Skip to main content

เมื่อบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ตีความเสียงหัวเราะของ เสนีย์ ปราโมช (คดีอาชญากรสงคราม ๒๔๘๙)

พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล

คงเป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า คำพิพากษาศาลทหารคดีอาชญากรสงครามที่ ๑/๒๔๘๙ ได้พิพากษาว่า พระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม พ.ศ. ๒๔๘๘ ที่รัฐบาลเสนีย์ ปราโมช ตราขึ้นกำหนดโทษทางอาญาเพื่อลงโทษบุคคลในรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม นั้นเป็นโมฆะ เนื่องจากเป็นการตรากฎหมายเพื่อบังคับใช้ย้อนหลังลงโทษทางอาญาแก่บุคคล เป็นอันขัดรัฐธรรมนูญฯ (๒๔๗๕) เป็นเหตุให้ไม่อาจส่งตัวบุคคลในรัฐบาลจอมพล ป. ไปดำเนินคดีในศาลที่ต่างประเทศได้อีกเพราะจะเป็นฟ้องซ้ำนั้น

บวรศักดิ์ อุวรรณโณ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “เคยสัมภาษณ์หม่อมราชวงศ์เสนีย์เมื่อปี ๒๕๒๐ เพื่อลงพิมพ์ในหนังสือวารสารกฎหมายจุฬาลงกรณ์ ปี ๒๕๒๐… ก็ถามท่านเกี่ยวกับคดีนี้ว่า ท่านอาจารย์จบเนติบัณฑิตอังกฤษเกียรตินิยมเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทยจนกระทั่งเขากำหนดให้มีเสนีย์เดย์ในเนติบัณฑิตอังกฤษท่านอาจารย์จะไม่รู้เชียวหรือว่า กฎหมายที่ท่านเสนอขัดรัฐธรรมนูญ ท่านหัวเราะ อาจารย์ถามว่าเตี๊ยมไว้กับหลวงจำรูญเนติศาสตร์ ซึ่งเป็นคนตัดสินคดีนี้หรือเปล่า ท่านบอกไม่ได้เตี๊ยมศาลก็เป็นศาลไปเตี๊ยมท่านได้อย่างไร ผมก็ถามท่านว่าท่านรู้แล้วว่ามันขัดรัฐธรรมนูญใช่ไหมครับแต่ท่านก็ยังเสนอเพื่อที่จะไม่ต้องส่งจอมพล ป.ไปยังศาลอาชญากรสงคราม ซึ่งถ้าท่านจอมพล ป. ถูกไปตัดสินในศาลอาชญากรสงครามในเมืองไทยอยู่ในฐานะลำบากกลายเป็นประเทศแพ้สงครามขึ้นมาทันที ท่านก็หัวเราะไม่ตอบ การที่ผู้ใหญ่ถ่อมตัวหัวเราะแล้วไม่ตอบ ก็ทำให้อาจารย์สรุปว่า ท่านรู้ทั้งรู้ว่ากฎหมายจะขัดรัฐธรรมนูญ (ขีดเส้นใต้โดยผู้เขียน)

ผมจึงค้นหาดูเบื้องต้นว่า เสนีย์ ปราโมช มีความเห็นว่า พ.ร.บ.อาชญากรสงคราม ที่ออกกฎหมายย้อนหลังเพื่อลงโทษจำเลยนั้น ขัดรัฐธรรมนูญจริงหรือไม่ เราอาจพิจารณาเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่ออ่านความเห็นของเสนีย์ ปราโมช ในคราวร่างรัฐธรรมนูญฯ (๒๔๘๙) ที่จะบัญญัติหลักการห้ามตรากฎหมายย้อนหลัง บทบัญญัติหมวดนิติบัญญัติมีการถกเถียงกันมาก โดยมีประเด็นสำคัญประเด็นหนึ่งคือ “การห้ามออกกฎหมายย้อนหลัง ซึ่งเป็นเป็นผลจากการแปรญัตติของนายทองเปลว ชลภูมิ กรรมาธิการนำมายกร่างเป็นมาตรา ๑๗ ทวิ ในมาตรานี้ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช กรรมาธิการไม่เห็นด้วย และขอให้บันทึกว่า สภานิติบัญญัติทรงไว้ซึ่งอำนาจสูงสุดในการออกกฎหมาย ถ้าหากสภานิติบัญญัติเห็นสมควรออกกฎหมายย้อนหลังเพื่อเหตุผลทางการเมืองหรือเหตุผลอื่นใดย่อมกระทำได้ จึงไม่ควรมีมาตรานี้จำกัดอำนาจนิติบัญญัติ” และหากไม่บัญญัติห้ามไว้ ตามนัยของเสนีย์ ก็คือ การตรากฎหมายย้อนหลังเพื่อลงโทษบุคคลต้องชอบด้วยรัฐธรรมนูญนั่นเอง

