Skip to main content
 

จันทร์ ในบ่อ

 

20th Century Boys หรือเด็กในศตวรรษที่ 20 เป็นภาพยนตร์ที่นำเรื่องราวจากการ์ตูนชื่อเดียวกันมาสร้าง (การ์ตูนชื่อไทยว่า แกงค์นี้มีป่วน) เป็นผลงานเรื่องเด่นจากค่าย Shogakukan แต่งโดย Naoki Urasawa คนเดียวกับผู้เขียน Monster (คนปีศาจ)

 

20th Century Boys ยังคว้ารางวัลการ์ตูนยอดเยี่ยมครั้งที่ 48 จาก Shogakukan  รางวัลชนะเลิศในงาน Media Art ครั้งที่ 6 ของทบวงวัฒนธรรมญี่ปุ่น และรางวัลการ์ตูนยอดเยี่ยม ครั้งที่ 25 จาก Kodansha คอการ์ตูนเองคงรู้ดีถึงความยอดเยี่ยม ส่วนฉบับภาพยนตร์ดูแล้วก็คิดว่าว่าไม่เสียรสชาติครับ

 

ด้วยข้อจำกัดของหนังด้านเวลาเมื่อเปรียบเทียบกับเนื้อหา แม้ 20th Century Boys ฉบับภาพยนตร์จะไม่สามารถลงลึกในรายละเอียดได้เท่าต้นฉบับที่เป็นการ์ตูนที่มีเนื้อหาที่ซับซ้อนสูง แต่การเรียบเรียงและดำเนินเรื่องที่ระบุช่วงเวลาชัดเจนทำให้เข้าใจเรื่องราวได้ง่าย แม้แต่คนที่ยังไม่เคยอ่านฉบับการ์ตูนมาก่อนก็ตามก็เข้าใจได้ไม่ยาก ทีมงานยังตั้งใจที่จะคงอรรถรสแบบการ์ตูนไว้ด้วยคาแรกเตอร์ของตัวละคร เนื้อหาที่ควรจะเครียดจึงดูสนุกน่าติดตาม

 

20th Century Boys เป็นเรื่องราวที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องขึ้นมาได้ มันเริ่มต้นในราวปีโชวะที่ 40 ด้วยการที่ เกนจิ' กับเพื่อนๆ มีความฝันถึงศตวรรษที่ 21 ด้วยจินตนาการแบบเด็กๆ ว่า ในอนาคตจะมีองค์กรก่อการร้ายมาทำลายล้างโลก และพวกเขาสัญญากันว่าจะเป็นฮีโร่ผู้ปกป้องความยุติธรรมและจะทำลายแผนการร้ายนั้น

แล้วเรื่องราวไร้สาระเหล่านี้ก็ถูกบันทึกขึ้นในฐานลับของเด็กๆ ที่สร้างขึ้นกลางทุ่งหญ้า พวกเกนจิเรียกมันว่า บันทึกคำทำนาย' และฝังมันไว้

 

จนกระทั่งปี 1997 เมื่อพวกเขาโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ จินตนาการและความฝันถูกทิ้งไว้ระหว่างทางของโลกความจริง เกนจิวัยเด็กผู้ชื่นชอบดนตรีร็อคและฝันไว้ว่าจะใช้มันเปลี่ยนแปลงโลกกลายเป็นผู้จัดการร้าน ‘King Mart' ธรรมดาคนหนึ่งและเลิกเล่นดนตรีเพื่อทำงานที่มั่นคงกว่าเพื่อหาเงินดูแลแม่กับ คันนะ' ลูกสาวของพี่สาวที่หายตัวไปทิ้งไว้ให้เลี้ยง ส่วนเพื่อนๆ ก็เป็นพนักงานออฟฟิศบ้าง เปิดร้านกิฟท์ช็อปบ้าง เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยบ้าง หรือบางคนก็ขาดการติดต่อกันไป

 

ในขณะที่ชีวิตกำลังดำเนินไปแบบธรรมดาๆ เกนจิและเพื่อนๆ กลับเริ่มพบว่ามีปรากฏการณ์ประหลาดๆ รอบตัวที่กำลังดำเนินไปตาม บันทึกคำนาย' ในวัยเด็กที่พวกเขาเกือบลืมกันไปแล้ว

 

