Skip to main content



ผมเข้าใจว่าคนส่วนใหญ่ที่ใช้ชีวิตในเมืองนั้นคงเหน็ดหน่ายและเหนื่อยหนักจากการงาน ชีวิตหลายชีวิตอาจถูกทับถมด้วยภาระหน้าที่อันหนักอึ้ง ยังไม่นับนานาปัญหาที่เข้ารุมสุมแน่นหนาอีกหลายชั้น จนดูเหมือนว่าชั่วชีวิตนี้คงยากจะสลัดให้หลุดพ้นไปได้ ที่ผมพูดเช่นนี้เพราะครั้งหนึ่งตัวผมเองเคยเอาชีวิตไปวางไว้อยู่ในเมืองนานหลายปี

แน่นอน ใครหลายคนในสังคมเมืองจึงชอบเอา ‘การเดินทาง' เป็นหนทางเดียวที่จะหลุดพ้นออกจากกงล้อแห่งการงานนั้นได้ และมักเอาช่วงสิ้นปีหรือวันปีใหม่ เป็นวันแห่งการปลดปล่อย ในขณะที่ตัวผมนั้น กลับไม่ได้เดินทางไปไหนเลย ยังมีชีวิตแบบวันต่อวัน อยู่กับปัจจุบันขณะ ในหุบเขาผาแดงแห่งนี้

ผมมีโอกาสต้อนรับครอบครัวหนึ่งมาพักผ่อนในสวนของผม พวกเขาเอารถเก๋งมาจอดในหมู่บ้าน ก่อนผมจะบอกทุกคนขนย้ายสัมภาระใส่รถกระบะคันเก่า ขับขึ้นไปบนเนินเขาขรุขระด้วยร่องรอยของร่องน้ำป่าในหน้าฝนกัดเซาะจนเป็นหลุมลึก แต่ยังสามารถขับผ่านขึ้นไปได้

 

พอถึงบ้านปีกไม้หลังเล็กๆ กลางสวน ทุกคนเริ่มตื่นตาตื่นใจกับภาพเบื้องหน้า ผมชักชวนพวกเขาขึ้นไปนั่งพักผ่อนบนระเบียงไม้ไผ่ที่เพิ่งทำเสร็จหมาดๆ หลายคนจ้องมองไปยังท้องทุ่งกำลังสีเขียวสด ดอยผาแดงตั้งตระหง่านอยู่เด่นสูง ท้องฟ้าสีฟ้า ผมมองเห็นสีหน้าดวงตาของทุกคนนั้นมีความสุขกันถ้วนหน้า ทุกคนกะเล็งหาพื้นที่ของตัวเอง หลายคนหอบเอาฟางข้าวใต้ต้นสักมาปูพื้นให้นุ่ม ก่อนจะช่วยกันกางเต็นท์อยู่ระหว่างต้นชมพู่กับมะไฟ กลุ่มผู้หญิงช่วยกันหั่นผัก ทำกับข้าวหลังบ้าน ชายหนุ่มคนนั้นเสาะหา กิ่งไม้แห้งในสวนมาทำฟืน พอพลบค่ำ กองไฟบนลานดินจึงลุกโชน

 

ผมแอบจ้องมองชายตาพิการคนนั้น เขามาพร้อมหญิงสาวคู่ชีวิตชาวปวาเก่อญอ นั่งนิ่งอยู่ในความเงียบ

 

"มีความสุขจริงๆ..." เขาพูดออกมาดังๆ ก่อนยิ้มกว้าง เงี่ยหูฟังเสียงธรรมชาติที่ล้อมรอบกาย

 

เที่ยงคืน ดาวเกลื่อนฟ้า ลมหนาวเย็นเยือก ทุกคนลงไปผิงไฟข้างกองไฟให้หายหนาว คนข้างล่างในหมู่บ้านจุดพลุขึ้นฟ้าดังปัง...ก่อนแสงกระจายตัวเป็นดอกดวงหลากสี บ้างปล่อยโคมลอยตามกันเป็นเส้นสาย ลอยตามลม สูงขึ้นไปในเวิ้งฟ้า หลังจากนั้น ทุกคนแยกย้ายกันไปหลับนอน เพียงไม่นาน ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบสงัด

 

