Skip to main content

 

 

 

 

ที่มาภาพ : โอ ไม้จัตวา
http://blogazine.prachatai.com/user/omaijattava/post/2171

\\/--break--\>

 

โถ่เรบอ’ นักเขียนหนุ่มปวาเก่อญอ ผู้หวนคืนบ้านดอย- - ไปเป็นครูดอยในเขตอำเภอแม่แจ่ม มิใกล้ไม่ไกลนักจากผืนดินถิ่นเกิดของตน เป็นผู้อาสานำทางพาเราไปสัมผัสกับหลากหลายพื้นที่ในดินแดนมูเส่คี หรือป่าสนวัดจันทร์ ในวันนั้น

ใช่
,
เขาเป็นคนหนุ่มแห่งดงดอย ที่มีความคิดฝันที่อาจดูแปลกแยกแตกต่างกับคนปวาเก่อญออีกหลายคน ในความเงียบนิ่ง เขาซ่อนซุกอารมณ์บางสิ่งบรรจุไว้ภายในเหมือนกับรอวันเวลาที่อยากระบายออกมาให้ผู้คนรับรู้รับฟัง

และก็อีกนั่นแหล่ะ บางครั้ง
,
เขาอาจค้านแย้งความคิดกับคนอื่นโดยอาจดูไร้เหตุผล ขัดแย้งแม้กระทั่งตัวเอง นั่น- - อาจเป็นเพราะว่าห้วงชีวิตวิถีของเขานั้น เกิดมาพร้อมกับปัญหาความเปลี่ยนแปลง เกิดมาเพื่อรับรู้ปัญหาที่รายรอบหมู่บ้าน ชุมชนที่เขาอาศัยอยู่…ชุมชนป่าสนวัดจันทร์

ตั้งแต่ผมจำความได้ ผมก็รู้เห็นปัญหาความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่พี่น้องปวาเก่อญอกับรัฐมาโดยตลอด…เป็นการต่อสู้อันยาวนาน”

เขาบอกกับผมด้วยน้ำเสียงหม่นเศร้าทว่ายังแฝงเปี่ยมความเชื่อมั่นอยู่

ไม่น่าเชื่อ
- -
ว่าผืนป่าสนผืนนี้จะแผ่คลุมกว้างใหญ่ขนาดนี้ ป่าสนที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ที่ครอบคลุมพื้นที่ติดต่อกับเขตอำเภอแม่แจ่ม อำเภอสะเมิง ของจังหวัดเชียงใหม่ และมีพื้นที่ติดกับเขตอำเภอปาย อำเภอเมือง ของจังหวัดแม่ฮ่องสอน

เขาพาผมสัญจรไปบนถนนสายวัดจันทร์
-
ปาย บนความเปลี่ยน

ถนนบางสายบางช่วงเปลี่ยนเป็นถนนราดยาง บางเส้นทางนั้นยังคงเป็นเส้นทางสายเดิม ยังคงเป็นถนนฝุ่นสีแดง ลัดเลาะผ่านหมู่บ้านไปในความคดเคี้ยวของขุนเขาและป่าสน

ขณะที่ผมอยู่ในความเงียบของตัวเองอยู่นั้น เขาเอ่ยถามผมด้วยสีหน้าราบเรียบ
- - -
อ้ายเคยได้ยินตำนานการต่อสู้ของพ่อเฒ่าจามู บ้างมั้ย…”
เคยได้ยินเหมือนกัน เล่าให้ฟังอีกครั้งสิ”
นั่นไง…บ้านของพ่อเฒ่าจามู…” เขาชี้มือออกไปนอกหน้าต่างรถยนต์ กระท่อมหลังเล็กๆ ตั้งเด่นอยู่ตรงขอบโค้งของถนนสายวัดจันทร์ – ปาย

ผมเพ่งมองออกไปในความหม่นมัวของฝุ่นสีแดงห่มคลุมกระท่อมหลังนั้น

มีครั้งหนึ่ง- -
รัฐจะทำถนนตัดผ่านป่าสนเข้าในเขตมูเส่คี เพื่อให้นายทุนมาสัมปทานตัดโค่นป่าสน พวกเขาต้องการทำถนนเป็นทางตรง บังเอิญว่าบ้านของพ่อเฒ่าจามู อยู่บนเส้นทางที่ต้องตัดผ่าน พวกเขาทั้งปลอบทั้งขู่ ให้พ่อเฒ่าปวาเก่อญอคนนี้ยินยอม แต่ก็อย่างที่เรารู้นั่นแหละ พ่อเฒ่าคงยืนกรานอยู่อย่างนั้นแล้วบอกพวกเขาว่า…ถ้าต้องการถนนที่ตรงตลอดสาย ก็ขอให้ไปทำถนนทุกสายในประเทศเป็นเส้นตรงทั้งหมดเสียก่อน…”

