Skip to main content

 

\\/--break--\>

 


 


ข้าวก่ำกำลังกินดอกอัญชันอย่างเอร็ดอร่อย

 


ลีลาข้าวก่ำเตรียมคาบปลีกล้วยช่วยคนสวนอีกแรง

 


ห้ามชวนคุย
...
ผมกำลังคาบปลีกล้วยกลับบ้าน

 


สนุกเป็นบ้า เกิดเป็นหมาในสวน

 

คุณเคยตกอยู่ในห้วงรู้สึกแบบนี้กันบ้างไหม ทุกครั้งที่ตัวคุณเดินทางไปไหนต่อไหน ใกล้หรือไกลเพียงใด แต่หัวใจคุณมักครุ่นคิดถึงมันครั้งละหลายหน ในยามคุณปล่อยมันทิ้งไว้ในบ้านเพียงลำพัง ทำไมเหรอ...อาจเป็นเพราะมันคือเพื่อน หรือเป็นเหมือนลูกๆ ช่างขี้อ้อนที่คุณรักและโปรดปราน จนบางครั้งคุณถึงกับพูดออกมาดังๆ ให้คนใกล้ตัวได้ยินว่า - -ฉันรักมันเพราะมันซื่อสัตย์ยิ่งกว่าคนบางคนเสียอีก!

 

ใช่ ผมกำลังพูดถึงสัตว์เลี้ยงในบ้านของคุณนั่นเอง

 

บ้านปีกไม้ของผมตั้งอยู่หลังเดียว โดดเดี่ยวบนเนินเขาเหนือหมู่บ้าน รายล้อมด้วยต้นไม้ที่ผมปลูกไว้นานาชนิด รวมไปถึงสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นหมา แมว ไก่ แม้กระทั่งปลาดุกในบ่อเล็กๆ ติดชิดริมรั้วไม้ไผ่ แต่เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมมีเหตุจำเป็นต้องเดินทางไกลไปลงพื้นที่มาเขียนงานสารคดี ตามหุบเขาดงดอยนานถึงห้าวัน ห้าพื้นที่ในสี่จังหวัดภาคเหนือ แน่นอน ทำให้ผมรู้สึกเป็นห่วงสัตว์ที่ผมเลี้ยงไว้ เกรงพวกมันจะเหงา กลัวพวกมันจะหิว ไม่ได้กินอาหาร ผมจึงได้แต่หวังพึ่งพ่อวัยเจ็ดสิบกว่า ควบขับรถเครื่องคันเก่าขึ้นไป เอาอาหารให้พวกมันเท่านั้นเอง

 

แต่ก็นั่นแหละ การให้อาหารกับการให้ความรักมันคนละอย่างกัน

และความห่างไกลกับการเดินทางไกลนั้น

ยิ่งทำให้ผมคิดถึงพวกมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

ในระหว่างเดินทาง ภาพความน่ารักจึงย้อนให้นึกถึงพวกมันอยู่เนืองๆ

 

มองเห็นภาพอันเคยคุ้นตอนอยู่ในบ้าน หันไปทางใด ซ้ายก็หมา ขวาก็แมว...นั่นเจ้าเหมียวขี้อ้อน แมวลายเสือใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผมมานานหลายปี เมื่อนึกถึงเจ้าเหมียว ผมไม่รู้สึกห่วงมันเท่าไร เรื่องอาหารการกิน นอกจากเทอาหารเม็ดไว้ให้มันแล้ว สัญชาติญาณของแมว เมื่อเจ้าของไม่อยู่ มันจะปรับตัวเป็นเหมือนแมวป่าทันที บ่อยครั้งผมเห็นมันย่องออกไปซุ่มหากินในป่าท้ายไร่ และมักกลับมาพร้อมหนู นก หรือแม้กระทั่งกิ้งก่าตัวเขื่องคาบคาปากของมัน

 

