Skip to main content
แม้ม็อบเสื้อสีๆ จะซาลงไปแล้ว (ซาแต่นามภาพ-รูปธรรม แต่ในความรู้สึกนั้นยังคงไหลแรง) แต่ฉันก็ยังเชื่อว่าคนที่เข้าร่วมแต่ละกลุ่มย่อมมีความคิด มีทัศนคติที่ชัดเจนของตนเอง


อย่างที่ทิ้งท้ายไว้ในตอนที่แล้วว่าฉันจะนำความคิดของ ไม้หนึ่ง ก.กุนที มานำเสนอ เพราะเห็นว่าวิธีคิดของเขาน่าสนใจมาก ซึ่งแม้ปัจจุบันฉันจะยังอยู่ขอบปลายชายแดนอีสาน ไม่มีโอกาสได้เจอหรือพูดคุยกับตัวตนจริงๆ ของเขา และบทสัมภาษณ์ที่คัดลอกมาฝากนี้ก็เคยผ่านหน้านิตยสารมาบางส่วนแล้ว แต่ฉันก็ยังอยากให้ใครอีกหลายๆ ที่อาจยังไม่ได้ผ่านตากับความเห็นเหล่านี้ได้ลองอ่านเล่นๆ ดูบ้าง


บทสัมภาษณ์ต่อไปนี้เคยลงในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6-12 มีนาคม 2552 คอลัมน์ สามก๊กฉบับคนกันเอง โดย เอื้อ อัญชลี ซึ่งมีโอกาสไปทักทาย พูดคุยกับเขาถึงที่ร้านข้าวหน้าเป็ดแถวศาลายา (ไม้หนึ่ง ก.กุนที ขายข้าวหน้าเป็ดและบะหมี่เป็ด รสชาติอร่อยมาก ทั้งไม่พึ่งผงชูรสแต่อย่างใดเลย เป็นร้านอาหารที่ต้องการให้คนกินได้ชิมรสชาติแท้ๆ ของวัตถุดิบ เขาเป็นคนหนึ่งที่เอาจริงเอาจังกับการทำงานและไม่เคยฟูมฟายกับสถานะกวีอย่างที่จะเห็นกวี- นักเขียน หลายคนโอดครวญเอาว่าสังคมไม่สนใจ ไม่เหลียวแล แต่เขาเลือกประกอบอาชีพพ่อค้าและค้นพบบทกวีจากบนเขียง ตู้กระจก ผ้ากันเปื้อน)

 

.................................



คนที่ฉันรู้จักส่วนใหญ่จะเข้าร่วมกับฝ่ายสีเหลือง เพิ่งจะเจอพี่ไผ่ (ไม้หนึ่ง ก.กุนที) นี่แหละที่ประกาศตนชัดเจนว่าเขาอยู่ข้างสีแดง


"ผมเนี่ยทำงานเขียนมาเกือบยี่สิบปี เพิ่งค้นพบรอยเชื่อมต่อระหว่างที่มาและที่ไปของตัวเอง ซึ่งมาสรุปได้ว่า ปัญญาชนหรือการเป็นนักคิดนักเขียนจะต้องรับใช้ประชาชนอย่างไร ไม่ใช่พอเกิดวิกฤติอะไรแล้วมีคนถามว่าคุณจะเลือกข้างไหน คุณกลับตอบว่าไม่เข้าข้างไหน คุณเป็นเสื้อขาว ก็ในเมื่อคนเราไม่ได้รับปัจจัยที่เท่าเทียมกัน และคุณก็เป็นคนหนึ่งที่มีโอกาสช่วงชิงปัจจัยเยอะกว่า ถึงจุดหนึ่งถ้าคุณสุกงอมจริง มีวุฒิภาวะจริง คุณต้องรู้ว่าจะคืนอะไรให้กับประชาชน ต้องรู้ว่าหน้าที่ของปัญญาชนคืออะไร"


สำหรับพี่ไผ่ เขาไม่ได้สนใจว่าใครจะถูกจ้างหรือถูกหลอกให้มาชุมนุม แต่เขามองจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และเห็นว่าผู้ชุมนุมสีเหลืองส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลาง ซึ่งได้รับโอกาสจากความไม่เท่าเทียมกันทางสังคมมาโดยตลอด และมีกำลังพอที่จะเข้าร่วมชุมนุมด้วยตนเอง ขณะที่กลุ่มสีแดงส่วนใหญ่เป็นชนชั้นล่าง ซึ่งขาดปัจจัยในการชุมนุมอย่างต่อเนื่อง นอกเสียจากจะมีคนคอยจัดตั้งให้


