สำหรับนักเขียน ยามคอมพิวเตอร์มีปัญหานับว่าเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว เพราะแต่ละวันไม่ว่ายังไงก็ต้องได้ลูบๆ เคาะๆ วันละนิดละหน่อยจนเคยชิน ครั้นเมื่อมันเกิดปัญหาขลุกขลัก แม้จะรู้สึกเซ็งๆ แต่ก็ต้องทนหอบหิ้วมันไปหาช่าง – คนที่เราคิดว่าเขารู้ดีกว่าเรา
แต่การเลือกช่างก็เหมือนการเลือกหมอรักษาอาการป่วยของเรานั่นแหละ หากยามใดเราไปเจอหมอที่วินิจฉัยโรคเราผิด จากที่ไม่ได้เป็นอะไรเลยแต่กลับบอกว่าเป็นโรคร้ายต้องผ่าตัดไปหลายยก เจ็บกาย เสียเวลา เสียเงิน เพื่อที่จะพบว่า ที่แท้เราไม่ได้เป็นอะไรเลย ความรู้สึกโกรธและไม่อาจทำใจยอมรับกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ ทำให้เราเสียศูนย์ไปพอสมควรเหมือนกัน
โน้ตบุ๊คคู่ใจของฉันเกิดติดไวรัสหลายชนิดเสียจนทำให้เข้าอินเตอร์เน็ตไม่ได้ อันที่จริง หากรู้ว่ามันจะเกิดปัญหาใหญ่โตตามหลัง ฉันคงไม่บึ่งมอเตอร์ไซค์ไปที่ร้านเล็กๆ แห่งนั้นตามคำแนะนำของรุ่นน้องว่า “โขงเจียมก็มีร้านซ่อมเหมือนกันพี่ ไม่ต้องไปถึงพิบูลฯ หรอก”
(หากต้องไปอำเภอพิบูลมังสาหาร ฉันต้องขับรถไปไกลอีกราวสามสิบกิโลเมตร)
แม้ไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่มันก็แค่สแกนไวรัสเท่านั้นเอง ลองดูก่อนละกัน ฉันบอกกับตัวเองอย่างนั้น
ฉันรู้ว่าเขาก็คงไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็อดคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ได้ว่า เขาไม่น่าเลย ฉันย้ำแล้วย้ำเล่าว่าถ้าแก้ไม่ได้ไม่เป็นไร (อันที่จริง ใกล้สิ้นเดือน ฉันต้องส่งต้นฉบับ ฉันน่าจะบอกเขานะว่า ฉันจะรีบไปเขียนงาน แต่ก็ไม่ได้บอก เพราะตอนนั้นคิดว่ามันเรื่องของฉัน แต่พอมานึกย้อนหลัง หากฉันบอกเขาไปเสีย เขาอาจจะไม่ทำอะไรมาก เพราะรู้ว่าฉันต้องรีบไปทำงาน)
ร้านของเขามีทีวี ตู้เย็น วีซีดี วางระเกะระกะ ทำให้รู้ว่าเขาไม่ใช่ช่างที่ถนัดด้านคอมพิวเตอร์โดยตรง ทีแรกฉันก็ยังกล้าๆ กลัวๆ แต่ก็คิดว่า เอาน่ะ อย่าตัดสินคนจากลักษณะภายนอก เขาก็ต้องเป็นบ้างแหละ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่กล้ารับซ่อม
หลังจากฆ่าไวรัส ฉันโล่งใจ คิดว่าคงเข้าเน็ตได้แล้วล่ะ ฉันจ่ายเงินหนึ่งร้อยบาทและสะพายโน้ตบุ๊คกลับบ้าน แต่ปรากฏว่ามันแย่กว่าเดิมอีก เพราะพอคลิกเข้าเน็ต มันจะขึ้นตัวเลือกมาให้เลือกไฟล์ ประสานักเขียนที่ไม่สันทัดเรื่องเทคโนโลยีเอาเสียเลย ฉันมึนงงอีกครั้งและต้องบึ่งมาร้านเดิม ถามเขาว่า จะต้องเลือกไฟล์อันไหน
คราวนี้เขาเริ่มไม่แน่ใจ ลองคลิกโน่นนี่หลายที ใช้เวลานานขึ้น ฉันเองก็ใช้เวลาระหว่างนั้นโทรถามเพื่อน เพื่อนบอกว่า เป็นไปได้ที่โปรแกรมอินเตอร์เน็ตอาจจะหายไป ให้ถามเขาว่ามีโปรแกรมเน็ตไหม ฉันว่าตามเพื่อน เขาบอกว่าไม่มี แต่ก็ยังทำโน่นนี่อยู่
