่น ชอบหรือกลัว เพราะกระแสประชานิยมไม่ได้ดูที่อะไรมากกว่า พวกมากลากไป หากพวกมากคิดเป็น ก็ดีไป ถ้าคิดไม่เป็นก็ซวยไป ทั้งนี้ คนที่รับความซวยคือคนทั้งหมด ไม่ใช่แค่คนที่เป็นพวกมาก หลายครั้งพวกมากก็เป็นพวกมากที่ไรัคุณภาพ แต่หลายครั้งก็เป็นพวกมากที่มีคุณภาพได้เช่นกัน แต่โอกาสที่จะเกิดนั้นมีน้อยกว่ามาก มีหลายคนถามว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้  ผู้เขียนตอบได้ว่ามันอยู่ที่ว่า “คิดเป็น” หรือไม่ต่างหาก ซึ่งเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ที่เห็นในสังคมทั่วไป ไม่ว่าไทยหรือสหรัฐฯก็คือ คนส่วนใหญ่จะอ่านหนังสือเป็น แต่ตีความไม่เป็น หรือรับข้อความได้ ฟังคนอื่นพูดได้ เข้าใจ แต่เข้าใจไม่ลึก ตีความไม่แตก และที่สำคัญขี้เกียจที่จะฟัง ขี้เกียจที่จะตีความ และไม่หาข้อมูลมาประเมินข้อความ แล้วมันก็ไปผูกกับระบบความคิดทั่วไป ทำให้คิดไม่เป็น คิดไม่แตก เห็นแก่ประโยชน์ใกล้ตัวแบบทันเวลา แบบเทโจ๊กใส่ซอง เติมน้ำร้อน ชงๆ แล้วจบกัน เพราะความง่ายๆ แบบนี้ จึงทำให้เกิดคำพังเพยสามัญว่า “รู้มากยากนาน รู้น้อยพลอยรำคาญ” เพราะคนที่รู้มากๆก็จะเกิดความยากในชีวิตมากมาย แต่นั่นคือวิธีคิดของคนที่คิดหน้าและหลัง รอบคอบ ส่วนรู้น้อย ก็เป็นในด้านตรงข้าม แต่ก็มีคน“คิดมาก” อันนี้ไม่เกี่ยวกัน เพราะคนคิดมากนั้นมีปัญหามากกว่าชอบแก้ปัญหา เป็นลักษณะของคนที่ไม่โตหรือ ไม่มีวุฒิภาวะ ขาดความมั่นคงทางจิตใจ ก็พบเจอมากมายในสังคมไทยพอสมควร แต่เวลาคุยด้วย พบว่าเป็นพวก “โลกหมุนรอบตัวกู” เสียทั้งนั้น

แท็กล่าสุด

แท็กยอดนิยม