เขาจึงไม่เห็นด้วยที่นักเขียนหรือศิลปินส่วนใหญ่จะเข้าร่วมกับสีเหลืองฝ่ายเดียว และละเลยที่จะรับรู้ความเป็นอยู่ของกลุ่มสีแดง


แล้วพี่ไผ่ก็เล่าว่าถ้ามีเวลาว่างจากงานในร้าน ตัวเขาจะออกไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มสีแดงเสมอ

"แต่ไม่ใช่ไปรออ่านบทกวีอย่างเดียวนะ ผมเก็บขยะด้วย"

ฉันถาม "พี่สู้เพื่อใครบางคนหรือเปล่า"

พี่ไผ่ส่ายหน้า "ในกลุ่มแดงเขาใช้คำว่าแนวร่วมประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มันมีแนวร่วมหลายกลุ่ม เสื้อแดงต่อยปากกันเองก็มีเยอะ มันบ่งบอกถึงความหลากหลาย ความมั่ว แต่มันคือความจริงไง เพราะพื้นฐานของสังคมนี้คือคนที่ด้อยพัฒนา การศึกษาต่ำ ถ่อย หยาบ คนส่วนใหญ่ของประเทศไม่ได้มีโอกาสจะได้ดูดีอย่างคุณ อย่างผม ไม่มีโอกาสแม้จะเป็นตัวของตัวเองทางการเมือง เขาถูกกระทำอยู่ตลอดเวลา พวกคุณเลือกที่จะแยกตัวเองออกจากประชาชนนั่งบนภูดูเสือกัดกัน แต่ผมก้าวไปรับใช้ประชาชน


"ประชาธิปไตยที่พวกเขากำลังต่อสู้มันเป็นของจริงหรือ"

"ประชาธิปไตยง่ายๆ ไง สำหรับกลุ่มเสื้อแดง มันคือ วิถีที่ก่อกำเนิดมาจากนโยบายประชานิยม คือการเอาเงินไปให้ชาวบ้านฟรีๆ แต่ประชาชนก็มีสิทธิ์ที่จะได้เงินก้อนนี้นะ เพราะมันเป็นส่วนเกินที่ขูดรีดมาจากการเป็นผู้ผลิตของเขา ขณะที่เขากลับได้ค่าแรงต่ำกว่าความเป็นจริง ดังนั้น คนที่เห็นถึงสัจจะอันนี้ก็คือ คนที่เห็นมวลชนอย่างชัดเจน

"ทุกคนอาจจะพูดเหมือนกันว่า อยากให้มนุษยชาติมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ แต่การกระทำอยู่ที่ไหนล่ะ ผมเคยคิดนะ อยากให้สนามหลวงมีโรงพักอาศัยสำหรับคนเร่ร่อน แล้วก็มีโรงสำหรับให้ทำงานแลกอาหาร หรือหากใครต้องการจะหารายได้สำหรับใช้จ่ายสักวันหนึ่ง ก็มาทำงานที่นี่ อาจเป็นการปั๊มอิฐดิน ให้คนเร่ร่อนไม่มีทางออกได้มาใช้แรงงานเพื่อแลกกับค่าแรงซึ่งอาจจะไม่แพงนัก แต่เป็นการกำจัดทุกข์ขั้นพื้นฐาน"

 

และอีกข้อความหนึ่ง ซึ่งฉันบังเอิญได้ไปอ่านจากการแสดงความเห็นหลังงานอ่านบทกวี Thai Poet Society Forum (บทกวีของเขาที่ขึ้นไปอ่านชื่อ "สถาปนาสถาบันประชาชน" ฉันได้นำลงไปเมื่อตอนที่แล้ว) ซึ่งมีบางคนเล่าว่าสถานีโทรทัศน์บางแห่งแม้สัมภาษณ์เขาไปแต่ก็ไม่กล้าลงเพราะความเป็นแดงของเขา แต่กระแสเสียงชื่นชมจากเว็บไซต์ของ http://www.thaipoetsociety.com/ ที่มีต่อเขาก็มีไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะกับคนรุ่นใหม่ และเขาก็ได้เข้ามาตอบโดยใช้นามปากกา "ดอกเข็มแดง" ว่า

 

