Skip to main content

 

          “ คืน เพ็ญพระจันทร์สีทอง ”

                          โ อ บ ก อ ด . . .

          “  คืน วัน  แห่ง การก่อเกิด ”

                    แ ล …

                  “ เ ริ ง ร่า ท่า ม ก ลา ง กา ร ต่ อ สู้ ”                 

 

  -----------------------------------

 

(  ๑   )    :   “   คืน เพ็ญพระจันทร์สีทอง ”

 

             @   ห ลั ง จา ก อำ ลา  เพื่อนพ้องน้องพี่ในคืนวันที่  30  ธันวาคม  2555   … รุ่งเช้า ฉั น  ควบม้าขาวมุ่งสู่ทางทิศเหนือ      แสงอาทิตย์สาดส่องทักทาย… ก้มค้อมศีรษะ คารวะดวงตะวัน        จุดหมายปลายทางคือบ้านไม้ชายทุ่ง อำเภอสันทราย เชียงใหม่     เพื่อหลบหลีก ความอึกกระทึกครึกโครม ของ   แสง  สี  เสียง ในเมือง ใน วันคืน  Count  Down  ปีใหม่สมมุติ!

 

                    - - -  ยลชม  คารวะ   ดาว   เดือนเต็มดวง  บนระเบียงบ้าน        สักครู่ก็เข้านอน เพราะรู้สึกเพลีย    นอนอ่านหนังสือ  ภายใต้แสงนวลเย็นแห่งเทียนไข     อ่านไปได้ไม่นาน   ดวงตา ปรือ … ขอบคุณแสงเทียน พร้อมเป่าเทียนดับ    กลิ่นกรุ่นควันเทียน ยังสัมผัสจมูก อยู่ ( ควันจากธูปเป็นอันตรายต่อร่างกาย)      ฉั น   หลับฝันเกือบตลอดคืน  ส่วนมากเป็น ความฝันที่ไม่ดีนัก    ยังนึก อิจฉา  คนที่นอนหลับสนิท  และ  ฝันดี…  ถ้า เป็นฝันดี  มักจะฝันว่า  เหาะ ลอยตัวขึ้นบนท้องฟ้าได้ ก็เล่นเอา เหนื่อย เพลีย   … ฉั น  ต้องพยายาม กระโดดยกตัวให้สูงขึ้น ๆ  หลายๆครั้ง เหนื่อยมาก  กว่าจะ เหาะได้

 

                          “ น้อง เคยฝันเหาะ ไหม เปนไงบ้าง?”    ฉั น ถามน้องและใครต่อใครหลายคน

 

                         “ โอ้โห อ้าย  สนุกม่วนเจ้า เหาะไปทั่วฟ้าเลย”   น้องบอก ทุกคนก็บอกเช่นนั้น  แต่ ของ ฉั น  กว่าจะเหาะเหิรเดินอากาศได้ก็เหนื่อยนัก… ส่วนของเพื่อนหล่ะ เป็นไงบ้าง?

                                 - - -   เ สี ย ง   อึกกระทึกครึกโครม   เสียงจุดประทัด เสียงพลุ เสียงปืน  เสียงเพลง ฯลฯ  ดัง   กึกก้องไปทั่วสารทิศ     สะดุ้งตื่น เมื่อได้ยินเสียงนั้นดังไม่ขาดสาย  นอนฟังเสียง   ว่าจะไม่ลุกไปดู เพราะ ขี้เกียจ… พลัน นึกถึง พระจันทร์เต็มดวง   ค่อยๆพยุงตัวขึ้น  เปิดประตูระเบียงบ้านออกไปดู …  โ อ้     ช่างตื่นตา  ตื่นใจ     พระจันทร์ทรงกลดเต็มดวงกลมโต    ลอยเข้ามาใกล้ ฉัน  สีเหลืองทองแซมแดง   วงขอบเป็นสีทองแซมแดง งามนัก  ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต!  ลอยเด่น มี ดอกไม้ไฟ   โคมลอย  พลุ  หลากสีสัน กระโจน  ลอยขึ้นไป คารวะพระจันทร์ งามหลากสีสัน  ฉัน  ประนมมือ คารวะ ไหว้  เพ็ญพระจันทร์   อันตรึงให้ยืนยืนแน่วนิ่งอยู่นาน แสน นาน      … บางครา พระจันทร์ ก็ ล่องลอยเข้ามาใกล้ ทักทาย โลก ชีวิต  ยามท้องฟ้าลมบนมีเมฆลอย

 

                                   . . . ฉั น  กลับเข้านอนต่อ      พริ้มตาหลับในความมืด เห็นพระจันทร์สีทองลอยเด่นในวงตา  …  คืนนี้ หลับสนิท มิได้ฝันถึงอะไรเลย

 

 

                                   - - -   อรุณรุ่งแห่งเหมันต์ อัน แจ่มใส   วิหคนกกาออกหากิน  เสียงไก่ขันขานตอบรับกัน    …  ฉั น เดินออกกำลังกายกลางแจ้ง  รอบๆสระน้ำของบ้านน้องสาวที่สร้างติดกัน  บริเวณบ้าน ฉั  น   ตอนนี้มีหญ้ารกสูง ไม่สามารถเดินออกกำลังกายได้  

 