นั่น
,
คงไม่แปลบปวดเท่าหัวใจของผู้เฒ่าจามูในห้วงยามนั้นหรอก จนที่สุด,พ่อเฒ่าจำต้องใช้วิธีอหิงสา เพื่อต่อสู้กับผืนแผ่นดินถิ่นเกิดของเขา

เมื่อผู้เฒ่าปวาเก่อญอคนนี้ ออกไปยืนขวางการทำถนนตัดผ่านบ้านหลังนั้น พร้อมกับบอกคนของรัฐว่า
- - -"ถ้าสูใคร่ได้ตางเส้นตรง ฮื้อสูเอาปืนมายิงเฮา"

ผู้เฒ่าบอกย้ำว่า ถ้าต้องการให้ถนนตัดตรง ให้เอาปืนมายิงแกเสียก่อน!!

ผมนิ่งฟัง โถ่เรบ่อ นกป่าแห่งดงดอย เล่าตำนานการต่อสู้ของผู้เฒ่าปวาเก่อญอคนนี้แล้ว ทำให้หัวใจผมหนักอึ้ง เหมือนมีอะไรมากดทับหน่วงหนัก และทำให้ผมครุ่นคำนึงไปเรื่อยเปื่อย

นึกไปถึงตำนานการต่อสู้ของชนเผ่าอินเดียนแดง ที่ถูกคนขาวเข้ามารุกรานถิ่นที่อยู่ที่กิน
แต่ยังดี- - ที่ท้ายสุด ทุกสิ่งทุกอย่างบนดอยป่าสนวัดจันทร์ ค่อยๆ ผ่อนคลาย…

ผ่านมาถึงตอนนี้
,
หากใครผ่านไปผ่านมาบนเส้นทางสายนี้…เราจะมองเห็นถนนที่อ้อมโค้งกระท่อมหลังเก่าๆ เอียงโย้ เป็นรูปตัว S นั่นแหละ,โค้งผู้เฒ่าจามู กระท่อมของผู้เฒ่าปวาเก่อญอ ที่ยังคงพำนักอยู่ที่นั่น ตรงนั้น, แม้ห้วงยามนี้ กาลเวลา ประสบการณ์ ชะตากรรม และความชรา จะพัดพาเขาคืนสู่ดิน คืนสู่ความสามัญไปแล้วก็ตาม

ทำให้ผมนึกไปถึงพ่อเฒ่าปวาเก่อญอ อีกคนหนึ่ง,ในคืนหนาวและเยือกเย็น เรา- - นั่งอยู่ข้างเตาไฟในกระท่อมไม่ไผ่ ในความสงัดนิ่ง,หลังจากที่เราพูดถึงเรื่องราวข่าวคราว เรื่องที่รัฐพยายามจะเอาคนออกจากป่า…พ่อเฒ่าเอ่ยรำพึงออกมาซ้ำๆ ซากๆ อยู่อย่างนั้น

คึถ่อพิอี…โอพิอี…ซีพิอี
ข้าเกิดที่นี่…ข้าอยู่ที่นี่…ข้าจะตายที่นี่

ผมทวนคำรำพึงอยู่ตรงนั้น อยู่นานหลายนาน

ว่าจริงๆ แล้ว วิถีชีวิตของคนทุกชั้นชนทุกชนเผ่า ยังมีอะไรมากมายหลายสิ่ง ที่น่าเรียนรู้และค้นหา

หากว่าเราพกพาเอาหัวใจที่เป็นธรรมนั้นติดตามไปด้วย
.

