Skip to main content

 

 

คำนำ

เป็นที่ทราบกันทั่วไปแล้วว่า ขณะนี้สังคมไทยเรากำลังมีความขัดแย้งรุนแรงครอบคลุมเกือบทุกพื้นที่ของประเทศ จนรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปขึ้นมาหลายชุด หนึ่งในนั้นคือ คณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) โดยมีคุณอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน

เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการชุดนี้ได้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นขึ้น โดยขึ้นคำขวัญซึ่งสะท้อนแนวคิดรวบยอดของการปฏิรูปประเทศไทยว่า 
“ลดอำนาจรัฐ ขจัดความเหลื่อมล้ำ”

ผมเองได้ติดตามชมการถ่ายทอดโทรทัศน์จากรายการนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ได้ทราบถึงเจตนารมณ์ในการรับฟังความคิดเห็น ได้ชมวีดิทัศน์ที่บอกถึง
“ความเหลื่อมล้ำ” ทางการกระจายรายได้ และการถือครองที่ดิน ฯลฯ นอกจากนี้ ผมได้ติดตามแถลงการณ์ของ “กลุ่มเครือข่ายนักกิจกรรมทางสังคมเพื่อประชาธิปไตยและเครือข่ายอีก 37 องค์กร”  พบว่าไม่มีประเด็นที่บทความนี้จะกล่าวถึงแต่อย่างใด

การจะ
“ลดอำนาจรัฐ ขจัดความเหลื่อมล้ำ” ได้ เราจำเป็นจะต้องมีความเข้าใจในกลไกการใช้อำนาจรัฐ และที่มาของความเหลื่อมล้ำกันก่อน
 
ทำไมเราต้องสนใจในกิจการไฟฟ้า

เพราะ
(1) รัฐเป็นผู้ใช้อำนาจในการวางแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าหรือที่ปัจจุบันเรียกว่า “แผนพีดีพี 2010” ที่ใช้ระยะเวลา 20 ปี (จาก 2553 ถึง 2573) เป็นจำนวนถึง 4.22 ล้านล้านบาท เฉลี่ยปีละ 0.21 ล้านล้านบาท คิดเป็นกว่าร้อยละ 10 ของงบประมาณแผ่นดินปี 2554
ปัจจุบัน ไม่มีกระทรวงใดได้รับงบประมาณมากกว่างบลงทุนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)

(2) นอกจากงบลงทุนเฉลี่ยปีละกว่า 2.1 แสนล้านบาทแล้ว ในแต่ละปี โดยเฉพาะ ในปี 2552 คนในประเทศไทย (ไม่กล้าใช้คำว่า
“คนไทย” เพราะมีชาวต่างชาติที่มาลงทุนได้ใช้ไฟฟ้าในสัดส่วนที่มาก)  ใช้พลังงานไฟฟ้าคิดเป็นมูลค่า 4 แสน 3 หมื่นล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4.75 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (หรือเรียกย่อ ๆ ว่าจีดีพีในปี 2552 มีค่าเท่ากับ 9.05 ล้านล้านบาท และเพื่อความเข้าใจง่าย จะขอปัดเป็นตัวเลขกลมๆ คือ ร้อยละ 4.75 เป็น 5 และ 9.05 เป็น 9)
ในขณะที่ย้อนหลังไปถึงปี 2543 ค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้าเป็นเพียง 4.0% ของจีดีพี เท่านั้น

(3)  การตัดสินใจว่า โรงไฟฟ้าใดจะใช้เชื้อเพลิงชนิดใด ย่อมส่งผลกระทบต่อชุมชนทั้งรอบ ๆ โรงไฟฟ้าและต่อภูมิอากาศของโลกต่างกัน   เช่น ถ้าใช้ ก๊าซธรรมชาติ ชีวมวล พลังน้ำขนาดเล็ก และน้ำมันเตา จะเกิดผลกระทบ(หรือต้นทุนภายนอก) คิดเป็น 2.07
, 1.66 , 1.03 และ 7.02  บาทต่อหน่วยไฟฟ้า (ข้อมูลประมาณปี 2548) แต่ถ้าใช้ถ่านหิน ต้นทุนการผลิตจะอยู่ที่ 1.48 บาท แต่ต้นทุนภายนอกจะสูงถึง 7.25 บาท