                                       . . .   เดินเร็ว  เดินช้าๆ   เดินสมาธิ (จงกลม)    เห็นพระจันทร์ สีเงินยวง  ลอยเด่นบนเบื้องฟ้า ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้     ในขณะที่   ท้องฟ้า เบื้องทิศตะวันออก  พระอาทิตย์ ระบายฟ้าสีเงิน  สีทอง     ยลเห็นทั้ง พระอาทิตย์  พระจันทร์  ในคราวเดียวกันเลย  ต้องอยู่ในพื้นที่บริเวณกว้างขวาง มองท้องฟ้าได้ทั่วทุกทิศทาง จึงจักยลเห็น  พระอาทิตย์  และ พระจันทร์ พร้อมเพรียงกัน  แต่ถ้าอยู่ในเมือง มีบริเวณกว้าง ก็เห็นได้  แต่ถ้ามีตึกสูง คอนโด  ก็หมดสิทธิ์ ไปอย่างน่าเสียดาย…

 

 

(  ๒  )  :   “  คืนวันแห่งการก่อเกิด ” แล   “ เริงร่า ท่ามกลางการต่อสู้ ”

 

                @  “ เกิด   แก่  เจ็บ   ตาย  ”   ล้วน   ธรรมดา  อันมีแด่สรรพสิ่ง สรรพชีวิต    สำหรับ      “ การเกิด ”   ของ  ฉั น  มี    ๒  Versions  คือ …

 

              ๑. การ “ เกิด ”   ที่     พระคุณพ่อ พระคุณแม่    ให้กำเนิด

 

                  ๒. การ  “ เกิดใหม่ ”   มีอยู่   ๒ หน

 

                - - -   “  การเกิดใหม่”     ตามความคิดเห็นของ ฉั น  หมายถึงการเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตแบบเดิมๆ มาสู่คุณภาพใหม่     (แต่ก็ยังมีชีวิตชีวาสนุกสนาน เริงร่า เริงรื่น ตลกโปกฮา  กินเที่ยว เล่นหัว กับเพื่อนๆร่วมโลกอยู่ มิได้หมายความว่าสุดโต่งไร้ชีวิตชีวา ในทางตรงกันข้ามกลับทำให้เรามีชีวิตชีวามากขึ้น ฯลฯ )   ในการดำเนินชีวิต  ในการ มองโลก  มองชีวิต  เข้าใจโลก เข้าใจ ชีวิต  จากการที่ผ่านการ ใช้ชีวิตในส่วนที่ไร้เดียงสา (โง่เขลา)  ไปตามกระแสหลัก ระบบโครงสร้างสังคมในส่วนที่ไม่ได้เรื่องได้ราว(ส่วนที่ห่วยแตก) ที่มากำหนดชีวิตของเรา โดยไม่ให้เราได้คิด   คือใช้ชีวิตไปวันๆ เอาตัวรอดไปวันๆ     หรือใช้ชีวิตแบบสุตรสำเร็จรูป  ง่ายๆเหมือน กินอาหารแบบ  มา ม่า  … ยำ  ยำ  ฯลฯ เช่นเรียนหนังสือในระบบ  จบออกมาทำงาน  แต่งงาน มีลูกเต้า หาความมั่นคงให้กับชีวิต  ครอบครัว (ซี่งก็มิใช่เป็นเรื่องที่ผิดอะไร)  ซื้อ  ผ่อนบ้าน –  รถ อยู่ไปเรื่อยๆ เจ็บไข้ ได้ป่วยก็ไปหาหมอ อยู่ไปวันๆ ไม่ค่อยสนใจเรื่องราวของสังคม  เศรษฐกิจ การเมือง ฯลฯ … จน แก่เฒ่า กระทั่ง ตาย ไป   ( จากการใช้ชีวิตแบบนั้น ก็ “ไม่ผิด” เพราะในระบบโครงสร้างสังคมเช่นนี้ ประชาชนเราก็ต้องการ “ความมั่นคงของชีวิต”  แต่ “จะผิด” ก็ต่อเมื่อ    เกิดเป็นกลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มเผด็จการ  กลุ่มทุนที่ขาดจิตเมตตาสำนึก กลุ่มข้าราจการกังฉิน บางส่วน   กลุ่มนักธุรกิจการเมือง กินเมือง นักเลือกตั้ง เป็นอาชีพ  บางส่วน  หรือกลุ่ม หรือ ประดา พวก “คนดี” ทั้งหลาย  ที่อยู่เฉย เพื่อรักษาสถานะภาพ อัน ได้เปรียบของตัวเอง กลุ่มตัวเอง   เช่นพวกความคิด    ศักดินาอมาตยาฯ  ที่นิ่งเฉยต่อการที่ประชาชนรากเหง้ารากหญ้าได้รับผลกระทบจากโครงสร้างแม็กกะโปรเจ็คใหญ่ๆ    เช่นการสร้างเขื่อนอย่างสุดโต่ง  การเวณคืน   ขับไล่ที่คนจน  การถูกดขี่ข่มเหง ลอบสังหารเข่นฆ่าแกนนำชาวบ้านผู้ต่อสู้     เพื่อรักษาธรรมชาติสิ่งแวดล้อม รากเหง้าวิถีชีวิตของชุมชน    และของพวกเราชนชั้นกลางในเมือง    แม้แต่เพื่อพวกชนชั้นสูง    ที่อยู่สูงบนหอคอยงาช้างด้วยฯลฯ …หรือเมินเฉย ละเลยต่อเผด็จการโกงบ้านกินเมืองทั้ง    ในอดึตและ ปรัตยุบัน…  ด้วยต่างพึ่งพิงผลประโยชน์ กัน และ กัน!       ตลอดจนการเมินเฉย    ต่อการล้อมปราบสังหารประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตย ณ ใจกลางเมืองหหลวง  ไม่ว่าจะเป็นที่  ทำเนียบรัฐบาล  ราชดำเนิน    ราชประสงค์   ธรรมศาสตร์     ท้องสนามหลวง   และที่อื่นๆ  … คนจำพวกนี้ที่เรียก   ยก ตัวเองว่าเป็น “คนดี”    และ  เที่วแนะนำสั่งสอนผู้อื่น (  “เทศนาในสิ่งที่ตัวเองไม่เชื่อ!) มักจะเทศนาเนื่องในวันสำคัญต่างๆ    เช่นวันขึ้นปีใหม่  … วันพ่อวันแม่… หรือวันเทศกาลต่างๆ ฯลฯ  นั้น     หากประชาชนเราใช้วิจารณญาณตระหนักคิดอย่างรอบด้าน    แล้วก็   ตั้งคำถามต่อสังคมว่า พวกเขาเป็น “คนดี”  แท้จริงหรือ?    หรือว่า เป็น “คนดี”   ในระบบที่เอื้ออำนวยผลประโยชน์ให้พวกเขา …  เป็น”คนดี”ในระบบเพื่อต้องการ “รักษาสถานะภาพผลประโยชน์  ของพวกเขา   บางพวก  บางกลุ่ม ที่เอาเปรียบประชาชผู้ด้อยโอกาส  เสมอมา… พี่น้องโปรดได้กรุณา ช่วยกันตรองคิด วิเคราะห์ แยกแยะ   โดย จิตวิญญาณสำนึก อย่างเป็นระบบที่เกี่ยวข้องกัน    

