Skip to main content

บล็อกกาซีน ประชาไท

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ภาพจาก http://gotoknow.org/file/i_am_mana/DSC04644.1.jpg คุณที่รักผมลงมือเขียนต้นฉบับนี้ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2550 ซึ่งนับจากวันนี้ไปอีก 3-4 วันก็จะถึงวันเลือกตั้ง แต่จนป่านนี้ ผมซึ่งเป็นประชาชนคนหนึ่งของประเทศที่มีสิทธิไปลงคะแนนเสียงให้กับผู้สมัคร ส.ส.ในเขต 2 อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ ยังนึกไม่ออกเลยว่าควรจะใช้สิทธิอันชอบธรรมนี้ไปเลือกใครหรือพรรคใด หรือว่า...ควรจะโนโหวต คือไม่เลือกใครเลยเหตุที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากเป็นเพราะว่า ผมเป็นคนที่หน่อมแน้มในเรื่องการเมืองจริง ๆ  จึงไม่สามารถวิเคราะห์และตัดสินด้วยตัวเองได้อย่างเชื่อมั่น ว่าใครหรือพรรคการเมืองใดเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด  หรือว่าควรจะ...โนโหวต นั่นเอง นี่เป็นเรื่องจริง ไม่ได้แกล้งเขียนเพื่อประชดประชันหรือแดกดันใคร ถึงแม้ตอนแรก ผมจะแอบมีใจเอนเอียงไปทางพรรคที่ลุกขึ้นมาคัดค้าน พ.ร.บ. 8 ฉบับที่สนช.ชุดรัฐบาลทหารร่างออกมา หมายจะทิ้งทวนและเผยธาตุแท้ก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วย ถึงแม้ตัวผมจะไม่ค่อยศรัทธาในตัวบุคคลในพรรคนี้  แต่พอผมไปเปิดเผยความในใจเรื่องนี้ของผม ให้ผู้รู้ลึกซึ้งทางการเมืองที่น่าเชื่อถือทั้งในอดีตและปัจจุบันฟัง ท่านก็เอะอะโวยวายเอากับผมว่า“เฮ้ย ไม่ได้ ไม่ได้ คุณจะมาคิดอะไรหน่อมแน้มอย่างนี้ไม่ได้ นั่นมันฉวยโอกาส ออกมาพูดเอาความดีเข้าตัว ไม่ใช่นโยบายอะไร”จากนั้นท่านก็ยกเหตุผลต่างๆ นานา ประกอบกับหลักวิชาและประสบการณ์ ที่ทำให้คนหน่อมแน้มอย่างผม เถียงไม่ได้สักแอะ (เพราะไม่มีความรู้ทางการเมืองพอที่จะเท่าทันเล่ห์เหลี่ยมทางการเมืองที่เต็มไปด้วยความสลับซับซ้อน) ก่อนจะสรุปให้ผมฟังว่า มันเป็นเพียงคำพูดสวยหรูที่เขาพูดออกมาหลอกลวงชาวบ้าน แต่พอถึงเวลาจริง ๆ ถ้าพวกเขาได้เข้าสภา พวกเขาไม่ทำกันหรอก โดยเฉพาะ เรื่องของชาวบ้าน พวกเขาก็แค่หลอกเอาคะแนนเสียงจากพวกเราเท่านั้นเอง ผมฟังแล้วรู้สึกตกใจ จึงย้อนถามท่านว่า พวกเขาทำอย่างนี้ได้อย่างไร ท่านตอบว่า ทำไมจะทำไม่ได้ เพราะจากประวัติศาสตร์ทางสังคมที่ผ่านมา ยิ่งกว่านี้พวกเขายังทำกันได้ จากนั้นท่านก็ยกตัวอย่างการหลอกลวงประชาชน และการแปรพักตร์กลับไปกลับมา เพราะอำนาจผลประโยชน์ของนักการเมืองในพรรคนี้ให้ผมฟัง ผมฟังแล้วได้แต่นึกสิ้นหวังและเศร้าใจต่อมาผมก็กลับมาคิดและตัดสินใจใหม่อีกครั้งหนึ่ง นั่นคือ ตัดสินใจว่าจะ โนโหวต กากบาทไม่เลือกใครหรือพรรคใดทั้งสิ้น  ผมคิดว่าผมตัดสินใจได้ถูก ผมจึงไปขอความเห็นกับท่านผู้รู้ท่านนี้อีก แต่ท่านกลับเอะอะโวยวายเอากับผมอีกว่า“ไม่ได้ ไม่ได้ คุณจะทำหน่อมแหน้มแบบนี้อีกไม่ได้ เพราะคุณจะทำให้พรรคทางเลือกที่ดีที่สุดในขณะนี้คะแนนเสียงตกและย่ำแย่ลง ทำให้พรรคตรงกันข้ามที่เราไม่ต้องการได้คะแนนเสียงมากกว่าได้”จากนั้นท่านก็พูดถึงผลดีในการเลือกพรรคที่ท่านถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด (และผมควรจะเห็นด้วย) ซึ่งเป็นพรรคใหญ่ ที่เป็นคู่ปรับกับพรรคทางการเมืองที่ผมมีใจเอนเอียงในตอนแรก ซึ่งเป็นพรรคใหญ่เหมือนกัน ด้วยเหตุผลที่ทำให้คนหน่อมแหน้มทางการเมืองอย่างผมเถียงไม่ได้อีกเหมือนกัน แต่ถึงอย่างไร ผมก็ไม่ชอบพรรคนี้เท่าไหร่นัก เพราะดูเหมือนจะมีชื่อเสียงด้านดีแต่พูดมานานแล้วส่วนพรรคเล็กพรรคน้อยอื่น ๆ ผมคงไม่จำเป็นต้องพูดถึง เพราะไม่มีพรรคใดอยู่ในสายตาของผม เพราะผมมองเห็นว่า ถ้าหากพวกเขาถูกเลือกเข้าไปในสภา ในที่สุดเขาก็จะถูกพรรคใหญ่ในสภา บีบและดูดกลืนเข้าไปอยู่ใต้อำนาจ และไม่อาจชี้นำอะไรได้สรุปแล้วการเลือกตั้งครั้งนี้ถึงแม้จะมีคนที่น่าเชื่อถือมาชี้นำ ผมก็ยังติดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรผมก็จะไปใช้สิทธิ์เมื่อถึงวันเลือกตั้ง และหวังเอาไว้ว่าในนาทีสุดท้าย ผมคงจะตัดสินใจได้ เพื่อที่รัฐบาลทหารที่น่าเบื่อชุดนี้...จะได้ออกไปให้พ้น ๆ เสียที และไม่ว่าใครจะได้เป็นรัฐบาลชุดต่อไป ไม่ว่าจะย่ำแย่ขนาดไหน ยังย่อมดีกว่าที่เป็นอยู่นี้ (ถ้าหากการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นจริง) 20 ธันวาคม 2550กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่ 
การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์
“น้ำใจให้น้องปิ่น” เด็กหญิงพิการที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ แต่ทุกคนในครอบครัวยังมีความหวังและมองโลกในแง่ดีเสมอ อ่านเรื่องของน้องปิ่นกับแม่ได้ที่นี่ สนับสนุนเงินทุนช่วยเหลือตามกำลังศรัทธาได้ที่หมายเลขบัญชี  05-3405-20-093267-0น.ส.สีไวย คำดา เพื่อ ด.ญ.วรัญญา ฟินิวัตร์    ธ ออมสิน สาขามหาวิทยาลัยเชียงใหม่    “สมทบทุนค่าอาหารและรักษาพยาบาลหมาแมวพิการ ป่วยไข้ ถูกทอดทิ้ง ตามกำลังศรัทธา”เลขที่บัญชี 1210101483 น.ส. นันท์ธนัตถ์ จิตประภัสสรธ กรุงไทย สาขาบางบัวทอง    หรือจะส่งเป็นอาหารหมาแมวก็ได้ค่ะ ที่97 หมู่ 2 บ้านหนองคาง ต.หนองราชวัตร อ.หนองหญ้าไซ จ.สุพรรณบุรี 72240
นาลกะ
สายรุ้งก็เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ที่เพลิดเพลินกับการเล่นเกมคอมพิวเตอร์  เกมที่มีภาพสวยงามดึงดูดสายตาและสามารถติดต่อสัมพันธ์ คุยเล่นสนุกกับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนได้ผ่านการเชื่อมต่อกับโลกไซเบอร์ การสร้างสีสันสวยงามเกินจริง การออกแบบฉากที่อลังการ ไม่ว่าจะเป็นตึกอาคาร ตัวสัตว์ประเภทต่าง ๆ  และความน่าตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่ปรากฏในเกม ยั่วเย้าเร้าความสนใจของสายรุ้งและเด็กคนอื่นๆ จนไม่อาจต้านทานได้หากเล่นเกมที่ร้านเกมซึ่งมีเด็กๆ ไปชุมนุมกันนั้น สายรุ้งจะนั่งเล่นไม่นานนัก แค่เพียงชั่วโมงหรือสองชั่วโมงเท่านั้น เพราะแม่ไม่ต้องการให้เขาขลุกอยู่ที่ร้านเกมนานเกินไป และเขาก็ไม่อยากทำให้แม่ไม่สบายใจ แม่บอกว่า “ที่ร้านเกม มีเด็กร้อยพ่อพันแม่ ยังไงแม่ก็อดที่จะเป็นกังวลใจไม่ได้หากลูกอยู่ที่ร้านเกมนาน” แต่ถ้าเป็นที่บ้าน สายรุ้งนั่งเล่นได้ข้ามวัน ข้ามคืน โดยมีเด่นมาเล่นเป็นเพื่อนด้วย เด็กทั้งสองเอาจริงเอาจังอย่างมากราวกับว่ามันคือส่วนหนึ่งของชีวิตจริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่เกม พวกเขามีอารมณ์ร่วมไปกับเกม ทั้งหัวเราะ ไม่พอใจ โวยวาย บ่นงึมงำ คุยกับจอคอมพิวเตอร์เหมือนกับว่ามันมีชีวิต “นายต้องเอากุญแจที่อยู่กับตัวประหลาดมาให้ได้ก่อน แล้วหลังจากนั้นนายก็จะต้องเดินไปที่ประตูขุมทรัพย์ที่มีแมงมุมดำเฝ้าอยู่” สายรุ้งบอกเด่น“ฉันจะจัดการยังไงกับตัวประหลาด” “นายไม่จำเป็นต้องฆ่าก็ได้ เพียงแต่แย่งกุญแจมา”บางครั้งขณะทานอาหาร สายรุ้งก็คิดถึงการต่อสู้กันในเกม การขยับขึ้นในระดับตำแหน่งที่สูงกว่าหากเอาชนะคู่ต่อสู้ หรือการเข้าใกล้ขุมทรัพย์หากกำจัดตัวแมงมุมดำที่เฝ้าอยู่ตรงปากประตูได้ แต่การจะกำจัดแมงมุมดำนั้นต้องหาจุดอ่อนของมันให้เจอเสียก่อน หรือไม่ก็ต้องหาทางล่อหลอกให้มันเผลอซึ่งเป็นไปได้ยาก“จุดอ่อนของแมงมุมดำอยู่ที่ไหนครับแม่” เขาถามแม่ ความคิดเขาวนเวียนอยู่แต่เรื่องของเกม“แม่ว่าลูกเพลา ๆ ลงก็ดีนะ โดยเฉพาะตอนกลางคืน ลูกไม่ควรอดหลับอดนอนเพื่อเล่นเกม ควรจะเล่นเพื่อผ่อนคลายเท่านั้น”“นานๆ ครั้งเท่านั้นเอง” สายรุ้งอุทธรณ์ “แม่รู้ไหมว่าเด่นนะ นอนเกือบสว่างเวลาที่ได้เล่นเกม”“เด็กๆ ไม่ควรนอนดึก ร่างกายจะอ่อนเพลีย” แม่พูด ประเด็นเรื่องสุขภาพของลูกเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด ส่วนประเด็นเรื่องความรุนแรงที่เด็กอาจเลียนแบบมาจากเกมอย่างที่มีการรณรงค์ของหน่วยงานทางวัฒนธรรมบางหน่วยงานนั้น ไม่ค่อยน่าเป็นห่วงมากนักเพราะคิดว่าสามารถอบรมกล่อมเกลาให้สายรุ้งเป็นเด็กที่อ่อนโยนได้ และที่ผ่านมาสายรุ้งก็ไม่เคยแสดงกริยาก้าวร้าวรุนแรงให้เห็นเลย  “แล้วจุดอ่อนของแมงมุมดำอยู่ที่ไหน” สายรุ้งไม่ลืมคำถามที่ถามไว้ตั้งแต่แรก