ด้วยเหตุนี้ ทาง กฟผ. จึงนิยมใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง โดยอ้างว่าต้นทุนถูก แต่กลับผลักภาระต้นทุนภายนอกไปให้กับชุมชนและชาวโลก

นอกจากนี้ กลุ่มพ่อค้าพลังงานถ่านหินกับกลุ่มธุรกิจกิจการไฟฟ้ามักจะมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด การตัดสินใจดังกล่าวจึงมักจะมีผลประโยชน์ซ้อนทับอยู่เสมอ

(4) จากรายงานประจำปี 2552 ของ กฟผ. พบว่า รายจ่ายค่าเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าเท่ากับ 104
,808 ล้านบาท ค่าเชื้อเพลิงจำนวนนี้ส่วนใหญ่จ่ายไปเป็นค่าก๊าซธรรมชาติ (ทั้งในอ่าวไทยและพม่า-ซึ่งผลประโยชน์ส่วนใหญ่ตกอยู่กับบริษัทต่างชาติที่ได้สัมปทานขุดเจาะ คนไทยได้ค่าภาคหลวง และภาษีเงินได้ของบริษัทขุดเจาะ)

นอกจากนี้เป็นค่าถ่านหิน (นำเข้าจากต่างประเทศ) เชื้อเพลิงดังกล่าวอยู่ในอำนาจของบริษัทต่างชาติเป็นส่วนใหญ่เช่นเดียวกับก๊าซธรรมชาติ

รายงานฉบับเดียวกันพบว่า พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนมีเพียง 1.45% ของพลังงานไฟฟ้าทั้งหมดรวมทั้งที่ซื้อจากต่างประเทศด้วย

คำถามที่อยากชวนให้คิดก็คือ เป็นไปได้ไหมที่เราจะ
“ลดอำนาจรัฐ ขจัดความเหลื่อมล้ำ” ในภาคกิจการไฟฟ้า โดยให้ใช้เชื้อเพลิงจากพลังงานหมุนเวียน (ซึ่งได้แก่ ไม้ฟืน ของเหลือจากการเกษตร ก๊าซชีวมวล ลม แสงอาทิตย์ พลังน้ำขนาดเล็ก) สัก 10% หรือ หนึ่งหมื่นล้านบาท ภายใน 3 ปีข้างหน้านี้

รายได้ที่เกิดจากการใช้เชื้อเพลิงดังกล่าวจะกระจายตัวไปสู่ผู้มีรายได้ ผู้ไม่มีงานทำในชนบทนับแสนคน 
 
จีดีพีกับการกระจายรายได้ และ ความขัดแย้งในสังคมไทย

(1) ถ้าเรานำจีดีพีทั้งหมดมาเฉลี่ยด้วยจำนวนประชากร 65 ล้านคน พบว่าในปี 2552 คนไทย มีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อเดือนเท่ากับ 11
,600 บาท

(2) แต่จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ (อ้างจากปาฐกถา 14 ตุลาคม 2553  ของ ดร. สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ เรื่อง ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจกับประชาธิปไตย) พบว่า  รายได้เฉลี่ยของคนไทยได้ครอบครัวละ 17
,600 บาท ถ้าคิดว่า ครอบครัวละ 3.7 คน ดังนั้นรายได้เฉลี่ยต่อคนเดือนละ 4,800 บาท เท่านั้นเอง

คำถามที่ชวนให้คิดก็คือว่า ควมแตกต่างระหว่างรายได้ที่คิดตามข้อ (1) กับข้อ (2) ซึ่งเท่ากับ 6
,800 บาท นั้นมาจากไหน

ดร. สมเกียรติ ได้ให้ความเห็นว่า ประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูง การพัฒนาประชาธิปไตยจะเป็นไปได้ยาก ผู้มีรายได้น้อยย่อมมีโอกาสในการไต่เต้าทางสังคมน้อยด้วย อีกทั้งสถานการณ์ในขณะนี้ คนกลุ่มที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมต่ำกว่าต่างเชื่อว่า กลุ่มคนที่มีสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูงกว่าพยายามปิดกั้นเสรีภาพทางการเมืองของตน ดังนั้นการจะเข้าใจปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้น ตลอดจนเข้าใจรากเหง้าปัญหาประชาธิปไตยไทยที่ไม่มั่นคงมาโดยตลอด จำเป็นต้องทำความเข้าใจเรื่องความเหลื่อมล้ำ ตลอดจนที่มาของความเหลื่อมล้ำ
 