ห่วงก็แต่เจ้าข้าวก่ำ หมาเพศผู้วัยเจ็ดเดือนกว่าตัวนั้นแหละ มันกำลังหัดเรียนรู้โลกในสวน เป็นลูกหมาพันธุ์ผสมระหว่างโกลเด้นรีทรีฟเวอร์กับลาบาร์ดอร์ หูตูบ ขนหนาตัวดำมะเมื่อม มีเพียงสีขาวแต้มตรงจมูกนิด ตรงเคราใต้ครางและข้อเท้าอย่างละหน่อย มันชอบนอนหมอบอยู่ใกล้ๆ เตาครัว มันเก่งเรื่องดมกลิ่นและประสาทสัมผัส เพียงแค่ผมขยับ จับจานช้อนส้อม กระทบกันดังกริ๊ก หูของมันกระดิก ขาหน้าลุกยันขึ้นนั่ง ดวงตามองจ้องแป๋ว หางกระดิก ลิ้นแลบออกมา บ้างถึงขั้นเลียแผล็บๆ น้ำลายไหลยืด บอกสัญญาณว่า...หิวเหมือนกันๆ

 

พูดถึงเจ้าข้าวก่ำตัวนี้ ผมไม่ได้ตั้งใจจะได้มันมาเลี้ยงหรอก เพราะเคยตั้งใจไว้แต่แรกว่าจะหาหมาไทยพื้นเมืองมาเลี้ยงไว้เฝ้าสวน น่าจะเหมาะกว่าหมาฝรั่ง พอดีมีหญิงสาวบอกว่า มีลูกหมาพันธุ์ผสม เจ้าของเป็นหญิงไทยแต่งงานกับฝรั่ง อยากแจกให้คนอื่นไปช่วยเลี้ยง เพราะเกิดมาพร้อมกันหลายตัว เลยขอไว้ตัวหนึ่ง ผมได้มาตั้งแต่อายุได้เพียงเดือนเศษ ตัวมันยังเล็กกลมเหมือนตัวตุ่น แต่ครั้นเผลอชั่วข้ามวันข้ามเดือน มันตัวใหญ่ผิดหูผิดตา โตวันโตคืน สูงใหญ่กว่าเจ้าเหมียวหลายเท่าตัว มันเป็นหมาพันธุ์ขี้เล่น ขี้อ้อนเหมือนเด็กๆ ทุกเช้าหลังตื่นนอน มันชอบวิ่งเล่นวนในสวน บ้างก็ปล้ำฟัดกับเจ้าเหมียวจนตัวปลิวไปมา แต่รู้สึกได้เลยว่า สัตว์เลี้ยงไม่ว่าประเภทใดเมื่ออยู่ร่วมกันตั้งแต่เล็ก มันจะรักและผูกพันกันจนแยกไม่ได้ว่าตัวเองนั้นเป็นหมาหรือเป็นแมวกันแน่

 

ที่น่าเป็นห่วงก็คือ เจ้าข้าวก่ำ เป็นหมาที่กินได้ทุกอย่างที่ขวางหน้า นอกจากข้าว เนื้อทั่วไปแล้ว มันยังกินพวกผักผลไม้ ไม่ว่าจะเป็นมะม่วงสุก ลำไย ถั่ว กล้วย จนหลายบอกว่ามันเริ่มทำตัวเหมือนเจ้าของมากขึ้นทุกที

 

ครั้นเมื่อผมไปค้นข้อมูลในเวบไซต์ มีเจ้าของหมาพันธุ์นี้หลายคนบอกเล่านิสัยการกินของมันแล้วต้องทอดถอนใจ เพราะต่างล้วนประสบกับปัญหาเดียวกัน คนหนึ่งบอกว่า มันชอบกินกล้วยน้ำว้าวันละหลายๆ ลูก แม้กระทั่ง แตงโม แตงกวา ผักใบเขียวๆ ก็กินหมด

 