เขาอยู่กับความคิดที่จะหาวิธีไปสู่ขุมทรัพย์ให้ได้แม่หัวเราะกับท่าทางจริงจังของสายรุ้ง แม้ว่าจะไม่สนับสนุนให้ลูกหมกหมุ่นกับเกมแต่เมื่อเห็นว่าลูกให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เธอจึงบอกสั้นๆ ว่า “ไม่รู้สิจ๊ะ แม่ไม่ชอบแมงมุม ลูกน่าจะถามตามากกว่า” สายรุ้งทานอาหารไป ขบคิดไป เขาเข้าใกล้จุดสำคัญของเกมนี้แล้ว แต่หลังจากพยายามอยู่หลายหน เขาก็ไม่อาจผ่านประตูสู่ขุมทรัพย์ได้สักทีแม่ได้แต่ยิ้มอย่างเอ็นดูกับความเอาจริงเอาจังของสายรุ้ง และมองในแง่ดีว่า เกมจะมีส่วนช่วยต่อพัฒนาการการเติบโตของเด็กหากเล่นอย่างพอเหมาะ และขึ้นอยู่กับเกมด้วยว่าเป็นอย่างไร สร้างสรรค์เหมาะสมแค่ไหนแม่คิดว่าคอมพิวเตอร์และโลกอินเตอร์เน็ตมีสิ่งดี ๆ มากมายหากใช้งานอย่างถูกต้อง ดังนั้น หลังจากที่สายรุ้งรบเร้าอยากได้คอมพิวเตอร์หลายครั้ง แม่จึงยอมซื้อให้และต่ออินเตอร์เน็ตให้เรียบร้อยโดยคิดว่าลูกคงจะได้รับความเพลิดเพลินใจ และได้ค้นคว้าความรู้อย่างกว้างขวางถ้าเขาต้องการ  ยิ่งเมื่อตระหนักว่าสายรุ้งไม่เหมือนเด็กคนอื่น วันเวลาของสายรุ้งแตกต่างจากเด็กคนอื่นๆ จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะขัดขวางความต้องการของเขาอย่างไรก็ตาม โลกอินเตอร์เน็ตที่สื่อสารกันได้อย่างแทบจะไร้ขีดจำกัดนั้นมีทั้งคุณและโทษ แม่จึงพยายามดูแลการท่องเข้าไปในโลกอินเตอร์เนตที่อาจพบเจอคนแปลกหน้า และไม่เก็บคอมพิวเตอร์ไว้ในห้องนอนของสายรุ้งแม่ไม่เคยห้ามว่าเว็บไซต์แบบไหนที่สายรุ้งไม่ควรเข้าไป สายรุ้งจะรู้แก่ใจดีว่าเขาควรจะเข้าไปหรือไม่ แม่เพียงแต่แนะนำเวบไซต์ที่คิดว่าน่าสนใจและมีประโยชน์ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับสารคดี “แม่ครับ ผมเข้าไปในห้องเก็บขุมทรัพย์ได้แล้วครับ” สายรุ้งบอกแม่ในวันหนึ่ง“แล้วพบอะไรบ้างล่ะ”“พบดาบเพียงเล่มเดียว เป็นดาบศักดิ์สิทธิ์” “ลูกจะเอาดาบไปทำอะไร” แม่ถาม“ดาบต้องใช้ในการเล่นอีกขั้นสูงขึ้นไป แต่ผมเบื่อเกมนี้แล้ว มันยากไปหน่อย  เอ่อ วันเสาร์นี้ แม่จะไปซื้อหนังสือที่ศูนย์การค้าใช่ไหมครับ ผมว่าจะไปหาซื้อแผ่นเกมใหม่ๆ ด้วย” สายรุ้งพูดยิ้ม ๆ “ได้สิ” แม่ตอบ พลางคิดว่า อย่างน้อยเกมต่าง ๆ ที่สายรุ้งเล่น  ได้ผ่านสายตาและการเลือกสรรของแม่แล้ว.   
เจนจิรา สุ
10 พฤศจิกายน 2550 ฉันว่างเว้นจากการเขียนบันทึกไปนานด้วยทั้งภารกิจส่วนตัวที่ต้องยุ่งวุ่นวายกับเจ้าตัวน้อยที่อยู่ในวัยที่ต้องการการเอาใจใส่อย่างสูง และภารกิจของชุมชนที่ต้องเขียนโครงการเพื่อของบประมาณจากหน่วยงานราชการ ทั้งงานประสานงาน งานประชุม ส่วนเวลาที่เหลือฉันก็ยกให้กับการคิดในเรื่องต่างๆ ฉัน สามี และลูกต้องเดินทางทุกๆ 3-5 วัน จากบ้านของตนเองที่สร้างไว้ใกล้เมืองไปบ้านห้วยเสือเฒ่าและบ้านใหม่ห้วยปูแกง การพักอาศัยที่บ้านของตัวเองที่สร้างไว้ใกล้เมืองนั้นก็ด้วยเหตุผลเดียวคือความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะการเดินทาง อยู่ใกล้โรงพยาบาล มีไฟฟ้าใช้สำหรับทำงาน หรือพักผ่อนด้วยการดูทีวี ติดตามข่าวสารโลกภายนอก การเดินทางเข้าบ้านห้วยเสือเฒ่าก็เพื่อดูแลแม่ของสามีที่ต้องการใกล้ชิดกับลูกหลานโดยเฉพาะหลานที่แกได้เลี้ยงดูแลมาตั้งแต่เกิดส่วนหมู่บ้านใหม่นั้นฉันต้องเข้าไปให้กำลังใจชาวบ้าน ดูแลทุกข์สุข แม้ว่าจะทำอะไรไม่ได้มากมายนักแต่ก็คอยประสานงานกับทางอำเภออยู่ข้างนอก  รวมๆ แล้วเป็นความวุ่นวายทั้งกาย-ใจ ที่เกินพอดีจนไม่อาจจะจับปากกานิ่งๆ เพื่อเขียนอะไรสักอย่างได้เป็นชิ้นเป็นอัน ดูเหมือนหมู่บ้านใหม่มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น หน่วยงานราชการสนใจเข้ามาเยี่ยมงานสม่ำเสมอ ผักไม้ที่ปลูกหว่านไว้ได้เก็บเกี่ยวเป็นกับข้าวแล้วหลายมื้อ  ลูกไก่ที่ได้รับแจกมาจากทางจังหวัดเติบโตขึ้นตามวันเวลา ชาวบ้านปรึกษาหารือกันบ่อยขึ้นแม้ว่าฉันจะไม่ได้เข้าไปจัดวงประชุมเหมือนที่ผ่านมา  ทางอำเภอเข้ามาปรับปรุงถนนเชื่อมต่อระหว่างบ้านเก่ากับบ้านใหม่ เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวบ้านเก่าสามารถเดินเข้ามาเที่ยวที่บ้านใหม่ได้สะดวกขึ้น พวกเราได้เห็นความจริงใจของข้าราชการหลายคน ที่ทุ่มเทให้กับการพัฒนาหมู่บ้าน และชาวบ้านสองหมู่บ้านได้เชื่อมโยงน้ำใจซึ่งกันและกันจากการทำงานร่วมกันนักท่องเที่ยวเริ่มเดินทางเข้ามาเที่ยวในหมู่บ้านมากขึ้น แต่ก็มีจำนวนน้อยเท่านั้นที่จะเข้าไปถึงหมู่บ้านใหม่ ชาวบ้านบ้านเก่าจึงแบ่งที่ทางร้านขายของให้คนบ้านใหม่ได้วางขายของที่ระลึกช่วยให้คนบ้านใหม่ได้มีรายได้เพิ่มขึ้นอีกทางกลับมาที่บ้านห้วยเสือเฒ่า หมู่บ้านที่เคยมีถนนสองสายตั้งแต่สะพานจนถึงท้ายหมู่บ้าน บัดนี้ถูกยุบรวมให้เหลือสายเดียว อีกสายถูกปล่อยร้างเพราะกระยอต้องย้ายบ้านลงมาสร้างรวมกับกระยันเพื่อทดแทนบ้านหลังก่อนที่ถูกรื้อย้ายไป แม้บ้านที่สร้างขึ้นใหม่จะดูกลมกลืนจนนักท่องเที่ยวที่เคยมาหนแรกไม่เอะใจในความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น แต่ในความรู้สึกของชาวบ้านเองต่างก็รู้ว่าต้องใช้เวลาในการปรับตัวสำหรับที่ทางบ้านใหม่ นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในหมู่บ้านตั้งแต่เช้าตรู่ กว่าที่กลุ่มสุดท้ายจะออกจากหมู่บ้านก็มืดค่ำ บางวันชาวบ้านต้องจุดเทียนไขให้ความสว่างอยู่หน้าร้านขายของ  รายได้จากการขายของที่ระลึกของชาวบ้านห้วยเสือเฒ่าดูเหมือนจะได้เป็นกอบเป็นกำ มากกว่าอีกสองหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ไกลเมืองมากกว่า แต่ฉันก็ได้ยินชาวบ้านหลายคนบ่นว่ารายได้จากการขายของปีนี้ลดลงมากกว่าปีก่อนๆ ฉันนึกถึงความเป็นอยู่ของคนที่ย้ายไปซึ่งหากนับจำนวนรายได้ที่เคยได้รับในทุกๆ ปี พวกเขาย่อมรู้สึกอัตคัดกว่าเดิมเป็นหลายเท่าตัว แต่ในความอัตคัดนั้นฉันก็หวังว่าพวกเขาจะคิดถึงในส่วนที่พวกเขาได้ร่ำรวยมากกว่าคนที่นี่ ความร่ำรวยนั้นก็คืออิสรเสรีภาพแห่งการดำเนินชีวิต หากไม่ถือคติเสียว่า “เงิน” ซื้อได้ในทุกสิ่งเสียแล้ว การพออยู่พอกินด้วยการทำการเกษตรแม้จะเป็นการยากที่จะละความเคยชินจากการแค่ยืนอยู่หน้าร้านขายของและมีคนมายื่นเงินให้ถึงบ้านแล้วละก็ หยาดเหงื่อนั้นแหละที่จะมีกลิ่นหอมเสียยิ่งกว่าข้าวของเงินทองที่ได้มาโดยง่ายแต่การที่พวกเธอถูกนายทุนทำให้เป็นสินค้า ห่วงทองเหลืองมีค่าดุจทองคำ ซึ่งต่างจากชาวเขาเผ่าอื่นที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนทำมาหากินจากหยาดเหงื่อแรงงาน พวกเธอที่สวมห่วงทองคำเหล่านั้นจึงดูเหมือนฝากความหวังไว้กับการท่องเที่ยว มากกว่าการทำการเกษตรหรืออาชีพอื่นที่ต่างออกไปจากเดิมฉันไม่แปลกใจที่ทุกครั้งที่เข้าไปในหมู่บ้านคำถามที่จะได้ยินทุกครั้งคือเรื่อง “ถนน” ในมุมมองของชาวบ้านจึงหวังพึ่งเพียงให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเพื่อจะได้มีรายได้เหมือนเช่นเคยด้วยความเคยชิน สิ่งที่จะเปลี่ยนความเคยชินของชาวบ้านได้จึงต้องมีการคิดหาลู่ทางในการหารายได้รูปแบบอื่นๆ ซึ่งหน่วยงานราชการต้องมาสนับสนุนในด้านความรู้ เช่นการปลูกผักเพื่อขาย หรือส่งเสริมในเรื่องการทำหัตกรรม เป็นต้นแม้ว่าการปลูกผักสวนครัวทำการเกษตรเล็กๆ น้อยๆ ที่ทางเกษตรอำเภอมาสนับสนุนจะพอแบ่งเบาค่ากับข้าวของชาวบ้านไปได้ในบางส่วน แต่รายจ่ายในส่วนอื่นๆ เช่นค่าข้าวสาร ค่าลูกไปโรงเรียน ค่ารักษาพยาบาล ฯลฯ จำต้องจ่ายเป็นตัวเงินแทบทั้งสิ้น หากฉันเป็นชาวบ้านเองก็คงมองไม่เห็นหนทางหารายได้ที่รวดเร็ว ลงทุนน้อย และได้กำไรงามไปกว่าการหารายได้จากการท่องเที่ยวเป็นแน่ สิ่งที่ยากไปกว่านั้นก็คือ ความคิดเรื่องความพอเพียงในตรรกะของราชการที่มีต่อชาวบ้านนั้น สำหรับชาวบ้านแล้วเป็นความพอเพียงหรืออัตคัต?เพราะถ้าการปลูกผักไม้กินเป็นอาหารได้แล้วราชการมองว่า เป็นความพอเพียง ไม่ต้องมีรายได้จากการท่องเที่ยวก็ได้ ชาวบ้านก็จะสะท้อนความจริงว่า พวกเขายังมีรายจ่ายอะไรอีกบ้างในชีวิต ในวันที่ห่วงทองคำสีซีดจางลง ท้องของพวกเขาก็หิวโหยมากขึ้น อะไรจะอยู่ตรงกลางเป็นความพอเพียงที่แท้จริง เป็นคำถามที่ใครต้องเป็นผู้ขบคิด. 