ความเหลื่อมล้ำในภาคผู้ใช้ไฟฟ้า

(1) จากข้อมูลของการไฟฟ้านครหลวงพบว่า ในปี 2552 ในเขตนครหลวงมีผู้ใช้ไฟฟ้าในส่วนที่เป็นผู้อยู่อาศัยจำนวน 2.05 ล้านราย มีการใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยรายละ 351 หน่วยต่อเดือน (รวม 8
, 637.37 ล้านหน่วย)   แต่มีผู้ใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่จำนวนเพียง 1,456 ราย แต่ใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยรายละ 835,908 หน่วยต่อเดือน (รวม 14,605 ล้านหน่วย)

นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่จ่ายค่าไฟฟ้าต่อหน่วยในราคาที่ถูกกว่าผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อยถึง 15%
ทำไมรัฐที่ได้อำนาจมาจากคนยากจนจึงสนับสนุนนักลงทุนต่างชาติแต่กลับเอาเปรียบคนจนที่เป็นเจ้าของประเทศ
ทำไมไม่ปล่อยให้ ผู้ใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ จัดหาไฟฟ้ามาใช้เอง
 
(2) ถ้าจำแนกผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศพบว่า ผู้อยู่อาศัยใช้ไฟฟ้าเพียง 21% ของประเทศ ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการใช้ไฟฟ้าถึงร้อยละ 45 และ 25 ตามลำดับ
 
เขาจะสร้างโรงไฟฟ้าให้ใครใช้

จากข้อมูลพบว่า ในปี 2551 คนนครศรีธรรมราชใช้ไฟฟ้ารวมกัน 1,141 ล้านหน่วย (http://www.thaienergydata.in.th/) (1 หน่วย = 1 กิโลวัตต์ชั่วโมง) พลังงานไฟฟ้าจำนวนนี้โรงไฟฟ้าขนาด 174 เมกกะวัตต์สามารถผลิตให้ได้ตลอดไป ไม่ขาด

ถ้าอย่างนั้น ทำไมเขาจึงจะสร้างใหญ่ถึงขนาด 700 เมกกะวัตต์ หรือว่าเขาสร้างให้ชาวจังหวัดพัทลุงและตรังใช้ด้วย จากข้อมูลเดียวกันพบว่า คน 2 จังหวัดนี้ใช้ไฟฟ้ารวมกันเพียง 133 เมกกะวัตต์เท่านั้น

ความต้องการของคนใน 3 จังหวัด (นคร, พัทลุง ตรัง) รวมกันยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของที่เขาจะสร้างใหม่ คือ 700 เมกกะวัตต์  แล้วทำไมเขาจึงสร้างมหึมาขนาดนี้

ยิ่งคิด ก็ยิ่งสงสัยจังหู ฟันธงไปได้เลยว่า เขาจะสร้างไว้รองรับโรงถลุงเหล็ก หรือนิคมอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ฯลฯ

ในขณะที่จำนวนประชากรไทยเพิ่มขึ้นปีละ 0.5% แต่กระทรวงพลังงานกำลังวางแผนจะเพิ่มการผลิตไฟฟ้าปี 6% เขาทำเพื่อใคร
 
ผลิตไฟฟ้าเพื่อการส่งออก

จากข้อมูลที่รวบรวมโดยกระทรวงพลังงานพบว่า มูลค่าการส่งออกในปี 2552 คิดเป็นมูลค่า 5.19 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 57.4 ของจีดีพี
 ถ้าคิดในช่วงหลายปีก็จะอยู่ระหว่าง 65-70% ของจีดีพี

ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ  ในเศรษฐศาสตร์จานร้อน (กรุงเทพธุรกิจ
5 ตุลาคม พ.ศ. 2552) กล่าวว่า “การส่งออกของไทยซึ่งอยู่ที่ระดับ 65-70% ของจีดีพีนั้นไม่ได้หมายความว่า การส่งออกสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศถึง 2/3 ทั้งนี้ เพราะสินค้าส่งออกหลายรายการต้องนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศจำนวนมาก อาทิเช่น การส่งออกสินค้าประเภทอิเล็กทรอนิกส์และแผงวงจรไฟฟ้า ที่นำเข้าชิ้นส่วนมาประกอบในประเทศไทยเพื่อส่งออก ซึ่งนำเข้านั้นประมาณครึ่งหนึ่งเป็นการนำเข้าเพื่อการส่งออก (อีกครึ่งหนึ่งประมาณ 25% ของจีดีพี เป็นการนำเข้าสินค้าเพื่อการผลิตในประเทศ (10% ของจีดีพี) การนำเข้าพลังงาน (10% ของจีดีพี) และการนำเข้าสินค้าเพื่อการบริโภคประมาณ 5-6% ของจีดีพี) ดังนั้น จะพบว่าสัดส่วนของการส่งออกที่สร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศไทย น่าจะเท่ากับ 20-30% ของจีดีพีครับ”
 
สรุป

จากที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด พอสรุปสั้น ๆ ได้ว่า
(1) รัฐบาลไทยจะนำเข้าถ่านหินซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่สกปรกที่สุดในโลกเข้ามาใช้ เงินไปต่างประเทศ มลพิษทั้งทางอากาศ น้ำ ดิน สารพิษต่อสุขภาพต่าง ๆ ทิ้งไว้ให้คนไทย

(2) ไฟฟ้าที่ได้ใช้ผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก วัตถุดิบนำเข้าจากต่างประเทศ
 
(3) ใช้แรงงานต่างชาติ เพราะคนไทยถูกระบบการศึกษาหลอมให้เป็นคนไม่ติดดิน ดูถูกการใช้แรงงาน และทำอะไรไม่เป็น

(4) กระทรวงพลังงานและ กฟผ. ไม่สนใจรากเหง่าของปัญหาความไม่สงบในประเทศไทย ไม่สนใจการปฏิรูปการเมืองที่จั่วหัวว่า
“ลดอำนาจรัฐ ขจัดความเหลื่อมล้ำ”

(5) รัฐบาลไทย ไม่สนใจปัญหาโลกร้อนที่มีสามเหตุมาจากภาคการผลิตไฟฟ้ามากที่สุด
นายอัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกากล่าวในวันรับรางวัลออสการ์ จากภาพยนต์เรื่อง “ความจริงที่ไม่อาจยอมรับได้” ว่า 
“เพื่อนชาวอเมริกันและเพื่อนร่วมโลก เราจำเป็นต้องแก้ไขวิกฟติภูมิอากาศ มันไม่ใช่ประเด็นการเมือง แต่มันเป็นประเด็นทางศีลธรรม เราจำเป็นจะต้องเริ่มต้น ด้วยความตั้งใจที่จะลงมือแก้ปัญหา”

(6) ปัจจุบันประเทศไทยเรากำลังปล่อยให้คนที่มือสกปรก กำลังทำความสะอาด เช็ดถูบ้านของเรา ยิ่งทำก็ยิ่งสกปรก เลอะมากขึ้นทุกวัน 

พอแล้วยังครับ ที่จะให้คนที่มือสกปรกและมีจิตใจขาดศีลธรรมเหล่านี้เป็นผู้นำ
 
 
 

 

