Skip to main content

 

สมยศ  พฤกษาเกษมสุข

12 / 12 / 12

การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลระหว่างวันที่ 25 – 27 พฤศจิกายน 2555 โดยพรรคประชาธิปัตย์จบไปแล้วด้วยคะแนนเสียง 308 : 159 ไว้วางใจให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์บริหารงานต่อไป ส่วนข้อกลาวหาทุจริต เอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง และการถอดถอนออกจากตำแหน่ง พรรคประชาธิปัตย์เดินหน้าให้เป็นหน้าที่ขององค์กรอิสระต่อไป ในขณะที่กาตชุมนุมขององค์กรพิทักษ์สยามขับไล่รัฐบาลเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2555 แบบม้วนเดียวจอด กลายเป็นตำนานอันน่าสมเพศเวทนากับแนวคิดไดโดเสาเต่าล้านปี เพื่อแช่แข็งประเทศไทย

ทั้งพรรคประชาธิปัตย์และม๊อบองค์กรพิทักษ์ศยาม มีจุดยืนร่วมกันคือปกป้องสถาบันกษัตริย์ และใช้เป็นเครื่องมือทำลายล้างทางการเมืองเพื่อการแย่งชิงอำนาจ แนวคิดแช่แข็งประเทศไทยที่จะไม่ให้มีการเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี เหมือนกับแนวคิดการเมืองใหม่แบบย้อนยุคของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งสนธิ  ลิ้มทองกุล และจำลอง  ศรีเมือง เคยนำเสนอจะให้มีรัฐสภามาจากการเลือกตั้ง 30  เปอร์เซ็นต์ และแต่งตั้ง 70 เปอร์เซ็นต์ นำมาสู่การจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ แต่ผลลัพธ์ก็คือ ความแตกแยกในกลุ่มผู้นำ และความเหี่ยวเฉาของพรรคการเมืองใหม่แบบม้วนเดียวจอดในสนามการเลือกตั้ง

ไม่เพียงแต่เป้าหมายการชุมนุมขององค์กรพิทักษ์สยามจะล้าหลัง เหมือนคนสิ้นคิดเท่านั้น ในด้านวิธีการไปสู่เป้าหมายยังโง่บัดซบ ด้วยการเรียกร้องให้ทหารก่อการรัฐประหารอีกด้วย ตัวพลเอกบุญเลิศ  แก้วประสิทธิ์ ก็เคยร่วมก่อการรับประหารล้มเหลวเมื่อ 26 มีนาคม 2520 มาแล้ว ในครั้งนี้ก็เช่นกันได้ประกาศถึงเหตุผลในการยุติการชุมนุมวว่าเป็นเพราะทหารไม่ออกมาตามนัด  กระทั่งแสดงความเห็นอีกว่า “เมื่อตำรวจเล่นแรงขนาดนี้ ต่อไปม๊อบคงต้องใช้อาวุธ”

กระแสโลกอยู่ในทิศทางของการค้าง การลงทุน แต่ละประเทศพัฒนาสู่ความทันสมัย และเป็นประชาธิปไตย การปิดประเทศและการปกครองแบบเผด็จการไม่อาจคงทนถาวรได้อีกต่อไป ต้องล้มครืนด้วยคลื่นมหาประชาชน แม้แต่พม่า ซึ่งถูกรัฐบาลทหารแช่แข็งอยู่หลายปี ยังต้องเปิดประเทศด้วยการปล่อยนักโทษการเมือง เปิดให้มีเสรีภาพการแสดงความคิดเห็น และการมีส่วนร่วมทางการเมือง แนวคิดแช่แข็งประเทศจึงสวนกระแสโลก

การพูดถึงคนดี มีศีลธรรม เข้ามาบริหารประเทศยิ่งเป็นเรื่องเหลวไหล เพ้อเจ้อ เพราะระบบการเมืองแบบปิดไม่เคยได้คนดี มีศีลธรรมอย่างแท้จริง มีแต่การสร้างภาพ การโฆษณาชวนเชื่อ และการสรรเสริญเยินยิ จนแทบอาเจียนกันทั้งบ้านทั้งเมือง เช่นกันวิธีการแต่งตั้งคนดีมักเป็นเครือญาติ (Cronyism) บริวาร ยิ่งกว่าการแข่งขันในระบบเลือกตั้งเสียอีก ความเป็นจริงของการรัฐประหารทุกครั้งคือ การปล้นบ้าน กินเมือง กันอย่างเอิกเกริก ตะกระตะกลาม ระยำสุนัขมากกว่านักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งเสียอีก

เหตุผลในการขับไล่รัฐบาลโดยอ้างว่ารัฐบาลปล่อยให้มีการจาบจ้วง ล่วงละเมิดพระเจ้าแผ่นดิน กลายเป็นคาถาเสื่อมมนต์ขลังลงไปทุกที การแอบอ้างสถาบันกษัตริย์มากเท่าไร ก็จะทำให้สถาบันกษัตริย์ได้รับผลกระทบตามไปด้วยเท่านั้น

