Skip to main content

 

                @   “  เฮ๊ย    ติ๊ก   อ้ายไม่ไป ปลายฝน ต้นหนาวแล้ว  อ้ายจะรอพวกเธอที่ สุดสะแนน  ”     ฉันโฟนอินบอก ติ๊ก  เพื่อนสาว น้องสาวผู้งดงามใจงามแห่งฉันและโลกชีวิตอีกคนหนึ่ง … เธอเหิรฟ้ามาจาก “ดินแดนด้ามขวานด่านใต้”  จังหวัดสุราษฏร์ธานี  เธอเอาแกงไตปลา จากใต้มาฝาก “อ้ายป้อม”  ศิลปิน และอดีตทนายความ จบจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง อ้ายป้อมเบื่อชีวิตทนาย เลย  say  good bye …  อ้ายป้อมเป็นเจ้าของ   “ บ้านร้าน  ปลายฝน  - ต้นหนาว  ”   ทางไปหลังวัดเจ็ดยอด  อ้ายป้อม เป็นคนภาคใต้เหมือนกับ ติ๊ก   แต่มาอยูเชียงใหม่นานแล้ว   บ้านร้านปลายฝน – ต้นหนาว เปิดกว้างให้นักศึกษาที่เรียนด้านศิลปะ มาแสดง  งาน  exhibition  ได้ฟรี โดยไม่คิดค่าสถานที่ พวกน้องๆนักศึกษาจากคณะวิจิตรศิลป์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และนักศึกษาศิลปะจากมหาวิทยาลัยราชมังคลา ฯลฯ  มาแสดงงาน อ้ายป้อมเป็นศิลปินจึงเข้าใจศิลปินด้วยกัน …  สาวติ๊ก โหลด ไตปลามา เพราะบนเครื่องบิน เขาไม่ให้เอาขึ้นไป   ฉันขำที่ครั้งหนึ่ งหนึ่งฉันเอาเหล้าพื้นบ้านสองขวดไปด้วย จะเอาไปให้เพื่อนที่กรุงเทพฯ ชิมลิ้มรส  ขณะเอาสัมภาระเช็คที่ด่าน เช็ค   หญิงสาวที่เช็คเธอบอกว่าเอาขวดเหล้าขี้นไปด้วยไม่ได้ ฉันจึงจำเป็นต้องเอาขวดเหล้าไปโหลด คนบ้านนอกอย่างฉันนานๆขึ้นเครื่องบินทีก็งี้แหละ ที่เหิรฟ้าไปถ้าไม่มีคนออกตังค์ให้ก้อไม่ได้ไปแน่ ค่าเครื่องของการบินไทยโครตแพง ฉันก็แต่แค่ขึ้นรถไฟฟรีชั้นสามเท่านั้นแหละเจ้า

                       “  … “ ติ๊ก เมาแล้ว เมาเหล้ากุหลาบของอ้ายป้อม “ เธอหัวเราะเสียงใสผสมอ้อแอ้มาตามเครื่องโทรศัพท์ไร้สาย… “ เออมาเร็วๆ อ้ายรอ ” 