บ่ายคล้อย ฉันเริ่มหิวข้าว อยากจะเอาคอมฯ กลับ แต่ก็คิดว่า ลองให้เขาดูอีกทีละกัน กลับมาค่อยว่ากัน ฉันเลยขอตัวไปกินข้าวก่อน
นั่นแหละ เรื่องทุกอย่างก็เลยบานปลาย เมื่อช่างเอาโปรแกรมวินโดว์ของเดิมออกและเอาโปรแกรมก๊อปปี้ของอะไรไม่รู้ใส่มาให้ ระบบที่ฉันใช้จนเคยมือเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ฉันแทบลมจับเมื่อหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นตัวหนังสือเบลอๆ ภาพวอลเปเปอร์เป็นภาพใหม่มืดๆ ดำๆ เบลอๆ เหมือนคอมพิวเตอร์เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว
“เกิดอะไรขึ้นนี่”
ฉันมึนงง ตัวชา กว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ฉันข่มใจหอบคอมพิวเตอร์กลับบ้านเมื่อรู้ว่าเขาไม่สามารถทำให้คอมของฉันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว
ช่างคงจดจ่อแต่เรื่องเน็ต เลยเอาโปรแกรมวินโดว์ใหม่ที่มีโปรแกรมอินเตอร์เน็ตมาใส่ให้ โดยไม่คิดเลยว่าโปรแกรมวินโดว์ของเดิมฉันมีอะไรบ้าง ของใหม่ที่ใส่มาให้นั้นขาดไปหลายโปรแกรมมาก รวมทั้งโปรแกรมไมโครซอฟท์ออฟฟิศ มันจึงทำให้ฉันเขียนงานไม่ได้เลย
กลับมาถึงบ้านฉันน้ำตาไหลด้วยความแค้นเคือง ทางเดียวที่จะไม่ให้ตัวเองขุ่นข้องหมองใจไปกว่านี้คือ ฉันไม่ยอมแตะต้อง ไม่มองคอมฯ ไปเลยทั้งคืน พยายามลืมมันให้ได้ก่อนว่า มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
สองสามวันต่อมา เมื่อหายหงุดหงิด ฉันจึงขับรถไปอำเภอพิบูลมังสาหาร ไปร้านคอมพิวเตอร์โดยตรง พร้อมทั้งเล่าถึงปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยท่าทีที่ตำหนิช่างโขงเจียม เด็กในร้านถามว่าพี่ต้องการอะไร ฉันบอกว่า ฉันต้องการให้คอมพิวเตอร์กลับไปเป็นเหมือนเดิม ช่วยเอาโปรแกรมอันเดิมมาใส่ให้หน่อย แต่มันเป็นโปรแกรมอะไรฉันก็จำไม่ได้
เจ้าของร้านซึ่งดูเป็นคนมีความรู้เดินเข้ามาถามเมื่อเห็นฉันมีสีหน้ายุ่งยาก บ่นไปต่างๆ นานา ฉันเล่าให้เขาฟังว่าเกิดอะไรขึ้นอีกครั้งและบอกว่า เอาล่ะ อาทิตย์หน้าฉันจะกลับเชียงใหม่แล้ว เดี๋ยวจะเอาไปให้ศูนย์ซ่อมที่นั่นดูให้ แต่ตอนนี้ขอแค่ให้เขียนงานได้ก่อน พอจะช่วยฉันได้ไหม
เจ้าของร้านคลิกเข้าไปดูสภาพคอมพิวเตอร์ก่อนจะบอกว่า คุณอย่าเพิ่งตกใจ มันไม่ได้มีอะไรเสียหาย มันแค่ขาดไปบางโปรแกรม ที่คุณเขียนงานไม่ได้ก็เพราะเขาไม่ได้ลงโปรแกรมไมโครซอฟท์ออฟฟิศ เดี๋ยวทางร้านจะลงโปรแกรมที่ขาดหายไปให้หมด ใจเย็นๆ
แต่ฉันสั่นหัว ไม่เอา ฉันบอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวจะเอาไปให้ศูนย์คอมพิวเตอร์ที่เชียงใหม่หรือไม่ก็ที่กรุงเทพฯ ดูให้ ขอแค่ลงโปรแกรมที่ทำให้เขียนงานได้ก็พอ