คนรักหมาอีกคนหนึ่งบอกว่า เคยพาเจ้าหมาพันธุ์นี้ไปหาหมอ..หมอบอกว่าน้ำหนักเกินมากไป ให้ลดน้ำหนัก ไม่งั้นอาจถึงตายได้ พลอยทำให้ผมเริ่มกังวลและเป็นห่วงมันขึ้นมาทันใด

 

แต่ที่แน่ๆ ก็คือพวกมันทำให้ผมรู้ว่าการดำรงอยู่ร่วมของสิ่งมีชีวิตในโลกใบนี้นั้นช่างอัศจรรย์ใจเพียงใด ไม่ว่าซ้ายหมา ขวาแมว ฝูงไก่หรือนกป่าที่แวดล้อมอยู่ในสวน ล้วนเป็นวิถีที่ผมรู้สึกผูกพันทั้งสิ้น

 

และทำให้ผมรับรู้ได้ว่า แท้จริงแล้ว

ไม่ว่าคนหรือสัตว์ เผ่าใด พันธุ์ไหนก็แล้วแต่ ล้วนอยู่ร่วมกันได้

หากมีความรักเป็นที่ตั้ง

 

จริง, ผมรู้สึกเช่นนั้น เพียงแต่บางครั้งเป้าหมายอาจคลาดเคลื่อนไปบ้าง เหมือนกับการเลี้ยงเจ้าข้าวก่ำหมาของผม นั้นผิดพลาดไปบ้างเล็กน้อยถึงปานกลาง เพราะตอนแรกตั้งใจเลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน ไว้ขู่คนแปลกหน้า ข่มหมาแปลกถิ่น เป็นยามตอนผมไม่อยู่บ้าน กลับผิดคาด...เมื่อเจ้าข้าวก่ำจอมซนตัวนี้นอกจากเป็นหมาที่ไม่ชอบเห่าแล้ว มันยังชอบกระดิกหาง คอยเชื้อเชิญคนแปลกหน้าและหมาแปลกถิ่นเข้ามาเล่นในบ้านสวนของผมซะงั้น...

 

สงสัยมันจะเป็นหมาที่รักสันติ.

 

หมายเหตุ :งานชิ้นนี้ตีพิมพ์ครั้งแรก ในคอลัมน์คนคือการเดินทาง เสาร์สวัสดี,กรุงเทพธุรกิจ 29 ..2552

 

 