อีกเช้า, ผมเฝ้ามองพวกเขายังรื่นรมย์ในชีวิต พากันเดินเล่นรอบๆ สวน ก่อนขึ้นเนินลิ่วลงไปตามท้องถนนภายในหมู่บ้าน กลับมาอีกครั้งก็ตกบ่าย พวกผู้หญิงเดินไปบิดลูกมะละกอดิบจากสวนข้างบ้านมาปอก ทำส้มตำกินกันง่ายๆ หน้าระเบียง ครั้นพอใกล้ค่ำ ผมพาพวกเขาลัดเลาะป่า ลงไปยังฝายน้ำล้นเหนือหมู่บ้าน เด็กๆ พากันเล่นน้ำในลำเหมืองที่ไหลผ่านหมู่บ้านอย่างสนุกสนาน ผมปลีกตัวเดินไปตามริมลำน้ำ สะพายย่าม ถือเสียมเล็กๆ ไปขุดหาเหง้าผักกูดที่ขึ้นเต็มตามลำน้ำ ตั้งใจไว้ว่าจะเอามาปลูกไว้ริมหน้าต่างห้องครัวของบ้านปีกไม้

 

ผู้คนหลายกลุ่มเข้ามาแล้วก็จากไป ซึ่งผมเข้าใจว่าผู้คนที่แวะเวียนขึ้นมาเยือนหุบเขาผาแดง น่าจะได้พลังชีวิตกลับไปบ้าง ไม่มากก็น้อย

 

ครั้นเมื่อชีวิตกลับมาอยู่ลำพังอีกครั้ง...

ผมก็เริ่มสนทนากับตัวเอง

สนทนากับธรรมชาติสรรพสิ่งที่อยู่รายรอบ

 

เช้าๆ ผมตื่นมารีบโปรยข้าวให้ไก่ที่วิ่งมาออกันเต็มลานบ้าน ก่อนจะเดินไปหยิบไข่ไก่ในเล้ามาสามใบ อาหารเช้ายังคงเรียบง่าย น้ำพริก ผักนึ่ง กับไข่ต้มจากรังหมาดๆ พอตกสายเปิดหน้าต่างห้องเขียนหนังสือ ลงมือทำงาน สักพักนกปิ๊ดจะลิวบินมาเกาะกิ่งไม้ริมรั้ว ส่งเสียงร้องทักทาย สยายปีก อาบแดดอุ่น สักครู่หนึ่งบินจากไป

 

พอสายตาเมื่อยล้า หลังจากจ้องมองจอคอมพิวเตอร์นานเกินไป ผมหยุดพัก ออกไปเดินเล่นในสวน ซึ่งเป็นกิจวัตรหนึ่งที่ผมชอบมากๆ เป็นการผ่อนคลายที่ดีที่สุด เดินช้าๆ แวะจับพลิกใบไม้ที่ผลิใหม่ให้เห็นอยู่ในแต่ละวัน แหละนั่นตรงข้างกอกล้วย ผมมองเห็นขี้กระต่ายป่า เม็ดกลมเล็กๆ สีน้ำตาลแห้ง กระจัดกระจายอยู่ตรงนั้น มันอาจมุดรั้วมาจากสวนข้างบ้านที่รกเรื้อจนกลายเป็นดงป่า

 

ทำให้นึกไปถึงวันก่อน ตอนผมไม่อยู่บ้าน ไปทำธุระในเมือง หลานชายโทรศัพท์บอกว่า เจ้าสีทอง แมวที่ผมเลี้ยงไว้จับกระต่ายป่าตัวเขื่องได้ตัวหนึ่ง คาบเอามาอวด ก่อนแทะกินจนอิ่ม ซึ่งผมถือว่านี่เป็นกฎธรรมดาของธรรมชาติ

 

และนั่นต้นกาแฟอายุยังไม่ถึงขวบปีคงนึกน้อยใจ ที่เจ้าของทิ้งมันให้อดน้ำมาหลายวัน ผมกลับมา จึงรู้ว่าหลายร้อยชีวิตพากันทิ้งใบร่วงเกือบหมด บางต้นแห้งเฉาตาย แต่เป็นที่รู้กันว่า ต้นกาแฟถ้าลงดินรากหยั่งลึกลงไปแล้ว ยากนักที่มันจะตายไปง่ายๆ ครั้นผมรีบรดน้ำรอบๆ โคนต้น เพียงชั่วสัปดาห์ เจ้าต้นกาแฟก็พากันผลิใบน้อยๆ ออกมาให้เห็นอีกครั้ง

 

ทุกครั้งที่ผมเดินเล่นในสวน ผมมักตื่นตาตื่นใจที่ได้สัมผัสและมองเห็นอะไรอีกมากมายหลายๆ อย่าง เหมือนกับว่าตัวเองกำลังท่องโลก...

โลกของธรรมชาติ

โลกที่เรียบง่ายและเป็นจริง.

 

.............................................................................