 

              - -  -  ในส่วนของคนจำพวกนี้ นั้น  จะโดยรู้ตัว    (  แต่เสแสร้งไร้เดียงสา  )  หรือไม่รู้ตัวก็ตาม     พวกเขาก็มักใช้ความคิดเผด็จการ   ที่กุมอำนาจรัฐในมือ  แล้วไป ประณาม  ผู้ที่มีความคิดเห็นต่าง    และรู้เท่าทันพวกเขา   โดยกล่าวหาเขา   ว่า    เป็น “คนไม่ดี”  หรือ  เป็น “ขบถ … ผู้ก่อการร้าย”  เข้าไปนั่น  ทีจะต้องทำการปราบปรามเสี้ยนหนามของพวกเขา ให้เหี้ยนเตียนแผ่นดิน!.   ดังนั้น  เราจึงต้อง ให้  ประชาชน  คิด  แบบ   “  ค. ว. ย. ” คือแบบ… “  คิ ด  .. .  วิ เ ค ราะ ห์   …  แ ย ก แ ยะ ”    เอาเอง!

 

                 … ถ้า “ คนดี” ประเภทนี้   คิดเช่นนี้   เพื่อนๆ  และ  สาธารณชน   คิดว่า   ผิดไหม หรือ คิดเห็นเป็นเช่นไร  ? เชิญ เพื่อน แล  สาธารณชน  “สนทนาธรรม”   และ “ วิวาทะทางปัญญา”  กันได้!

 

                - - -   การ “เกิดใหม่”  ๒ หน ดังที่ว่านั้นคือ…

                      (  ๑  ) ครั้งแรก    :     ช่วงเรียนที่มหาวิทยาลัยตีนดอยสุเทพ และหลังช่วงเหตุการณ์  “ลุกขึ้นสู้  ”   ของนักเรียนนิสิต นักศึกษา ประชาชนและผู้รักความเป็นธรรม   รักชาติ รักประชาธิปไตย ทำการโค่นล้มเผด็จการทหาร เมื่อ  ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ 

 

                                        … การเข้าเรียน ในมหา’ ลัย   ทำให้ ฉั น มี “โลกทรรศน์ – ชีวทรรศน์” ใหม่   คือ  เข้าใจโลก เข้าใจชีวิต ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตแบบเก่า  เช่นกินเที่ยว เล่น  เข้าซ่อง เล่นการพนัน(เล่นเดิมพันสนุ๊กเก้อร์    เล่นมวย   แทงม้า   แทงไฮโลว์  จีบสาวหลอกสาว ฯลฯ    ไม่สนใจสังคมการบ้านการเมืองมากนัก     แต่เมือได้เข้าร่วมกิจกรรมที่สร้างสรรค์ ณ ที่นี่      ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนปัญหาสังคม กับเพื่อนๆหัวก้าวหน้า  ได้เข้าร่วมเดินขบวนกับนักศึกษา ฯลฯ … ได้อ่านหนังสือดีๆจากห้องสมุด (หนังสือ ประวัติศาสตร์  ปรัชญาชีวิต  การใช้ชีวิตที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม   ได้อ่านหนังสือวรรรกรรมดีๆ เช่น บทกวี  เรื่องสั้น  นวนิยาย  สารคดี  ความเรียง ฯลฯ  …   ห้องสมุดของคณะมนุษยศาสตร์ (ฉั น เรียนคณะศึกษาศาสตร์)    เป็นห้องสมุดที่มีหนังสือวรรณกรรมดีๆมากมาย   ทั้งของไทยและเทศ  ฉัน จึงมักมาเป็นผีสิงสถิต ณ ที่นี่บ่อยครั้ง    ขอขอบคุณ   ห้องสมุดคณะมนุษย์ฯ ที่ช่วยเปลี่ยนแปลงทรรศนะความคิดของฉัน ให้ก้าวหน้า    คิดถึงประโยชน์ส่วนรวม  … หนังสือวรรณกรรมดีๆ     สามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต  “โลกทรรศน์  -  ชีวทรรศน์” (การรู้จักโลก เข้าใจโลก – การรู้จักชีวิต – เข้าใจชีวิต ได้  )