บล็อกของ ประสาท มีแต้ม

ประสาท มีแต้ม
เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2551 สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้จัดเวทีเสวนาเรื่อง "9 คำถามคาใจ กรณี ปตท." ซึ่งเป็นประเด็นที่ประชาชนให้ความสนใจมาหลายปีนับตั้งแต่การแปรรูปเมื่อเดือนตุลาคมปี 2544 เวทีเสวนาประกอบด้วย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สื่อสารองค์กรและกิจการเพื่อสังคม  บมจ. ปตท. (คุณสรัญ รังคสิริ)  เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (คุณสารี อ๋องสมหวัง) ดำเนินรายการโดยคุณวันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์  บรรณาธิการนิตยสารสารคดี นอกจากนี้ยังมีนักวิชาการและประธานกรรมการบริหารบริษัทหลักทรัพย์ภัทรด้วย นักข่าวของ “ประชาไท” รายงานว่า “…
ประสาท มีแต้ม
นายทหารยศพันตรีท่านหนึ่ง (พ.ต.รัฐเขต แจ้งจำรัส) ได้ออกมาให้ข้อมูลกับประชาชนผ่านเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า “ปิโตรเลียมซึ่งได้แก่น้ำมันและก๊าซธรรมชาติใต้แผ่นดินไทยทั้งบนบกและในทะเลทั้งหมดมีมูลค่าถึง 100 ล้านล้านบาท” เงินจำนวน 100 ล้านล้านบาท(ล้านสองครั้ง)นี้ ถ้าเอามาจัดสรรเป็นงบประมาณแผ่นดินในปีปัจจุบันก็จะได้ประมาณ 62 ปี เพราะงบประมาณปีหน้า (2552) มีประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท ข้อมูลที่นายทหารผู้นี้นำเสนอล้วนเป็นข้อมูลของทางราชการที่เข้าใจยาก กระจัดกระจาย แต่ท่านได้นำมารวบรวม วิเคราะห์ แล้วสรุปให้ประชาชนธรรมดาสามารถเข้าใจได้ง่าย…
ประสาท มีแต้ม
1. ความเดิม จากปัญหาที่ผู้บริหารทั้งระดับผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่และผู้จัดการใหญ่ของ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) “อ้าง” หลายครั้งหลายวาระด้วยกันว่า ก๊าซหุงต้มในประเทศไทยขาดแคลน ทาง บริษัท ปตท. จึงได้ออกมาบอกกับสาธารณะในสามประเด็นหลัก คือ (1) เสนอแนะให้รัฐบาลขึ้นราคาหรือลอยตัวราคาก๊าซหุงต้มให้เท่ากับราคาตลาดโลก(2) ในเดือนเมษายนที่ผ่านมาทาง ปตท. ได้นำเข้าก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจีแล้วจำนวน2 หมื่นตัน ขณะเดียวกันผู้บริหารระดับสูงสุดอ้างว่าในปีนี้จะมีการนำก๊าซถึง 4 แสนตัน (3) ราคาก๊าซหุงต้มในตลาดโลกตันละเกือบพันเหรียญสหรัฐ แต่ราคาก๊าซในประเทศอยู่ที่ตันละประมาณ 300 เหรียญ…
ประสาท มีแต้ม
1. ประเด็นปัญหา ขณะนี้ บริษัท ปตท. ได้บอกกับประชาชนว่าก๊าซหุงต้มหรือที่เรียกกันในวงการว่าก๊าซแอลพีจี (Liquefied petroleum gas) ในประเทศไทยกำลังขาดแคลน และได้แนะนำให้รัฐบาลขึ้นราคาก๊าซชนิดนี้ โดยเฉพาะที่ใช้กับรถยนต์ส่วนบุคคลและรถยนต์แท็กซี่ (นายณัฐชาติ จารุจินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ บมจ. ปตท. ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel , 7 กรกฎาคม 2551) นอกจากนี้นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.กล่าวว่า “ความต้องการใช้ก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ปีนี้ต้องนำเข้าแอลพีจี 4 แสนตัน” (ไทยรัฐ 11 กรกฎาคม 2551)