นั่นคือ มีองค์กรทำลายล้างโลกเกิดขึ้นจริงๆ โดยเริ่มต้นด้วยการปล่อยโรคระบาดไปตามเมืองต่างๆ จากซานฟรานซิสโก ไปลอนดอน จนกระทั่งมีการวางระเบิดสนามบินในประเทศญี่ปุ่น ทุกอย่างดำเนินไปตามคำทำนายพร้อมๆ กับการปรากฏตัวของลัทธิแปลกๆ ที่มีชื่อว่า เพื่อน' ซึ่งใช้รูปดวงตากลางมือที่มีนิ้วชี้ขึ้นฟ้าซึ่งเป็นสัญลักษณ์องค์กร

 

แต่คงไม่น่าแปลกอะไรหากสัญลักษณ์นั้นไม่ใช่สัญลักษณ์ที่รู้กันเฉพาะในกลุ่มเกนจิตอนเด็กๆ นั่นเองจึงนำมาซึ่งความสงสัยในเบื้องหลังของลัทธิ เพื่อน' ว่าอาจเป็นใครคนหนึ่งในเพื่อนสมัยวัยเด็กของเกนจิ

ความสนุกของและความน่าสนใจอย่างมากของ  20th Century Boys ก็คือความลึกลับขององค์กรที่ชื่อว่า เพื่อน' กับการต้องลุ้นไปกับพวกเกนจิว่าจะสามารถคืนความปกติของโลกมนุษย์มาจากองค์กรลับนี้ได้หรือไม่ ซึ่งบทความนี้จะขอตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับ เพื่อน' เป็นกรณีพิเศษ เพราะไม่แปลกใจเลยสักนิดว่าบางทีจินตนาการก็อาจกลายเป็นจริงได้ในโลกใบนี้ที่เราอยู่

 

องค์กร เพื่อน' เติบโตมาจากการเป็นลัทธิแปลกๆ ลัทธิหนึ่งในสายตาของคนทั่วๆ ไปอย่างเกนจิ แต่เป็นการนำการเล่นของเด็กที่ไม่ยอมจบมาทำให้กลายเป็นเรื่องจริงและคร่าชีวิตผู้คนได้อย่างน่าสะพึงกลัว  

 

ตัวตนของ เพื่อน' มีการคิดอย่างเป็นระบบ มีเป้าหมายในการก้าวไปสู่อำนาจสูงสุดของโลก เพื่อน'มีจิตวิทยามวลชนที่สูงมากนำมาซึ่งความเชื่อถือ เขาลอยได้เหมือนมีพลังจิต มีเรื่องราวทำให้ผู้คนติดตาม ตอบคำถามที่คนสงสัยได้อย่างชาญฉลาด ใช้ความกลัวร่วมกันของสังคมและความอ่อนแอในจิตใจมนุษย์เป็นเครื่องมือในการชักจูงและนำไปสู่การควบคุมถึงระดับจิตใจ จากนั้นก็แปรความรู้สึกที่มีต่อบุคคลไปเป็นรูปธรรมของเหตุผล และนำไปสู่การกวาดล้างคนที่เห็นแตกต่างอย่างมีเหตุผลเช่นกัน

 

เพื่อน' เริ่มต้นหาแนวร่วมด้วยการปลุกระดมความเชื่อที่เชื่อในตัวบุคคลโดยไม่ตั้งคำถาม จากลัทธิเล็กๆ ก็เริ่มเปิดเผยมากขึ้นและขยายความคิดแบบแทรกซึมทางจิตวิญญาณผ่านกระบวนการต่างๆ แม้แต่ดนตรีที่เข้าถึงกลุ่มวัยรุ่นก็ถูกนำมาใช้ปลุกระดมเพื่อสร้างความเป็นหนึ่งเดียว จนทำให้การฟังดนตรีถูกสวมด้วย รูปแบบ' ที่แม้แต่การโบกมือหรือร้องรับส่งก็เป็นแบบเดียวกันไปหมด

 

สมาชิกในองค์กรเพื่อนยังแทรกซึมไปตามหน่วยงานต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่ในกรมตำรวจ ใช้เส้นสายภายในและก่อตั้งหน่วยงานกำจัดผู้ที่จะเปิดโปงแผนการของเพื่อน ส่วนผู้ที่คลั่งไคล้มากๆ จะถูกใช้เป็นเครื่องมือลอบสังหารฝ่ายตรงข้ามเพื่อทำให้ไม่อาจสาวถึงผู้บงการได้ 

 