 

                         - - -    ฉันเข้าเรียนรหัสปี ๒๕๑๔  ยังจำรหัสเรียนของฉันได้ คือ  ๑๔๒๕๕๘ ( ใครจะเอาไปแทงหวย ก็ได้  ไม่รังเกียจ แต่ถ้าไม่ถูกอย่ามาโทษกัน เน้อ ha  ha    แทรกอารมณ์หน่อยมิให้ ซีเครียด จ้า  ) …เรียน    Major  Einglish  …  Minor   Geography . . . ยุคสมัยนั้นประเทศเราปกครองแบบเผด็จการทหารโดย  “จอมพล ถนอม  กิตติขจร”  และ “ จอมพล ประภาส   จารุเสถียร”    ระบบเผด็จการทหาร  ในยุคนั้น ห้ามเคลื่อนไหวทางการเมือง  ห้ามชุมนุมพูดคุยกันด้านการเมือง ตั้งแต่   ๕ – ๖  คน  ขึ้นไป    มิฉะนั้น โดน จับกุมคุมขัง …ประชาชนมีปาก เหมือนมีตูด พูดไม่ได้…ฉันเรียนในมหาวิทยาลัยอย่างมีชีวิตชีวา  เรียนไปด้วย    เขียน  อ่านหนังสือไปด้วย  เล่น เล่นกีฬา   เข้าร่วมกิจกรรม ฟังการอภิปรายฯลฯ

 

                         …  แต่เผด็จการ     ก็มิอาจต้านพลังความคิดของนักศีกษาประชาชน  นักวิชาการ   ครูอาจารย์    และสื่อสารมวลชนได้ ฯลฯ  ทั่วโลก  ก็มีการเคลื่อนไหวเ ชุมนุม เดินขบวน ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ต่อจ้านเผด็จการ   … ความล้มเหลว ในการบริหารประเทศ  (คิดดู  ประเทสไทยเป็นประเทศอู่ข้าว อู่น้ำ  แต่คนจนต้องเดินเรียงคิวเข้าแถวกันซื้อข้าว    เป็นข่าวโด่งดังในทางที่ไม่ดีไปทั่วโลก)       การโกงกิน คอร์รัปชั่น มีไปทั่วในหมู่ชนชั้นปกครอง   - - -  ที่สุดเผด็จการฟัสซิสม์ทหาร ก็พังครืนด้วยพลังของ นักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชนในวัน”ลุกขี้นสู้”   ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖    เผด็จการต้องลี้ภัยหนีออกนอกประเทศ    มีรัฐบาลพระราชทาน “นายสัญญา  ธรรมศักดิ์” ประธานองคมนตรีเป็นนายกรัฐมนตรี  … มีการร่างรัฐธรรมนูญ    มีการเลือกตั้ง  ฯ  …  ในยุคนั้นเอง   เป็นยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน ประเภท…   “ร้อยดอกไม้บานพร้อมพรัก  ร้อยสำนัก ประชันเสียง”     ประชาชนทุกหมู่เหล่า    ทุกชนชั้นทุกชั้นชน  มีการจัดตั้งกลุ่มองค์กร เรียกร้องสิทธืเสรีภาพ     การปกครองที่เป็นธรรม     ค่าแรงที่เป็นธรรม  ไม่ว่าจะเป็น  กรรมกรโรงงาน   กรรมกรรัฐวิสาหกิจ       ชาวนาชาวไร่ชาวสวน ชาวประมง  นักเรียน  ครูอาจารย์    นักศึกษา ข้าราชการ ฯลฯ   ในขณะเดียวกันในหมู่ประชาชน  ขบวนการประชาชนรวมพลังประสานหนุ่นช่วยกัน    เพื่อสร้างความเป็นธรรม    สร้างสังคมใหม่ที่ดีงาม   …  ฉัน กับเพื่อนเองก็จัดตั้ง    “กลุ่มครูประชาบาลเพื่อประชาชน” (กลุ่ม ครู ป. ป.)   รวมทั้งครูมัธยม    ครูกรมสามัญไปด้วย  เป้าหมายคือขยายแนวร่วมในหมู่ครู    เพื่อต่อสู้ทางการเมือง  โดยการประสาน   หนุนช่วยการต่อสู่ของขบวนการประชาชน   ทั้ง สมรภูมิ ในเมือง และ เขตป่าเขา!...    และในขณะเดียวกัน    พวกศูนย์กลางอำนาจรัฐ …กลุ่มผลประโยชน์ที่นั่งบนหลังไหล่   ขี่คอประชาชนเรื่อยมา   ตลอดจน กลุ่ม  นายทุน  ขุนศึก(ทหาร ข้าราชการ ฯลฯ)     กลุ่มศักดินาอมาตยาธิปไตย     ก็หวาดผวา  หวั่นกลัวการเปลี่ยนแปลงที่ตัวเองจะสูญเสียสถานะภาพที่เอาเปรียบประชาชน     พวกเขาจึงจัดตั้งกลุ่มการเมือง     มาต่อต้านฝ่ายประชาชน ไม่ว่าจะเป็น ลูกเสือชาวบ้าน  กลุ่มนักเรียนอาชีวะ กระทิงแดง    กลุ่มนวพล  และ ฯลฯ     มีการลอบสังหารผู้นำกรรมกร ชาวนา นักศึกษา ประชาชน    คนแล้วคนเล่าที่ต้องเสียสละชีวิตไป   แต่  ประชาชนเราก็ไม่ย่อท้อ   พวกเรายังคง   “  เริงร่าในท่ามกลางการต่อสู้”   … “แปรความเศร้าโสก ความเคียดแค้นให้เป็นพลัง”   เคลื่อนไหวต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง…. .