บล็อกของ ภู เชียงดาว

ภู เชียงดาว
ผมรู้ว่าสี่ห้าปีมานี้ ผมเขียนบทกวีได้ไม่กี่ชิ้น อาจเป็นเพราะต้องอยู่กับโลกข่าวสารที่จำเป็นต้องเร่งและเร็ว หรืออาจเป็นเพราะว่ามีบางสิ่งบางอย่างบดบัง จนหลงลืมมองสิ่งที่รอบข้าง มองเห็นอะไรพร่ามัวไปหมด หรือว่าเรากำลังหลงลืมความจริง...ผมเฝ้าถามตัวเอง...  อย่างไรก็ตามเถอะ...มาถึงตอนนี้ ผมกำลังพยายามฝึกใช้ชีวิต ให้อยู่กับความฝันและความจริงไปพร้อมๆ กัน ช่วงนี้ หลังพักจากงานสวน ผมจึงมีเวลาอยู่กับความเงียบลำพัง เพ่งมองภายในและสิ่งรายรอบมากยิ่งขี้น และผมเริ่มบันทึกบทกวีแคนโต้เหมือนสายน้ำ หลั่งไหล อย่างต่อเนื่อง ทุกวันๆ ตามดวงตาที่เห็น ตามหัวใจได้สัมผัสต้อง บ่อยครั้งมันมากระทบทันใด ไม่รู้ตัว…
ภู เชียงดาว
เกือบสามเดือนแล้วที่ผมพาตัวเองกลับมาอยู่ในหุบเขาบ้านเกิด ชีวิตส่วนใหญ่จึงขลุกอยู่แต่ในสวน ไม่ค่อยได้เดินทางไปไหนไกล แต่ผมกลับไม่รู้สึกว่าเหงาหรือห่างไกลกับผู้คนเลย เพราะในแต่ละเดือนมักมีมิ่งมิตรเดินทางมาเยี่ยมเยือนหากันตลอด  และทำให้ผมรู้อีกอย่างหนึ่งว่า...บางทีการอยู่นิ่งก็หมายถึงการเดินทาง ใช่ ผมหมายถึงว่า ในขณะที่ผมอยู่ในสวน หากยังมีผู้คนเดินทางแวะเวียนมาหา และที่น่าสนใจมากกว่านั้นก็คือ ผมยังมองเห็นเมล็ดพันธุ์เดินทางมายังสวนอย่างต่อเนื่อง “ผมเอาเมล็ดพันธุ์มาฝาก...” นักเดินทางคนหนึ่งเดินทางไกลมาจากสงขลา ล้วงเอาเมล็ดพันธุ์ที่ใส่ไว้ในกล่องฟิล์มยื่นให้ ขณะผมกำลังง่วนทำงานอยู่ในสวน
ภู เชียงดาว
หลังดินดำน้ำชุ่ม เขาหยิบเมล็ดพันธุ์หลากหลายมากองวางไว้ตรงหน้า มีทั้งเมล็ดผักกาดดอยที่พ่อนำมาให้ เมล็ดฟักทองที่พี่สาวฝากมา นั่นเมล็ดแตงกวา เมล็ดหัวผักกาด ถั่วพุ่ม ผักบุ้ง บวบหอม ผักชี ฯลฯ เขาค่อยๆ ทำไปช้าๆ ไม่เร่งรีบ ทั้งหว่านทั้งหยอดไปทั่วแปลง เสร็จแล้วเดินไปหอบใบหญ้าแฝกที่ตัดกองไว้ตามคันขอบรอบบ้านปีกไม้มาปูบนแปลงผักแทนฟางข้าว ให้ความชุ่มชื้นแก่ดินหลังจากนั้น เขามองไปรอบๆ แปลงริมรั้วยังมีพื้นที่ว่าง เขาเดินไปถอนกล้าตำลึง ผักปลัง ผักเชียงดา มะเขือ พริก อัญชัน ตะไคร้ ขิง ข่า กระเพรา โหระพา สาระแหน่ ฯลฯ มาปลูกเสริม หยิบลูกมะเขือเครือ(ที่หลายคนเรียกกันว่าฟักแม้วหรือซาโยเต้)…
ภู เชียงดาว
ในช่วงสองเดือน ก่อนที่เขาจะตัดสินใจลาออกจากงานประจำ เกือบทุกเสาร์-อาทิตย์ เขาใช้เวลาเทียวขึ้นเทียวล่องระหว่างเมืองกับสวนในหุบเขาบ้านเกิด เพื่อวางแผนลงมือทำสวนผักหลังบ้าน แน่นอน- -เพราะเขาบอกกับตัวเองย้ำๆ ว่าหากคิดจะพามนุษย์เงินเดือน กลับไปใช้ชีวิตแบบนั้นได้ จำเป็นอย่างยิ่งจะต้องมีฐานที่มั่น และมีผักไม้ไซร้เครือเตรียมไว้ให้พร้อม ให้พออยู่พอกินเสียก่อน ใช่ เขาหมายถึงการสร้างฐานความมั่นคงทางอาหาร ด้วยการปลูกพืชผักสวนครัวหลังบ้าน   หลายคนอาจบอกว่า งานทำสวนนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เหมือนกับงานสาขาอาชีพอื่น แต่ก็อีกนั่นแหละ เขากลับมองว่า งานสวนไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย…