ประสาท มีแต้ม
1. คำนำและปัญหา ขณะนี้ได้มีการเรียกร้องให้สังคมมาร่วมกันสร้าง “การเมืองใหม่” บทความนี้จะยังไม่เสนอกระบวนการที่จะนำไปสู่การเมืองใหม่ แต่จะมองว่าการเมืองใหม่ควรจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร พร้อมนำเสนอตัวอย่างที่เป็นจริงเพื่อให้เราได้เห็นทั้งแนวคิดและหน้าตาของการเมืองใหม่ชัดเจนขึ้น สังคมในการเมืองใหม่ควรจะเป็นสังคมที่ ผู้คนมีศักดิ์ศรี พึ่งตนเองได้ ทุกคนมีงานทำ มีความสุข การบริหารบ้านเมืองต้องโปร่งไส ตรวจสอบได้และ ปราศจากการคอร์รัปชัน ในที่นี้จะขอนำเสนอนโยบายและรูปธรรมด้านพลังงาน ทั้งนี้เพราะเรื่องพลังงานเป็นเรื่องใหญ่มาก กล่าวคือทุกๆ 100 บาทของรายได้ของคนไทย ต้องจ่ายไปกับค่าพลังงานถึง 18 บาท…
ประสาท มีแต้ม
ในขณะที่คนทั่วโลกกำลังเดือดร้อนกับราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์  แต่ผลกำไรของบริษัทน้ำมันขนาดยักษ์ของโลกกลับเพิ่มสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา มันช่างฝืนความรู้สึกในใจของมนุษย์ธรรมดาๆ ที่คิดว่า “เออ! เมื่อสินค้าราคาสูงขึ้น เขาน่าจะลดกำไรลงมามั่ง เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคเดือดร้อนมากนัก”   แต่มันกลับเป็นตรงกันข้าม คือเพิ่มกำไรมากกว่าเดิม  โดยไม่สนใจใยดีกับเพื่อนร่วมโลกในขณะที่ผู้มีรายได้น้อยอย่างกรรมกรได้สะท้อนออกมาในวันแรงงานแห่งชาติว่า “ค่าครองชีพแพง แต่ค่าแรงเท่าเดิม”บทความนี้จะนำเสนอทั้งข้อมูลและความคิดเห็นใน 4 เรื่องต่อไปนี้ คือ (1)…
ประสาท มีแต้ม
๑.คำนำเมื่อ ๗ ปีก่อน  คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้คิดวิชาใหม่ขึ้นมาหนึ่งรายวิชา หากคำนึงถึงแนวคิด เนื้อหาและกระบวนการเรียนการสอนแล้ว อาจถือว่าได้วิชานี้เป็นวิชาแรกในประเทศไทยก็น่าจะได้  ผมจึงอยากจะเล่าให้ท่านผู้อ่านที่เป็นผู้จ่ายภาษีมาตลอดได้รับทราบครับ ด้วยขั้นตอนตามระเบียบของมหาวิทยาลัย เราได้เริ่มลงมือเปิดสอนจริงเมื่อ ๓ ปีมาแล้ว รายวิชานี้ชื่อว่า “วิทยาเขตสีเขียว (Greening the Campus)”  เป็นวิชาบังคับสำหรับนักศึกษาชั้นปีที่สามทุกคน เรื่องที่จะนำมาเล่าอย่างสั้นๆ นี้ ได้แก่ แนวคิด เนื้อหา กระบวนการเรียนการสอน  สิ่งที่นักศึกษาค้นพบและร่วมผลักดันขยายผล…
ประสาท มีแต้ม
ผมว่างเว้นจากการเขียนบทความมานานกว่าสองเดือนแล้ว จนอันดับบทความของผมที่เรียงตามเวลาที่เขียนในเว็บไซต์ “ประชาไท” ตกไปอยู่เกือบสุดท้ายของตารางแล้ว สาเหตุที่ไม่ได้เขียนเพราะผมป่วยเป็นโรคที่ทันสมัยคือ “โรคคอมพิวเตอร์กัด” ครับ มันมีอาการปวดแสบปวดร้อนไปทั่วทั้งหลัง พอฝืนทนเข้าไปทำงานอีกไม่เกินห้านาทีก็ถูก “กัด” ซ้ำอีก ราวกับมันมีชีวิตแน่ะที่นำเรื่องนี้มาเล่าก่อนในที่นี้ไม่ใช่อยากจะเล่าเรื่องส่วนตัว แต่อยากนำประสบการณ์ที่ผิดๆ ของผมมาเตือนท่านผู้อ่านโดยเฉพาะคนที่อยู่ในวัยหนุ่มสาว ท่านผู้อ่านที่สนใจจะเก็บเรื่องของผมไปเป็นบทเรียน…