                       พวกเราโอบกอดกันด้วยความรักแห่งผองเพื่อนมนุษยชาติ  ไอ่หนู ติ๊ก ผิวสีค่อนข้างสีแทน ดีใจที่เจอฉันอีกคราหนึ่ง  น้องๆทั้งหญิงชายที่มาด้วยกันก็ปิติยินดีปรีดาด้วย… พวกเราร่วมสิบชีวิตนั่งโต๊ะจัดยาว   หัวเราะพูดคุยกันอย่างเริงรื่น   …คืนนั้น ณ บ้านร้านสุดสะแนน จึงมีฝูงอีแร้งกระพือปีก บิน ย้าบๆ  เย้บ ๆ บนฟลอร์ หน้าเวทีที่ “อ้ายพัฒน์”  นักดนตรีบรรเลงเพลงลูกทุ่ง พอได้ที่ฉันก็จับแขกในร้านมาร่ายฟ้อนสนุกสนานม่วนซื่นโฮแซวไปตามๆกัน … ทุกที  ทุกที  เป็นแบบนี้แหละ เมื่อเราม่วนได้ที่กัน … “ หมู่เฮา หนิมพิ้วไว้ อย่ากระดุกกระดิก ห้ามไปไหน รอให้อ้ายพัดขี้นเพลงแหม ”  ไอ่หนู “เขี้ยวฮิ้น  เขียวฮิ้น” เจ้าของชื่อ  face book  หัวเราะบอก  (ไอ่หนูคนนี้ ฉันเรียกเธอว่า “ไอ่โยโก๊ะ” เพราะในหน้าเธอ ทรงผมเธอ ละม้ายคล้าย “โยโก๊ะ โอ๊ะโน๊ะ”  เมียของน้า   John  Lennon  สมาชิกวงดนตรี   The  Beatles  อันโด่งดังในยุค  Sixties  ในอดีต … ไอ่โยโก๊ะ ออกคำสั่งให้เรายืนนิ่งไม่กระดุกกระดิก พอบทเพลงเริ่มบรรเลง ฝูงอีแร้ง หน้าเวทีก็ พะเยิบพะย้าบ กระหยับปีกต่อ   ฉันเดินไปดึง  “  อ้ายแก้ว”  และแฟนสาวคนไทย  ให้ออกมาเริงระร่ายฟ้อนด้วยกัน และดึงน้องๆน้องๆที่นั่งหน้าสลอนบนโต๊ะข้างๆมาฟ้อนด้วยกัน (อ้ายแก้ว เป็นฝรั่ง พูดไทยชัด เพราะมีเมียไทย   … “ เฮ๊ย หมู่เฮา ถ้าอยากพูดภาษาปะกิตเก่ง ก้อเอาเมียฝรั่ง เล๊ย  อู้ ได้ปร๋อ แน่ ”   ฉันแหย่เพื่อนๆน้องๆในวงเมา  ก้อฮากันตรึมม  … ฝรั่งอ้ายแก้ว มาทำงานกะพรรคพวกฝรั่งที่เชียงใหม่ พวกเขาเป็นองค์กรพัฒนาเอกชน ที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน ที่ชนเผ่าถูกละเมิด  … มีคราหนึ่งพวกเราจัดกิจกรรมที่ ข่วงประตูท่าแพ เป็นวัน  8  -  8  - 8… วันที่แปด(8) เดือนแปด ( สิงหาคม) ปีแปด ( 1988) … ที่นักศึกษาและประชาชนพม่าชุมนุมประท้วงใหญ่ที่ร่างกุ้ง แล้วถูกรัฐบาลเผด็จการทหารพม่าปราบปรามเข่นฆ่าอย่างโหดร้ายทารุณ หลายคนต้องหนีเข้าป่าจัดตั้งกองกำลังต่อสู้ ในป่าเขา… อ้ายแก้วแสดงสด performance  โดยการกระโดดลงน้ำคูเมืองแล้วว่ายในระยะทางประมาณร้อยเมตร ท่ามกลางฝูงชนคนดูปรบมือเอาใจช่วย จนถึงที่หมาย ฝรั่งจิตใจสากลนิยม … อ้ายแก้ว ประท้วงรัฐบาลเผด็การทหารพม่าที่กักอิสรภาพของ “ นางอ่องซาน ซูคยี” สตรีเหล็กของพม่าที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยให้ประชาชนพม่าด้วย ในขณะนั้น เผด็จการทหาร ซอหม่อง ยังไม่ปล่อยตัว อ่องซานฯ  เธอได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพแต่เธอไม่ออกจากประเทศไปรับ เพราะเธอรู้ดีว่าถ้าเธอออกไป เธอจะต้องไม่ได้กลับมาบ้านเกิดเมืองนอนอย่างแน่นอน รัฐบาลจะต้องไม่ให้เธอเข้ามาเคลื่อนไหวทางการเมืองในพม่าอีก แต่ตอนนี้เธอได้รับอิสระภาพในระดับหนึ่งแล้วที่รัฐบาลเผด็จการทหารปล่อยออกมาเพราะไม่อาจต้านกระแสทางสากลที่กดดันรัฐบาลเผด็จการได้… อ้ายแก้ว ว่ายน้ำทั้งที่สวมใส่รองเท้า   และเอารองเท้ามาประมูลในงานกิจกรรมนั้น รู้สึกว่าจะได้พันบาท อ้ายแก้วก็ยกเงินที่ได้นั้นมอบให้กองทุนที่ทำงานเรื่องอิสรภาพประชาธิปไตยของประชาชนพม่าฯลฯ