การไม่เลือกวิธีใช้ของ เพื่อน' ทำให้สามารถแทรกซึมเข้าไปได้ในระบบการเมืองของญี่ปุ่น เมื่อเกิดการก่อวินาศกรรมที่สนามบินแห่งหนึ่งทำให้เกิดความไม่มั่นคงทางจิตใจต่อคนญี่ปุ่น ขณะนั้น เพื่อน'ได้ตั้งพรรคยูมินขึ้นมาเป็นทั้งตัวเลือกทางการเมืองและที่พึ่งทางจิตวิญญาณ ภายในไม่กี่ปีก็สามารถชนะการเลือกตั้งในญี่ปุ่น

 

จนในที่สุด เพื่อน' ก็ดำเนินมาถึงแผนการสุดท้ายที่จะปูทางไปสู่อำนาจสูงสุด นั่นคือการสร้างสถานการณ์ นองเลือด' ด้วยวิธีการแพร่ไวรัสที่ทำให้เลือดออกจากตัวอย่างน่าสยดสยองและตายในเฉียบพลัน

 

20th Century Boys  ภาคแรกจบลงด้วยสถานการณ์ไวรัสระบาดล้างโลกในวันสิ้นปี 2000 การหายตัวไปของเกนจิและคันนะที่โตเป็นสาว

 

แต่สิ่งที่ 20th Century Boys ยังไม่จบลงก็คือการเป็นกระจกสะท้อนภาพความจริงที่กำลังเตือนสติเราว่า คนที่เราเชื่อ กลุ่มองค์กรที่เราเชื่อ หรือแม้แต่ศาสนาที่เราเชื่อ มันอาจไม่ได้ใสสะอาดบริสุทธิ์อย่างที่เห็นและอาจมีเบื้องหลังที่เปื้อนเลือดอย่างที่คาดไม่ถึง และความเชื่ออย่างขาดสติคุ้มคลั่งก็อาจสร้างความหายนะได้อย่างสุดจะบรรยาย

 

อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ที่เลวร้าย 20th Century Boys ได้สร้างเกนจิและเพื่อนๆ ขึ้นมาเป็นภาพตัวแทนของกลุ่มคนที่แสวงหาความจริงอย่างท้าทาย แม้ว่าในที่สุดสังคมที่ถูกการชี้นำของ เพื่อน' จะทำให้เกนจิกลายเป็นผู้ก่อการร้ายอย่างเป็น ขบวนการ' เป็น ขบวนการเกนจิ' ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นองเลือดครั้งใหญ่ในวันสิ้นปี 2000  แต่การต่อสู้เพื่อบอกความจริงแม้จะสวนทางกับความเชื่อกระแสหลักก็คือภาพสะท้อนทางจิตวิญญาณแห่งเสรีของปัจเจกชน ซึ่งความเป็นเสรีชนของเกนจิได้สื่อออกมาผ่านเพลงร็อค นักดนตรีเปิดหมวก และกลิ่นอายของฮิปปี้ในยุคทศวรรษที่ 60 -70  

 

มาถึงตรงนี้ หากใครที่ยังไม่อยากรู้ตอนต่อไปโปรดอย่าอ่านต่อ เพราะจากตรงนี้จะขอเฉลยตอนต่อไปตามต้นฉบับการ์ตูน

 

โลกหลังปี 2000 ‘เพื่อน' กลายเป็นประธานาธิบดีโลก เพราะเขาสามารถนำวัคซีนมารักษาไวรัสประหลาดในเหตุการณ์นองเลือดได้ รวมถึงได้ช่วยเหลือ โป๊ป' ให้รอดชีวิต และอ้างถึงถึงพระแม่ศักดิ์สิทธิ์ที่ลงมาโปรด ในเวลาต่อมา เพื่อน' ได้กลายเป็นผู้นำที่มีอำนาจทั้งทางการเมืองและจิตวิญญาณ โลกในศตวรรษที่ 21 คือโลกที่ เพื่อน' เป็นผู้ชี้นำทั้งทิศทางการปกครองและความถูกต้องทั้งมวล อีกทั้งยังได้สร้างภาพ ขบวนการเกนจิ' ขึ้นมาเป็นปีศาจแห่งความน่ากลัวจนทำให้สังคมถูกครอบงำให้ขาด เพื่อน' ไม่ได้ หนังสือ ดนตรี วิถีชีวิตและวัฒนธรรมถูกควบคุมโดยรัฐบาลเพื่อน และความคิดที่แตกต่างหรือการตั้งคำถามต่อ เพื่อน' คือภัยคุกคามที่ต้องถูกจัดการ

 