ฟังเพลง "ปกากะญอ" ร้องโดย ยืนยง โอภากุล วง คาราบาว http://www.carabao.net/MusicStation/default.asp

 

 

บล็อกของ ภู เชียงดาว

ภู เชียงดาว
ผมรู้ว่าสี่ห้าปีมานี้ ผมเขียนบทกวีได้ไม่กี่ชิ้น อาจเป็นเพราะต้องอยู่กับโลกข่าวสารที่จำเป็นต้องเร่งและเร็ว หรืออาจเป็นเพราะว่ามีบางสิ่งบางอย่างบดบัง จนหลงลืมมองสิ่งที่รอบข้าง มองเห็นอะไรพร่ามัวไปหมด หรือว่าเรากำลังหลงลืมความจริง...ผมเฝ้าถามตัวเอง...  อย่างไรก็ตามเถอะ...มาถึงตอนนี้ ผมกำลังพยายามฝึกใช้ชีวิต ให้อยู่กับความฝันและความจริงไปพร้อมๆ กัน ช่วงนี้ หลังพักจากงานสวน ผมจึงมีเวลาอยู่กับความเงียบลำพัง เพ่งมองภายในและสิ่งรายรอบมากยิ่งขี้น และผมเริ่มบันทึกบทกวีแคนโต้เหมือนสายน้ำ หลั่งไหล อย่างต่อเนื่อง ทุกวันๆ ตามดวงตาที่เห็น ตามหัวใจได้สัมผัสต้อง บ่อยครั้งมันมากระทบทันใด ไม่รู้ตัว…
ภู เชียงดาว
เกือบสามเดือนแล้วที่ผมพาตัวเองกลับมาอยู่ในหุบเขาบ้านเกิด ชีวิตส่วนใหญ่จึงขลุกอยู่แต่ในสวน ไม่ค่อยได้เดินทางไปไหนไกล แต่ผมกลับไม่รู้สึกว่าเหงาหรือห่างไกลกับผู้คนเลย เพราะในแต่ละเดือนมักมีมิ่งมิตรเดินทางมาเยี่ยมเยือนหากันตลอด  และทำให้ผมรู้อีกอย่างหนึ่งว่า...บางทีการอยู่นิ่งก็หมายถึงการเดินทาง ใช่ ผมหมายถึงว่า ในขณะที่ผมอยู่ในสวน หากยังมีผู้คนเดินทางแวะเวียนมาหา และที่น่าสนใจมากกว่านั้นก็คือ ผมยังมองเห็นเมล็ดพันธุ์เดินทางมายังสวนอย่างต่อเนื่อง “ผมเอาเมล็ดพันธุ์มาฝาก...” นักเดินทางคนหนึ่งเดินทางไกลมาจากสงขลา ล้วงเอาเมล็ดพันธุ์ที่ใส่ไว้ในกล่องฟิล์มยื่นให้ ขณะผมกำลังง่วนทำงานอยู่ในสวน
ภู เชียงดาว
หลังดินดำน้ำชุ่ม เขาหยิบเมล็ดพันธุ์หลากหลายมากองวางไว้ตรงหน้า มีทั้งเมล็ดผักกาดดอยที่พ่อนำมาให้ เมล็ดฟักทองที่พี่สาวฝากมา นั่นเมล็ดแตงกวา เมล็ดหัวผักกาด ถั่วพุ่ม ผักบุ้ง บวบหอม ผักชี ฯลฯ เขาค่อยๆ ทำไปช้าๆ ไม่เร่งรีบ ทั้งหว่านทั้งหยอดไปทั่วแปลง เสร็จแล้วเดินไปหอบใบหญ้าแฝกที่ตัดกองไว้ตามคันขอบรอบบ้านปีกไม้มาปูบนแปลงผักแทนฟางข้าว ให้ความชุ่มชื้นแก่ดินหลังจากนั้น เขามองไปรอบๆ แปลงริมรั้วยังมีพื้นที่ว่าง เขาเดินไปถอนกล้าตำลึง ผักปลัง ผักเชียงดา มะเขือ พริก อัญชัน ตะไคร้ ขิง ข่า กระเพรา โหระพา สาระแหน่ ฯลฯ มาปลูกเสริม หยิบลูกมะเขือเครือ(ที่หลายคนเรียกกันว่าฟักแม้วหรือซาโยเต้)…
ภู เชียงดาว