 

                                  - - -   เมื่อ   ประเทศเพื่อนบ้านเรือนเคียง ไม่ว่าจะเป็น  ลาว เขมร  เวียตนาม   ไดมีการเปลี่ยนแปลง โค่นล้ม   รัฐบาลเผด็จการทหาร    โดยกองทัพประชาชน  … กลุ่มผลประโยชน์ไทย   ก็พรั่นเกรงในเรื่อง “ทฤษฏี โนมิโน่”   ที่บอกว่า เมื่อ  ประเทศใกล้เคียงล้ม    ประเทศต่อๆไปก็จักล้มตามไปด้วย  … พวกเขา จึงก่อเหตการณ์ “๖ ตุลาคม มหาโหด ปี ๒๕๑๙”    ทำการล้อมปราบเข่นฆ่า   นักเรียน นักศึกษาประชาชน   ณ  ใจกลางเมืองหลวงศูนย์กลางอำนาจรัฐ    ที่ชื่อว่าเมืองแห่งพระพุทธศาสนา     เข่นฆ่า   นักศึกษา ประชาชน    อย่างโหดเหี้ยม ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และท้องสนามหลวง ในการโฆษณาชวนเชื่อ ว่าเป็นผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์  เป็นพวกเวียตนาม   เวียตกง ฯลฯ … นักศึกษาประชาชนผู้รักชาติรักประชาธิปไตยจึงต้องเดินทัพทางไกล    เข้าป่าไปร่วมสู้   เผด็จการ  กับ  พรรคคอมมิว นิสต์แห่งประเทศไทย… ส่วน ฉั นและเพื่อนๆ    ตลอดจนประชาชน ก็ยังทำงานเคลื่อนไหวในเมือง   อย่างกระตือลือล้น   เและ “  เริงร่า ท่ามกลางการต่อสู้ ”     ประสานหนุนช่วยการสู้รบในเขตป่าเขา  …ทำงานโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย  ทำให้รู้สึกว่า   ชีวิตที่เกิดมา มีคุณค่าความหมาย …    กลางวัน   เป็นครูสอนหนังสือเด็กนักเรียนบ้านนอก   กลางคืนก็สอนหนังสือ ภาษาอังกฤษ  ให้ผู้ใหญ่  ผู้ปกครองเด็กในหมู่บ้าน และ  ยกระดับความรู้ด้านการเมือง   ด้านระบบโครงสร้างสังคม    ร่วมจัดค่ายความรู้ ด้านการเมือง ทฤษฏีการ เคลื่อนไหวต่อสู้ ฯลฯ    ให้กับพี่น้องกลุ่มชาวนา  ทั้งที่เป็นชาวนารับจ้าง และไม่รับจ้าง      ฯลฯ     กระทั่ง   นอน กิน  อยู่  ที่นั่น   …ต่อสู้ เคลื่อนไหวทั้งบนดิน  ใต้ดิน    โดยไม่หวาดหวั่นพรั่นกลัวตาย!    เช่นเดียวกับคารวะแบบอย่างของนักปฏิวัติ  นักรบประชาชน เช่น  สหาย  “  เช  เกวาร่า”  แห่งอาเยนติน่า  และ   สหาย “จิตร  ภูมิศักดิ์” แห่งประเทศสยาม …  เคลื่อนไหวต่อสู้   ทั้งๆที่นักต่อสู้ ผู้นำ   นักปฏิวัติในเมือง  ถูกข่มขู่คุกคาม …  ชีพแห่งนักต่อสู้ผู้เสียสละ   คนแล้ว คนเล่า  ร่วงล้มลง ทีละคน ละคน…   ฉันเองก็มีคนเตือนให้ระวังตัว    เพราะมีคนติดตาม สอดส่อง หน้าหนาว สระผมกลางแสงแดด  พระคุณแม่ก็นั่งเฝ้า ระวังภัยให้ ฉัน  

 