สังคมของโลก ภายใต้การนำของ เพื่อน' ใน 20th Century Boys จึงอาจเป็นคำเตือนจากโลกในจินตนาการมาสู่โลกของความจริง และเป็นความจริงที่น่าสนใจอย่างยิ่งเมื่อสถานการณ์มันช่างคล้ายกับในสังคมไทยที่อาจมีการนองเลือดครั้งใหญ่ที่ถูกวางไว้ในอีกไม่กี่วันนี้

 

การนองเลือดในสังคมไทยคงจะไม่ได้มาจากไวรัสล้างโลกแน่ๆ แต่ก็เดินไปตามกระบวนการปูทางสู่อำนาจคำถามสำคัญมากๆที่สังคมไทยอาจต้องยิ่งคิดให้หนักก็คือ สังคมไทยมีคนแบบ เพื่อน' ที่กำลังทำอะไรชี้นำมวลชนแบบแปลกๆอยู่หรือไม่

 

เพราะใน 20th Century Boys คนแบบ เพื่อน' กว่าจะยึดครองโลกสำเร็จ มีคนตายราว 3,000 ล้านคน ส่วนสถานการณ์ในสังคมไทยตอนนี้แม้มีคนเสียชีวิตไปบ้างแล้ว แต่สถานการณ์คงยังอยู่ในช่วงของภาคแรก คือช่วงของการรณรงค์ ช่วงของการสร้างสถานการณ์และช่วงของการใช้ความกลัวเข้าครอบงำเพื่อชี้นำ

 

ดังนั้น จึงอยากให้ดูหนังหรืออ่านการ์ตูนเรื่องนี้แล้วคิดอีกครั้งก่อนไปชุมนุมไม่ว่ากับฝ่ายใดก็ตามว่า เหตุการณ์นองเลือด' บางทีอาจเปื้อนอยู่บนมือ  เพื่อน' ของคุณก็เป็นได้  

 