กล่าวได้ว่า ความเข้าใจของ เสนีย์ ปราโมช มองว่า สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจสูงสุดในแดนนิติบัญญัติ ดังนั้นจะตรากฎหมายย้อนหลังก็ต้องกระทำได้ การกล่าวนี้เป็นการยืนกรานความเห็นของตนในคดีอาชญากรสงครามว่า สภามีอำนาจที่จะทำเช่นนั้น อีกทั้งเสนีย์ก็พยายามต่อสู้ประเด็นนี้มิให้ตราบทบัญญัติห้ามการตรากฎหมายย้อนหลังขึ้นในรัฐธรรมนูญ ๒๔๘๙

เราจะเห็นได้ว่าเมื่อบวรศักดิ์ ชื่นชมเสนีย์ว่า “ท่านรู้อยู่แล้วว่ามันขัดรัฐธรรมนูญใช่ไหมครับแต่ท่านก็ยังเสนอเพื่อที่จะไม่ต้องส่งจอมพล ป.ไปยังศาลอาชญากรสงคราม” แล้วเสนีย์ ปราโมช “หัวเราะแล้วไม่ตอบ” นั้น คงจะไม่มีความนัยอื่น (อย่างที่บวรศักดิ์เข้าใจผิด) หากแต่การหัวเราะตอบนั้น มีความหมายโดยตรงก็คือ ขำในสิ่งที่บวรศักดิ์กล่าวเรื่อยเปื่อย เท่านั้นเอง.

_________________________

เชิงอรรถ

 บวรศักดิ์ อุวรรณโณ, กฎหมายรัฐธรรมนูญ (การบรรยายครั้งที่ ๖ วันศุกร์ที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๓) ใน รวมคำบรรยาย เล่ม ๘ ภาคหนึ่ง สมัยที่ ๖๓ ปีการศึกษา ๒๕๕๓, สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา,  หน้า ๑๐๕-๑๐๖.

 บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ, ชีวประวัติธรรมนูญการปกครองและรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย, โครงการเมธีวิจัยอาวุโส สกว. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, ๒๕๕๐, หน้า ๒๓.

บล็อกของ พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล

พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
โต้ จิตติ ติงศภัทิย์ เรื่อง "ยิ่งจริงยิ่งหมิ่นประมาท" ตามกฎหมายอาญา พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล อ.จิตติ ติงศภัทิย์ เป็นปรมาจารย์ทางกฎหมายอาญาของไทย และเป็นนักนิติศาสตร์ผู้หนึ่งซึ่งสนับสนุน  "คำพิพากษาประหารจำเลย(แพะ)ในคดีสวรรคตรัชกาลที่ ๘" [ดู หมายเหตุท้ายคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๕๔๔/๒๔๙๗]  ภายหลังท่านดำรงตำแหน่งเป็นองคมนตรี ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
ถาม-ตอบ ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสถานะของกฎหมายมณเฑียรบาล 
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
ลำดับชั้นในทางกฎหมายของ "กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์" พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
กษัตริย์และคณะรัฐประหารของไทยผ่านคำอธิบายเรื่องพระราชนิยมของวิษณุ เครืองาม พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล [บันทึกความจำ] หมายเหตุ : ขอให้ท่านใคร่ครวญค่อย ๆ อ่านดี ๆ นะครับ คำอธิบายของ "วิษณุ เครืองาม" เช่นนี้ เป็นผลดีต่อกษัตริย์หรือไม่ อย่างไร
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราวฯ : ว่าด้วยการจัดการองค์กรของรัฐสู่"ระบอบใหม่" พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
คำว่า"ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด" ในทรรศนะนายอุดม เฟื่องฟุ้ง ผู้บรรยายกฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภาและอดีตกรรมการ คตส. (ตามประกาศ คปค.ฉบับที่ ๓๐) : พร้อมข้อสังเกต พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
คดีคณะโต้อภิวัฒน์ (๒๔๗๘) ขับไล่รัชกาลที่ ๘-สังหารผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แล้วจะอัญเชิญรัชกาลที่ ๗ ครองราชย์อีกครั้ง
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
โต้ธงทองฯ กรณีเทียบเคียงมาตรา ๑๑๒ กับกรณีหมิ่นประมุขต่างประเทศ, เจ้าพนักงานและศาล* พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
ตุลาการที่ใช้อำนาจโดยมิชอบ :คติกฎหมายไทยโบราณ พร้อมบทวิจารณ์ปรีดี พนมยงค์โดยสังเขป พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล "เมื่อใดกษัตริย์ใช้อำนาจนั้นโดยมิชอบก็มีสิทธิ์เป็นเปรตได้เช่นกันตามคติของอัคคัญสูตรและพระธรรมสาสตร"
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
ร.๕ "ประกาศเลิกทาส" ภายหลังจากระบบไพร่ทาสได้พังพินาศไปเรียบร้อยแล้วในทางข้อเท็จจริง
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
รัชกาลที่๕ ตั้ง"เคาน์ซิลออฟสเตด"เพื่อกำจัดศัตรูทางการเมือง มิใช่จะตั้งศาลปกครอง/กฤษฎีกาแต่อย่างใด พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล 
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
อำนาจบาทใหญ่ของคณะเจ้ารัชกาลที่ ๗ ช่วงก่อน ๒๔๗๕ : เจ้าทะเลาะกับราษฎร (กรณีนายจงใจภักดิ์) พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล, ค้นคว้า-เรียบเรียง