- - -  “ อ้าย แสงดาว วันนี้เป็นวันเกิดของเพื่อนเรา เราจึงมาฉลองกันนี่นี่”  แก้มยิ้มบอก พร้อมกับผายมือไปที่เพื่อนฝรั่งของเขา ที่นั่งใกล้กับภริยาคนไทย

                                    “ อ้อ อ้ายจะเขียนบทกวี เป็นภาษาฝรั่ง อวยพรให้เขา ”   ฉัน เอามือล้วงเอากระดาษเอสี่ในย่ามออกมา สะเก๊ตท์ ใบหน้าเขาง่ายๆ ฝรั่งหนวดงามยิ้ม แล้วฉันก็ร่ายบทกวีประดับบนกระดาษ    …” เสร็จแล้ว  Toy  ”   ฉันยื่นบทกวีมอบให้เขา เขายิ้มขอบคุณ   “  อ้ายแสงดาว อ่านบทกวี บนเวทีให้ทอย”   อ้ายแก้วบอก   ฉัน เดินอาดๆตรงไปยังเวทีที่อ้าย “พัฒน์” กำลังเล่นดนตรี  ก้มหน้ากระซิบที่หู “พัฒน์  อ้ายขอรบกวนขออ่านบทกวี อวยพร Birth  Day เพื่อนฝรั่ง กลุ่มโต๊ะโน้น”  

       “  For  Birth Day  Toy …and for Humanity Friends     on  Earth… For Peace  … For  upfighting  in  Burmer … Blowing in the  Wind by  Heart  and  Soul … for Love  …We   Love   You !!!  ”  …  ฉันชูจอก ร่อนจอก เชื้อเชิญแขกในร้าน ตำจอกอวยพรให้ Toy  … เสียงปรบมือดังลั่นร้าน ฉันยกมือไหว้ ผายมือไปที่ Toy

            เพลงสุดท้ายก่อนที่อ้ายพัฒน์ จะอำลาเวทีก็ดังกังวานขี้น …

   “   พร่างพราวแสง  ดวงดาวน้อยสกาว  ส่องวับวาว เด่นพราวไกลแสนไกล

      ดั่งโคมทอง ส่องเรืองเรื้องในหทัย  เหมือนธงชัย ส่องนำจากห้วงทุกข์ทน … ฯลฯ ”

                  ฉัน ลุกขึ้นจากโต๊ะของกลุ่มอ้ายแก้ว  ย่างเท้าช้าๆ  ไปข้างเวที   แล้วทำจินตลีลาพร้องบทเพลง  ไม่ได้เลยถ้าบทเพลงนี้ขึ้นมา  เหมือนกับต้องมนตร์สะกด ฉันต้องร่ายจินตลีลาทุกครั้ง พร้อมกับร้องเพลงคลอผสาน เพลง “  แสงดาวแห่งศรัทธา ”  จากบทประพันธ์เพลงของ  “ สหายจิตร  ภูมิศักดิ์ ”  นักรบประชาชนแห่งเทือกเขาภูพาน คราเข้าร่วมสงครามประชาชนร่วมกับ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เขตภาคอิสาน  ซึ่งเขาต้องเสียสละชีวิตในเขตนี้ด้วยปืนปฏิกิริยาของศัตรูประชาชน! … นามปากกา “ แสงดาว   ศรัทธามั่น ”   ที่ตั้งขึ้นก็มาจากแรงบันดาลใจจากบทเพลงนี้ ! …