เมื่อฉันปฏิเสธ เจ้าของร้านก็เลยเงียบ กลับไปนั่งโต๊ะตัวเดิมและถามฉันว่าทำงานอะไร อยู่ที่ไหน พอรู้ว่าฉันเขียนหนังสือลงในนิตยสารฉบับหนึ่งของกรุงเทพฯ เคยอยู่กรุงเทพฯ มาก่อน แกก็เลยพยักหน้า และแสดงความเห็นออกมาดังนี้
“ผมพูดตรงๆ นะครับ คนมาจากกรุงเทพฯ มักจะดูถูกช่างต่างจังหวัด กลัวว่าจะเอาของไม่ดีมาใส่ให้บ้าง กลัวว่าเราจะโกงบ้างทั้งที่พวกเราแต่ละคนก็มีความรู้ ไม่ใช่ไม่มีความรู้ อย่างน้อยๆ แต่ละคนก็จบ ปวส. ปริญญาตรี ไม่ใช่ไม่มีความรู้อะไรเลย คอมของคุณมันไม่ได้เสียหายอะไร ผมดูแล้ว เขาแค่ลงโปรแกรมให้ไม่ครบเลยทำให้ไม่มีเสียง ดูหนังไม่ได้ ภาพไม่ชัดก็เพราะคุณยังไม่ได้ปรับ แต่คนที่มาจากกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ก็อย่างนี้แหละ คิดว่ายังไงกรุงเทพฯ ก็ต้องดีกว่า”
ฉันพยายามจะอ้าปากเถียงว่า ฉันไม่ได้คิดว่าใครหรือที่ไหนดีกว่า แต่เผอิญเพราะฉันเองก็ไม่รู้เรื่องคอมพิวเตอร์เลย ทางเดียวที่จะทำให้ฉันได้คอมตัวเดิมกลับมาก็คือกลับไปที่ศูนย์ของมันเพื่อให้คนที่เคยลงโปรแกรมแต่แรกจัดการทั้งหมดให้ เพราะฉันเองก็ไม่รู้ว่าแต่แรกที่ซื้อมานั้นมันมีอะไรอยู่ในคอมตัวนี้บ้าง
แต่ก็อ้าปากพูดไม่ทัน ถ้อยคำน้อยใจเสียใจของเขาพรั่งพรู จนฉันต้องโบกมือว่าไม่ใช่ๆ อย่างนั้น และพยายามยิ้มเพราะคิดว่าก่อนนี้ตัวเองคงหน้าตาบึ้งตึงน่าดู
เขาเดินกลับมาที่คอมของฉันอีกครั้งและปรับตัวหนังสือที่มันเบลอๆ ให้จนคมชัด
“แบบนี้ใช่ไหมที่เคยใช้อยู่”
“ค่ะ” ฉันรีบรับคำ ดีอกดีใจที่ตัวหนังสือหายเบลอ
และเขาก็ปรับอะไรไม่รู้อีก ทำให้ภาพถ่ายที่ก่อนนี้มันแบนเป็นกล้วยทับกลับมาเป็นภาพในมุมมองปกติ สะสวยเหมือนเดิม
โอ้โฮ เห็นแค่นี้ก็โล่งใจโข
พอเพิ่มโปรแกรมไมโครซอฟท์ออฟฟิศ หน้าพิมพ์งานที่ก่อนนี้ติดกันเป็นพรืด ไม่รู้เลขหน้าไม่รู้บรรทัดก็กลับมาตั้งค่าได้เหมือนเดิม
โอ สวรรค์ช่วยจริงๆ คราวนี้ฉันยิ้มแต้ ลืมเรื่องโวยวายก่อนนี้สิ้น ขอเพียงแค่นี้ เอาแค่ให้พิมพ์งานได้ มีงานส่งก่อน มันก็ดีเลิศประเสริฐสุดแล้ว
เมื่อเงยหน้ามองเขาอีกครั้ง ฉันเลยเปลี่ยนใจใหม่กลับมาตกลงตามข้อเสนอแต่แรกที่เขาบอกว่า เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อช่างที่นี่ ผมจะลงโปรแกรมให้คุณจนครบ จะคิดคุณแค่ร้อยเดียวเท่านั้น
ฉันนั่งรอราวชั่วโมงกว่าๆ ทุกอย่างก็สมบูรณ์ดังเดิมพร้อมทั้งได้ตัวสแกนไวรัสตัวใหม่ ก่อนกลับนอกจากจ่ายเงินแล้วฉันไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ขอบคุณที่เขาได้ให้บทเรียนสำคัญกับฉัน
ฉันกลับมาทำงานได้อีกครั้ง
เมื่อเริ่มต้นเปิดคอมพิวเตอร์และนั่งมองตัวหนังสือที่คุ้นเคย หัวสมองของฉันก็เริ่มลำดับเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมา
ฉันถามตัวเองว่า ฉันมาที่นี่เพื่อเรียนรู้วิถีชีวิตที่แตกต่างจากฉันมิใช่หรือ?