ภู เชียงดาว
1. ในชีวิตคนเรานั้นคงเคยตั้งคำถามที่ไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก คำถามคลาสสิกหนึ่งนั้นคือ...“คนเราต้องการอะไรในชีวิต!?...” คำตอบส่วนใหญ่ก็คงหนีไม่พ้นต้องการปัจจัยสี่ในการดำรงชีวิต ...อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค หากปัจจุบัน ‘เงิน’ กลับกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของคนเรา แน่นอน, เมื่อเอาเงินเป็นตัวกำหนดชะตากรรม,ชีวิต จึงทำให้ทุกคนต้องดิ้นรนเพียงเพื่อให้ได้มาทุกสิ่งทุกอย่าง จนทำให้ชีวิตหลายชีวิตนั้นขวนขวายทำงานกันอย่างหน่วงหนัก ‘การงาน’ ได้กระชากลากเหวี่ยงเรากระเด็นกระดอนไปไกลและไกล ให้ออกไปเดินบนถนนของความโลภ ไปสู่เมืองของความอยาก ไปสู่กงล้อของการไขว่คว้าที่หมุนวนอยู่ไม่รู้จบ…
ภู เชียงดาว
ค่ำนั้น, ฟ้าเริ่มครึ้มมัวหม่นเมฆฝน ข้ายืนจดจ้องฝูงมดดำเคลื่อนขบวนมหึมา ไต่ไปบนปีกไม้ไปหารวงรังแตนเกาะริมขอบหน้าต่างบ้านปีกไม้ หมู่มดยื้อแย่งขนไข่แตนกันออกจากรัง อย่างต่อเนื่อง ขณะฝูงแตนบินว่อนไปมาด้วยสัญชาติญาณ คงตระหนกตกใจระคนโกรธขึ้งเคียดแค้น แต่มิอาจทำอะไรพวกมันได้ เหล่าฝูงมดอาศัยพลพรรคนับพันนับหมื่นชีวิต ใช้ความได้เปรียบเข้าปล้นรังไข่พวกมันไปหมดสิ้น ไม่นาน ขบวนมดจำนวนมหาศาลก็ถอยทัพกลับไป ฝูงแตนไม่รู้หายไปไหน เหลือเพียงรังแตนที่กลวง ว่างเปล่า
ภู เชียงดาว
ในที่สุด, ผมก็พาตัวเองกลับคืนสู่บ้านเกิดอีกครั้ง หลังจากโชคชะตาชักชวนชีวิตลงไปอยู่ในโลกของเมืองตั้งหลายขวบปี การกลับบ้านครั้งนี้ ผมกะเอาไว้ว่า จะขอกลับไปพำนักอย่างถาวร หลังจากชีวิตเกือบค่อนนั้นระหกระเหินเดินทางไปหลายหนแห่ง ผ่านทุ่งนา ภูเขา แม่น้ำ ทางป่า ถนนเมือง... จนทำให้บ้านเกิดนั้นเป็นเพียงคนรู้จักที่ไม่คุ้นเคย เป็นเหมือนโรงเตี๊ยมพักผ่อนชั่วคราวก่อนออกเดินทางไกล อย่างไรก็ตามได้อะไรมากและหลากหลาย... สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาสู่,ชีวิตการกลับบ้านเกิดหนนี้, เหมือนกับว่าไปเริ่มสู่จุดเริ่มต้นและก่อเกิด ผมบอกกับหลายคนว่ากำลังเกิดใหม่เป็นหนที่สามจากบ้านเกิด เข้ามาเรียนในเวียง…
ภู เชียงดาว