         “   ฯลฯ   พายุฟ้าครื้นโครมคุกคาม   เดือน ลับยาม แผ่นดินมืดมน  

    “  ดาวศรัทธา  ”       ยังส่องแสงเบื้องบน  ปลุกหัวใจ ปลุกคนอยู่มิวาย

               ขอหัวเราะ เยาะเย้ยทุกข์ยากลำเค็ญ  คนยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย  ฯลฯ   บทเพลงมาถึงท่อนนี้ ฉัน ผายมือไปยังพี่น้องประชาชนที่นั่งรายเรียงรอบๆโต๊ะ  พร้อมทั้ง กำหมัดสองข้างยกชูเหนือหัว …

                 “   แม้นผืน  ฟ้า   มืดดับ  เดือน  ลับมลาย    ดาว   ยังพรายศรัทธาเย้ยฟ้าดิน

                     ดาว   ยังพราวอยู่จน  ฟ้า    รุ่ ง รา ง ”    @

                     “ เพลงนี้ ยามฉันรู้สึกทดท้อไม่ว่าเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ฉันต้องร้องเพลงนี้เสมอ  ช่วยปลุกปลอบใจฉันนัก ”   … “  อ้ายปอน… พิบูลย์ศักดิ์  ละครพล  ”   …  “เจ้าชายโรแมนติค ” - - -  กวี นักคิด นักเขียน ศิลปิน  คนเพลง แห่งล้านนาอิสระ เคยพูดในงานเขียนทุกครั้ง 

                                 . . .  ราตรีนี้  ฉัน  บรรทมที่นี่  ณ “สุดสะแนน …แสนสนุกสุดเสน่ห์”  บ้านร้านป่าในเมืองของ “อ้ายฮวก -  สุดสะแนน”  (ถามไถ่ว่าคำว่า สุดสะแนน หมายถึงอะไร  พวกเขาซึ่งเป็นพี่น้องคนอิสาน บอกทำนองว่า เป็นลายเพลงแคน ชนิดหนึ่งของอิสาน  “ฮวก”  หรือ  “ อรุณรุ่ง   สัตย์สวี ”   (เป็นนามปากกาของเขา)  เป็นทั้งนักคิด นักเขียน  กวี ศิลปิน  คนเพลง  ฯลฯ   เขาเคยได้รับรางวัลเรื่องสั้น “สุภา  เทวกุล”  (นักเขียนอาวุโสที่ได้กลับคืนสู่อ้อมอกอันอบอุ่นของแม่พระธรรมชาติไปแล้ว  เพื่อนๆนักเขียนรุ่นอาวุโสรุ่นเดียวกับ ป้าสุภา  เทวกุล  จึงร่วมกันจัดตั้ง “รางวัล สุภา  เทวกุล”  เพื่อเป็นเกียรติให้ท่านผู้ล่วงลับ…  ฉันก็ได้ไปส่ง “อรุณรุ่ง  สัตย์สวี” ไปรับรางวัลที่กรุงเทพฯ  ไปแสดงความยินดีกับเขาและผู้ที่ได้รับรางวัลนี้ทุกๆคน

