Skip to main content

ผมอยู่รั้งท้าย จนตกหล่นจากขบวนแถว อยู่คนเดียวในที่สุด มองออกไปเป็นทางดินแคบๆ เส้นเดียวที่หลบเลี้ยวหายไปในพงรกทั้งสองด้าน หากมองลงมาจากยอดไม้ ก็จะเห็นกระทาชายนั่งขนาบข้างทางดินเหลืองอ่อน เหมือนนั่งบนเส้นเชือกที่ตัดเข้าไปบนพื้นที่สีเขียว ทอดสายตามองเหม่อออกไปยังหุบเหวต้นไม้เบื้องหน้า

เสียงป่าเหมือนมีคนเดินอยู่รอบๆตัว ลมป่าพัดมาครั้งหนึ่ง ส่งเสียงเหมือนคนพูด อาจเป็นเสียงคนในขบวนที่เดินล่วงหน้าไปก่อน หรือเสียงป่าพูดได้ ลำต้นเหมือนลำตัว กิ่งไม้เหมือนมือ พุ่มใบมีดวงตามองจ้องมาทุกด้าน
ป่าทั้งป่าแสดงตัวออกมาเหมือนทักทาย
ต้นไม้มีชีวิตจิตใจ เหยียดลำต้นไปสู่ความนิรันดร์

ยามพาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่กลางป่า ผมรู้สึกเหมือนยืนอยู่ท่ามกลางผู้ใหญ่อาวุโส ผู้ผ่านร้อนหนาวมาก่อน รับรู้ถึงฤดูลมแรงดีที่สุด สัมผัสเม็ดฝนอย่างแผ่วเบาที่สุด รับแดดอย่างอิ่มเอิบที่สุด

เธอพ่ายเรื่องใดมาบ้าง เราไม่รู้ เรายืนต้นอยู่บนหน้าผา เกาะพื้นผิวที่ลาดชัน ไม่ใช่เพื่อแสดงตัวพิชิตความยากลำบาก หรือทะนงตัวว่าโลกบนหน้าผาสง่างามที่สุด แต่เราเกิด เติบโตบนหน้าผารายล้อมด้วยหุบเหว ผมเป็นสมบัติของหน้าผา สมบัติของหุบเหว ที่ลุ่มต่ำของสายตา เหยียดยอดทะลุเมฆ สู่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า


ท่านอ้างว้างมั้ย
เรายืนต้น
ท่านเจ็บป่วยมั้ย
บางคราว อาจเรียกว่าเจ็บป่วย
ท่านทำอย่างไร
ยืนต้น

ผมไปให้ถึงดินแดนนั้น คำตอบที่ต้องปีนป่ายเข้าไปหา ความร่มเย็นทางใจ ความสุขสงบ ความยากที่โอบล้อมด้วยเรื่องง่ายๆ ยามโดดเดี่ยว วิงวอน สิ้นหวัง ว้าเหว่ อากาศรอบตัวเบาหวิว การปรากฏตัวของความว่างไร้ เวลาเช่นนี้เอง ผมจะออกเดินไปสู่ที่อยู่ของต้นไม้บนหน้าผาหุบเหว

ผมแค่นั่งมอง แล้วเสียงพูดคุยก็โต้ตอบกลับไปมา เป็นเสียงของความสงัดเงียบ แต่คำตอบช่างเต็มไปด้วยความเบิกบาน

ผมแค่นั่งมอง
เธออาจเดินมาถูกทาง อย่างน้อยได้ถางทางไปสู่หนทางความพยายาม
ผมไม่ได้มารวบจับเอาความสมบูรณ์กลับไปอวดอ้างตัวเอง แต่ผมอยากมานั่งชมความสมบูรณ์ที่มีวิถีทางชัดเจน
เธอมีประตูหน้าต่างรับลมผ่านเข้าออก
ผมควรมองไปทางใด เพื่อสัมผัสความจริง
หนทางที่เธอมา รวมไปถึงหนทางที่เธอจะกลับไปด้วย เธอมีความหวังอันมีปลายทางอยู่ที่ความไม่หวัง
ผมเจ็บป่วย
เธอควรสำรวจผิวเปลือก มันแค่แตกปริฉีกขาดหลุดล่อน เปื่อยลงโค้นต้น ขยายลำต้นออกไปเรื่อยๆ
ท่านมีจุดหมาย
อาจไม่ใช่คำตอบ ณ ตอนนี้