‘ลุ่มน้ำแม่ป๋าม’ ถือว่าเป็นลุ่มน้ำสาขาหลักที่สำคัญของแม่น้ำปิงอีกสายหนึ่งของอำเภอเชียงดาว ที่เราจะมองข้ามไปไม่ได้เลย เมื่อย้อนทวนขึ้นไปบนความสลับซับซ้อนของต้นกำเนิดน้ำแม่ป๋าม หรือที่หลายคนเรียกกันว่า ตาน้ำ จะพบว่าอยู่บริเวณชุมชนบ้านแม่ปาคี ต.สันทราย ของ อ.พร้าว ก่อนจะลัดเลาะไหลอ้อมตีนดอยผาแดง ลงสู่หุบห้วยบริเวณบ้านป่าตึงงาม โดยมีสายน้ำย่อยอีกสายหนึ่ง คือน้ำแม่ป๋อย ได้ไหลมารวมกับน้ำแม่ป๋ามตรงสบน้ำบ้านออน ต.ปิงโค้ง อ.เชียงดาว นอกจากนั้นยังมีลำน้ำแม่มาดอีกสายหนึ่ง ซึ่งมีขุนน้ำอยู่บริเวณป่าเชิงดอยบ้านปางโม่ ก็ได้ไหลมาสมทบกับน้ำแม่ป๋าม แล้วค่อยไหลผ่านหมู่บ้านแม่ป๋าม…
ภู เชียงดาว
มองไปในความกว้างและเวิ้งว้าง ทำให้ผมอดครุ่นคิดไปลึกและไกล และพลอยให้อดนึกหวั่นไหวไม่ได้ หากภูเขา ทุ่งนาทุ่งไร่ สายน้ำ และวิถีชีวิตในหมู่บ้านเกิดของผมต้องเปลี่ยนไป เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมที่อยู่นอกเหนือธรรมชาติเข้ามาเยือน
ภู เชียงดาว
‘…เรารู้ซึ้งถึงสิ่งนี้ โลกนี้มิใช่ของมนุษย์ มนุษย์ต่างหากที่เป็นสมบัติของโลก สิ่งนี้เรารู้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันเหมือนดังสายเลือดในครอบครัวเดียวกัน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์ สิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นแก่โลก ย่อมเกิดขึ้นแก่บุตรธิดาของโลกด้วย มนุษย์ไม่ใช่ผู้สานทอใยแห่งชีวิต เขาเป็นเพียงเส้นใยหนึ่งในนั้น สิ่งใดก็ตามที่เขาทำต่อข่ายใยนั้น ก็เท่ากับกระทำต่อตนเอง...’จดหมายโต้ตอบของหัวหน้าเผ่าอินเดียนแดงที่ซีแอตเติ้ลจากหนังสือ ‘ณ ที่ดวงตะวันฉายแสง ข้าจะไม่สู้รบอีกต่อไป’วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ : แปล และเรียบเรียง
ภู เชียงดาว
  ผมยืนอยู่บนเนินเขาเหนือหมู่บ้าน จ้องมองภาพเคลื่อนไหวไปเบื้องหน้า... เป็นภาพที่คุ้นเคยที่ยังคงสวยสด งดงาม และเรียบง่ายในความรู้สึกผม ภาพชาวนาในท้องทุ่ง ภาพหุบเขาผาแดงที่มีป่าไม้กับลำน้ำแม่ป๋ามไหลผ่านคดโค้งเลียบเลาะระหว่างตีนดอยกับทุ่งนา ก่อนรี่ไหลลงไปสู่ลำน้ำปิง แม่น้ำในใจคนล้านนามานานนักนาน
ภู เชียงดาว
(1)ดอกฝนหล่นโปรยมาทายทักแล้ว,ในห้วงต้นฤดูหอมกลิ่นดินกลิ่นป่าอวลตรลบไปทั่วทุกหนแห่งหัวใจหลายดวงชื่นสดในชีวิตวิถีถูกปลุกฟื้นตื่นให้เริ่มต้นใหม่อีกคราครั้ง…ตีนเปลือยย่ำไปบนดินนุ่มชุ่มชื้น,เช้าวันใหม่ไต่ตามสันดอย ไปในไร่ด้วยกันนะน้องสาวผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน  ช่วยกันทำงานๆพี่ใช้เสียมลำไม้ไผ่กระทุ้งดิน  น้องหยิบเมล็ดข้าวหยอดใส่หลุมไม่เร่งรีบ ไม่บ่นท้อ ในความเหน็ดหน่ายเสร็จงานเราผ่อนคลาย  เอนกายผ่อนพักใต้เงาไม้ใหญ่แล้วพี่จะกล่อมให้, ด้วยเพลงพื้นบ้านโบราณขับขาน