เงาศิลป์
ฟืนท่อนใหญ่ถูกซุนเพิ่มเข้าไปอีกท่อน มันเป็นไม้ส้มเสี้ยวที่ถูกโค่นล้มลงเพราะขวางทางรถยนต์คันใหญ่ คนตัดบอกว่าไม้ชนิดนี้ยากที่จะแปรรูปเพราะเนื้อไม้บิดเป็นเกลียว ฉันจึงขอให้เขาตัดเป็นท่อนสั้นๆ เพื่อจะใช้ประโยชน์ตามแต่จะคิดได้ แต่พอลมหนาวทายทักแข็งขันมากขึ้น ฉันต้องตัดใจตัวเองจนเลือดซิบ ขณะที่ก้มลงลากมันมาใส่ไฟอย่างยากเย็น เพราะทั้งหนักและเสียดาย และรู้สึกผิดต่อตัวเองหมาน้อยสองตัวต้องการความอบอุ่นตลอดคืน ฉันเองก็ต้องการ แม้จะมีผ้าห่มแต่ก็ไม่เพียงพอที่จะกันหนาวได้ การใช้ฟืนดุ้นเล็กๆ คือภาระที่ต้องลุกขึ้นมาใส่ไฟเกือบตลอดเวลา ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันคงไม่มีเรี่ยวแรงเหลือไว้ทำงานในไร่ยามกลางวันอีกเป็นแน่ นั่นคือเหตุผลที่ต้องตัดใจ และให้อภัยตัวเอง แหงนหน้าดูดวงดาวที่พราวฟ้า ใครนะ ที่ช่างบอกว่าการดูดวงดาวเป็นความสุข อพิโถ...ฉันไม่มีความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น ความสุขของฉันสำหรับที่นี่คือการนั่งลงคุยกับเจ้าหมาน้อย ตอแยหยอกล้อกับมัน และการได้นอนหลับอย่างอบอุ่นสบายๆ ในคืนหนาวนั่นต่างหากเสียงนกหากินกลางคืนตะเบ็งร้องดังแก๊บ ๆ ๆ มาจากแนวต้นกุงสูงลิ่บลิ่วที่หน้ากระท่อม เสียงที่ใกล้ตัว สิ่งที่ใกล้ตาคือสัญญาณทั้งหลายที่ต้องนิ่งฟัง คืนไหนไม่มีเสียงนก ไม่มีแม้กระทั่งเสียงแมลง เป็นคืนที่ชวนหนาวในอกเป็นที่สุด  บางคืน..เสียงทั้งหลายที่ระเบ็งเซ็งแซ่อยู่รอบๆ กลับหยุดกึกเหมือนจังหวะดนตรีที่ถูกกำหนดให้เงียบเสียงโดยฉับพลัน รอเวลาโหมประโคมเครื่องอย่างครบครันอีกครั้ง ในนาทีต่อมา แต่ทว่าที่นี่กลับไม่ใช่เช่นนั้น มันคือความเงียบที่ยาวนาน เงียบจนวังเวง  จนขนหัวลุก ไม่มีที่ใดๆ ที่จะเงียบได้เท่านี้อีกแล้วบนโลกนี้ ฉันต้องค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ เพราะกลัวว่าเสียงหายใจจะดังเกินไปจนความเงียบนั้นได้ยิน และมันอาจค้นหาฉันจนเจอ แม้ฉันจะนอนอยู่ในมุ้งในห้องหับที่มิดชิดก็ตามที่นี่ คือโนนหมู่บ้านเก่า ที่คนละแวกนี้เรียกว่า “โนนบ้านคึม” มีเรื่องเล่ามากมายที่หลายคนไม่อยากจะพูดถึง แต่ฉันก็ยังพอจะรู้บ้างว่า สาเหตุที่ต้องกลายเป็นบ้านร้างเพราะว่า เมื่อ 40 ปี ก่อนนั้น มีการปล้นและฆ่าตายทั้งบ้าน ทางราชการจึงมาขอร้องให้ย้ายไปอยู่ริมถนนใหญ่ เหลือพื้นที่ทำกินเอาไว้ ที่พวกเขาแวะเวียนมาเมื่อถึงฤดูเพาะปลูกเท่านั้น การที่ฉันมาลงหลักปักฐานสร้างบ้านหลังน้อยอยู่ในนี้ จึงเป็นเรื่องที่น่าตกใจสำหรับใครๆ ที่รับรู้ โดยเฉพาะแม่ค้าในตลาดตามหมู่บ้านใกล้เคียง ที่มักจะต้องถามว่า “มาจากไหน” พอฉันตอบว่า “มาจากโนนบ้านคึม” ทุกคนจะตกใจ ร้องว่า “โอ้ อยู่ได้ยังไงน่ะ” ทีแรกฉันไม่รู้ว่า พวกเขาหมายความว่าอย่างไร แต่เมื่ออยู่นานไป ฉันเริ่มได้คำตอบ จนบางครั้งฉันต้องถามตัวเองว่า “คิดถูกหรือผิดกันแน่ที่มาอยู่ที่นี่” คำตอบที่ให้กับตัวเองคือ “ไม่ผิดหรอก เพราะถึงจะไม่ใช่ที่นี่ ฉันคงอยู่ที่ไหนสักแห่งที่มีสภาพไม่แตกต่างกัน” ฉันรู้จักตัวเองดี อะไรที่ง่ายดายฉันมักไม่ค่อยเลือกทำ วิญญาณนักผจญภัยตกยุคมันยังสิงฉันอยู่ คืนนี้ ลมหนาวชื่นโชยผ่านผิวเป็นระลอก สูดลึกเข้าไปในอกอย่างช้าๆ เพื่อเยียวยาความปวด...ล้า ของร่างกาย“ฉันเหนื่อย” รำพึงกับตัวเองเบาๆ อยู่ข้างใน เหนื่อยล้ากายแต่ใจแกร่งจะเป็นไรไป อีกใจตอบรับ ในเมื่อเพื่อนร่วมทุกข์ยังมีอีกเยอะแยะ โดยเฉพาะชาวไร่แถวนี้ พวกเขายังทุกข์ทั้งกายทั้งใจสาหัสกว่าฉันนักเมื่อวานนี้ น้องแดงสาวชาวไร่อ้อย แปลงที่อยู่ทางทิศใต้ของไร่ฉัน ขาดทุนไปแล้วล่ะ เพราะเธอต้องเช่าที่ดิน ต้องจ้างรถไถใหญ่มาไถที่ ต้องจ้างคนดายหญ้า ต้องจ้างคนตัดอ้อย ต้องจ้างคนขึ้นอ้อย (เอาอ้อยขึ้นรถบรรทุก) ต้องจ้างรถบรรทุก ต้องซื้อยาฆ่าหญ้า ทุกอย่างล้วนแต่เป็นเงิน เงิน และเงินที่ต้องจ่าย ตกแล้วต้นทุนไร่ละไม่ต่ำกว่า 4,500 บาท แต่ได้ผลผลิตไร่ละ ไม่ถึง 10 ตัน หรือได้เงินไร่ละไม่เกิน 6,000 บาท เรียกว่าเสียแรงเปล่า แถมยังเสียความรู้สึกที่ความฝันว่าจะได้กำเงินแสนต้องล่มสลายลงกลางแดดหนาว“ก็รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลชั่วคราว เขาก็บริหารแบบชั่วคราว ไม่ได้สนใจชาวไร่ชาวนาจริงๆ ไม่เหมือนสมัยรัฐบาลทักษิณ ราคาอ้อยได้ตั้ง 800 ถึง 900 บาท”นั่นคือข้อสังเกตของตาเก้ คนปลูกอ้อยอีกราย น้ำเสียงของเขาฟังดูแหบแห้งไร้ความหวัง เมื่อสะท้อนสภาพความเชื่อที่มีอยู่ในใจ ฉันนึกถึงใบไม้ที่ผุเปื่อย ที่ในที่สุดยังมีคุณค่าต่อแผ่นดินอีกครั้งเมื่อปลิดขั้วร่วงลงดิน เขาไม่ได้กล่าวยกย่องอดีตนายกฯคนนั้นมากไปกว่านี้ แต่ฉันเห็นเยื่อใยในน้ำเสียง ใช่สินะ...อะไรจะมัดใจคนได้มากไปกว่ารูปธรรมของผลประโยชน์ ที่พวกเขาได้รับ มุมมองของคนหาเช้ากินค่ำ คล้ายคนกำลังจะจมน้ำ แค่ขอนเล็กๆลอยมาใกล้เขาต้องคว้าเอาไว้ แม้ขอนนั้นจะเป็นเคลือบยาพิษชนิดกัดผิวอย่างรุนแรง หรือการแตะต้องอาจทำให้พิษกระจายทั่วสายน้ำ ใครเล่าจะหยุดฟังเสียงห้าม ที่ยืนตะโกนอยู่บนฝั่งแต่ไม่เคยลงมือช่วยเหลืออะไรเลย แถมยังบอกว่า “ว่ายเข้ามาซี ว่ายเข้ามา ฝั่งอยู่ทางนี้”ฝั่งน่ะรู้จัก แต่เรี่ยวแรงจวนจะหมดสิ้นแล้ว ท่านรู้บ้างไหม ฉันคิดย้อนไปไกลทั้งกระบวน ขณะที่มองภาพของตาเก้ที่ยืนนิ่ง เบื้องหลังมีเปลวไฟลุกโพลงประทุเปรี๊ยะๆ ไหม้ลามเลียใบอ้อยแห้งแผ่วงกว้างออกไปเรื่อยๆ  ยิ่งทำให้นึกถึง “เวทีสัมมนาเรื่องโลกร้อนที่เกาะบาหลี” เขาเป็นอีกคนที่ยังทนทานทำในสิ่งที่กลืนกินความหวังของตัวเองให้ร่อยหรอลงไปทุกปี โชคดีว่าเขายังมีที่ดิน มีรถแทรกเตอร์เป็นของตัวเอง ที่ได้มันมาครอบครองในสมัยที่เศรษฐกิจเฟื่องฟู ต้นทุนจึงต่ำกว่าของน้องแดงการทำไร่อ้อยของเขาไม่ต้องพูดว่าเพื่อจะร่ำรวย ขอแค่ปลดหนี้สินได้สักปีก็น่าจะเป็นบันไดไปสู่สวรรค์ ถามว่าทำไมไม่ลองปลูกพืชชนิดอื่นที่เป็นไม้ยืนต้น คำตอบคือ “ไม่มีเงินทุน” แต่ฉันรู้ว่าเบื้องหลังคำตอบยังมีเหตุผลอีกหลายอย่างที่ละเอียดอ่อน ยากที่ล้วงลึก โดยเฉพาะหนี้สินที่มีดอกเบี้ยงอกงามรวดเร็วกว่าดอกผลใดๆทำไมเขาจึงยากจน ทำไมเขาเป็นหนี้ ไม่ต้องค้นหาสาเหตุกันนักหรอก ถ้าเพียงยอมรับความจริงว่า “คนชนบทขายถูกและซื้อแพงกว่าเสมอ” แค่นี้ก็เห็นแล้วสังคมทุนนิยมไม่เคยปราณีเหยื่อของมันเลยแม้แต่คนเดียวหากเป็นนักธุรกิจเจ้าของโรงงาน เมื่อรู้ว่ากำลังขาดทุน อาจปิดโรงงาน ลอยแพคนงานให้ตกระกำลำบาก จนรัฐบาลต้องยื่นมือมาช่วย แต่ชาวสวนชาวไร่ทั้งหลาย ทำได้อย่างดีที่สุดก็แค่ลงมือทำซ้ำ ตราบใดที่ยังมีที่ดิน มีแหล่งกู้เงินให้กู้มาลงทุนเพิ่ม จนในที่สุด ต้องขายที่ดินเพื่อใช้หนี้ แล้วเร่ร่อนไปเป็นแรงงานรับจ้าง ตามวิถีทางแห่งโลกาวิบัติในเวลานี้เราลุกขึ้นมาพูดเรื่องสภาวะโลกร้อน ก่อนที่จะไปถึงตรงนั้นได้ โปรดจริงใจในการช่วยกันดับไฟ “ในหัวอกหัวใจ” ของชาวไร่ชาวนา กันเสียก่อนเถิดพี่น้องเอ๋ย 