ผมมีประสบการณ์เดินเข้าป่าในวัยเด็กที่ดูลี้ลับ ไกลและวกวน ผมสงสัยว่าป่าหลังโรงเรียนจะไปสิ้นสุดลงตรงไหน ผมนั่งมองจากหน้าต่างห้องเรียนทุกวัน

วันหนึ่ง ตามาบ้าน มาพร้อมกับซอหนึ่งสาย
ซอขาดชัน
ผมไม่รู้จักต้นชัน พ่อชวนเดินเข้าป่าหลังโรงเรียน เพียงแต่เป็นช่วงเวลาเย็นมาก มืดขมุกขมัว อากาศนิ่ง ทางเดินเท้าที่วกวนเวียนจนแทบจำทางกลับไม่ได้ ผมจำได้ว่าเดินกันนานมาก กว่าจะไปถึงไม้ต้นนั้น โคนต้นปะทุยางใสๆเหมือนอำพัน
วับวาวเหมือนแววตารวมอยู่ตรงโคนต้น
พ่อบอกว่า มันเป็นต้นเดียวในละแวกบริเวณนี้ เพียงแต่น้อยคนจะรู้จัก และยิ่งน้อยคนที่เอามันไปวางตั้งรับสายคันชัก สีให้เกิดเสียงดัง
ซอดังทุกคืน
ตะเกียงสว่างในบ้าน เงาดำๆฉายร่างใหญ่ๆดำๆอยู่ตามฝาบ้าน เสียงคันชักสีซอดังกังวาน ผมนั่งฟังอย่างจับจิตจับใจ

หลังพักเที่ยงวันหนึ่ง ผมชวนเพื่อนเดินไปสู่เส้นทางนั้น เหมือนอยากลองดูว่าไปให้ถึงไม้ต้นนั้น จะหลงทางหรือเปล่า

ผมจำได้ว่า เดินไปไกลมาก จนแทบออกมาไม่ได้ เดินวนเวียนไปตามทางดินที่ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่รู้จะจบลงตรงไหน และเหมือนว่าวนเวียนอยู่ที่เดิม กระทั่งได้ยินเสียงระฆังจากโรงเรียน ผมถึงชวนเพื่อนกลับตามเสียงนั้น

ผมเข้าไปอีกหลายครั้ง ไปให้ถึงไม้มียางเรียกว่าชัน หรือขี้ชัน เป็นขี้ชันที่ให้เสียง ผมเก็บใส่ถุงผ้าเอาไว้ รอตาจะกลับมาใหม่อีกครั้ง
แต่ตาไม่กลับมาสีซอให้ฟังอีกเลย
ขี้ชันยังอยู่กับผมอีกนานหลายปี ผมเข้าไปเก็บเรื่อยๆ เหมือนว่าไม้ต้นนั้น ปริอำพันออกมาให้ผมเดินไปเก็บเพียงคนเดียว

นั่น เป็นความทรงจำถึงป่าที่นึกย้อนไปไกลที่สุด น่าจะเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 3

