อ่านบทกวีชิ้นนี้ทำให้มองเห็นภาพสังคมการเมือง ที่แปรผันอยู่เบื้องหน้าอยู่ลิบๆ หรือว่าสังคมคือความสับสน หรือว่าการเมืองคือความเลวร้าย โดยมีประชาชนเป็นเดิมพัน และทำให้นึกถึงถ้อยคำของเมล็ดพันธุ์เถื่อนนาม ‘ไวล์ดซี๊ด’ ที่บอกเล่าว่า...ทุกวันนี้ เรากำลังล้างไฟด้วยไฟ ไม่ได้ยอมรับความคิดต่าง มองฝ่ายตรงข้ามคือศัตรู
ที่มาภาพ : Prachatai Burma, http://www.freeburmarangers.org, http://www.siamintelligence.com
ยินเสียงครวญ ร้องดัง ห้องขังมืดเท้าเหยียดยืด มือยัน พยุงนั่งเปล่งเสียงร้อง ก้องผ่านกรง โลกจงฟังเสียงครวญดัง จากห้องขัง ห้องทรมานกระบองฟาด สาดน้ำแข็ง แทงเหล็กกรวมร่างกายบวม นวมช้ำ เลือดไหลพล่านไฟฟ้าช็อต เฉียดปลิด ชีวิตญาณทรมาน...แสนทรมาน จักเหลือทนยินเสียงครวญ ร้องดัง ห้องขังร้ายเกือก-ล้อมกาย หมายมั่นปลิด ชีวิตคนโอดโอย โอดครวญ จำทวนทนกระเสือกกระสน ดิ้นรน หลังชนฝาเสียงครวญก้อง จากห้องขัง กังวานไกลลมหายใจ สุดท้าย อยู่ตรงหน้าจิตสั่งเสีย จงเข้มแข็ง …
ฉันดื่มตัวฉัน รินตัวเอง เติมลงในจอกว่างเปล่าเช้า ตะวันเริงฉันตื่นขึ้น ระบำใจฝนที่ตกมาเมื่อวานปลุกดอกไม้ตื่นฝนฝักบัวเสื่อมมนตร์นกน้อยเสียงใส ร้องเพลงแต่ไกล กึกก้องกังวานทรวงค่ำคืน แสงดาวไม่ส่องฉายเพียงห้วงหาวมืดสนิทดวงตะวันสาดแสงในอกนกขับขานลำนำสายฝนกระหน่ำหนักภายในเทจอกของฉันออกแล้วเติมใหม่สับสน สิ้นไร้ใดชีวิตเติมถ้วยใหม่ ระบำจักรวาลรวิวาร
ที่มาภาพ : http://www.geocities.com/sakyaputto/images/songkran02.jpg กังวลร้อนชั่วร้าย ฤๅสราญ สงกรานต์เอย สร้างแต่งแม้ปราการ ฝ่าฟื้น เธอฉันเช่นเทศกาล กรายเยี่ยม เวียนมา ได้ผุดภวังค์พื้น …
ที่มาภาพ : www.oknation.net1เหตุการณ์ตะวันออกไม่เปลี่ยนแปลง แดดแรง – คนล้า – เมษาฯ ร้อนน้ำมูนเหลืองขอดเหลือตะกอน แต้มอีสานไม่อาทรต่อใดใดนกกระจาบบินเร็วรีบหลบแดด แสงแผดปีกเจ้าทุกเช้าไหนต่อกลางวันสลดเศร้าเรื่องราวใคร ร้อนแล้งทุรนทุรายแห่งสายน้ำ...สายน้ำมูน มูนมัง ความหวังสิ้น แผ่นดินนี้ของใคร ใยลึกล้ำรับรู้สึกแทนผองชนผู้โดนกระทำ ก่อเกิดเป็นลำนำ คนน้ำมูนเธอมิใช่คนน้ำมูน คนนู้น…
