Skip to main content

“เมื่อเส้นที่ขอบฟ้าจดแผ่นน้ำ มันเรียกเรา

และจะต้องไป อีกไกลเท่าไร

แค่เพียงลมที่มันโหม บนแผ่นน้ำยังคอยช่วยเรา

ก็คงเข้าใจ ว่าห่างเพียงใด

See the line where the sky meets the sea it calls me

and no one knows, how far it goes

If the wind in my sail on the sea stays behind me

one day I'll know, how far I'll go”

ข้อความข้างต้นมาจากเนื้อร้องในเพลง How far I’ll go หรือชื่อเพลงภาษาไทยว่า ห่างเพียงใด เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องโมอาน่าหนึ่งในบทเพลงของเจ้าหญิงดิสนีย์ที่ฉันชอบมากทั้งค้าร้องภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เนื่องจากเป็นเพลงที่ฟังเมื่อไหร่ฉันจะมองเห็นภาพความทรงจำของตัวเองที่มีสีฟ้าสองเฉดสีเคลื่อนตัวมาบรรจบ ณ เส้นขอบฟ้ากลับมาให้คิดถึงทุกครั้ง และนั่นก็คือหนึ่งในความทรงจำที่ดีที่สุดของฉัน ผู้หลงใหลในเสียงคลื่น และหลงรักท้องทะเล

ชื่อของฉันคือสุภาวดี เชื้อประโรงชื่อเล่นว่าน้ำฝน ปัจจุบันกำลังจะอายุครบ 25ปีในวันที่ 4 ธันวาคมที่กำลังจะถึงในอีกเดือนเศษเป็นคนกรุงเทพฝั่งธนบุรีแต่กำเนิด คุณแม่เป็นคนไทยเชื้อสายจีนอาศัยอยู่ในตลาดพลู คุณพ่อเป็นคนไทยเชื้อสายมอญจากบ้านแพ้ว พายเรือล่องคลองบางกอกใหญ่มาพบรักกับคุณแม่ที่ตลาดพลูก่อนจะย้ายไปปลูกต้นรักกันที่ตึกแถวย่านบางบอนมีพยานรักด้วยกัน 3คน และฉันเป็นคนที่ 3 ซึ่งหลงมาห่างมาพี่สาวคนรองถึง 7ปีและพี่ชายคนโต 11ปี ถ้าถามว่านิสัยฉันเหมือนใครในบ้าน ก็คงตอบได้อย่างไม่ลังเลว่าเหมือนคนที่ชื่อน้ำฝนแต่ถ้าถามว่าทำไมถึงรักทะเล คงต้องเล่ากันเป็นเรื่องเป็นราวแต่ทั้งหมดน่าจะเริ่มต้นมาจากคุณพ่อ

ช่วงเวลาที่ฉันรอคอยที่สุดตั้งแต่จำความได้คือช่วงสงกรานต์ ไม่ใช่เพราะจะได้เล่นสาดน้ำตามเทศกาล แต่เพราะฉันจะได้นั่งรถ ต่อเรือเครื่อง พายเรือไปซื้อขนม เล่นน้ำคลองที่บ้านสวนของคุณพ่อต้องขอบคุณคุณพ่อที่พาฉันโดดน้ำคลองและล่อหลอกให้ว่ายน้ำข้ามคลองมาตั้งแต่เด็กทำให้ฉันว่ายน้ำได้และชื่นชอบกิจกรรมทุกชนิดที่เกี่ยวข้องกับน้ำ ดำน้ำลึกจึงเป็นความใฝ่ฝันอย่างหนึ่งของฉัน