"ผมในนามของ ไม้หนึ่ง ก.กุนที ได้ทำหน้าที่ของผมอย่างตั้งใจแล้ว
และขออภัยเป็นอย่างยิ่ง หากสิ่งที่ผมทำอันเป็นการสื่อและย้ำถึงสิทธิเสรีภาพในครั้งนี้
ทำให้พวกคุณหลายคนไม่ได้ออกทีวี

และขอย้ำอีกครั้งว่า สิทธิ์และทรัพยากรทั้งหลายที่ผู้จัดงานนี้ได้มีโอกาสบริหารจัดการนั้น
เป็นโอกาสที่พวกคุณมี โดยคนอื่นไม่มี

และคำว่าสิทธิ์นั้นก็มีความเป็นธรรมชาติในตัวของมันเองเช่นกับสรรพสิ่งในโลกนี้
และสิทธิ์นั้นก็มีอิสระในตัวของมันเองโดยชอบธรรม
เพราะฉะนั้นใครผู้หนึ่ง กล่าวว่า "เป็นสิทธิ์ที่ผมให้คุณ" ถือว่าเป็นถ้อยคำที่วิปริตหรือไม่?

และผมไม่ขออภัยในบทกวีที่ผมอ่านในวันนั้นในส่วนที่เพิ่มเติมจากตัวบทในสูจิบัตร
คงไม่ต้องบอกเหตุผลว่าทำไม
เพราะคุณสุลักษณ์ก็ได้อธิบายไว้ในปัจฉิมคาถา โดยอ้างอิงทรรศนะของกวีท่านหนึ่งต่อบทกวีในช่วงที่กล่าวถึง "..กวีที่บันดาลใจอย่างสดใหม่และไม่ได้เตรียมเขียนไว้อ่านจากต้นฉบับ.."
บทไหว้ครูเสรีชนในตอนต้น และบทยืนยันอุดมการณ์มาร์กซ์ในตอนท้ายของผม แม้ไม่ได้เกิดแรงบันดาลใจสดๆ ในขณะอ่าน แต่มันก็คือแรงบันดาลใจสด ๆ ก่อนที่ผมจะเดินทางออกจากบ้าน

ปัญหาของผู้ที่ไม่สบอารมณ์กับสิ่งที่ผมเพิ่มเติมจากตัวบทนี้ก็คือ "การที่คนผู้นั้นไม่สามารถควบคุมผมได้ ไม่สามารถควบคุมบทกวีที่เติบโตและมีชีวิตอย่างไม่รู้หยุดทุกนาทีชั่วโมงนั่นเอง"

มันเป็นสิ่งที่ตระหนกมากสำหรับผมที่เห็นรูปเงาแห่งการที่จะต้องการควบคุมสิ่งต่าง ๆ ไว้ในมือจากกลุ่มคนที่เที่ยวออกตระเวนกู่ร้องเรียกหาเสรีภาพให้กับที่โน่นที่นี่

ผมอาจบันดาลโทสะให้กับคนหลายใคร?
แต่พรุ่งนี้ มะรืนนี้ หากผมถูกฟ้อง คงเป็นบทพิสูจน์คนหลายใครว่า อุดมคติที่ผลิตขายออกสู่สังคมก่อนหน้านั้นจริงหรือปลอม
ระหว่างความบาดหมางระหว่างปัจเจก กับ "ความใฝ่ฝันถึงโลกที่เสรีอหิงสาและการใช้แรงงานอย่างเหมาะสม" นั้นใครจะเลือกอะไร

 

สำหรับเรื่องนี้เวทีนี้ลงเสาปูพื้นและเตรียมฉากไว้แล้ว ขาดแต่ตัวละครที่จะโยนชีวิตลงไปจริง ๆ
ผลข้างเคียงจากการงานที่เกิดเป็นแผนการปลุกชีพให้กวีนิพนธ์ครั้งนี้ ท้าทายโคตร !