พันธกุมภา
บุคลิกภายนอกและนิสัยภายในของเขา ไม่ได้บ่งบอกเลยว่าเขาจะมีท่าทีสนใจในธรรมะและปฏิบัติเจริญสติอย่างสม่ำเสมอ หลายๆ คนที่รู้จักเขาต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่น่าเป็นไปได้ที่เขาจะมีความคิดที่อยากบวชเรื่องของเขาน่าสนใจตรงที่ว่า อยู่ดีๆ เขาก็บอกกับข้าพเจ้าและเพื่อนๆ ที่ทำงานด้วยกันว่าอยากจะบวช เพื่อนคนนี้ของข้าพเจ้า แต่เดิมเป็นคนชอบเที่ยวกลางคืน ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ แถมขี้หลีอีกต่างหาก จนวันหนึ่งตัวเองได้ไปปฏิบัติวิปัสสนา, เวลา 10 วันของการปฏิบัติ ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไป เริ่มไม่เที่ยว เริ่มไม่ดื่มเหล้า แต่ยังคงความขี้หลีสาวๆ และสูบบุหรี่อยู่ทุกๆ คนต่างรับรู้อยู่อย่างห่างๆ ว่าเขาตั้งใจปฏิบัติ และเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงมากขึ้นๆ เช่น เริ่มซื้อหนังสือธรรมะมาอ่าน ชอบคุยเรื่องกฎแห่งกรรม คุยภาษาธรรม เรื่องสมาธิ เรื่องการเจริญสติ มิหนำซ้ำยังชอบเก็บตัวอยู่คนเดียว และช่วงหลังๆ กลายเป็นคนกินมังสวิรัติ ไม่ทานเนื้อสัตว์เลยข้าพเจ้าชื่นชมในความตั้งใจในธรรมปฏิบัติของเขาและเฝ้าภาวนาให้เขาได้พบกับหนทางแห่งการพ้นทุกข์อย่างแท้จริง ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าได้พบและได้สนทนากับเขาถึงผลของการปฏิบัติ “ผมก็นั่งสมาธิทำอานาปานสติแล้วก็ทำวิปัสสนาต่อ ตอนเช้าและก่อนนอนอย่างละเกือบชั่วโมง ส่วนตอนกลางวันก็ดูลมหายใจของตัวเองไปเรื่อยๆ เฝ้าดูจิตของตัวเองไปตลอด ให้รู้ตัว ทั่วพร้อมอยู่เสมอๆ” เขาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังและแนะนำให้ข้าพเจ้าลองปฏิบัติแบบเขา เขาเรียนรู้แนวทางปฏิบัติของพระอาจารย์หลายท่าน และเรียนรู้เรื่องสมาธิและวิปัสสนาหลายอย่าง เช่น เรื่องฌานสมาบัติ เรื่องนิวรณ์ 5 เรื่องสติปัฏฐานสี่ เรื่องมโนมยิทธิ หรือแม้แต่อภิญญา 6 และการถอดจิต ซึ่งข้าพเจ้าสงสัยว่าทำไมเขาต้องศึกษาเยอะมากมายขนาดนี้ “ลองศึกษาดูหลายๆ แนว คือถ้าเราจะปฏิบัติก็น่าจะรู้จักหลักต่างๆ ด้วย คือมีปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวท คือการปฏิบัติจะรู้ได้ว่าเราทำอะไรไปถึงไหน น่าจะลองศึกษาจากผู้รู้แล้วนำมาประยุกต์ให้เข้ากับตัวเอง ให้เข้ากับจริตของเรา” เขาตอบข้อสงสัยนั้นหลังจากที่ได้คุยกัน ข้าพเจ้าลองทำอย่างที่เขาแนะนำ และได้นำมาประยุกต์ให้เข้ากับชีวิตตัวเองในการดำเนินประจำวัน ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นการนำมาปรับได้อย่างลงตัว เหมาะเจาะอย่างยิ่งต่อมาไม่นานจากที่ได้พบกันครานั้น ข้าพเจ้าทราบข่าวว่าเขาต้องการที่จะบวช ด้วยเหตุผลที่ว่าหลังจากไปชมภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่อง “พระพุทธเจ้า” แล้ว เขาก็ปลื้มและอยากเป็นสาวกสงฆ์ของพระพุทธเจ้า และอยากหาทางพ้นทุกข์ในร่มกาสาวพัตรอย่างจริงจังหลายคนที่ทราบข่าวของเขาต่างพูดคุยกันไปต่างๆ นานา บ้างเห็นด้วย อนุโมทนา บ้างไม่เห็นด้วยเพราะอยากให้เขาทำงานที่รับผิดชอบให้เสร็จเสียก่อนค่อยบวช หนักกว่านั้นคือทั้งพ่อและแม่ของเขาต่างไม่อยากให้ลูกชายของตนบวชเพราะเหตุผลอะไรก็ไม่อาจทราบได้“ถึงเราบวชกายไม่ได้ เราบวชที่ใจเราไหม” มีคนหนึ่งเสนอแนะเขา“อื้ม ครับ ผมไม่ลังเลใจที่จะบวชนะครับ แต่ผมกลัวว่าวันหนึ่งถ้าผมเป็นอะไรไปแล้วไม่ได้บวชคงจะเสียใจ ผมเปลี่ยนแปลงไปเพราะธรรมะของพระพุทธเจ้า ถ้าผมไมได้รู้ ไม่ได้ปฏิบัติ ผมคงเป็นคนโง่เขลาที่กิน เที่ยว เล่นไปวันๆ ผมคิดมาตลอดว่าการกินเที่ยวเล่นมันเป็นความสุขจริงๆ แต่ที่ไหนได้ มันเป็นแค่สุขทางโลกจอมปลอม ไม่ได้แก้ทุกข์ของเราได้จริงๆ” เขาตอบกลับเพื่อนผู้นั้น พร้อมกับพูดเสริมว่า “พ่อแม่ไม่ให้บวชก็ค่อยว่ากัน แต่ยังไงผมก็อยากบวช เหตุผลมันตอบไม่ได้ มันมาจากความรู้สึก”วันหนึ่งเขาโทรศัพท์มาถามเพื่อนทางธรรมเช่นข้าพเจ้าว่าควรทำยังไงดี เขาอยากบวชแต่มีงาน มีพ่อแม่เป็นอุปสรรค เขาบอกว่าเขาคิดเหมือนดั่งมีมารมาขวางหรือเทวดามาทดสอบจิตใจจริงๆ ว่าเขาอยากบวชจริงแท้ขนาดไหนกัน เป็นความคิดชั่ววูบหรือเป็นศรัทธาจริงๆ เขาถาม ข้าพเจ้าตอบ“เอายังไงดีครับ” “ลองปฏิบัติต่อไปอีกนิดไหม ดูจิตของตัวเองไปเรื่อยๆ”“แล้วถ้าผมจะบวชแล้วไม่สึกหรือหนีไปเลยไม่ต้องบอกใครจะดีไหม”“จะดีเหรอ ถ้าเราบวชแล้ว ทำให้คนอื่นทุกข์ หรือเบียดเบียนเขามันก็เป็นการสร้างทุกข์ให้คนอื่นนะ”“ลองไปอยู่วัดจะดีไหม”“ดี ไปเลย”“ถ้าไม่อยากบวชล่ะ”“ก็ไม่ต้องบวช บวชใจก็ดีนะ”“บวชใจ เป็นยังไง”“หมั่นให้ทาน รักษาศีล ปฏิบัติภาวนาสม่ำเสมอเป็นฆราวาสก็ทำได้ บวชใจ การบวชไม่ได้อยู่ว่าจะใส่ผ้าเหลือง โกนหัว เราเป็นแบบเรา เราก็เป็นพระได้ พระอยู่ที่ใจ บวชที่ใจ ให้ธรรมอยู่ที่ใจเรา”“แต่กิเลสเยอะ” “ยังไง”“กาม โกรธ เกลียด”“แล้ว....”“บวชเป็นพระอยู่วัดป่าจะได้ไม่ต้องมีผัสสะ ไม่มีทุกข์ กิเลส โทสะ มากระทบจิตให้เกิดปรุงแต่ง”“แสดงว่าบวชหนีปัญหา ทำไมไม่เผชิญกับมัน ต่อสู้มัน เอาชนะให้ได้”“กลัวทำไม่ได้”“ทำไม”“เราอายุยี่สิบสองปีเท่ากัน เรายังเป็นหนุ่ม เป็นวัยรุ่น โอกาสที่จะเกิดอะไรที่กิเลสพาไปมันมีเยอะ สภาพแวดล้อมมันไม่เอื้อต่อการปฏิบัติ มันไม่สัปปายะดีพอ”“ใช่” “ผมเลยอยากบวช”“อื้ม.........”“แล้วจะบวชดีไหมละตอนนี้”“ยังๆ........ รอจังหวะไปก่อน พ่อกับแม่สำคัญ การบวชต้องได้รับความเห็นชอบจากเขา”“พูดหยั่งกับตัวเองจะบวชแล้วพ่อกับแม่ไม่ให้บวชเลยเนอะ”“ใช่, อยากบวชเหมือนกันแต่พ่อกับแม่ไม่ให้บวช”“.........”“..........”“บุพการีไม่ให้บวช แต่อยากบวช ทำยังไงดีล่ะ” ใครคนหนึ่งพูดก่อนที่ความเงียบจะมาเยือน....... 