ท่านรับรู้การเดินไปสู่ดินแดนลี้ลับมั้ย
เธอ ก็เป็นสิ่งลี้ลับ หนทางที่เธอมา มีความหมายกับหนทางที่เธอไป ณ ตำแหน่งที่เธอนั่งอยู่ ไม่อาจยึดจับไว้ได้ เธอต้องออกไปตามเส้นทางที่ไม่อาจรู้ได้ว่า เธอจะหยุดนั่งมองอีกเมื่อไหร่
นั่งมาจากการหยุด
ใช่
ท่านนั่งอยู่ชั่วชีวิต
เปล่า เราเดินทางอยู่ชั่วชีวิต ฤดูกาลเปลี่ยนผ่าน วันคืนพาเราออกเดินทาง มิติน่าพิศวง อยู่ร่วมแล้วลาจาก
ท่านอยากบอกอะไร
เราบอกไปหมดแล้ว ความเข้าใจอยู่ที่ประตูบานใดจะเปิดอ้าออกกว้างและยาวนานที่สุด
ท่านยืนต้นเทศนา
เปล่า เรายืนต้นนั่น ใช่ ยืนต้นสลัดเปลือกออกไป

ขบวนเดินป่าเดินลับหายไปแล้ว ผมยังนอนสบตาสนทนากับต้นไม้ที่เหยียดต้นเป็นเสาวิหาร ยอดต่อยอดถึงกัน เล่นกับลม เป็นหลังคาร่มเย็น ความสงบสงัดยามนี้ ราวกับที่หลับนอนไปตลอดกาล

ฉากสุดท้าย ผมคิดถึงเด็กชายที่เดินหายเข้าป่าหลังโรงเรียนบ่อยๆ ไปให้ถึงต้นชันให้สีอำพัน รอคอยเสียงซอไพเราะจับใจจะหวนกลับมาอีกครั้ง


บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
ขบวนรถด่วนยาวเหยียดปล่อยสองพ่อลูกลงสถานีพัทลุง   กระเป๋าเป้ใบใหญ่อย่างกับบ้านย่อมๆ  ทุกอย่างยัดอัดแน่นอยู่ในนั้น   ถ้ามีห้องน้ำยัดใส่เข้าไปได้  ผมก็คงจับยัดลงไปด้วยอยู่หรอก  อีกทั้งกล่องกระดาษ  กระเป๋าใส่ของฝาก  พะรุงพะรังอยู่ในอาการโกลาหลอยู่พักใหญ่  กว่าทุกอย่างจะวางกองอยู่ในความสงบ  
ชนกลุ่มน้อย
รถไฟชั้นนอน โบกี้ 7 คนแน่นเต็มตั้งแต่ต้นทาง เราสองพ่อลูกออกจะตื่นเต้นพอๆกัน เพราะเหลียวมองไปทางไหนก็เจอแต่ใบหน้าคนฝรั่ง เหมือนเดินทางอยู่อีกมุมโลก นี่เรากำลังกลับบ้านนะ ไม่ได้ไปต่างประเทศ อย่ามองจ้องหน้าเรานานๆแปลกๆอย่างนั้นสิ เรากำลังจะไปบ้าน นี่ลูกชายผม อายุแค่ 7 ขวบ เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย อย่าห่วงเลยว่าเขาจะเสียงดังรบกวน ขอให้คุณๆเดินทางสู่ปลายทางกันให้มีความสุขที่สุด ห่างออกไปแค่หนึ่งช่วงตัว เป็นครอบครัวคนฝรั่งเศส หูมัธยมศึกษาปีที่สี่ห้าบอกว่าพวกเขาเป็นคนฝรั่งเศส ตุ๊ดตูเลอองฟร็อง .. บองชู .. ตูวาเบียง ..หวี๋ ..ตัวโอซี .. แกลเลคอมม็องตาเลวู.. ซาวะ ..หวี๋/น็อง ...…
ชนกลุ่มน้อย
หนังสือเดินทาง 7 เล่ม  กับเพลง 7 ซีดีอัลบั้มผมหลงชอบ ‘ตากอากาศ’ อย่างไม่ทราบสาเหตุ  ผมเห็นครั้งแรกจากหนังสือเล่มหนึ่ง  ตากอากาศกลางสนามรบ  นับแต่นั้นมา  ตากอากาศก็เข้ามาอยู่ในใจผม  มันให้ความรู้สึกนัยยะความหมาย  กว้างไกลเมื่อไปอยู่ร่วมคำอื่น  มีบวกลบอยู่ในนั้นผมถือโอกาสเชิญมาอยู่ร่วมในชื่อเรื่องอีกครั้งต้นฉบับชิ้นนี้ เขียนห่างฝั่งทะเลสาบสงขลาราว  10 กิโลเมตร  ผมกลับไปบ้านเกิด  แบบด่วนๆ  จึงต้องพกข้อมูลทุกอย่างใส่แฟ้ม  พร้อมต้นฉบับอื่นที่ค้างคา  รูปถ่าย  กล้องถ่ายรูป(ประจำตัว)  พร้อมเป้  และเจ้าชายน้อย 7 ขวบ…
ชนกลุ่มน้อย
เกิดหลงไปในเมฆอย่างฉับพลัน  อยากชวนไปดูเมฆ ฉากหลังเบื้องหลังของคนสัตว์สิ่งของ (ไม่เกี่ยวกับการต่อสู้รบฆ่ากันของมนุษย์) เรื่องของเรื่องก็คือผมผ่านไปเห็นอะไรที่เหมือนไม่เกี่ยวกับเมฆ มาตลอดสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา  แต่น่าแปลก กลับเกี่ยวกับเมฆตลอดเวลา  ดูเหมือนง่าย แต่ไม่ง่ายเลย กว่าจะได้ไปยืนอยู่เบื้องหน้ายอดอกเมฆก้อนนั้น ก้อนโน้นอันที่จริงจะเรียกว่า มองเมฆก่อนเห็นใดอื่น ก็ไม่ใช่ เห็นสองฝักราชพฤกษ์แล้วเกิดหลงรักในฝักที่ห้อยย้อยคู่ขนานลงมา   
เหมือนมันจะวัดวันยืนยาวกันหรือเปล่า ว่าใครร่วงหล่นก่อน ก็ไปนอนรออยู่บนพื้นดิน   แปลกแท้ …
ชนกลุ่มน้อย