ในช่วงสองเดือน ก่อนที่เขาจะตัดสินใจลาออกจากงานประจำ เกือบทุกเสาร์-อาทิตย์ เขาใช้เวลาเทียวขึ้นเทียวล่องระหว่างเมืองกับสวนในหุบเขาบ้านเกิด เพื่อวางแผนลงมือทำสวนผักหลังบ้าน แน่นอน- -เพราะเขาบอกกับตัวเองย้ำๆ ว่าหากคิดจะพามนุษย์เงินเดือน กลับไปใช้ชีวิตแบบนั้นได้ จำเป็นอย่างยิ่งจะต้องมีฐานที่มั่น และมีผักไม้ไซร้เครือเตรียมไว้ให้พร้อม ให้พออยู่พอกินเสียก่อน ใช่ เขาหมายถึงการสร้างฐานความมั่นคงทางอาหาร ด้วยการปลูกพืชผักสวนครัวหลังบ้าน   หลายคนอาจบอกว่า งานทำสวนนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เหมือนกับงานสาขาอาชีพอื่น แต่ก็อีกนั่นแหละ เขากลับมองว่า งานสวนไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย…
ภู เชียงดาว
1. ในชีวิตคนเรานั้นคงเคยตั้งคำถามที่ไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก คำถามคลาสสิกหนึ่งนั้นคือ...“คนเราต้องการอะไรในชีวิต!?...” คำตอบส่วนใหญ่ก็คงหนีไม่พ้นต้องการปัจจัยสี่ในการดำรงชีวิต ...อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค หากปัจจุบัน ‘เงิน’ กลับกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของคนเรา แน่นอน, เมื่อเอาเงินเป็นตัวกำหนดชะตากรรม,ชีวิต จึงทำให้ทุกคนต้องดิ้นรนเพียงเพื่อให้ได้มาทุกสิ่งทุกอย่าง จนทำให้ชีวิตหลายชีวิตนั้นขวนขวายทำงานกันอย่างหน่วงหนัก ‘การงาน’ ได้กระชากลากเหวี่ยงเรากระเด็นกระดอนไปไกลและไกล ให้ออกไปเดินบนถนนของความโลภ ไปสู่เมืองของความอยาก ไปสู่กงล้อของการไขว่คว้าที่หมุนวนอยู่ไม่รู้จบ…
ภู เชียงดาว
ค่ำนั้น, ฟ้าเริ่มครึ้มมัวหม่นเมฆฝน ข้ายืนจดจ้องฝูงมดดำเคลื่อนขบวนมหึมา ไต่ไปบนปีกไม้ไปหารวงรังแตนเกาะริมขอบหน้าต่างบ้านปีกไม้ หมู่มดยื้อแย่งขนไข่แตนกันออกจากรัง อย่างต่อเนื่อง ขณะฝูงแตนบินว่อนไปมาด้วยสัญชาติญาณ คงตระหนกตกใจระคนโกรธขึ้งเคียดแค้น แต่มิอาจทำอะไรพวกมันได้ เหล่าฝูงมดอาศัยพลพรรคนับพันนับหมื่นชีวิต ใช้ความได้เปรียบเข้าปล้นรังไข่พวกมันไปหมดสิ้น ไม่นาน ขบวนมดจำนวนมหาศาลก็ถอยทัพกลับไป ฝูงแตนไม่รู้หายไปไหน เหลือเพียงรังแตนที่กลวง ว่างเปล่า
ภู เชียงดาว
ในที่สุด, ผมก็พาตัวเองกลับคืนสู่บ้านเกิดอีกครั้ง หลังจากโชคชะตาชักชวนชีวิตลงไปอยู่ในโลกของเมืองตั้งหลายขวบปี การกลับบ้านครั้งนี้ ผมกะเอาไว้ว่า จะขอกลับไปพำนักอย่างถาวร หลังจากชีวิตเกือบค่อนนั้นระหกระเหินเดินทางไปหลายหนแห่ง ผ่านทุ่งนา ภูเขา แม่น้ำ ทางป่า ถนนเมือง... จนทำให้บ้านเกิดนั้นเป็นเพียงคนรู้จักที่ไม่คุ้นเคย เป็นเหมือนโรงเตี๊ยมพักผ่อนชั่วคราวก่อนออกเดินทางไกล อย่างไรก็ตามได้อะไรมากและหลากหลาย... สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาสู่,ชีวิตการกลับบ้านเกิดหนนี้, เหมือนกับว่าไปเริ่มสู่จุดเริ่มต้นและก่อเกิด ผมบอกกับหลายคนว่ากำลังเกิดใหม่เป็นหนที่สามจากบ้านเกิด เข้ามาเรียนในเวียง…
ภู เชียงดาว