 

หมายเหตุ : งานชิ้นนี้ตีพิมพ์ครั้งแรก คอลัมน์ ‘คนคือการเดินทาง' เสาร์สวัสดี กรุงเทพธุรกิจ 31 มกราคม 2552

 

 

 

บล็อกของ ภู เชียงดาว

ภู เชียงดาว
ผมรู้ว่าสี่ห้าปีมานี้ ผมเขียนบทกวีได้ไม่กี่ชิ้น อาจเป็นเพราะต้องอยู่กับโลกข่าวสารที่จำเป็นต้องเร่งและเร็ว หรืออาจเป็นเพราะว่ามีบางสิ่งบางอย่างบดบัง จนหลงลืมมองสิ่งที่รอบข้าง มองเห็นอะไรพร่ามัวไปหมด หรือว่าเรากำลังหลงลืมความจริง...ผมเฝ้าถามตัวเอง...  อย่างไรก็ตามเถอะ...มาถึงตอนนี้ ผมกำลังพยายามฝึกใช้ชีวิต ให้อยู่กับความฝันและความจริงไปพร้อมๆ กัน ช่วงนี้ หลังพักจากงานสวน ผมจึงมีเวลาอยู่กับความเงียบลำพัง เพ่งมองภายในและสิ่งรายรอบมากยิ่งขี้น และผมเริ่มบันทึกบทกวีแคนโต้เหมือนสายน้ำ หลั่งไหล อย่างต่อเนื่อง ทุกวันๆ ตามดวงตาที่เห็น ตามหัวใจได้สัมผัสต้อง บ่อยครั้งมันมากระทบทันใด ไม่รู้ตัว…
ภู เชียงดาว
เกือบสามเดือนแล้วที่ผมพาตัวเองกลับมาอยู่ในหุบเขาบ้านเกิด ชีวิตส่วนใหญ่จึงขลุกอยู่แต่ในสวน ไม่ค่อยได้เดินทางไปไหนไกล แต่ผมกลับไม่รู้สึกว่าเหงาหรือห่างไกลกับผู้คนเลย เพราะในแต่ละเดือนมักมีมิ่งมิตรเดินทางมาเยี่ยมเยือนหากันตลอด  และทำให้ผมรู้อีกอย่างหนึ่งว่า...บางทีการอยู่นิ่งก็หมายถึงการเดินทาง ใช่ ผมหมายถึงว่า ในขณะที่ผมอยู่ในสวน หากยังมีผู้คนเดินทางแวะเวียนมาหา และที่น่าสนใจมากกว่านั้นก็คือ ผมยังมองเห็นเมล็ดพันธุ์เดินทางมายังสวนอย่างต่อเนื่อง “ผมเอาเมล็ดพันธุ์มาฝาก...” นักเดินทางคนหนึ่งเดินทางไกลมาจากสงขลา ล้วงเอาเมล็ดพันธุ์ที่ใส่ไว้ในกล่องฟิล์มยื่นให้ ขณะผมกำลังง่วนทำงานอยู่ในสวน
ภู เชียงดาว
หลังดินดำน้ำชุ่ม เขาหยิบเมล็ดพันธุ์หลากหลายมากองวางไว้ตรงหน้า มีทั้งเมล็ดผักกาดดอยที่พ่อนำมาให้ เมล็ดฟักทองที่พี่สาวฝากมา นั่นเมล็ดแตงกวา เมล็ดหัวผักกาด ถั่วพุ่ม ผักบุ้ง บวบหอม ผักชี ฯลฯ เขาค่อยๆ ทำไปช้าๆ ไม่เร่งรีบ ทั้งหว่านทั้งหยอดไปทั่วแปลง เสร็จแล้วเดินไปหอบใบหญ้าแฝกที่ตัดกองไว้ตามคันขอบรอบบ้านปีกไม้มาปูบนแปลงผักแทนฟางข้าว ให้ความชุ่มชื้นแก่ดินหลังจากนั้น เขามองไปรอบๆ แปลงริมรั้วยังมีพื้นที่ว่าง เขาเดินไปถอนกล้าตำลึง ผักปลัง ผักเชียงดา มะเขือ พริก อัญชัน ตะไคร้ ขิง ข่า กระเพรา โหระพา สาระแหน่ ฯลฯ มาปลูกเสริม หยิบลูกมะเขือเครือ(ที่หลายคนเรียกกันว่าฟักแม้วหรือซาโยเต้)…
ภู เชียงดาว