บิเบ - พญาไฟนกเจ้าชายในแดนดงดิบ  ร่ำลือกันว่าทั้งหล่อเหลา ดุดัน ร้อนแรง และมีน้ำเสียงอันไพเราะ  ยามปีกสีเพลิงอยู่รวมปีก  ประหนึ่งต้นพริกเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่  แทบทำให้ป่าเปลี่ยนสี สักครั้ง บรรดานกสาวต่างหมายปองจะเห็นตัวจริงเสียงจริง .. สายเลือดกำเนิดบิเบในป่าสนขุนห้วย  งามปีกของมันเทียบเคียงกิ่งสนชรา  กิ่งบิดปลายเบี้ยวหักงอ ตะปุ่มตะป่ำ  วาดซ้ายขวาขึ้นไปบนท้องฟ้า  ยิ่งแก่กิ่งก้านยิ่งบิดงาม  ยิ่งแก่ยิ่งมีชั้นเชิงเติบโต สีเปลือกแตกลายกร้านโลก ยืนยันมีชีวิตอยู่บนภูเขาสูง  มองปีกเพลิงจากด้านไหน      …
ชนกลุ่มน้อย
เขาอยู่ด้วยกันสามคน  คนผอมบอบบางสูบยาสูบแทบตลอดเวลา  นั่งซึมเหม่อกับที่ได้คราวละนานๆ  กวาดสายตามองเลื่อนลอย เรื่อยเปื่อย  คนร่างมะขามข้อเดียว ดูแข็งแรงอยู่บนความเฉื่อยเนือย  เคลื่อนไหวเชื่องช้า  คนสุดท้ายร่างสันทัด  ดูแคล่วคล่องว่องไวที่สุด รู้จักงาน  ขยันทำงาน  เคลื่อนไหวไปมาแทบไม่หยุดหย่อนทั้งสามคนมาจากเมืองผาอาน  ข้ามน้ำสาละวินมาถึงป่าสาละวิน  ออกเดินลัดป่าเขา  รับจ้างไปตามหมู่บ้าน  ตามแต่ใครจะมีงานให้ทำ จนมาถึงป่าแม่น้ำเงานักรบยามหนีทัพ  ก็ดูไม่ต่างไปจากชาวบ้านปกติทั่วไปเขามาถึงป่าแม่เงาอย่างไม่คาดคิด  …
ชนกลุ่มน้อย
หน่อกล้วยกับมะพร้าวงอกหน่อ  ราวกับเพิ่มจำนวนมากขึ้นชั่วข้ามคืน  ผมสงสัยว่าพะเลอโดะจะเอาขึ้นรถอีกทำไม  มิหนำซ้ำยังเพิ่มจำนวนมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว  พะเลอโดะพูดทีเล่นทีจริงว่า  เราต้องอยู่รอดด้วยวิธีของเรา  ผมไม่เข้าใจ  แต่ไม่ได้ถามต่อ   พอรถจอดแล้วดับเครื่องยนต์  ปิดไฟ  ผมถึงรู้ความจริงใต้หน่อกล้วยกับมะพร้าวงอกหน่อ  มันเป็นเกราะกำบังที่สามารถคุ้มครองเราได้   ผมไม่นึกว่ากะฌอกับซอมีญอจะมารอกลับขึ้นรถกลับไปกับเราด้วยพะเลอโดะก็ไม่รู้ว่า เขาสองคนจะเอาอย่างไรกับชีวิต เหมือนเขาถูกปล่อยเข้าป่า  เขาจะหนีเข้าป่า  หลบๆ ซ่อนๆ…
ชนกลุ่มน้อย
นกปีกขาวบินมาจากทิศไหน ผมไม่ทันได้สังเกต มันบินวนอยู่เหนือโขดหิน ฉวัดเฉวียนไปเหนือหลังคาบ้านริมฝั่งแม่น้ำ ดูมันคุ้นเคยกับอากาศอึมครึมรอบตัว ไม่มีใครใส่ใจว่ามันจะบินมาอีกหรือไม่ บินไปทางไหน สิ้นสุดลงที่ใด ผมมองตามปีกไหวๆ สลับไปมากับมองแม่น้ำ มองลุงเวยซาที่ยืนเป็นหินไปแล้ว ชั่วขณะหนึ่งนั่นเอง มันตีปีกทะยานบินข้ามแม่น้ำเต็มฝั่ง หายเข้าไปอีกฟากแม่น้ำ แล้วชั่วอึดใจต่อมาก็มีเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด เสียงปืนดังเป็นคลื่นสะท้อนกังวานข้ามแม่น้ำ ผ่านไปในร้านก๋วยเตี๋ยว ขนมจีนน้ำเงี้ยว ร้านกาแฟ ป้อมค่ายทหาร ร้านค้าขายสิ่งของจิปาถะ แล้วสะท้อนกลับไปมาอีกครู่หนึ่ง…