                        “ ระวังตัวหน่อย  มีคนติดตาม สอดส่อง  เขาทำเป็น มานั่งกินก๊ยวเตี๋ยว หน้าบ้าน”      เพื่อนบ้านที่ไว้ใจได้ กระซิบ บอกฉัน… ฉันแอบมองก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ  ร้านขายก๊วยเตี๊ยวพี่รัตน์   ถึงอยู่อยู่ห่าง   ออกไปซักสามสิบเมตร ก็มองเห็น  - - -  หลังการล้อมปราบเข่นฆ่า  ๖ ตุลาฯ   ๑๙   ฉันต้องหลบๆ ซ่อนๆ  แกนนำเพื่อนครูของเราถูกจับหมด   และอีกหลายคนมุ่งสู่เขตป่าเขาลุกขึ้น ต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ   … ส่วนตัว ฉันเอง ตั้งใจเด็ดขาด ต้องเข้าป่าจับอาวุธ ร่วมลุกขึ้นสู้ ปลดปล่อยประเทศ ชาติอันเป็นที่รักของเรา     ร่ำลาพ่อแม่   ญาติพี่น้อง ด้วยใจหายเมื่อมองดูแววตาของแต่ละคน  เมียของฉัน น้ำตาไหลพราก   ตอนที่ฉันนอนกอด เมีย และโอบกอดลูกในท้อง  ยามคืนค่ำอันมืดมิด!     ตอนนั้นเมียของฉันซึ่งเป็นทั้งแนวร่วมในเมือง   และ  เป็นทั้ง หนึ่งในผู้ปฏิบัติงาน   และ เป็นหนึ่งใน  ผู้นำกรรมกร เชียงใหม่อาร์ต   ที่ เคย นำ พี่น้องกรมกร   สไตร้ค์หยุดงาน…ด้วยความเป็นห่วงฉัน   เธออุ้มท้องติดตามฉันไปด้วยทุกครั้ง   ตอนที่ฉันหลบหนีอยู่ในเมือง     แอบไปซ่อนอยู่บ้านเพื่อนที่มีน้ำใจให้หลบซ่อน    และหาข้าวมาให้กิน ไม่ให้ฉันออกจากบ้าน  ฉัน จึงขอขอบพระคุณเพื่อนๆมา ณ ที่นี้ด้วย

 

                      “ สหายรัตน์   เตรียมตัว เตรียมข้าวของที่จำเป็น  จัดตั้งชั้นบน  พร้อมให้คนนำเราเดินทางแล้ว ”  สหายจัดตั้งในเมืองบอก     … แล้ว ฉันก็ไปพบจัดตั้ง ตามจุดนัดพบในวัดแห่งหนึ่ง

 

                                   “ สหาย อ้ ายขอไม่ไปแล้ว  อ้ายใจอ่อนทน ดูเมีย ร้องไห้ไม่ได้  และก็ไม่อยากจากลูกในท้องไป   ซึ่งมันจะดูเห็น แก่ตัวเกินไป   บอกจัดตั้งด้วย   ว่าอ้ายขออยู่ในเมือง ทำงานในเมือง”

                                     ฉั น  บอกจัดตั้งของฉัน เขาเป็นแกนนำกลุ่มครู จบจากมหา”ลัยเชียงใหม่เหมือนกัน  ฉันเคารพนับถือเขามาก    เป็นจัดตั้งที่เสียสละ   เอาการเอางาน   ใจเย็น รอบคอบ   เก่งในการขยายแนวร่วม  ทั้งทฤษฏีการปฏิวัติ ฯลฯ

 

                                    “ ไม่เป็นไรอ้าย อยู่ทำงานที่นี่ งานในเมืองก็เป็นงานปฏิวัติที่สำคัญมากเช่นกัน   อ้ายเองก็ ดู  แดง  ห้าสิบ ห้าสิบ    ส่วนผม แดงร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม  ผม   ต้องไป ”   สหายยิ้มบอกอย่างใจเย็น    เราโอบกอด จับมือกัน

 

                         “  ป ระ ชา ช น  จ ง  เ จ ริ ญ ! ”       …ฉันชูกำปั้นขึ้นเหนือศีรษะ   เขากำหมัดกวัดแกว่งชูหมัดตาม   … ฉัน  มองตามหลังเขา ด้วยคารวะ และ ห่วงใย   … แล้ว เราก็จากลา !    ฉันกับเพื่อนๆ ยังคง  ทำงานเคลื่อนไหวต่อไป ด้วย ความหวัง แล ดวงใจ ฮึกห้าวเหิมหาญ!  - - -    ตราบจนกองทัพประชาชยล่มสลาย     จะด้วยความผิดพลาด  ความไม่เป็นประชาธิปไตยภายในพรรคน  หรือ  จะอะไรก็แล้วแต่ ฯลฯ สำหรับ ตัวฉันเอง   ฉันก็ยังคง เหมือนเดิมอยูไม่มีวันเปลี่ยนแปลง   ในด้านการเข้าร่วมต่อสู้เพื่อความดีงามของสังคม ต่อไปในทุกๆด้าน   ทุกกระบวนท่า ด้วยสันติวิธี  และ ด้วย มีกระบวนท่า  และ ไร้ กระบวนท่า !

  • - -  นี้คือ “ การเกิดใหม่”  ครั้งแรก ของ ฉั น ! 