‘ลุ่มน้ำแม่ป๋าม’ ถือว่าเป็นลุ่มน้ำสาขาหลักที่สำคัญของแม่น้ำปิงอีกสายหนึ่งของอำเภอเชียงดาว ที่เราจะมองข้ามไปไม่ได้เลย เมื่อย้อนทวนขึ้นไปบนความสลับซับซ้อนของต้นกำเนิดน้ำแม่ป๋าม หรือที่หลายคนเรียกกันว่า ตาน้ำ จะพบว่าอยู่บริเวณชุมชนบ้านแม่ปาคี ต.สันทราย ของ อ.พร้าว ก่อนจะลัดเลาะไหลอ้อมตีนดอยผาแดง ลงสู่หุบห้วยบริเวณบ้านป่าตึงงาม โดยมีสายน้ำย่อยอีกสายหนึ่ง คือน้ำแม่ป๋อย ได้ไหลมารวมกับน้ำแม่ป๋ามตรงสบน้ำบ้านออน ต.ปิงโค้ง อ.เชียงดาว นอกจากนั้นยังมีลำน้ำแม่มาดอีกสายหนึ่ง ซึ่งมีขุนน้ำอยู่บริเวณป่าเชิงดอยบ้านปางโม่ ก็ได้ไหลมาสมทบกับน้ำแม่ป๋าม แล้วค่อยไหลผ่านหมู่บ้านแม่ป๋าม…
ภู เชียงดาว
มองไปในความกว้างและเวิ้งว้าง ทำให้ผมอดครุ่นคิดไปลึกและไกล และพลอยให้อดนึกหวั่นไหวไม่ได้ หากภูเขา ทุ่งนาทุ่งไร่ สายน้ำ และวิถีชีวิตในหมู่บ้านเกิดของผมต้องเปลี่ยนไป เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมที่อยู่นอกเหนือธรรมชาติเข้ามาเยือน
ภู เชียงดาว
‘…เรารู้ซึ้งถึงสิ่งนี้ โลกนี้มิใช่ของมนุษย์ มนุษย์ต่างหากที่เป็นสมบัติของโลก สิ่งนี้เรารู้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันเหมือนดังสายเลือดในครอบครัวเดียวกัน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์ สิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นแก่โลก ย่อมเกิดขึ้นแก่บุตรธิดาของโลกด้วย มนุษย์ไม่ใช่ผู้สานทอใยแห่งชีวิต เขาเป็นเพียงเส้นใยหนึ่งในนั้น สิ่งใดก็ตามที่เขาทำต่อข่ายใยนั้น ก็เท่ากับกระทำต่อตนเอง...’จดหมายโต้ตอบของหัวหน้าเผ่าอินเดียนแดงที่ซีแอตเติ้ลจากหนังสือ ‘ณ ที่ดวงตะวันฉายแสง ข้าจะไม่สู้รบอีกต่อไป’วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ : แปล และเรียบเรียง
ภู เชียงดาว
  ผมยืนอยู่บนเนินเขาเหนือหมู่บ้าน จ้องมองภาพเคลื่อนไหวไปเบื้องหน้า... เป็นภาพที่คุ้นเคยที่ยังคงสวยสด งดงาม และเรียบง่ายในความรู้สึกผม ภาพชาวนาในท้องทุ่ง ภาพหุบเขาผาแดงที่มีป่าไม้กับลำน้ำแม่ป๋ามไหลผ่านคดโค้งเลียบเลาะระหว่างตีนดอยกับทุ่งนา ก่อนรี่ไหลลงไปสู่ลำน้ำปิง แม่น้ำในใจคนล้านนามานานนักนาน
ภู เชียงดาว
(1)ดอกฝนหล่นโปรยมาทายทักแล้ว,ในห้วงต้นฤดูหอมกลิ่นดินกลิ่นป่าอวลตรลบไปทั่วทุกหนแห่งหัวใจหลายดวงชื่นสดในชีวิตวิถีถูกปลุกฟื้นตื่นให้เริ่มต้นใหม่อีกคราครั้ง…ตีนเปลือยย่ำไปบนดินนุ่มชุ่มชื้น,เช้าวันใหม่ไต่ตามสันดอย ไปในไร่ด้วยกันนะน้องสาวผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน  ช่วยกันทำงานๆพี่ใช้เสียมลำไม้ไผ่กระทุ้งดิน  น้องหยิบเมล็ดข้าวหยอดใส่หลุมไม่เร่งรีบ ไม่บ่นท้อ ในความเหน็ดหน่ายเสร็จงานเราผ่อนคลาย  เอนกายผ่อนพักใต้เงาไม้ใหญ่แล้วพี่จะกล่อมให้, ด้วยเพลงพื้นบ้านโบราณขับขาน