ชาน่า
สังคมที่เปิดกว้างและยอมรับโลกแห่งความเป็นจริงได้เกิดขึ้นอีกระดับหนึ่ง เมื่อได้เห็นหนังไทย หนังดี หนังเด่นแนวหน้าแห่งปีนี้  เรื่อง “รักแห่งสยาม” หนังที่สะท้อนให้เห็นถึงความรักหลากอารมณ์ ของสังคมเมืองไทย ในความเหมือนที่แตกต่างของสังคม(อีกแล้วครับท่าน) เป็นกระแสแรงได้จิต สั่นสะเทือนหลายริกเตอร์ เขย่าให้เห็นถึงภาพสะท้อนของสังคมไทยในยุคปัจจุบัน  เมื่อ  “รักแห่งสยาม”  ผ่านสายตามหาชน   ทั้งพลพรรคคนรักเกย์ แอนตี้เกย์ รักครอบครัว รักเพื่อน รักแฟน รักเพศไหนๆ ยังไงก็ตาม“คงเป็นหนังวัยรุ่นกุ๊กกิ๊ก ทั่ว ๆ ไป  สปอยหรือเปล่าน๊า”“แหวะ ... หนังเกย์ แน่ ๆ เลยเท้อออ !”“โอ้โห ... อยากไปดูแต่ กลัวคนอื่นคิดว่า เราเป็นเกย์  ไปดูหนังเกย์รึเปล่า”มากมายหลายเสียงของผู้บริโภคหนังก่อนเข้าชมเรื่องนี้..“รักแห่งสยาม” เป็นหนังรักดรามา แนวครอบครัวมากกว่าแค่เรื่องเกย์ (เท่านั้น)  ผลงานการกำกับของ “มะเดี่ยว”  ผู้ซึ่งไม่เคยทำให้อิชั้นผิดหวัง จากผลงานที่ผ่านมาหลาย ๆ เรื่องอย่างคนผีปีศาจ 12, 13 และงานเขียนบทในบอดี้ ศพ 19เรื่องนี้ยิ่งโดนอย่างหนักสำหรับชีวิต ความรักและสิ่งที่เกี่ยวข้องกับ เพศเกย์ของใครหลายคนในสังคม  ไม่ว่าจะเริ่มจากครอบครัวเป็นฐานแรก   การเริ่มเรื่องเป็นไปอย่างนิ่ม ๆ แต่ทำให้คิดตามตลอดและในใจก็ลุ้นว่าจะคลายแม็กซ์ อย่างไร    แค่เริ่มเรื่องก็ดรามา แสดงถึงความโศกเศร้าของครอบครัวที่สูญเสียคนรัก  เรียกได้ว่าจนไม่เป็นอันจะกินจะนอน  อิทธิพลของความรักนั้นบันดาลให้เราทำได้หลายอย่างแม้กระทั่ง ความต้องการตอบสนองทางใจ  ยังคิดว่า “คนที่จากไป” จะหวนกลับมาสักวันจงได้คุณนก สินจัย และคุณกบ นักแสดงรุ่นเดอะ ที่ฝีมือไม่เคยตก ซีนอารมณ์นี้กินขาด เริ่ดได้โล่ห์ฮ่ะพี่นก  ส่วนพี่กบใช่ย่อยไม่ทิ้งกันจริงๆ   นอกจากรุ่นเดอะแล้วก็ตามสมทบด้วยนักแสดงรุ่นกลางอย่าง พลอย  เฌอมาลย์ก็เล่นได้เนียน  และตัวชูโรงนำเรื่องคือสองหนุ่มน้อยหน้าใส วัยเยาว์ ที่รับบทโต้งกับมิว  แม้จะดูขัดๆ ในตอนเริ่มต้น แต่พอดูไปเรื่อยทั้งสองคนสามารถตีบทของตัวเองได้ดีเล่นได้เป็นธรรมชาติสามารถเห็นฝีมืออย่างพัฒนาในเรื่องได้เลย   มีฉาก “จูบสะท้านฟ้า โลกาสั่นสะเทือน”  เรียกเสียงกรี๊ดดดดดดดด จากชะนีโดยไม่ได้นัดหมาย  และเป็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์กระฉ่อน บอกแล้วเรื่องเกย์ๆ เดี๋ยวนี้มักจะโดนสังคมพิพากษา ตัดสิน ส่วนนักแสดงสาวที่รับบทหญิง ที่ดูงุ้งงิ้งแอ๊บแบ๊ว น่าประทับใจวัยใส วัยทีน รุ่นหลานเชียว   ฉากที่ทำให้เราเห็นถึงกิจกรรมในโรงเรียน ขาสั้นคอซอง  แม้จะผ่านมาร่วมสิบกว่าปี ยังคงประทับใจ ในความรู้สึก “ช่วงหนึ่งของวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ” ผู้กำกับถ่ายทอดได้ดีหลาย ๆ ฉากไม่ว่าจะเป็นฉากเด็กใส่ชุดพละนั่งเรียนด้านล่างตึก โดยมีครูเรียกนักเรียนออกมาสาธิต   ฉากเด็กผู้ชายแกล้งน้องมิววัยเด็กในห้องน้ำ  (ทำให้นึกถึงหนังเรื่อง  “แฟนฉัน” เอาซะมากและอยากกลับไปเป็นนักเรียนเหมือนเดิม) ฉากซ้อมดนตรี มีบทสนทนาเรียกได้ว่า แบบเด็กแนวเค้าล่ะ  “หยาม อะเพ่”    เอาล่ะฮ่ะ กลับเข้ามาที่ประเด็นอันเกี่ยวข้องของชาวเรากัน เนื้อเรื่องของหนังหากจะบอกว่าเป็น “Love Actually เวอร์ชั่นไทย” ก็คงไปเพี้ยนไปมาก ที่สะท้อนให้เห็นถึงความรักอันมีมากมายหลายคู่  หากแต่เรื่องนี้มีตัวเอกสองคนที่มีความรักแบบชายรักชายมาเป็นแกนหลักในการดำเนินเรื่อง(แบบธรรมดาพี่เดี่ยวไม่ นี่หละใช่เลย ให้สังคมได้มีเรื่องเม้าท์แตก และแฝงอยู่ในความเป็นจริงค๊า)  มันก็เลยถูกมองว่าเป็นหนังเกย์แบบช่วยไม่ได้   ส่วนตัวแล้วขอยกนิ้วปรบมือ พนมวันทา คารวะให้พี่มะเดี่ยวและทีมงานช่างกล้า  ที่กล้าทำหนังที่แตกต่างอย่างเป็นตัวของตัวเองแบบนี้  โดยไม่สนใจต่อคำตัดสินและข้อหา ครหา ประชาวิจารณ์เกย์ในสังคมไทยฉาก  “จูบใครคิดว่าไม่สำคัญแต่ถ้าคุณจูบฉันทำเอา คนดู ผู้ปกครอง น้องนี (หญิงจริง) สั่นสะท้านทั่วสยามประเทศ”  บ้างก็นั่งตีลังกา ปูเสื่อต่อต้านว่าแรงเกินรับได้  นั่นเค้าเป็นเด็กนักเรียน  แล้วจะทำให้เด็กที่ไม่ได้อยู่ในความดูแลของผู้ปกครองจะเคลิ้มตาม  หรือชักนำในทางที่ผิดหรือเปล่า (เสียงของกลุ่มผู้ไม่เห็นด้วย)  ส่วนบางคนก็บอกว่า  “เกิดฮ่า”  ถ้าไม่มีฉากนี้แล้ว จะทำให้ สุนีย์ กล้าที่จะไปเรียกมิวมาคุยได้เยี่ยงไรลือ  ดีที่ไม่เป็นฉากเลิฟซีนอินดอร์  นอกดอร์ (indoor – outdoor sex) หากเป็นเช่นนั้น กระทรวงวัฒนธรรมคงหาได้ให้ผ่านไม่  (เช่นเคย)  แต่ฉากนี้หละที่สีหน้าของสุนีย์ตอนเห็นภาพนั้น อึ้งเหน็บหนาว ชา ไปทั้งตัวและหัวใจกับสิ่งที่คาดไม่ถึง มันสะท้อนถึงคนที่ใจสลาย  ชาน่าเข้าใจ (อย่างดีค่ะ) ถึงได้ไม่ยอมบอกทางบ้านให้รับรู้ว่า ตัวตนที่แท้จริงของชาน่า คือใคร  เห็นแล้วก็เข้าใจถึงความรู้สึกพ่อและแม่  จนขนลุกซู่ อินสุด ๆ โดนอย่างแรงเลยเจ้า       ส่วนตัวแล้ว  ความรักที่ขาดหายไป หรือความต้องการทางจิตหวั่นไหว เริ่มไขว้เขวของโต้ง กับมิว เด็กชายโรงเรียนมัธยมชายล้วน  บวกกับชีวิตทางครอบครัวที่ต้องการใครสักคนมาเติมเต็ม  ชาน่าว่ามีส่วนเกี่ยวกันได้เชียวหละค่ะ  ความรับผิดชอบต่อสังคม (ไทย)  ชาน่าว่า  “ชายไทย” คนที่ดูหนังเรื่องนี้แล้ว คงไม่ได้รับเชื้อเกย์สายพันธุ์ใหม่   ชนิดที่ออกจากโรงแล้ว แพร่ระบาด  “แต๋ว  เกย์ นะฮ๊ะ ติดโรคแล้วย่ะ”  เพราะคนจะเป็นยังไงก็เป็น คนไม่เป็นยังไงก็ไม่เป็นนอกจากจะอยากลองของ หลายคนคงพอจะทราบว่า  เกย์  แอบ แบบไทย ๆ ก็มีมาตั้งแต่บรรพบุรุษ หรือแม้แต่ สมัยกรีก กี่พันๆ ปีมาแล้วก็ยังมีหลักฐานมากมายหลงเหลือไว้ให้เห็นหากจะยอมรับและเปิดใจให้กว้างที่จะมองคนอื่นบ้าง   ถ้ามีเวลาว่างก็มองคนในครอบครัวก่อนละกัน  คนบางคนหัวโบ และแอนตี้สุดๆ ถึงขนาด ดูถูก เหยียดหยาม  ระวังบาปกรรมจะตกกับคนใกล้ตัวนะเจ้าค่ะ       ชาน่าอยากฝากถึงน้องๆ ชายไทยวัยทีนทั้งหลายว่า  หากจะลองรัก ลองเป็น หรือหวั่นไหว  หรืออยากกลับใจไปเป็นชายแม้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์  แต่ถ้าคนเรามีทางเลือกได้ก็ขอให้น้อง ๆ เลือกทำในสิ่งที่ดี เหมือนกับการเลือกทางเดินของชีวิต  กากบาทข้อที่ถูกต้องที่สุดนะน้อง  ถ้ากลับใจไปเป็นชายได้ยินดียิ่ง หากมันฝืนหรือทำให้เป็นทุกข์ ทรมาน ชีวิตมันแสนสั้นจะเลือกทำตามใจต้องการขอให้เป็นคนดี มีศีลก็สุดแล้วแต่ใจจะไขว่คว้า  พูดยากค่ะลองฟังเสียงของคนที่ชอบหนังเรื่องนี้กันค่ะ  “ประทับใจจอร์จ  ไม่เคยคิดว่า จะซึ้งจนน้ำตาเกือบไหลกับตัวเอกที่เป็นเกย์สองคน”ดูเรื่องนี้จบแล้วย้อนมองวิถีและทางเลือกของตัวเอง มันใช่เลย กับความรู้สึกเหงา เศร้า อิ่ม อบอุ่น ซึ้ง มีความสุข จนแยกไม่ออก”“ตอนจบของเรื่องถึงจะเศร้าแต่เดี๊ยนว่า มันก็จบแบบไทยดีนะ ซึ่งสะท้อนว่า สังคมเราอาจจะยังไม่ยอมรับการคบกันแบบเปิดเผยของชายรักชาย   กลุ่มรักร่วมเพศ ไม้ป่าเดียวกันยังถูกประชาฟันธง พิพากษา ว่าคนนอกรีต  จิตเบี่ยงเบน  ชนกลุ่มน้อย”“รักและชอบหนังเรื่องนี้จริงๆ ในรอบหลายสิบปีที่ดูหนังไทย  แม้ตัวเองจะเป็นหญิงจริง  แต่เพื่อนที่เป็นชายก็คิดว่า  คนส่วนมากที่ชอบเป็นเกย์หรือเปล่า”ดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัวเอง แน่นอนค่ะ ว่าหนังเรื่องนี้ เกี่ยวข้องกับใครหลายคน  ไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครอง  เพื่อนหญิงจริงที่รักชาย  ชายรักชาย  พี่รักน้อง น้องรักพี่ เพื่อนรักเพื่อน นี่ล่ะหนังไทยดรามา ที่แม้หนังจะจบแล้วแต่คนดู ยังไม่จบ เคยมั้ยคะ ที่พอหนังจบแล้วต้องกลับไปม้วนหน้าตีลังกา ครุ่นคิด สามวันเจ็ดวันว่า  มันเกี่ยวข้องกับตัวเองและตัวละครอย่างไร  เก็บเอาสิ่งที่ได้สาระแก่นสาร มาปรับให้เข้ากับชีวิตในโลกของความเป็นจริงให้มากที่สุด หรือแม้แต่จะดูเพื่อความบันเทิงแต่แฝงไว้ด้วยแง่คิดมากมายหลากหลาย  เหมือนดังตอนฉากสุดท้ายที่คอนเสิร์ต หลังจากหญิงปล่อยมือโต้งให้เดินจากไปหามิว หญิงกลับมาที่ลานจอดรถพร้อมกับร้องไห้และบอกเพื่อนโต้งที่ถามหาโต้งว่า “โต้งกลับบ้านไปแล้ว"แต่เพื่อนโต้งอีกคนบอกว่า "โต้งไปหาซานตาคลอสต่างหาก" ถ้าหากมิว คือซานตาคลอส ของโต้ง ย่อมเท่ากับโต้งไปหามิวอาจจะไม่ใช่วันนี้ หรือจะเป็นวันหน้า    อนาคตของเด็กสองคนนี้จะเป็นเช่นไร   ตัวละครยังคงดำเนินต่อไป และมีชีวิตอยู่ในสังคมไทย   ใน “สยาม”  โดยที่ไม่มีใครรู้นอกจาก ตัวตนที่แท้จริงของเค้าเองเท่านั้นค่ะใครคิดเห็นเช่นไรบอกกล่าวกันได้   เพราะเมืองไทย สยามเมืองยิ้มสุดแสนเสรี  ด้วยรักและห่วงสยาม  ชาน่า ทักทายจากประเทศอเมริกา รัฐฟลอริด้า  (กลับมาทำงานต่ออีกแล้วของชีวิตนางแบก)