ในระบอบประชาธิปไตย อย่างน้อยที่สุดยังมีกลไกการตรวจสอบโดยองค์กรอิสระ และโดยสาธารณชน แต่ในระบอบเผด็จการไม่มีช่องทางการตรวจสอบแม้แต่น้อย มีแต่การยกย่องสรรเสริญบูชาผู้นำแบบไม่ลืมหูลืมตา ยิ่งทำให้ไม่มีการตรวจสอบ หรือท้วงติง ซึ่งหมายถึงโอกาสการโกงกินมีมากกว่าการเมืองแบบเปิดในระบอบประชาธิปไตย

การเคลื่อนไหวทั้งหมดจากกลุ่มคนเสื้อเหลือง เสื้อหลากสี และบรรดากลุ่มองค์กรในนามพิทักษ์สยาม – สยามสามัคคี – สยามไทย เครือข่ายปกป้องสถาบัน ในที่สุดเป็นการเคลื่อนไหวสู่ความถดถอย และความล้าหลัง สถานะของพวกเขาในสถานการณ์ปัจจุบันเป็นได้เพียง “ขยะตกค้างทางประวัติศาสตร์” นั่นเอง

หลังจากผ่านพ้นแรงกดดันทั้งในสภาและนอกสภาไปแล้ว รัฐบาลยิ่งลักษณ์ย่อมมีเสรีภาพมากกว่าเดิม ผลการสำรวจของโพลหลายสำนักรายงานตรงกันว่าประชาชนยังคงสนับสนุนรัฐบาลให้บริหารงานต่อไป แต่กระนั้นก็ตามรัฐบาลยังต้องเจอกับหลุมพรางขององค์กรอิสระ และตุลาการที่เป็นเครื่องมือของระบอบอำมาตย์ที่พร้อมจะทำลายรัฐบาลยิ่งลักษณ์อยู่ตลอดเวลา

การประคับประครองเสถียรภาพของรัฐบาลโดยทำตัวเป็นเพียงแมวเชื่อง ยิ่งทำให้รัฐบาลตกอยู่ในวังวนของกระแสอนุรักษ์นิยิมที่บ้าบอคอแตก อยู่กับประเด็นเก่าซ้ำซาก รัฐบาลต้องมีความกล้าหาญในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กำจัดอิทธิพลแทรกแซงของอำนาจนอกระบบ ปฏิรูปกองทัพให้รับใช้ประชาชน และปฏิรูประบบตุลาการให้มีความเป็นประชาธิปไตย เชื่อมดยงกับประชาชน ประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างกว้างขวาง นิรโทษกรรมนักโทษการเมืองให้หมดสิ้น

รัฐบาลจะอยู่รอดปลอดภัย ไม่ใช่การทำตัวเป็นแมวเชื่อง พินอบ พิเทา อยู่ใต้เท้าของระบอบอำมาตย์ แต่จะต้องทำการปฏิรูปอย่างเร่งด่วน ไม่ว่าจะเกิดแรงต้านจากกลุ่มปฏิกิริยาล้าหลัง ซึ่งไม่ยอรับการเปลี่ยนแปลงจนอาจนำไปสู่สงครามกลางเมืองก็ตามแต่นี่เป้นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไปแล้ว

แม้นางสาวยิ่งลักษณ์  ชินวัตร จะไม่ยินดี แต่วันเวลาได้มอบหมายภารกิจสำคัญทางประวัติศาสตร์ของการนำพาประเทศไทยหลุดพ้นจากสังคมเก่าคร่ำครึ ไปสู่ความทันสมัย และความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จิรงแล้ว ถึงวันนั้นประชาชนจะเป็นผนังทองแดง กำแพงเหล็กให้กับรัฐบาลอย่างแน่นอน

 

 

บล็อกของ สมยศ พฤกษาเกษมสุข

สมยศ พฤกษาเกษมสุข
 สมยศ  พฤกษาเกษมสุข1 ธันวาคม 2556
สมยศ พฤกษาเกษมสุข
วันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปี ทั่วโลกกำหนดให้เดือนพฤศจิกายนเป็นเดือนแห่งการรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี แต่ปัญหาความรุนแรงต่อสตรียังทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นในทุกมิติของสังคมไทย
สมยศ พฤกษาเกษมสุข
สมยศ พฤกษาเกษมสุข13  พฤศจิกายน  2556  
สมยศ พฤกษาเกษมสุข
แม้การนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่งจะดูโง่เง่าสุดพระเดช พระคุณเพียงใด ผู้เขียนมองเห็นความฉลาดอย่างหนึ่งของ การกระทำอันอุกอาจในครั้งนี้ของนักการเมืองพรรคเพื่อไทย คือ ฉลาดที่จะลืมคราบเลือดและน้ำตาของประชาชน และเลือกที่จะตกลงผลประโยชน์ได้เสียกันกับฝ่ายอำมาตย์ทันที โดยไม่ต้องเสียแรงสู้ให้เหนื่อย ไม่ต้องเสี่ยงเสียเลือดเสียเนื้อ เสี่ยงติดคุกติดตะราง เหมือนประชาชนที่ร่วมต่อสู้กันมา นั้นเอง
สมยศ พฤกษาเกษมสุข
  สมยศ  พฤกษาเกษมสุข4  ตุลาคม 2556 
สมยศ พฤกษาเกษมสุข
สมยศ  พฤกษาเกษมสุข3 กันยายน 2556 
สมยศ พฤกษาเกษมสุข
 สมยศ  พฤกษาเกษมสุข22  มิถุนายน 2556