บล็อกของ Cinemania

Cinemania
โดย… พิมพ์สิริ เพชรน้ำรอบ
Cinemania
      ซาเสียวเอี้ย   แต่ไหนแต่ไรมา...ระบบการศึกษาในพื้นที่หลายแห่งทั่วโลกมักถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวการ ‘ดับฝัน’ ของคนวัยหนุ่มสาว เพราะทำให้ความอยากรู้อยากเห็นและกระตือรือร้นที่จะ ‘เรียนรู้’ สิ่งแปลกใหม่ในวัยเยาว์ถูกลบเลือนหายไปในกรอบ-กฎเกณฑ์-เหตุผล-เงื่อนไข และข้อเท็จจริงทั้งหลายทั้งปวง (ซึ่งถูกกำหนดขึ้นโดยคนกลุ่มหนึ่งซึ่งมีโอกาสเกิดมาใช้ชีวิตบนโลกก่อนหน้าเรา...)   กระนั้น...ใครหลายคนก็ยังยินดีเดินตามแนวทางหรือเงื่อนไขต่างๆ ที่ถูกวางไว้แล้วโดยไม่เคยคิดตั้งคำถาม เพื่อแลกเปลี่ยนกับ ‘การยอมรับ’ จากสังคมรอบข้าง...เพื่อที่มนุษย์ทั้งหลาย (ซึ่งเป็นสัตว์สังคม)…
Cinemania
        ซาเสียวเอี้ย   ‘ชาร์ลี วิลสัน’ ตายแล้ว...   แม้การตายของเขาจะไม่ได้ทำให้โลกสะท้านสะเทือนอะไรมากนัก แต่ก็มีความหมายสลักสำคัญมิใช่น้อย เพราะบทบาทของวิลสันในสมัยที่เขายังหนุ่มแน่นและดำรงตำแหน่ง สว.รัฐเท็กซัสของสหรัฐอเมริกา เป็นประเด็นให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ถกเถียงกันไม่สิ้นสุดว่าควรจะจดจำเขาไว้ในฐานะอะไร...   บ้างก็ว่า ชาร์ลี วิลสัน คือ ‘นักการเมืองเจ้าสำราญ’ เจ้าของฉายา Good Time Charlie ผู้มีชีวิตโลดโผนเต็มไปด้วยสีสัน หรือเป็น ‘วีรบุรุษชาวอเมริกัน’ ผู้ช่วยให้นักรบมูจาฮิดีนขับไล่กองทัพสหภาพโซเวียตอันโหดร้ายป่าเถื่อนไปจากอัฟกานิสถาน…
Cinemania
themadmon หมายเหตุ: ข้อเขียนชิ้นนี้อาจเรียกได้ว่าเป็น บทสะท้อนย้อนคิดหลังจากการชมภาพยนตร์เรื่อง Air Doll ผมในฐานะที่เป็นผู้เขียนจงใจจะหยิบเลือกประเด็น (ซึ่งผ่านการตีความของผม) โดยไม่ได้อ้างอิงอย่างชัดเจนไปสู่ตัวภาพยนตร์ในแต่ละฉากแต่ละตอน โดยหวังว่าผู้ที่ยังไม่ได้ชมภาพยนตร์ก็สามารถอ่านได้ และผู้ที่ได้ชมภาพยนตร์แล้วจะสามารถระลึกถึงฉากต่างๆ ในภาพยนตร์ได้ด้วยเช่นกัน     หากลองพูดถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ในสามประโยค  ผมคงพูดสั้นๆ ว่า.. “ผู้คนหลากหลาย เราต่างก็ว่างเปล่า และเหงามากมาย”  เพราะอะไรน่ะหรือ …
Cinemania
  บริวารเงา   ขงจื๊อ เป็นชื่อหนึ่งที่ผมได้ยินมาเนิ่นนาน ถ้าจำไม่ผิดอาจจะเป็นหนังจีนกำลังภายในสักเรื่องหนึ่งที่อ้างชื่อนี้ขึ้นมาเพื่อพูดถึงปรัชญาในเรื่องคุณธรรมน้ำมิตร ผมมารู้จักเขาอีกครั้งในห้องสมุดช่วงที่กำลังสนใจพวกวิชาปรัชญา จิตวิทยา วรรณกรรม ฯลฯ  แต่ผมกลับไปชอบปรมาจารย์จีนอีกคนคือ เล่าจื๊อ เสียมากกว่า เพราะว่าแกมีความคิดที่ 'แนว' ดี (อารมณ์ของวัยรุ่นเช่นนี้แล) อีกนัยหนึ่งก็ดูเพี้ยน ๆ อีกนัยหนึ่งก็มีอารมณ์ศิลปินกว่าขงจื๊อ ขณะที่ผมเห็นว่าขงจื๊อเอาแต่พร่ำบ่นอะไรที่เป็นหลักจริยธรรมน่าเบื่อ ๆ ซึ่งความน่าเบื่อนี้ไม่ใช่ความผิดของขงจื๊อเสียทีเดียว…
Cinemania
เดือนสองจันทร์   October Sonata: รักที่รอคอย
Cinemania
สุพิชชา โมนะตระกูล ตลอดช่วงเวลาขณะชมภาพยนตร์สารคดี “Our Daily Bread” ผู้เขียนรู้สึกตะลึงกับภาพที่ได้รับชม โดยสาเหตุหลักหาใช่ “ความงาม” ของสีสันหรือองค์ประกอบศิลป์แบบภาพที่ผู้กำกับภาพบรรจงจัดวางอย่างภาพยนตร์ที่มีภาพงามเรื่องอื่นๆ...หากเป็น “ความจริง” ของภาพที่ตรึงผู้เขียนไว้ตลอดระยะเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่ง
Cinemania