ในช่วงสองเดือน ก่อนที่เขาจะตัดสินใจลาออกจากงานประจำ เกือบทุกเสาร์-อาทิตย์ เขาใช้เวลาเทียวขึ้นเทียวล่องระหว่างเมืองกับสวนในหุบเขาบ้านเกิด เพื่อวางแผนลงมือทำสวนผักหลังบ้าน แน่นอน- -เพราะเขาบอกกับตัวเองย้ำๆ ว่าหากคิดจะพามนุษย์เงินเดือน กลับไปใช้ชีวิตแบบนั้นได้ จำเป็นอย่างยิ่งจะต้องมีฐานที่มั่น และมีผักไม้ไซร้เครือเตรียมไว้ให้พร้อม ให้พออยู่พอกินเสียก่อน ใช่ เขาหมายถึงการสร้างฐานความมั่นคงทางอาหาร ด้วยการปลูกพืชผักสวนครัวหลังบ้าน   หลายคนอาจบอกว่า งานทำสวนนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เหมือนกับงานสาขาอาชีพอื่น แต่ก็อีกนั่นแหละ เขากลับมองว่า งานสวนไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย…
ภู เชียงดาว
1. ในชีวิตคนเรานั้นคงเคยตั้งคำถามที่ไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก คำถามคลาสสิกหนึ่งนั้นคือ...“คนเราต้องการอะไรในชีวิต!?...” คำตอบส่วนใหญ่ก็คงหนีไม่พ้นต้องการปัจจัยสี่ในการดำรงชีวิต ...อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค หากปัจจุบัน ‘เงิน’ กลับกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของคนเรา แน่นอน, เมื่อเอาเงินเป็นตัวกำหนดชะตากรรม,ชีวิต จึงทำให้ทุกคนต้องดิ้นรนเพียงเพื่อให้ได้มาทุกสิ่งทุกอย่าง จนทำให้ชีวิตหลายชีวิตนั้นขวนขวายทำงานกันอย่างหน่วงหนัก ‘การงาน’ ได้กระชากลากเหวี่ยงเรากระเด็นกระดอนไปไกลและไกล ให้ออกไปเดินบนถนนของความโลภ ไปสู่เมืองของความอยาก ไปสู่กงล้อของการไขว่คว้าที่หมุนวนอยู่ไม่รู้จบ…
ภู เชียงดาว
ค่ำนั้น, ฟ้าเริ่มครึ้มมัวหม่นเมฆฝน ข้ายืนจดจ้องฝูงมดดำเคลื่อนขบวนมหึมา ไต่ไปบนปีกไม้ไปหารวงรังแตนเกาะริมขอบหน้าต่างบ้านปีกไม้ หมู่มดยื้อแย่งขนไข่แตนกันออกจากรัง อย่างต่อเนื่อง ขณะฝูงแตนบินว่อนไปมาด้วยสัญชาติญาณ คงตระหนกตกใจระคนโกรธขึ้งเคียดแค้น แต่มิอาจทำอะไรพวกมันได้ เหล่าฝูงมดอาศัยพลพรรคนับพันนับหมื่นชีวิต ใช้ความได้เปรียบเข้าปล้นรังไข่พวกมันไปหมดสิ้น ไม่นาน ขบวนมดจำนวนมหาศาลก็ถอยทัพกลับไป ฝูงแตนไม่รู้หายไปไหน เหลือเพียงรังแตนที่กลวง ว่างเปล่า
ภู เชียงดาว
ในที่สุด, ผมก็พาตัวเองกลับคืนสู่บ้านเกิดอีกครั้ง หลังจากโชคชะตาชักชวนชีวิตลงไปอยู่ในโลกของเมืองตั้งหลายขวบปี การกลับบ้านครั้งนี้ ผมกะเอาไว้ว่า จะขอกลับไปพำนักอย่างถาวร หลังจากชีวิตเกือบค่อนนั้นระหกระเหินเดินทางไปหลายหนแห่ง ผ่านทุ่งนา ภูเขา แม่น้ำ ทางป่า ถนนเมือง... จนทำให้บ้านเกิดนั้นเป็นเพียงคนรู้จักที่ไม่คุ้นเคย เป็นเหมือนโรงเตี๊ยมพักผ่อนชั่วคราวก่อนออกเดินทางไกล อย่างไรก็ตามได้อะไรมากและหลากหลาย... สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาสู่,ชีวิตการกลับบ้านเกิดหนนี้, เหมือนกับว่าไปเริ่มสู่จุดเริ่มต้นและก่อเกิด ผมบอกกับหลายคนว่ากำลังเกิดใหม่เป็นหนที่สามจากบ้านเกิด เข้ามาเรียนในเวียง…
ภู เชียงดาว