          (  ๒  )  :  ครั้งที่สอง   

                        - - -  เ มื่ อ  ฉั น  ได้เดินทาง  สัมผัส โลก ธรรมชาติ ชีวิต ผู้คน สรรพสิ่ง  สรรพชีวิต   ทำให้พอเข้าใจชีวิต  โดยเฉพาะ ตำสอนของ “ท่านพุทธทาสภิกขุ” พระที่แท้จริงอีกท่านหนึ่ง  ที่สอนให้เรารู้จัก  ปล่อยวาง  ไม่ยึดมั่น ถือมั่นในอัตตาตัวตน ว่าเป็น “ตัวกู – ของกู”  เอาตัวตนเป็นใหญ่   อันเป็นสาเหตุทำให้มนุษย์เราเกิด ทุกข์  … ท่านทำให้เราได้เข้าใจในคำสอนของพระพุทธเจ้า   ในเรื่อง… “ อนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา”  และหลักธรรม อริยะสัจสี่ …  “  ทุกข์ …สมุทัย… นิโรธ…มรรค”  อันนำพาให้เราได้ พ้นทุกข์     ทำให้เรามีจิตใจเมตตา   กรุณา ปรานี   ไม่โกรธ  เกลียด ไม่ชิงชัง ไม่อาฆาต พยาบาท เคียดแ ค้น  … ไม่คิดว่า ใคร เป็น  ศัตรู  ใคร เหมือนเมื่อก่อน…เรารู้ว่าที่เขากระทำบาป   ต่อเพื่อนร่วมโลก ร่วมแผ่นดิน   ก็เพราะสาเหตุ เกิดจากระบบโครงสร้างของสังคม ในส่วนที่สามานย์ ส่วนที่ไม่ได้เรื่องได้ราว หรือในส่วนที่ ฉันมักจะเรียกว่า “ส่วนที่โคตรห่วยแตก”    คือ   สาเหตุปัจจัย ต้นตอปัญหา  เกิดจากโครงสร้างสังคมนี้เอง… คือ เราพึงต้องรู้ ดังที่ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าไว้… “ ทักสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้น แต่  เหตุ    เมื่อ   เหตุ   ดับ  … ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็   ดับ ”   …  ดังนั้น เราจึงต้อง เย็น  นิ่ง ลึก   แผ่เมตตา ต่อเขา    ภาวนาให้ เขา   มีจิตวิญญาณสำนึกที่งดงาม    มีเมตตา   เช่นเดียวกับเรา

 

                      - - -   แต่ … แต่… การเมตตา ปล่อยวาง ของฉันนั้น   มิใช่ หมายความว่า เราจะต้อง อยู่ เฉยๆ  โดยไม่ทำอะไร  เห็นความอยุติธรรมต่อหน้าต่อตา โทนโท่    ก็เมินเฉย เสีย… ถ้าคิดว่าเป็นความหมายแบบนี้   มิใช่อย่างแน่นอน … ในทางตรงกันข้ามกับการวางเฉย    เราต้อง เคลื่อนไหว ต่อสู้ด้วย     สู้ด้วยความเมตตา ไม่สู้ด้วยความโกรธ ความเกลียด ชิงชัง เอามาเป็นเจ้าเรือน  หากทำเช่นนี้     การต่อสู้ของภาคประชาชนเรา     ขบวนการประชาชนเรา    ก็จักต่อสู้อย่างมีคุณภาพ    มี   ชีวิตชีวา จัก… “ เริงร่า ท่ามกลางการต่อสู้”     ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ทางการเมือง  ทางเศรษฐกิจ    ทางสังคม ฯลฯ     สมองเราก็จักโปร่งโล่ง แจ่มใส  ในการคิดค้นหา วิธี  การต่อสู้ มี     “ยุทธศาสตร์  - ยุทธวิถี”     ในการเคลื่อนไหว   ในการต่อสู้ อย่างมีพลัง และ รอบด้าน สุขุม รอบคอบ ฯลฯ  และนำพาการต่อสู้ไป  บรรลุ เป้าหมาย ได้ อย่าง  ง ด งา ม  นั่นก็คือ  สังคมที่เป็นธรรม  และ เป็นไท !

 

  • - - ข อ เ น้ น ย้ำ พี่น้อง เพื่อนพ้องทั้งหลาย ว่า …เป็น ดั่งนี้  มิใช่ วางเฉย โดยไม่ต่อสู้ สร้างสรรค์สิ่งที่ดีงาม     สังคมที่ดีงาม  … มิใช้ การ โยน  ธงแห่งธรรมะ ทิ้งขว้าง  แล้ว เดินหนีหายไปจากโลกแห่งความเป็นจริง !

 

      “  จะไม่มีความยากจน    หากสังคม เป็นธรรม”

 

“ ปาฐกถา โกมลคีมทอง”  ในวันที่ พี่น้องสมัชชาคนจนทั่วประเทศ   ชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล   เพื่อเรียกร้อง    “สังคมที่เป็นธรรม”    ที่พี่น้องถูกรุกรานธรรมชาติ    สิ่งแวดล้อม รากเหง้าวิถีชีวิต อย่างใจดำอำมหิต …(ที่คนที่เรียกตัวเองว่า “เป็นคนดี”  หาย แซ๊บ หายสอย  หายหน้า ไม่ปรากฏ ความดีให้พี่น้องได้ยลชม  “คนดี” เงียบ  เงียบ  เหมือน เป่าสาก ! )  … โดยการสร้างเขื่อนปากมูน  เขื่อนราศีไศล   เขื่อนห้วยละห้า ฯลฯ    ใจร้ายใจดำ   ทุบทำลายหม้อข้าวของพี่น้องประชาชนอย่าง สามานย์! - - - เป็นปาฐกถา ที่มูลนิธิโกมลคีมทองให้เกียรติ เชิญ … “ มด … วนิดา   ตันติวิทยาพิทักษ์” เป็นองค์ปาฐก !  … “มด - - -หรือ  สหายมด… วนิดา   ตันติวิทยาพิทักษ์”  นักสู้อหิงสาผู้แกร่งกล้าที่ปรึกษา แห่ง “สมัชชาคนจน”

 

             . . .  คำพูดของเธอยังติดตรึงใจ ฉัน และ ประชาชนผู้รักธรรม รักธรรมชาติ วิถีชีวิต  อย่าง มิมีวันลืมเลือน !