 

และอีกครั้งหนึ่งที่เขาเข้ามาตอบ

 

ขอบคุณทุกคนที่ใจกว้างกับ ไม้หนึ่ง
หากเป็นเรื่องงานนี้เราคงมีเรื่องคุยกันได้อีกเยอะเพื่อผลักสิ่งที่หลายคนในนี้มุ่งหวังให้คืบไปบนหนทางของกวี และผมก็ยินดีแลกเปลี่ยน

แต่ช่วงนี้พวกคุณก็คงรับรู้กันแล้วเรื่องการออกสู่สนามอีกครั้งของคนแดง ผมจึงยากที่จะดำเนินสมาธิได้ยาวสำหรับเรื่องนี้
และหากพวกคุณอยากเห็น ไม้หนึ่ง ในหน้าที่ของเขาจริง ๆ เชิญที่เวทีหน้าทำเนียบครับ

น่าจะราว ๆ ตี 4 ของทุกเช้าวันใหม่
อ่านเสร็จกลับไปย่างเป็ดเปิดร้านขายข้าวและบะหมี่ปกติ

ครึ่งหนึ่งของตัวบทในวันนั้น ไม้หนึ่ง อ่านบนเวทีเมื่อ ตี 4 กว่า ๆ ของวันนี้อีกครั้งแล้วครับ

ขอขอบคุณในไมตรี

 

 

ในโลกที่เราหาผู้กล้าได้ยากเย็น หาคนจริงได้ยากเย็น หาคนที่เสียสละโดยไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงได้ยากเย็น การปรากฏตัวครั้งนี้ของ ไม้หนึ่ง ก.กุนที ทำให้ฉันคงต้องลงท้ายเหมือนตอนที่แล้วอีกครั้ง - มันอาจเป็นเรื่องสำคัญเหมือนกันที่เราต้องรับรู้ว่า ผู้นำหรือใครคนอื่นๆ กำลังต่อสู้ด้วยผลประโยชน์แอบแฝงแบบไหน ไม่ว่าเสื้อเหลืองหรือเสื้อแดง หัวขบวนอาจจะเต็มไปด้วยพวกเขี้ยวลากดินหรือนักการเมืองร้อยเล่ห์พันเหลี่ยม แต่มันไม่สำคัญเท่า --- คนสู้รู้ตัวดีว่ากำลังสู้เพื่ออะไรต่างหาก


ข้าน้อยขอก้มหัวคารวะ

 

 