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
..ผมพยายาม ถ่ายภาพ Panorama ,2 เฟรม 3 เฟรม ..ก่อนอื่นตั้งโจทย์ในใจว่าจะเก็บมุมใดบ้าง ,ด้วยการมองวิวนานกว่า 5 นาที ...ภาพวิว ดูแล้วเหมือนกับภาพที่หาได้ทั่วไป ..ซ้ำๆ แต่เหมาะสำหรับฝึกฝนการถ่ายภาพ(อย่างน้อย ใครคนหนึ่ง ว่าเอาไว้อย่างนั้น)การถ่าย panor ต้องเริ่มด้วยการจัดองค์ประกอบภาพ ..ให้ได้ทุกอย่างครบตามที่คิด..คะเนเอาตามประสบการณ์ ว่าจะต้องถ่ายกี่ช็อต ..หามุมให้ลงตัวกับการเหลื่อมซ้อนของภาพ ก่อนนำมาปะติดปะต่อ ..จุดสำคัญต้องได้แสงสีที่กลมกลืนกันพอดีดังนั้น จึงต้องมีพื้นฐานของการตั้งค่าแสง อย่างสมเหตุผล ..กล่าวกันว่า การถ่ายภาพ panor ไม่มีสูตรตายตัว ขึ้นอยู่ที่ประสบการณ์และพื้นฐานการถ่ายภาพขาตั้งกล้อง ความนิ่งและการกวาดเลนส์ไปตามแนวภาพ ..ไม่ยากและไม่ง่าย เกินไปนัก ..((คลิกที่ภาพเพื่อดูรูปขนาดใหญ่)) ตัวอำเภอคลองสน จ.ตราด ชายแดนเกาะกง ถ่ายลงมาจากมุมสูง บนสะพานพระราม8 วันลอยกระทง ,ภาพนี้มืดเกินไปเพราะพยายามไม่ให้แสงไฟฟุ้ง ปากน้ำปัตตานี เรือประมงและคนมุสลิม ,ภาพนี้ยืนถ่ายบนสะพาน ภูกระดึง ในเช้าที่สายหมอกกระจายฟุ้ง 
เมธัส บัวชุม
ผมรู้สึกประหลาดใจ คาดไม่ถึง เหลือเชื่อ รับไม่ได้ ต่อบทความของศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันจันทร์ ที่ 25 พฤศจิกายน 2550  ผมอ่านอย่างตั้งใจทีคำ ทีละประโยค  เมื่ออ่านจบแล้ว ได้แต่ส่ายหัว บ่นงึมงัมอยู่คนเดียวว่านิธิ เอียวศรีวงศ์ได้เขียนอย่างที่เขียนไปแล้วได้อย่างไร เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า นิธิ  เอียวศรีวงศ์ ในวัยชรา ได้ทำลายตัวเองด้วยการเขียนบทความอันน่าสะอิดสะเอียนเพื่อชื่นชม คุณอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อย่างหน้ามืดตามัว เขาเขียนว่า“คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะแสดงความเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป (ภายใต้สภาวการณ์ดังที่เป็นอยู่ในขณะนี้ คือภายใต้ระบบราชการซึ่งมีกองทัพเป็นผู้นำ) มาอย่างน้อยสามเรื่องแล้ว คุณอภิสิทธิ์เสนอให้ยกเลิกกฎอัยการศึกเสีย เมื่อจะจัดให้มีการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม,คุณอภิสิทธิ์คัดค้านร่าง พ.ร.บ.ความมั่นคงและสัญญาว่าจะแก้ไขเมื่อได้เป็นรัฐบาล และไม่กี่วันมานี้ คุณอภิสิทธิ์แสดงความไม่เห็นด้วยกับ กกต.ที่แนะนำมิให้นักการเมืองใช้ 111 อดีตผู้บริหาร ทรท.เป็นสื่อในการหาเสียง”นิธิ  เอียวศรีวงศ์ เชื่อจริงๆ หรือว่า ทั้งสามเรื่องข้างต้นอันเป็นการแสดงถึง ความสง่างามและความเหมาะสมกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นิธิ  เอียวศรีวงศ์ไม่ถามตัวเองเลยหรือว่าทั้งสามเรื่องข้างต้นนั้นเป็น “ความตั้งใจ” ของอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ จริง ๆ  หรือเป็นแค่โวหารประชาธิปไตยเพื่อเรียกคะแนนชื่นชมเท่านั้น ?  นอกจากให้สัมภาษณ์ไปตามเรื่องตามราวตามแผนการตลาดแล้ว ที่ผ่าน ๆ มา นิธิ  เอียวศรีวงศ์ เคยเห็นคนอย่างอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ เคลื่อนไหวเรียกร้องอะไรเพื่อประชาธิปไตยมาก่อนบ้างหรือไม่ ? นิธิ  เอียวศรีวงศ์ ลืมไปแล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์เคยสร้างผลงานอะไรไว้หรือไม่เคยสร้างผลงานอะไรไว้บ้างในอดีต นิธิ เอียวศรีวงศ์ จำไม่ได้หรือว่า คนอย่างอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ นั้นเคยให้การสนับสนุนการยึดอำนาจของทหารจากรัฐบาลที่ผ่านการเลือกตั้ง เป็นผู้สนับสนุนมาตรา 7  ที่เปิดโอกาสให้คนนอกเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี และสนับสนุนรัฐธรรมนูญปี 2550 อันเป็นรัฐธรรมนูญบัดซบที่นิธิ  เอียวศรีวงศ์ ได้คัดค้านอย่างแข็งขัน!อย่างไม่ปิดบัง นิธิ เอียวศรีวงศ์ เขียนบทความชิ้นนี้ออกมาก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 23 ธันวาคม 2550  เขาแสดงจุดยืนของเขาออกมาแล้วว่าต้องการให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีหรือพรรคใดควรจะเป็นรัฐบาล ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบทความชิ้นนี้ถูกเขียนด้วยรสนิยมทางการเมืองที่แย่เอามาก ๆ และทำลายหลักการอย่างร้ายแรงไม่ต่างอะไรกับที่พรรคประชาธิปัตย์และคมช.กระทำต่อประชาธิปไตยอันที่จริงการแสดงจุดยืนหรือรสนิยมทางการเมืองของตัวเองออกมาเป็นเรื่องธรรมดา ถือเป็นเรื่องที่ดีด้วยซ้ำ แต่การเชียร์อย่างมืดบอดแบบนี้ของนิธิ  เอียวศรีวงศ์ นับเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจกระทั่งสมควรประณาม และเมื่อคิดว่านิธิ  เอียวศรีวงศ์เป็นนักวิชาการอันดับต้น  ๆ ของประเทศ ที่พูดหรือเขียนมีคนฟังคนอ่านและคนคล้อยตาม เป็นนักวิชาการที่ถูกคาดหวังว่ามีความเป็นกลางหรืออย่างน้อยก็ยึดควรหลักการ ไม่โอนเอียงไปฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง แต่แล้วนิธิ  เอียวศรีวงศ์ ก็แสดงตัวตนออกมาไม่ต่างอะไรจากนักการเมืองมากไปกว่าการแสดงจุดยืนแบบปัจเจกชนของนิธิ  เอียวศรีวงศ์ การเขียนบทความผ่านสื่อ คือการโน้มน้าวชักจูงใจ(อาจเรียกได้ว่าหลอก)คนอ่าน ตลอดจนศิษยานุศิษย์ของเขาให้คล้อยตามเห็นดีเห็นงามไปกับเขาว่าคุณอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ มีความเหมาะสมกว่าใครอื่นในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนิธิ  เอียวศรีวงศ์ ไม่ได้คำนึงถึงเรื่องหิริโอตตัปปะเลยสักนิดเดียว ดังนั้นเขาจึงดั้นด้นเขียนต่อไปว่า“นายกรัฐมนตรีคนใหม่ต้องกล้าเผชิญกับแรงกดดันจากกองทัพ รวมทั้งแรงกดดันจากองค์กรอิสระอีกมากที่คณะรัฐประหารตั้งขึ้น อย่างอาจหาญและมีศักดิ์ศรีด้วย ดังที่คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้แสดงให้เห็นอย่างนุ่มนวล แต่สง่างามในครั้งนี้ความนุ่มนวลก็มีความสำคัญ” คำกล่าวข้างต้นอาจทำให้ผู้อ่านสำรอกได้เลยทีเดียว เพราะนิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้เสกคาถาให้คุณอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ กลายเป็นบุคคลที่ “อาจหาญและมีศักดิ์ศรี” กับ “นุ่มนวลแต่สง่างาม” แบบไม่ต้องคิดมากไปแล้วในพริบตา  อันที่จริงหากจะมองหาความดีของใครสักคนแล้วนำมายกย่องเทิดทูนนั้น คนทุกคนสามารถที่จะถูกยกย่องได้หมด  เพราะคนทุกคนย่อมมีทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีในชีวิตปะปนกันไป ไม่เว้นแม้แต่โจร ไม่เว้นแม้แต่คุณทักษิณ  ชินวัตร และคุณอภิทธิ์  เวชชาชีวะ การที่นิธิ  เอียวศรีวงศ์มองเห็นแต่ความดีของอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ  และมองเห็นแต่ความไม่ดีของคุณทักษิณ  ชินวัตร นั้นหมายความว่าอย่างไร?มันคงไม่ได้หมายความว่าอย่างไร นอกจากหมายความว่านิธิ  เอียวศรีวงศ์ ชอบอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลก็เท่านั้นเอง  แม้ว่าจะต้องเขียนบทความเชียร์ที่เต็มไปด้วยอคติอย่างน่าเกลียด เขาก็ยอมทำในท้ายยบทความ นิธิ  เอียวศรีวงศ์ ชื่นชมคุณ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และแขวะคู่แข่งอย่างคุณสมัคร สุนทรเวชไปพร้อมกันว่า“แม้ว่าการปลดปล่อยการเมืองไทยออกจากระบบราชการ และกองทัพเป็นภารกิจเร่งด่วนและสำคัญสุดยอด แต่เราควรหลีกเลี่ยงการปะทะนองเลือดกับกองทัพอย่างที่เคยเกิดมาแล้วในเหตุการณ์ 14 ตุลาและพฤษภาทมิฬ ทั้งสองครั้งที่ผ่านมาล้วนอยู่ภายใต้นายกรัฐมนตรีที่เป็นคนของกองทัพเอง ซึ่งทำให้หลีกเลี่ยงการปะทะได้ยากขึ้น ความนุ่มนวลแต่แกร่งกล้าของคุณอภิสิทธิ์อาจช่วยให้คุณอภิสิทธิ์สามารถนำทหารกลับกรมกองโดยสงบ และสร้างระบบราชการให้เป็นเครื่องมือที่ซื่อสัตย์และมีประสิทธิภาพ เพื่อสนองนโยบายที่ประชาชนสร้างขึ้นผ่านกระบวนการทางการเมืองได้ และนี่เป็นข้อได้เปรียบของคุณอภิสิทธิ์เหนือคู่แข่งที่แสดงอาการแข็งกร้าวหยาบคาย เพราะโอกาสที่เราจะดันทหารกลับกรมกองโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อนั้นมีอยู่”ถ้าคุณยังคิดว่านักวิชาการเป็นบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ และน่าเชื่อถือศรัทธา อ่านบทความของนิธิ  เอียวศรีวงศ์ ชิ้นนี้แล้วคุณจะรู้ว่าความคิด ความเชื่อในเรื่องนี้นั้นไม่ถูกต้องเอาเสียเลย ตรงกันข้ามทีเดียว นักวิชาการเป็นกลุ่มที่สมควรประณามเป็นอันดับต้น ๆ ในบางกรณีนั้นสมควรถูกประณามมากกว่านักการเมืองเสียอีก. 