                      - - -  เขาและเพื่อนรักของเขา “ ชวด  - สุดสะแนน ”  หรือ “ ผการัมย์  งามธันวา”  กวี  ศิลปิน กวีนักเขียน  ร่วมกันตั้งวงดนตรี “สุดสะแนน”  เล่นด้วยกันตั้งแต่  อิสาน   กรุงเทพฯ   ยันเชียงใหม่ …  คงต้องเล่า เรื่องราวของเขาให้ท่านผู้อ่านได้รับฟังหน่อย … ในคราวมีการประกวดดนตรี  FOLK   SONGS เพลงเพื่อชีวิต     รำลึก  20  ปี      สิบสี่ตุลาคม  ที่หอประชุมใหญ่ (ถ้าจำไม่ผิดในเรื่องสถานที่)    มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(และการเมือง)  มีนักดนตรีจากภาคต่างๆทั่วประเทศมาร่วมแข่งขันกันตรึม  ผลปรากฏว่า วงดนตรีสุดสะแนน ได้รับรางวัลชนะเลิศ! 

                           . . .  วงดนตรีสุดสะแนน นอกจากจะให้ความรื่นรมย์  แก่แขกผู้มาเยือนร้านนี้แล้ว   เวลาคราใดที่ พี่น้องประชาชนทั้งชนเผ่าและชาวบ้านชุมนุมเรียกร้องความเป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นลานหน้าศาลากลางจังหวัด หรือลานข่วงประตูท่าแพ ฯลฯ วงดนตรีสุดสะแนนก็ไปร่วม บรรเลงเพลงให้กำลังใจพี่น้องด้วย บ่อยครั้ง  ฉันจึงชมชอบเขา  และไปเป็นผีสิงสถิตที่ร้านบ้านป่าในเมืองนี้บ่อยๆ    …

                                    ราตรีนี้ พระจันทร์เต็มดวงอวยพรทอแสงโอบกอดเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก เอกภพ จักรวาล  … ฉันยกมือวันทาแม่พระจันทร์   แล้วกลับไปนอนหลับฝันดี! @

 

 --------------------------------------------------------------------

      ฉั น  รจนา เรื่องราวนี้   ณ  โต๊ะ ไม้ สุดสะแนน ยามอรุณ …  ชื่อเรื่องนี้    “   อรุณรุ่งรางสว่างแล้ว ”   ฉั น  เอามาจากบทเพลงของ “วงดนตรีสุนทราภรณ์”   ที่แต่งและขับร้องโดย  “ครูเอื้อ  สุนทรสนาน”  หรือ “สุนทราภรณ์”  ….

                - - -   สายฝน โปรยปราย โปรยปรอย  … ยังได้ยินเสียงนกร้องเพลง   ขณะนั่งรจนานี้  ฉั น เห็น นกเขาตัวผู้ต่อยมวยกัน ตีกับบนหลังคามุงจาก  ตีกันดัง  พลั่บ  พลั่บ   … พลั่บ  พลั่บ   สักครู่ ตัวหนึ่งสู้ไม่ได้ ต้องถอยบินหนีไป  นกเขาเธอหวงถิ่น ใครแหลมเข้ามา เขาก็ต้องขับไล่  เป็นธรรมดาธรรมชาติของสรรพสัตว์ จ้า

                  ๓  กรกฏาคม  ๒๕๕๕  ล้านนาอิสระ , เจียงใหม่.

  

 

 

 

             

 

 

                        

 

บล็อกของ แสงดาว ศรัทธามั่น

แสงดาว ศรัทธามั่น
 *--*--*{ กาพย์”ลุกขึ้นสู้” }
แสงดาว ศรัทธามั่น
{  กลอนเปล่าอิสรา  }@  ลมหนาวเหนือ พัดโชยมา…ยามต้องไล้ผิวกายร้อนที่รุ่มก็คลายกลิ่นอายเหมันตฤดู …ไม่รู้ลืม @
แสงดาว ศรัทธามั่น
 
แสงดาว ศรัทธามั่น
 ***** --*-- ***** --*-- *****@   “  ฮา  ติง จัง…จังคนมีอำนาจล้นฟ้า  แต่รังแก คนยากไจ้ อำนาจ แบบ ต๋ามใจ๋ เขา “น้องสาว  ผู้ดีงาม ใจงาม ของฉัน  แล ของโลกชีวิต อีกคนหนึ่ง