‘ลุ่มน้ำแม่ป๋าม’ ถือว่าเป็นลุ่มน้ำสาขาหลักที่สำคัญของแม่น้ำปิงอีกสายหนึ่งของอำเภอเชียงดาว ที่เราจะมองข้ามไปไม่ได้เลย เมื่อย้อนทวนขึ้นไปบนความสลับซับซ้อนของต้นกำเนิดน้ำแม่ป๋าม หรือที่หลายคนเรียกกันว่า ตาน้ำ จะพบว่าอยู่บริเวณชุมชนบ้านแม่ปาคี ต.สันทราย ของ อ.พร้าว ก่อนจะลัดเลาะไหลอ้อมตีนดอยผาแดง ลงสู่หุบห้วยบริเวณบ้านป่าตึงงาม โดยมีสายน้ำย่อยอีกสายหนึ่ง คือน้ำแม่ป๋อย ได้ไหลมารวมกับน้ำแม่ป๋ามตรงสบน้ำบ้านออน ต.ปิงโค้ง อ.เชียงดาว นอกจากนั้นยังมีลำน้ำแม่มาดอีกสายหนึ่ง ซึ่งมีขุนน้ำอยู่บริเวณป่าเชิงดอยบ้านปางโม่ ก็ได้ไหลมาสมทบกับน้ำแม่ป๋าม แล้วค่อยไหลผ่านหมู่บ้านแม่ป๋าม…
ภู เชียงดาว
มองไปในความกว้างและเวิ้งว้าง ทำให้ผมอดครุ่นคิดไปลึกและไกล และพลอยให้อดนึกหวั่นไหวไม่ได้ หากภูเขา ทุ่งนาทุ่งไร่ สายน้ำ และวิถีชีวิตในหมู่บ้านเกิดของผมต้องเปลี่ยนไป เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมที่อยู่นอกเหนือธรรมชาติเข้ามาเยือน
ภู เชียงดาว
‘…เรารู้ซึ้งถึงสิ่งนี้ โลกนี้มิใช่ของมนุษย์ มนุษย์ต่างหากที่เป็นสมบัติของโลก สิ่งนี้เรารู้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันเหมือนดังสายเลือดในครอบครัวเดียวกัน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์ สิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นแก่โลก ย่อมเกิดขึ้นแก่บุตรธิดาของโลกด้วย มนุษย์ไม่ใช่ผู้สานทอใยแห่งชีวิต เขาเป็นเพียงเส้นใยหนึ่งในนั้น สิ่งใดก็ตามที่เขาทำต่อข่ายใยนั้น ก็เท่ากับกระทำต่อตนเอง...’จดหมายโต้ตอบของหัวหน้าเผ่าอินเดียนแดงที่ซีแอตเติ้ลจากหนังสือ ‘ณ ที่ดวงตะวันฉายแสง ข้าจะไม่สู้รบอีกต่อไป’วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ : แปล และเรียบเรียง
ภู เชียงดาว
  ผมยืนอยู่บนเนินเขาเหนือหมู่บ้าน จ้องมองภาพเคลื่อนไหวไปเบื้องหน้า... เป็นภาพที่คุ้นเคยที่ยังคงสวยสด งดงาม และเรียบง่ายในความรู้สึกผม ภาพชาวนาในท้องทุ่ง ภาพหุบเขาผาแดงที่มีป่าไม้กับลำน้ำแม่ป๋ามไหลผ่านคดโค้งเลียบเลาะระหว่างตีนดอยกับทุ่งนา ก่อนรี่ไหลลงไปสู่ลำน้ำปิง แม่น้ำในใจคนล้านนามานานนักนาน
ภู เชียงดาว
(1)ดอกฝนหล่นโปรยมาทายทักแล้ว,ในห้วงต้นฤดูหอมกลิ่นดินกลิ่นป่าอวลตรลบไปทั่วทุกหนแห่งหัวใจหลายดวงชื่นสดในชีวิตวิถีถูกปลุกฟื้นตื่นให้เริ่มต้นใหม่อีกคราครั้ง…ตีนเปลือยย่ำไปบนดินนุ่มชุ่มชื้น,เช้าวันใหม่ไต่ตามสันดอย ไปในไร่ด้วยกันนะน้องสาวผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน  ช่วยกันทำงานๆพี่ใช้เสียมลำไม้ไผ่กระทุ้งดิน  น้องหยิบเมล็ดข้าวหยอดใส่หลุมไม่เร่งรีบ ไม่บ่นท้อ ในความเหน็ดหน่ายเสร็จงานเราผ่อนคลาย  เอนกายผ่อนพักใต้เงาไม้ใหญ่แล้วพี่จะกล่อมให้, ด้วยเพลงพื้นบ้านโบราณขับขาน