บล็อกของ สร้อยแก้ว

สร้อยแก้ว
นุ่มนิ่มเหลือเกิน ลูกแม่เอ๋ย นานวัน เนื้อตัวเจ้าอวบอิ่ม กอดได้แน่นเต็มกอด หอมแก้มเจ้าได้แรงๆ เสียงหัวเราะคิกๆ คักๆ ยามแม่เอาหน้าซุกพุงนิ่ม หรือสีข้างซี่โครงน้อย เจ้าร้องลั่น หัวเราะกรี๊ดๆ จั๊กจี้จั๊กกะเดียม แม่รู้ความลับของเจ้าแล้วสิ ว่าเจ้าเองก็บ้าจี้เหมือนแม่ แต่ยิ่งเจ้าเบี่ยงตัวหนีคิกๆ แม่ก็ยิ่งอยากแกล้ง เพราะอยากยินเสียงคักๆ คิกๆ กรี๊ดกร๊าดๆ
สร้อยแก้ว
ถึง ลุงแสงดาว เช้าวันนี้แม่ตื่นตั้งแต่ยังไม่ถึงตีห้าดี แม่ย่องมาเปิดคอมพิวเตอร์ เปิดอินเตอร์เน็ต (ยามเช้าๆ เน็ตแม่จะเดินได้เร็ว คงเพราะเป็นเวลาที่ไม่ค่อยมีใครใช้งาน คลื่นอากาศเลยเดินทางได้คล่อง) แม่คงคิดว่าจะแอบทำงานตอนหนูหลับล่ะสิ เรื่องอะไร หนูจะยอมให้แม่สนุกอยู่คนเดียวล่ะ หนูไหวตัวทันหรอกน่า เลยกลิ้งซะสองรอบแล้วยันขายันแขนลุกนั่ง ร้อง อื้อๆ แม่ก็หันขวับทันที
สร้อยแก้ว
  ตาน้ำอายุครบ ๗ เดือนในวันนี้แล้ว ลูกมีภาษาของลูก และรู้วิธีสื่อสารกับแม่ ๐ ถ้าลูกเบื่อนอนเล่นหรือการนั่งอยู่กับที่ ลูกอยากให้แม่พาเดินเล่น ลูกจะเงยหน้าร้องอ้อนด้วยการทำเสียงฮือๆ หรือบางทีทำเสียงแงๆ แต่ว่าไม่มีน้ำตาหรอก ลูกแกล้งทำ พอแม่อุ้ม ลูกก็จะยิ้มร่า พร้อมกับตบบ่าแม่แปะๆ เมื่อไหร่ที่ลูกตบบ่าแม่แปะๆ นั่นแปลว่า ไป ไป เหมือนว่าแม่เป็นม้างั้นเหอะ ตบก้นแล้วไปได้
สร้อยแก้ว
  ตาน้ำ ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้นเองที่แม่หลบมารดน้ำให้หัวใจ รินลมหายใจแผ่วๆ ช้าๆ ตาน้ำ ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านี้เอง แต่มันทำให้แม่มีความสุข เพราะแม่สงบ ปลอดโปร่ง
สร้อยแก้ว
ตาน้ำ ยามเมื่อลูกนอนหลับ สิ่งที่แม่อยากทำที่สุดคืออะไรนะ เขียนหนังสือ, นอน, อยู่เฉยๆ ว่างๆ เพราะการเลี้ยงลูกเองมันเหนื่อยใช่เล่นเหมือนที่ใครหลายคนว่า แทบไม่ได้หายใจหายคอ ทั้งที่ยามลูกตื่นเราก็เล่นสนุกด้วยกัน มีความสุขเมื่อลูกอยู่ในอ้อมกอด ขำบ้าง ดุบ้างยามลูกยื้อแย่งจะเอาทุกอย่างในมือแม่
สร้อยแก้ว
  ตาน้ำ ลูกรู้สึกอย่างไรบ้างไหมขณะที่ลูกบินอยู่บนฟ้า ตาน้ำ ลูกดูดนมแม่แล้วหลับปุ๋ยขณะแม่กอดลูกไว้แนบอก แม่เหม่อมองท้องฟ้า เห็นเพียงปุยเมฆขาวฟูฟ่อง บนฟ้าช่างเวิ้งว้าง บ่อยครั้งที่แม่ไม่มั่นใจเลยว่าแม่จะเป็นแม่ที่ดีไหม แม่จะเลี้ยงลูกได้คู่ควรหรือไม่ แม่รู้สึกว่าแม่ต่ำต้อยเสมอเมื่อนึกถึงความไว้วางใจจากสวรรค์ให้ดูแลบุตรีน้อยๆ คนนี้
สร้อยแก้ว
    ตาน้ำ แม่เพิ่งรู้ว่า ยามลมพายุพัดระหว่างมีบ้านอยู่กลางหุบเขากับที่ราบโล่ง เสียงสายลมจะหวีดดังไม่เหมือนกัน
สร้อยแก้ว
แต่ก่อนฉันเคยใฝ่ฝันกับการมีบ้านมานาน แต่จนแล้วจนรอดก็มักจะรู้สึกว่ายังไม่ใช่เวลานั้น มันยังไม่ถึงเวลา ฉันยังอยากเดินทางท่องไปอยู่ ยังอยากพบเจออะไรใหม่ๆ อยู่ ดังนั้น หลายครั้งหลายหนเมื่อพบเจอปลอกหมอน ฟูกนอนพื้นบ้าน ผ้าพื้นเมืองลายคลาสสิก แก้ว จาน ชาม เซรามิกที่ถูกใจก็มักจะซื้อเก็บไว้ แต่ก็ไม่ค่อยได้นำเอาออกมาใช้
สร้อยแก้ว
  ฉันได้แต่อมยิ้มเมื่อได้ยินเสียงดุๆ ของคนขายของชำที่มีต่อเด็กหญิงตัวเล็กๆ คะเนอายุเธอน่าจะประมาณสามขวบคนขายของถามเด็กหญิงว่า "เอาอะไร"เด็กหญิงตอบอ้อมแอ้ม น้ำเสียงลังเล "เอา...เอา... เอานม!"
สร้อยแก้ว
ช่วงปิดเทอม ดาวใจกับไพจิตรได้เข้ามาที่ศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้านเกือบทุกวันเพราะพ่อแม่ของเธอมารับจ้างสับมัน (มันสำปะหลัง) กับสหกรณ์ปากมูล (สหกรณ์ปากมูลและศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้านอยู่ติดกัน) บางครั้งดาวใจก็รับจ้างด้วย เพราะเธอโตแล้ว อายุสิบสี่ปีกว่า เธอทำงานแบบนี้ได้สบายมาก ส่วนไพจิตรยังคงเป็นเด็กหญิงซนๆ วิ่งไปวิ่งมา ทำงานตามแต่คำบัญชาการของพ่อแม่