ฉันมาพร้อมความเชื่อมั่นในใจต่อคุณค่า ศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกันไม่ใช่หรือ
แต่แล้วทำไม ในภาวะวิกฤติเล็กๆ อย่างนี้ ฉันก็หมดความเชื่อมั่นต่อพวกเขาและลึกๆ แล้วฉันปฏิเสธตัวเองไม่ได้ว่า ณ เวลานั้น อย่างไรฉันก็เห็นว่าที่กรุงเทพฯ หรือเชียงใหม่ดีกว่าแน่นอน
น้องชายถามฉันว่าแน่ใจแล้วหรือว่าถ้าไปกรุงเทพฯ หรือเชียงใหม่ ฉันจะได้รับการบริการที่คิดมาในราคาหนึ่งร้อยอย่างนี้ เพราะอย่างน้อยๆ ในเชียงใหม่ก็สามร้อยหรือห้าร้อยบาท
คนไม่เก่ง คนขี้โกง มีทุกหนทุกแห่ง ในกรุงเทพฯ ก็มี เชียงใหม่ก็มี และแน่นอน เมืองเล็กๆ ที่ฉันอาศัยอยู่มันก็มี แต่มันไม่ควรเป็นการสรุปภาพรวมทั้งหมดทั้งที่ยังไม่ได้สัมผัสส่วนอื่นๆ เลย หากเขาเป็นคนเก่งคนหนึ่งแต่ว่าฉันกลับปิดโอกาสนั้นเพราะปักใจเชื่อเสียแล้วว่าช่างบ้านนอกไม่มีความรู้ในเรื่องเทคโนโลยีดีพอ นั่นก็เท่าฉันปิดหูปิดตาที่จะเรียนรู้คนอื่น
และเมื่อมองทัศนคติที่มีอคติเช่นนี้ในมุมที่กว้างขึ้น ฉันจึงเริ่มเข้าใจมากขึ้นแล้วว่าไฉนเล่าปัญหาคนชนบทมากมายถึงได้แก้ไขยากเย็น เพราะไม่ว่ารัฐหรือคนชั้นกลางจำนวนไม่น้อยคงจะมีทัศนคติที่อาจคล้ายคลึงกับฉัน นั่นคือ เราไม่มีความเชื่อมั่นต่อคนที่เราเห็นว่าด้อยกว่าเลยสักนิด (ทั้งที่พวกเขาไม่ได้ด้อย แต่เราคิดไปเองว่าเขาด้อย) เมื่อไหร่ที่มีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น เรามักจะเลือกเชื่อคนที่ดูมีการศึกษา ภาพลักษณ์ดี มากกว่าคนจนๆ ที่อยู่ในสังคมไกลปืนเที่ยงทั้งที่ยังไม่ได้ให้เวลาที่จะรับฟังและไตร่ตรองอย่างยุติธรรมเลย
มันเป็นไปโดยไม่รู้ตัวจริงๆ ที่เมื่อไหร่เราคิดว่าพวกเขาด้อยกว่า คุณค่าหรือศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ของพวกเขาก็จะถูกลดทอนลงไปให้ต่ำกว่าเรา
อคติเช่นนี้เองที่ทำให้เสียงของคนจนจึงเบาเหลือเกินสำหรับสังคมไทย และคงจะเป็นอย่างนี้ไปจนกว่าจะมีคนบ้านนอกที่เชื่อมั่นในตัวเองพอกล้าอ้าปากเถียงอย่างที่ช่างคนหลังตอกกลับฉันมา กะโหลกหนาๆ ด้วยอคติว่ากรุงเทพฯ ดีกว่าจึงค่อยสลายออกมาเปิดใจยอมรับคนบ้านนอกอย่างจริงจังบ้าง