แพร จารุ
ฉันได้รับหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อว่า อาหารบ้านฉัน  เป็นสูตรอาหารพื้นถิ่น ของกินจากป่าหลังบ้าน และที่สำคัญกว่านั้น เขียนว่าอร่อยไปถึงหัวใจ “ฉันเติบโตมาจากอาหารที่หลังบ้าน เธออยากรู้ไหมว่า อาหารบ้านฉันอร่อยแค่ไหน  เธอไม่ต้องกลัวหรอก บ้านฉันมีอาหารมากมาย กินกันอย่างไม่หมด” หนังสือเล่มนี้ มีผู้ร่วมดูแลหรือผู้ร่วมทำงานด้วย เขาคือ ธนภูมิ อโศกตระกูล เป็นคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญด้านอาหาร โดยเฉพาะอาหารสุขภาพ การกินอยู่แบบง่าย ๆ เช่น จานอร่อยปลอดเนื้อ มหัศจรรย์แห่งเต้าหู้ เจไม่จำเจ เป็นต้นธนภูมิ อโศกตระกูลเขาเล่าว่า “ได้เข้ามาเที่ยวในแม่เหียะใน เมื่อประมาณสองปีที่แล้ว หลังจากนั้นผมก็ได้ไปเที่ยวที่นั่นบ่อย ๆ และได้รู้จักกับปวีณา พรหมเมตจิต และได้ทำกับข้าวกินกัน มีความประทับใจในบรรยากาศของสถานที่และชีวิตผู้คน ผมเข้าไปบ่อยมาก ๆ โดยส่วนตัวผมเขียนเกี่ยวกับเรื่องอาหารอยู่แล้ว และรู้ว่าปวีณา เรียนคหกรรมที่มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงใหม่ แล้วน้องเขาเป็นคนที่ชอบทำอาหารก็เลยชวนให้น้องรวบรวมสูตรอาหารของหมู่บ้านที่เกิดที่กินมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยและเขียนขึ้นมาเราทดลองทำอาหารที่รวบรวมรายชื่อขึ้นมาได้ที่ละอย่างสองอย่าง แม่ผู้ใหญ่หลาย ๆ คนในหมู่บ้านพวกป้า ๆ น้า ๆ มาชวนทำช่วยชิมและเล่าเรื่องอาหารต่าง ๆ เช่น กินไปคุยไป ป้าดวนบอกว่า ตำน้ำพริกแล้วไม่ละเอียดก็จะหาผัวไม่ได้ และยังมีเรื่องเล่าในอาหารอีกมากมาย  ดังนั้น นอกจากมีสูตรอาหารแล้วเราพบว่าในอาหารมีเรื่องราวมากมาย ผมได้ช่วยดูแลต้นฉบับน้อง และได้ติดต่อสำนักพิมพ์ แรกคิดว่าจะพิมพ์เป็นหนังสือตำราอาหารธรรมดา แต่เมื่อมาดูต้นฉบับแล้วพบว่า มันออกมาเป็นเชิงสารคดีมากกว่าตำราอาหารธรรมดาอีกคนหนึ่งที่ชวนน้องทำงานคือ คำ ผกา นักเขียนหญิงคนเชียงใหม่คนหนึ่งที่อยู่ในวัฒนธรรมอาหารเดียวกับเธอ ได้ช่วยเขียนคำนิยมให้น้อง เธอเขียนถึงวัฒนธรรมการกินอาหาร ตั้งแต่ปู่ย่าตายายที่กินอยู่ตามธรรมชาติ ทำอาหารจากมือแม่บ้าน จนถึงยุคที่ปัจจุบันที่ผู้คนต้องรู้จักอาหารเสริมกับวิตามิน กระเทียมอักเม็ด สารสกัดจากพืชผักต่าง ๆ รวมทั้งซุปสำเร็จรูป หรือน้ำมันปลาโอเมก้า 3 เป็นต้น และเธอยังเขียนถึงเพื่อนร่วมวัฒนธรรมของเธอที่ทำเป็นไม่รู้จักรังเกียจอาหารบ้าน ๆ เช่น ถั่วเน่า น้ำปู๋ และนำไปสู่ขบวนการที่ทำให้คนท้องถิ่นอ่อนแอปวีณา ไม่เพียงแต่ยืนยันในศักดิ์ศรีและปัญญา เธอยังพยายามจะบอกว่าอาหารไม่ได้มาจากตลาดหรือซุปมาร์เกตและไม่ได้มาจากการเพาะปลูกเท่านั้นแต่เป็นของขวัญของธรรมชาติ และบอกว่าแหล่งอาหารอันอุดมสมบูรณ์นี้อาจจะถูกทำลาย เพราะจะถูกแปรเป็นแหล่งท่องเที่ยว  การสูญเสียผืนดิน สูญเสียน้ำ เป็นเสียงเล็ก ๆ ของเด็กที่กำลังจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่**************คำ ผกาสำหรับฉัน เคยเข้าหมู่บ้านแม่เหียะสองสามครั้ง ครั้งแรกถูกชวนไปปลูกป่ากับชาวบ้านแม่เหียะใน เป็นการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติในปี 2549 ช่วงนั้นดูเหมือนจะมีปัญหาเรื่องเมกะโปรเจ็กที่พ่วงมากับไนท์ซาฟารีคือมีการจะสร้างอุทยานช้างในพื้นที่บ้านแม่เหียะในเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ อยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ดอยสุเทพ หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เคยซุกตัวอยู่อย่างสงบและเดียวดาย แต่มีผืนป่าที่ดี  เป็นผืนป่าใกล้เมืองจริง ๆ นี่แหละหัวใจของเมืองเชียงใหม่ นั่นคือวันแรกที่ฉันรู้จักบ้านแม่เหียะใน และบ้านหลังหนึ่งที่กำลังปรุงอาหารเพื่อเลี้ยงคนในหมู่บ้านและแขกที่มาช่วยกันปลูกป่า ฉันได้พบปวีณา พรหมเมตจิต ผู้นำเสนอสูตรอาหารพื้นบ้าน ของกินจากป่าหลังบ้าน  เธอเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ นิ่ง ๆ และพูดน้อย ยิ้มแทนคำพูดปวีณา  พรหมเมตจิตปวีณาอยู่ที่บ้านแม่เหียะในมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตาทวด  บ้านเธออุดมสมบูรณ์ เธอเดินขึ้นเขาลงห้วยเก็บเห็ด เก็บหน่อไม้มาตั้งแต่เล็ก  การเขียนหนังสือเล่มนี้นอกจากเป็นคำบอกเล่าเรื่องอาหารของบ้านเธอแล้ว เธอยังร้องขออยู่กลาย ๆ ว่า ขอแหล่งอาหารไว้ให้บ้านฉันเถอะเพราะเมื่อสองปีที่ผ่านมา โครงการต่าง ๆ เข้ามาในหมู่บ้านแม่เหียะในซึ่งกระทบต่อแหล่งอาหารของหมู่บ้าน เรื่องราวในสูตรอาหารของเธอ ควบคู่ไปกับเรื่องเล่าในสังคมหมู่บ้านที่เธออยู่ได้อย่างกลมกลืน  เช่น ชีวิตผู้คนผูกพันอยู่กับป่าหลังบ้าน การทำมาหากินของคนในชุมชน ความรักในท้องถิ่นของตัวเอง ความสุข ความทุกข์และความหวังท้ายที่สุด เธอชวนเชิญไปกินข้าวที่บ้านและบอกว่า บ้านเธอนั้นกินอยู่อย่างไรก็ไม่หมดมาเถอะมากินอาหารที่อร่อยไปถึงหัวใจ และช่วยฉันด้วยว่า ทำอย่างไรดีถ้าแหล่งอาหารบ้านฉันถูกทำลายไปปล. มาเที่ยวบ้านฉัน "งานเปิดตัวหนังสือ อาหารบ้านฉัน และคุยกันเรื่อง "กินอยู่อย่างไรไม่ให้หมด" โดย เทพศิริ สุข โสภา คำผกา และปวีณา พรหมเมตจิต ที่ศาลารวมใจ บ้านแม่เหียะใน อ.เมือง เชียงใหม่ สี่โมงเย็น  
กานต์ ณ กานท์
ผมไม่มีปัญหาอันใดกับ ‘ข้อเสนอ’ ของกลุ่ม ‘ปีกซ้ายพฤษภาฯ’ ในบทความ ‘12 เหตุผลที่ต้องเลือกเบอร์ 12 (และอย่าลืมเบอร์ ส.ส.เขตของ พปช.)’ [1] ซึ่งเขียนโดยคุณหมอกิติภูมิ จุฑาสมิต [2]
วาดวลี