 

              - - -  ฉั น  ได้  “เกิดใหม่” เป็นครั้งที่ สองแล้ว  เมื่อ ฉัน ได้พอบรรลุธรรม   ธรรมมะ   ธรรมชาติ !

 

          . . .  แต่    แต่    ฉั น อยากเกิดใหม่ อีกครั้งหนึ่ง  คือ ฉั น อยาก เกิด และ ดำรงอยู่   ในวิถีชีวิตที่   ง ด งา ม   ใน   สังคมที่เป็นธรรมเป็นไท!  หรือไม่ว่าจักเรียกชื่อว่าเป็นสังคมอะไร อย่างไรก็ตาม เช่น    … “ สังคม  หรือ   ยุคพระศรีอริยเมตตรัย!  ”หรือ “ สังคมยุโทเปีย ! ”   ฯลฯ

 

           ฉั น ยังหวัง  ยังฝันใฝ่  อยากยลเห็น … อยากดำรงอยู่  ฯลฯ  อย่างมิเคยแปรเปลี่ยน  … ความฝันใฝ่  แม้จะดูเป็นเพียง “สังคมอุดมการณ์”  ที่มิอาจเกิดขึ้นเป็นจริงได้ ! 

 

  • - -  แม้  จะ มีบางเพื่อนมนุษย์ หรือ ท่านผู้ใด จัก เสียดสี  เยาะเย้ย  ไยไพ  หมิ่นหยาม ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ฉันก็จัก คารวะ ยิ้มรับ  และ ฉั น ก็ยังคงจัก   ดำรง   ความใฝ่ฝัน เช่นนี้ อยู่ตลอดไป  ตราบ จน ชี วา วา ย !

 

                       . . .  เพื่อนมนุษย์ที่รักและเคารพเอ๋ย…

 

  *  “  ความใฝ่ฝัน  แสนงาม”  ของ  ฉั น  นั้น คงไม่เป็น จริ ง !!! @

 

* ( หมายเหตุ ) …ในความหมายคำพูด  “ ความใฝ่ฝันแสนงาม”  คือบางท่อนของบทเพลงชื่อ “ เ สียงเพรียก จาก มาตุภูมิ” ซึ่งแต่งโดย สหาย… “ จิตร  ภูมิศักดิ์”  กวี นักคิด นักเขียน  นักวิชาการ  นักประวัติศาสตร์   ศิลปิน  และ  นักปฏิวัติ  ฯลฯ… “จิตร” เขียนแต่งในคุกลาดยาว สมัยจอมเผด็จการฟัสซิสม์ท็อปบูททมิฬทหาร  “จอมพล สฤษดิ์  ธนะรัชต์” ที่จับกุมคุมขัง “จิตร  ภูมิศักดิ์” และผู้รักชาติรักประชาธิปไตย รักสิทธิ เสรีภาพ และรักความเป็นธรรมฯลฯ  ถูกจับในข้อหา คอมมิวนิสต์  หรือ “ผู้ก่อการร้าย” (ตามสูตรสำเร็จรูป  มา ม่า  ยำ  ยำ   ของเผด็จการ) …บทเพลง “เสียงเพรียกจากมาตุภูมิ” นี้  เป็นบทเพลงไพเราะ งามความหมาย  ประเภท โรแมนติกปฏิวัติ ก็ว่าได้  ในท่วงทำนอง Rhythm จังหวะ  แทงโก้ ที่หากเราได้เริงรำเต้นลีลาส กับคนที่เรารัก และ รักเรา แล้ว ชีวิต  ชีวา  จักแสนชื่นฉ่ำ ในหัวใจเพียงใด… เอ๊า     ฉั่บ  ฉั่บ  ฉั่บ  ฉั่บ  ฉั่บ…

๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙

 

        เหมันตฤดู,  วัน ขึ้น  ๑  ค่ำ   เดือน ๑๑ ปีมะเส็ง  , ๕  มกราคม   ๒๕๕๖.

   ตีนดอยสุเทพ,  ล้านนาอิสระ  , เจียงใหม่.

บล็อกของ แสงดาว ศรัทธามั่น

แสงดาว ศรัทธามั่น
 *--*--*{ กาพย์”ลุกขึ้นสู้” }
แสงดาว ศรัทธามั่น
{  กลอนเปล่าอิสรา  }@  ลมหนาวเหนือ พัดโชยมา…ยามต้องไล้ผิวกายร้อนที่รุ่มก็คลายกลิ่นอายเหมันตฤดู …ไม่รู้ลืม @
แสงดาว ศรัทธามั่น
 
แสงดาว ศรัทธามั่น
 ***** --*-- ***** --*-- *****@   “  ฮา  ติง จัง…จังคนมีอำนาจล้นฟ้า  แต่รังแก คนยากไจ้ อำนาจ แบบ ต๋ามใจ๋ เขา “น้องสาว  ผู้ดีงาม ใจงาม ของฉัน  แล ของโลกชีวิต อีกคนหนึ่ง