ชนกลุ่มน้อย
พะเลอโดะพูดกับพวกเราว่า  ถ้าไม่มาถึงในเดือนกันยายน  เราคงไม่ได้เห็นน้ำโข่โละโกรเต็มฝั่ง   แล้วยังพูดถึงแม่น้ำใหญ่อีกว่า  ดูราวอวัยวะภายในขับเคลื่อนด้วยเครื่องจักรกลโบราณ  ท้องไส้เต็มไปด้วยโขดหินแหลมคม  ประกอบขึ้นเป็นผนังแม่น้ำ  เครื่องกลโบราณที่มีอายุใช้งานเก่าแก่เต็มที  พัดน้ำปั่นหมุนน้ำวนขึ้นผิวน้ำเป็นรูปดอกเห็ดบานเต็มที่  วนไหลต่อเนื่องดอกต่อดอกสะพรั่งตามน้ำไปอย่างน่าเกรงขาม  ท้องไส้ภายในโข่โละโกรบิดเกลียวไปตามท้องร่องอันเต็มไว้ด้วยซากไม้ตาย   ท่อนซุงไร้สัญชาติ  หินไหล กรวดทรายปลิว   ซากศพคนนิรนามตามน้ำ …
ชนกลุ่มน้อย
ลองแหวกพื้นเหล็กของรถจิ๊ปรุ่นสงครามโลกสิ   ก็จะพบหลุมหลบภัยจำนวนมากซ่อนไว้อย่างมิดชิด   มันอยู่ท่ามกลางความซับซ้อนของเครื่องยนต์กลไก  พะเลอโดะพูดไปพลางหัวเราะ  มีหลุมซอกซอนไปได้ทั้งคันแหละ  อยู่ใต้เบาะนั่ง  ในกลักไม้ขีดไฟ  ตามกระเป๋ากางเกง ในกล่องลังเครื่องมือ  เข้าไปในเชสซี  ยากที่สายตาจะมองผ่านไปเห็นได้ง่ายๆ   แต่ลุงเวยซากลับบอกว่า  ศาลเจ้าต้นจูเกริมน้ำแม่เงา  ช่วยปกปักรักษาพวกเราไว้  พะเลอโดะบอกว่า  ตะเคียนใหญ่ต้นนั้นศักดิ์สิทธิ์  รับคำบนบานศาลกล่าว  มีสายตาที่มองไม่เห็นอีกมาก  มองดูเราอยู่…
ชนกลุ่มน้อย
ขณะรถแล่นไป  เราพูดถึงแต่สิ่งที่อยู่ข้างหน้า  และย้อนนึกถึงสิ่งที่ผ่านมา  จนแทบไม่คิดถึงเรื่องขณะปัจจุบัน  ทันทีที่รถมาถึงโค้งหนึ่งนั่นเอง  พะเลอโดะหักหลบลงข้างทางอย่างกะทันหัน รถวิ่งไปบนพื้นขรุขระตึงๆตังๆ  พร้อมกับดับไฟหน้ารถ  ผมเห็นแต่ความมืดสลัว  และตะคุ่มพุ่มไม้ ใบบังที่แสงจันทร์เสี้ยวพอให้มองเห็นได้  เหมือนว่าซอมีญอกับกะฌอจะเข้าถึงกลิ่นลอยมาล่วงหน้า  ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า  เขาหายไปจากที่นั่ง  หลบไปอยู่ที่ใดที่หนึ่ง  ผมถามพะเลอโดะว่ามีอะไร  ลุงเวยซาเช่นกัน  นั่งลุกลี้ลุกลนหันซ้ายหันขวา …
ชนกลุ่มน้อย
“ถ้าจะตาย  ใจสงบแล้วที่ได้เห็นแม่น้ำใหญ่”   ลุงเวยซา วัย 69 ปี  พูดกับพวกเรา แล้วทรุดตัวนั่งลงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่สาละวิน  พึมพำเสียงเปรยสั่นเครือเหมือนลืมตัว “โข่โละโกร โข่โละโกร..”  ผมนึกว่าลุงจะตื่นตาตื่นใจไปตามประสา  แต่พอเห็นหลังมือป้ายตา  นิ่งเหม่อมองไกล  ผมถึงเข้าใจว่า นั่น ไม่ใช่เรื่องธรรมดาๆเสียแล้ว  นาทีต่อนาทีนับจากนั้น  ผมเห็นลุงเวยซายิ่งตัวเล็กลงเหลือเท่ากำปั้น  กลืนกลายเป็นเนื้อเดียวกับก้อนหินใหญ่ริมฝั่ง  เป็นหุ่นปั้นหินเปลือยกายท่อนบน  นุ่งเตี่ยวสะดอเก่าๆสะพายย่าม  เท้าเปลือย …