1. ผืนดินปกคลุมไปด้วยต้นหญ้า และเป็นต้นหญ้าชนิดที่มีดอกสีขาว ฉันชะงักจอบเสียบที่เตรียมมา ด้วยความอาลัยอาวรณ์ต่อดอกหญ้าที่พากันบานสะพรั่งอวดสายลมหนาว ก็มันสวยขนาดนี้ ฉันจะขุด ตัดมันไปได้อย่างไรกันวางจอบลง แล้วนั่งยองๆ ฉันคว้ากล้องถ่ายรูปมาถ่ายเก็บเอาไว้ นอกจากดอกหญ้าที่บานเต็มที่แล้ว ยังมีต้นกล้าที่เพิ่งถือกำเนิด มันน่ารักดีจัง ฉันยิ้มให้กับต้นหญ้า แม้จะเคาะเขินคนข้างๆ อยู่บ้างที่ทำตัวอ่อนหัดแบบนี้ แต่เขาคงเข้าใจ คนโหยหาผืนดินอย่างฉัน“หญ้าก็คือหญ้า ถ้าไม่ตัดมันทิ้ง เราจะปลูกผักได้ยังไง”เธอช่วยเตือนสติ ฉันกลับมาโลกความจริง นั่นสินะ ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องถางมันทิ้ง “รกจะตาย” เธอว่า ฉันหัวเราะคิกคัก แค่เดินฝ่าเข้าไปก็ยากแล้ว   2.ฉันเป็นคนไม่ชอบเหยียบต้นหญ้า  อย่าว่าแต่สนามกว้างๆ ของใครต่อใครเลย  แม้จะข้างถนน ที่มีทางลัดไปยังที่ต้องการได้ใกล้กว่า ฉันจะเดินอ้อมเสมอ เมื่อครั้งไปเที่ยวในอุทยานแห่งหนึ่ง  มีร้านอาหารอยู่ไกลมาก เขาคงทำทางเดินไว้ให้คนออกกำลังกายกระมัง แต่ยามหิว คนคงไม่อยากคิดอย่างอื่น แค่ลัดต้นหญ้าไปเขายังว่าไกล มีฉันคนเดียวที่เดินอ้อมก็ยังถูกหาว่าบ้า “บ้าก็บ้านะ” ฉันยอมรับเสียในตอนนั้นแล้วก็กลับมาพิจารณาดอกหญ้าสีขาวตรงหน้า ชาวสวนมือใหม่ดึงจอบขึ้นสูง ทิ้งน้ำหนักลงไป ต้นเล็กต้นน้อยถูกตัดขาด บางต้นถูกถากออกมาพร้อมราก นี่คงหนักกว่าการเหยียบดอกหญ้าอีก ก็ฆ่ามันให้ตายอยู่นินะ แต่ก็แปลกดีจัง ความรู้สึกไม่เหมือนกันเลย เวลาเหยียบสนามหญ้าทีไรรู้สึกผิดกว่านี้เยอะ หรือเพราะมันมีเจ้าของ เพราะมันเติบโตจากความตั้งใจของคนอื่น มันร้องขอการมีชีวิตที่ควรทะนุถนอมจากแรงงานที่ถ่ายเทลงไป แต่ดอกหญ้าไม่มีสิทธิ์ร้องขอแบบนั้นใช่ไหมนะดูสิ ถางไปเกือบหมดแล้ว!  3. “จบศิลป์เกษตรมาเหรอ”คนข้างๆ แซว ทำเอางงไปชั่วครู่ สมัยมัธยมมีแต่วิชาเลือก ศิลป์-ภาษา และศิลปะ-คำนวณ ฉันทำหน้าเลิกลั่ก“มีด้วยเหรอวิชานี้”“ไม่มีหรอก ก็นึกว่าทำไม่ได้ไง แต่พอหยิบจอบเท่านั้นแหละ ดูสิ นี่มันมืออาชีพชัดๆ ไปเอาแรงมาจากไหนเยอะแยะ”เขาหัวเราะร่วน ฉันหันไปมองรอบๆ ถางหญ้าไปเยอะแล้ว ไล่เก็บก้อนหินออก จากนั้นก็ขุดดินให้ลึกๆ แล้วพรวนให้ดินร่วน พลิกฟื้นดินสีดำด้านล่างให้ขึ้นมาอยู่ด้านบน“อ๋อ ตอนเด็กๆ เคยทำน่ะ นึกว่าจะทำไม่เป็นแล้วเหมือนกัน วิญญาณแม่เข้าสิง”ดูคนข้างๆ จะอึ้งยิ่งกว่าเดิม เมื่อฉันเริ่มพลิกดินให้นูน ทำเป็นแปลงๆ วาดดินมากองให้เป็นสามเหลี่ยม จากนั้นก็ทำร่องตรงกลาง เพื่อรดน้ำและใส่ปุ๋ย เป็นไงล่ะ ท่วงท่าไม่น้อยหน้าใครเลยล่ะ“เรายังไม่ต้องใส่ปุ๋ยดีไหม เป็นการทดสอบดิน เราว่าที่ใกล้น้ำแบบนี้ ปลูกอะไรก็ขึ้น ไม่งั้นดอกหญ้าจะงามขนาดนี้เหรอ ว่าปะ”เออออ ห่อหมก เอาเอง แล้วก็วางจอบไปคว้าบัวรดน้ำมารดๆ เอาไว้  เพื่อปรับปรุงความชื้นให้ดิน ทิ้งไว้ไม่นาน เราก็คงจะหยอดเมล็ดพืชลงไปได้แล้ว ผักที่ฉันเลือกปลูกมีคะน้า ผักชีลาว และพาสเลย์ ดูเหมือนไม่เข้ากันเลย แต่ทำไงได้ล่ะ อยากปลูกนินา  4.ในบรรดาคนชอบกินผักทั้งหลาย ไม่มีใครเกินพี่นก แฟนสาวของเพื่อน เห็นหน้ากันทีไร เธอชวนทำกับข้าวกินเอง หมูกระทะ เอาหมูน้อยๆ ผักเยอะๆ หรือเวลาไปกินข้าวกัน เธอจะบอกว่า ขอผักเพิ่มอีก 1 จาน เสมอๆดูเธอจะตื่นเต้นกว่าฉันอีก เมื่อฉันบอกว่าเริ่มปลูกผักไว้แล้ว“ผักบุ้งปลูกเยอะๆ นะ ขึ้นง่าย ผักกาดขาวอีก พี่ชอบกินมากๆ  คะน้าก็กินได้นะ ว่าแต่มันอายุเท่าไหร่เหรอ ถึงจะโตพอ”“ก็ข้างซองเขาบอกว่า 7 วันก็เห็นต้นแล้วนะ มันโตเร็ว อีก 3  สัปดาห์เราก็น่าจะกินได้”อย่าให้ได้ยินน้ำเสียงของฉันเลย โอ้อวดเสียยังกับเป็นเจ้าของสวนผักขนาดใหญ่ แถมยังอวดอ้างสรรพคุณไปด้วยว่า “เป็นผักปลอดสารพิษ เราจะได้กินสบายใจ นี่ถ้ามันขึ้นเยอะๆ กินไม่ทันนะ ก็จะแบ่งให้ชาวบ้านแถวนั้นมาเก็บได้เลย เราจะได้บอกเขาว่าผักนี้มันดียังไง”“ไม่ขายเหรอ” พี่ผู้หญิงท้วงถาม“เอ่อ ก็ถ้าเขาจะซื้อก็ได้นะ ก็อาจเก็บเงินนิดหน่อย พอซื้อเมล็ดพืชต่อ”ฉันมุ่งมาดไว้แบบนั้น ดวงตาคงปิดไม่มิด ใครต่อใครพากันยิ้มแป้น ให้กำลังใจพร้อมนัดแนะว่าอีก 2 สัปดาห์ เราจะมาปาร์ตี้ผักกินกันที่บ้าน  5. “เธอว่ามันคือคะน้าไหม”ไม่รู้ทำไม คนข้างๆ ทำหูทวนลม เวลาที่ฉันถามเรื่องนี้ ต้นกล้าจำนวนหนึ่งขึ้นมาแล้ว บนแปลงผักทั้งหมด แต่หน้าตาของคะน้า ผักชี และพาสเลย์ เหมือนกันไม่มีผิด“ตอนมันเด็ก ดูยากว่าเป็นต้นอะไร มันคงขึ้นแล้วแหละ”จากคนที่สบประมาทเอาไว้ ว่าฉันปลูกผักไม่เป็น กลับกลายเป็นคนให้กำลังใจ ฉันเพียรรดน้ำแปลงผักทั้งเช้า และเย็น เอาไม้จิ้มๆ พรวนดินไปตามประสา จนผ่านไปหลายสัปดาห์ ต้นกล้าเหล่านั้นก็ประจานการไม่ใส่ปุ๋ยด้วยการทำตัวแคระแกรนเสียจนน่าสงสาร“ก็มันหมักปุ๋ยไม่ทันนินา เราอยากใช้ปุ๋ยชีวภาพ”“เขาก็มีขายไม่ใช่เหรอ ถุงน้อยๆ คิดว่าอาหารคงไม่พอ ก็โตช้าหน่อย”ฮื่อ นี่เป็นบทเรียนนินะ แปลงผักทดลองออกผลได้ขนาดนี้ก็ดีใจแล้ว เอาล่ะ รดน้ำเข้าไป ปล่อยไว้อย่างนั้น จวบจนเช้าวันหนึ่งในเดือนธันวาคม ต้นกล้าก็ออกสะพรั่งเต็มแปลงผัก“ดูสิๆๆ มันโตแล้ว มากมาย น่ารักจังเลย ใบมันหยักๆ คงเป็นพาสเลย์ ส่วนต้นโตนี่คงคะน้า”ฉันตื่นเต้น ระหว่างถือบัวรดน้ำที่อยู่ตั้งไกล เดินมารดไปหลายๆ รอบ คนข้างๆ คงสงสาร จึงมีไอเดียว่า เราน่าจะต่อน้ำจากแม่น้ำหลังบ้าน เข้ามารดผัก โดยใช้เครื่องสูบน้ำขนาดเล็ก จะได้ไม่ต้องเหนื่อยแบบนี้“ไหนๆ ไปดูท่าน้ำหน่อย ต้องดึงสายมาไกลไหม”  6.พากันฝ่าดงหญ้าที่เหลือเข้าไปในสวน ก่อนจะคำนวณระยะสายยาง และราคาเครื่องสูบนั้น สายตาก็เหลือบไปเห็น ต้นกล้ากะจิดริดที่งอกงามผลิใบอยู่ริมตลิ่ง“เอ เธอว่าหน้าตามันคุ้นๆ ปะ”ฉันเอียงคอ นั่งยองๆ ลงใกล้ต้นไม้เหล่านั้น“ไม่คุ้น แต่เหมือนเลย เหมือนในแปลงผักเลย”เขาว่า ฉันก็อึ้งๆ ไป“แสดงว่า ในแปลงผัก มันก็คือต้นนี้สินะ มันคือต้นหญ้า”ใช่แล้ว มันคือหญ้าทั้งนั้น ที่เติบโตสวยงามท่ามกลางการดูแลของฉันตั้งแต่เช้าจรดเย็น“อยากปลูกแปลงหญ้าก็ไม่บอก” เขาหัวเราะเบาๆ ฉันไม่หัวเราะตาม ทำหน้าสลดไปชั่วครู่ ไม่สิ ไม่ได้เสียใจ แต่ก็ยอมรับว่าผิดหวังกับการทดลองของตัวเองคนใกล้ชิดเอื้อมมือมาลูบหัว ใบหน้ากลั้นหัวเราะเต็มที“เคยบอกว่าทุกที่มีครูสอนไม่ใช่เหรอ ปลูกผักแต่ได้ต้นหญ้า แสดงว่ายังไงนะ”เขาเล่นต่อคำอีกแล้ว ฉันหายใจยาวๆ นิดหน่อย ก่อนจะยืดตัวขึ้นมาอีกครั้ง“อืม ใช่ เขาสอนเราว่า บางทีปลูกผักก็ได้หญ้า เหมือนอะไรที่หวังผลอีกอย่างแต่ได้อีกอย่าง ก็แบบนี้แหละนะ โลกนี้ใช่มีอะไรตามคาดเสมอไป”ฉันสรุปเสียอย่างดูดี ได้ยินเขาคนนั้นทวนคำย้ำๆ ไปมา“ไม่มีอะไรตามคาดเสมอไป อืมมม”...

แท็กล่าสุด

แท็กยอดนิยม