  สาวกท่านเป้า ขณะที่กำลังตุรัดตุเหร่ในร้านหนังสือแอร์เย็นเฉียบ เพื่อตามหานิตยสารมือถือฉบับหนึ่ง บังเอิญเหลือบไปเห็นนิตยสารฉบับหนึ่งที่นำภาพโปรโมทภาพยนตร์ “วงษ์คำเหลา” มาขึ้นปก แต่เมื่อหยิบมาจึงรู้ว่าเป็นปกหลัง แต่ปกหน้าก็ยังเป็นวงษ์คำเหลาอยู่ดี จึงเริ่มรู้ตัวว่าถูกหลอกแดกเสียแล้ว มีที่ไหนวางขายนิตยสารโดยเอาปกหลังเป็นตัวชูโรง นิตยสารฉบับนั้นคือนิตยสารภาพยนตร์ของกลุ่มคนทวนกระแสที่ชื่อว่า “ไบโอสโคป”
Cinemania
   เคยได้ยินครูสอนประวัติศาสตร์บอกว่าคนอเมริกันมีปมเรื่องรากเหง้าทางวัฒนธรรม เพราะไม่ได้มีฐานที่มั่นคงแข็งแรงเท่าประเทศแถบยุโรปที่ผ่านการต่อสู้ก่อร่างสร้างชาิติและบ่มเพาะอารยธรรมมานานหลายศตวรรษ และต่อให้ ‘สหรัฐอเมริกา' เป็นถึงประเทศมหาอำนาจแห่งโลกสมัยใหม่ ก็ยังไม่วายถูกมองเป็นแค่ ‘เศรษฐีใหม่' หรือ ‘ชนชาติที่ไร้วัฒนธรรม' แถมยัง ‘บ้าอำนาจ' อีกต่างหากในสายตาของคนบางชาติถึงจะไม่แน่ใจว่าประโยคที่ได้ยินมาถูกต้องมากน้อยแค่ไหน แต่การที่สังคมอเมริกันให้ความสำคัญ (อย่างมาก)กับการเก็บรวบรวมประวัติศาสตร์ชาตินิยมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ก็คงพอจะเป็นภาพสะท้อนได้กลายๆ ว่าคนอเมริกันคงมี ‘ปม'…
Cinemania
 'มาริโอ โรปโปโร' เป็นลูกชายชาวประมง เติบโตมาบนเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่งในอิตาลี ที่ซึ่งไม่มีน้ำประปาและผู้คนบนเกาะส่วนใหญ่ไม่รู้หนังสือ...‘ปาโบล เนรูด้า' เป็นกวี-นักการทูต-นักการเมือง และเป็น ‘คอมมิวนิสต์' ชาวชิลี มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก แต่ต้องลี้ภัยไปอยู่บนเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่งในอิตาลีช่วงปี 1952 และที่นั่นมีบุรุษไปรษณีย์เพียงคนเดียว...บุรุษไปรษณีย์นามว่า ‘มาริโอ โรปโปโร':::บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์::: Il Postino หรือ The Postman เป็นหนังภาษาอิตาลี แต่เป็นผลงานของผู้กำกับชาวอังกฤษ ‘ไมเคิล แรดฟอร์ด' ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์หลายสาขาเมื่อปี 2538…
Cinemania
  ..mad mon..::ข้อเขียนชิ้นนี้เปิดเผยเรื่องราวบางส่วนในภาพยนตร์:: 1. จุดเริ่มต้นของจุดจบและ/หรือจุดเริ่มต้นอันใหม่เรื่องราวปัจจุบันในภาพยนตร์บอกให้เรารู้ว่าเมื่อ 30 ปีก่อนนั้น Laura (Belén Rueda) เคยใช้ชีวิตช่วงเวลาหนึ่งอยู่ในสถานเลี้ยงดูเด็กกำพร้าแห่งหนึ่งก่อนที่เธอจะถูกรับไปเลี้ยง สถานเลี้ยงเด็กนั้นอาจเรียกว่าอยู่ในพื้นที่ชนบทซึ่งห่างไกลผู้คน ตั้งอยู่ไม่ไกลชายหาดและทะเลซึ่งมีประภาคารสูงใหญ่คอยส่องไฟนำทาง และถ้ำอีกอันหนึ่ง, สถานที่ซึ่งเป็นอดีตแห่งความทรงจำของเธอ ... 30 ปีต่อมา Laura กลับมาที่แห่งนี้อีกครั้ง เมื่อเธอ, สามีของเธอ - Carlos (Fernando Cayo), และ Simón (Roger Príncep)…
Cinemania
(เขียนเมื่อ 31 ธ.ค.51)จันทร์ ในบ่อ สิ้นปีกันเสียที บรรยากาศตึงๆ ปีนี้อาจทำให้ใครหลายคนอึดอัดและทำท่าจะลากยาวไปถึงปีหน้า ก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆ  คนสู้ๆ กับปัญหาที่รุมเร้า แต่ถ้าเครียดมากลองผ่อนคลายกันด้วยการหาหนังดูมาสักเรื่องสองเรื่อง จะซื้อ จะเช่ามานั่งดูที่บ้านหรือจะออกไปดูตามโรงภาพยนตร์ต่างๆ ก็ได้ ลองออกจากโลกความจริงไปอยู่ในโลกอื่นสักชั่วโมงสองชั่วโมงอาจจะสบายใจขึ้นส่วนถ้าใครยังไม่รู้จะดูเรื่องอะไร ที่ไหนอย่างไร ผมก็มีโปรแกรมหนังรับปีใหม่มาฝาก เป็นหนังฟรีกลางแปลงครับหลายคนคงไม่ค่อยทราบว่าที่มหาวิทยาลัยศิลปากรจะจัดเทศการหนังกลางแปลงกันทุกปี ในวันที่ 7-8-9 มกราคม 2552…