ประสาท มีแต้ม
ผมเองไม่ใช่นักกฎหมาย แต่ได้ให้ความสนใจอย่างจริงจังในประเด็นพลังงานทั้งเรื่อง ปตท. และการไฟฟ้า ทั้งการเคลื่อนไหวเรื่องพลังงานหมุนเวียนมานานกว่า 10 ปีหลังคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด (14 ธันวาคม) ในอีก 2 วันทำการต่อมารัฐบาลก็ได้ผ่านมติวิธีการจัดการรวมทั้งการคิดค่าเช่าท่อก๊าซฯให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาล โดยใช้เวลาพิจารณาเพียง 10 นาที สร้างความกังขาให้กับสังคมไทยเป็นอย่างมากประเด็นที่ผมสนใจในที่นี้มี 3 เรื่องดังต่อไปนี้หนึ่ง คำพิพากษาของศาลฯที่ว่า “การใช้อำนาจมหาชนของรัฐ” ในกรณีการก่อสร้างท่อส่งก๊าซธรรมชาตินั้นควรจะครอบคลุมไปถึงไหน  ในฐานะที่ไม่ใช่นักกฎหมาย…
ประสาท มีแต้ม
เรื่องราวที่ผมจะนำมาเล่าในที่นี้  ไม่ใช่เรื่องเทคนิคทางไฟฟ้า ไม่ใช่เรื่องการประหยัดพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว  แต่เป็นเรื่องของประสบการณ์การทำงานเชิงสังคมที่น่าสนใจของตัวผมเอง  ผมคิดว่าเรื่องนี้มีคุณค่าพอที่ผู้อ่านทั่วไปตลอดจนกลุ่มเพื่อนพ้องที่มุ่งมั่นทำงานเพื่อสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระบวนการสีเขียว เพื่อสิ่งแวดล้อม เพื่อความเป็นธรรมและเพื่อนสันติภาพของโลก  จริงๆนะครับ ผมไม่ได้โม้ผมขอเริ่มเลยนะครับเราเคยสังเกตไหมครับว่า สวิทซ์ไฟฟ้าในที่ทำงานของเรา โดยเฉพาะที่เป็นสถานที่ราชการ เวลาเราเปิดสวิทซ์ ไฟฟ้าจะสว่างไปหลายดวง หลายจุดเป็นแถบๆ  ยิ่งเป็นที่สาธารณะ เช่น สำนักงาน…
ประสาท มีแต้ม
1. ความในใจผมขอพักเรื่องนโยบายสาธารณะด้านพลังงานซึ่งเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญมากๆ สำหรับประเทศไทยและชาวโลกไว้ชั่วคราวครับ  ในบทความนี้ผมขอนำเรื่องภายในมหาวิทยาลัยที่ผมทำงานอยู่มาเล่าสู่กันฟังมันไม่ใช่เรื่องไกลตัวสำหรับผู้อ่าน  แต่มันสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาในระบบราชการไทยที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงแม้ว่าสถานการณ์ได้เปลี่ยนไปมากแล้ว  นอกจากนี้ผมมีเรื่องวิชาใหม่ที่คาดว่าเป็นวิชาแรกในประเทศไทยคือวิชา “ชุมชนมหาวิทยาลัยสีเขียว (Greening the campus)”…
ประสาท มีแต้ม
การแปรรูป ปตท. คือการปล้นประชาชน! ในช่วง ๓-๔ ปีที่ผ่านมา ในขณะที่ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศกำลังเดือดร้อนกับราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นเกือบสองเท่าตัว แต่บริษัทน้ำมันต่างๆในประเทศไทยกลับมีกำไรเพิ่มสูงขึ้นมากกว่านั้นในบทนี้ จะกล่าวถึงกิจการของบริษัท ปตท. จำกัดมหาชน และบริษัทอื่นๆบ้าง โดยย่อๆ เป็นข้อๆ ดังต่อไปนี้๑. บริษัท ปตท. จำกัด มหาชน ได้แปรรูปมาจาก การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๔  ตอนเริ่มต้นการแปรรูป กระทรวงการคลังถือหุ้น ๖๙% ปัจจุบันเหลือเพียง ๕๒.๔๘%ดังนั้น กำไรของ ปตท. ซึ่งเดิมเคยตกเป็นของรัฐทั้งหมด ๑๐๐% ก็จะเหลือเพียงตามสัดส่วนที่รัฐถือหุ้น  คงจำกันได้นะครับว่า หุ้น ปตท…