ใครแบ่งโลกออกเป็นสองฝ่ายกำหนดข้างดีร้ายคนละฝั่งแล้วทุ่มเทถกเถียงใครเสียงดังแล้วใครมีกองกำลังตั้งประจันนั่นเขานี่เราชัดแตกต่างนั่นทางเขานี่เราทางเป็นอย่างนั้นหากบางครั้งทางของเรามาพบกันเสียงโห่ร้องฆ่ามันให้ตกตายเราฝ่ายดี เขาฝ่ายเลวนั่นชัดแจ้งธรรม,อธรรมมิแอบแฝงในความหมายเขาอธรรมนำความโลกให้วอดวายเราคือธรรมส่งฉาย โลก แผ่นดินสืบค้นโลกก่อนหน้านี้กาลสมัยความขัดแย้งก็เป็นไปไม่จบสิ้นทุกข์ท่วมทับสงครามเลือดหลั่งรินสายน้ำตาท่วมถิ่นถึงท้องทะเลและสุขก็ยังดำรงคงอยู่เป็นทางเคียงคู่มิได้หักเหต่างต่อสู้บนอุดมการณ์อย่างทุ่มเทแพ้ ชนะ…
ที่มาภาพ : webboard/www.prachatai.com ¹ แผ่นดินแม่ร้าวไห้ เหลือบแฝง พ่อเอย ด้วยลื่นริ้นจำแปลง ระบาดให้ แผ่นดินแม่โรยแรง เหลือฝ่า เอยแม่ ด้วยค่ำคืนวันไว้ คลื่นเช้าหวั่นตรม ฯ (๑) แผ่นดิน แม่ร้าวไห้ ด้วยเหลือบไร โลมไล้แฝง สื่อริ้น โลมจำแปลง ระบาดให้…
(๑) กลางคืนดึกดื่นนี้ หนอยัง เช้าแต่รื้อความหลัง สั่งย้ำ อยากเยือนหยุดความหวัง หลายขณะ แต่ทุกครั้งกลืนกล้ำ ร่ำไห้เสน่หา ฯ (๒) โอ้วาจาห่วงให้ …
๑อาจขณะหนึ่งคล้ายสุนทรีย์อันวิสุทธิ์ ร่องทางกระแสธารอันวกวนประกาศความนัยนั้นไม่พลาดผิดทุ่มเทไปเท่าไรมาช้านาน ดื่มด่ำเรื่องราวและโลกพร้อมเคลื่อนทางวางวิถีแท้สัจจะ เข้าใจในปรากฏการณ์สดใหม่ ครุ่นคิด จากนี้ทางที่ทอดยาว๒หรือทั้งหมดง่ายดายเพียงนั้น หากเพียงเท่านั้นภาพภายในวาวแวว เพราะเพื่อวางตัวตนบนวิถีโลก มนุษย์อาจเพียงเพิ่มสีสันในภาพเลือนราง ยิ่งไม่อาจหลงใหลในผลสำเร็จ รับรู้เผชิญหน้าความมั่นใจ ความท้อทน ๓สุนทรียภาพคือความงามและโทรมทรุด …
‘ไกล’ กลืนกิน, เกาะเกี่ยว,เชี่ยว เหม่อริมคลองน้ำครำคลาย จมจ่อมแต่เน่าหนอน้ำ‘คลองใส’ผักบุ้งไหววาม ไม้ดอกริมน้ำนั้นเฉามือคนว่างงานผ่านกราย วาสนาเจ้าดอกไม้ ขณะเมืองรุ่งเรืองนิรันดร์ ให้ปลาตัวผอมดอมกลิ่น ให้กับโศกนาฏกรรม เฮือกสุดท้ายแล้วหนอ ‘ปลา’ ปลอบเศร้า เจ้ารอต่อไป ธารลับลดเลี้ยว เปลี่ยวสายวิโยคหาย สูญใจนามปลาผุดดำ หวังว่ายข้ามยามสาวเจ้าเล่นน้ำ –…
* " ศิลปินสร้างงานศิลปะ" คารวะศิลปินจิตไพศาลล้ำลึก- กว้างใหญ่เป็นจิตจักรวาลเป็นสีสัน- บทเพลงขับขานความเป็นไท!!! ใครมิรู้จักศิลปะ- ศิลปินจิตสิ้นปัญญาญาณอย่าสงสัยคับแคบแล้วโถยังอ้างเป็นพระสงฆ์ไทยสิ้นไร้คุณค่ามีแต่อวิชชาโชว์ลุ่มหลงแต่ลาภยศสรรเสริญเพลิดเพลินกับชีวาคิดว่าโก้ทำลายโบสถ์วิหารเก่าแก่เพื่อพัดยศ- จิตพองโตพุทโธธัมโมสังโฆ...…