โอกาสไล่ตามความฝันในการดำน้ำลึกวิ่งเข้ามาหาตอนฉันกำลังศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยที่คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากรฉันได้พบกับค่ายที่ชื่อว่าค่ายโบราณคดีใต้น้ำ ค่ายที่จะพาไปรู้จักการทำงานของนักโบราณคดีใต้น้ำและสอนดำน้ำเบื้องต้น แม้วิชาเอกภาษาไทย โทภาษาอังกฤษที่ฉันศึกษาอยู่จะมีความเกี่ยวข้องกับสายงานโบราณคดีค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับวิชาเอกอื่นๆแต่ฉันก็สามารถผ่านการทดสอบร่างกายและการตรวจสุขภาพเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของค่ายในที่สุด ค่ายโบราณคดีใต้น้ำใช้เวลาทั้งสิ้น 20 วัน ใน 10 วันแรกจะเป็นการเตรียมร่างกาย ท้าความคุ้นเคยกับอุปกรณ์ดำน้ำเรียนทฤษฎีต่างๆ รวมไปถึงการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ส่วนใน 10วันหลัง จะได้ออกเรือไปใช้ชีวิตอยู่กลางทะเล ไปดำน้ำทะเลกันจริงๆ ในหนึ่งวันจะดำน้ำกันวันละ 2 รอบ แบ่งเป็นดำทำความลึกและดำอิสระ โดยจะเรียกการดำแต่ละครั้งว่าไดฟ์ในประสบการณ์การดำน้ำของฉัน มีไดฟ์นึงจากค่ายครั้งนี้ที่ฉันยกให้เป็นที่สุดของความประทับใจ ไดฟ์นั้นคือการดำทำความลึกในระยะ 30เมตร เป็นไดฟ์ที่ใช้เวลาในการดำสั้นที่สุด เนื่องจากความลึกที่มากท้าให้ออกซิเจนไม่พอใช้และเป็นอันตรายต่อร่างกาย หากดำเป็นเวลานานการดำไดฟ์นี้เมื่อลงท้าความลึกถึงพื้นแล้วต้องค่อยๆขึ้นแทบจะในทันทีด้านล่างมืดเกือบสนิทไม่มีอะไรให้บันเทิงใจนอกจากดินนุ่มๆ ที่ฟุ้งกระจายเพราะทีมที่ลงมาก่อนหน้า ฉันในตอนนั้นคิดแค่ว่านี่มันไม่มีอะไรเลย ไม่มีปลาหายากว่ายผ่านไม่เหมือนโลกใต้ทะเลในสารคดีที่เคยดูหรือที่จินตนาการเอาไว้แต่ความคิดนั้นก็ค่อยเปลี่ยนไปในระหว่างที่กำลังขึ้น เมื่อลองเงยหน้ามองไปข้างบน น้ำทะเลแยกชั้นกันออกเป็นสองสีจากการตกกระทบของแสงและตะกอนของฝุ่น สีฟ้าสองเฉดที่บรรจบกัน มุมที่มองขึ้นไปบอกฉันให้รู้ว่าท้องทะเลกว้างใหญ่มากเพียงไหน ในขณะที่กำลังดำดิ่งไปกับความงามสีฟ้าแมงกระพรุนไฟสีสันโทนร้อนจัดจ้านก็ลอยตามกระแสน้ำเข้ามาอยู่ในสายตา แม้ว่าแมงกะพรุนไฟจะเป็นสัตว์ทะเลที่พบเห็นได้ไม่ยากเมื่อเทียบกับสัตว์ทะเลชนิดอื่น แต่ภาพนั้นกลับเป็นภาพที่ชัดเจนในความรู้สึกของฉันเสมอ แม้ว่าจะผ่านมาเกือบ 5 ปีแล้วก็ตามจากนั้นยามแล่นเรืออยู่กลางทะเล ทุกครั้งที่มองไปยังเส้นขอบฟ้ามองเห็นสีฟ้าของผืนฟ้าและแผ่นน้ำทอดตัวขนานไปด้วยกัน มันท้าให้ฉันรู้สึกสบายใจ และรู้ว่าตัวเองได้ตกหลุมรักภาพ กลิ่น และเสียงของทะเลและท้องฟ้าไปเสียแล้ว

การดำน้ำแต่ละครั้งใช้เวลาและงบประมาณค่อนข้างมาก ฉันจึงไม่มีโอกาสได้ไปดำบ่อยนัก นอกจากจะติดเรือไปกับบรรดาครูฝึกและตามไปดูการทำงานของรุ่นพี่นักโบราณคดีใต้น้ำที่รู้จักกันในค่ายแต่อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้งฉันมักจะหาเวลาให้ตัวเองได้ไปนั่งเรือ เที่ยวทะเล เติมพลังกายและพลังใจมาสู้กับตึกสูงในกรุงเทพมหานคร น่าเสียดายที่ในปีนี้ยังไม่มีโอกาสได้ไปเนื่องด้วยปัญหาสุขภาพ จึงทำได้แค่ฟังเพลงปลอบใจตัวเอง และย้ำให้รู้ว่าคิดถึงสีฟ้าสดใสนั้นมากขนาดไหน

 

เขียน ณ วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ.2561

ภาพจาก https://www.pinterest.com/pin/465770786447181237

 

บล็อกของ Storytellers

Storytellers
 วันที่ 08/11/2018 – 09/11/2018 เวลา 3.53 น.
Storytellers
กาลครั้งหนึ่ง มีเด็กหญิงคนหนึ่งชื่อว่า น้องสาว เธอได้เป็นหนึ่งใน 20 คน ที่โชคดีได้ออกเดินทางไปที่ต่างๆ แต่มีกฎว่าเลือกได้เพียงแค่ 1 ที่ น้องสาวเลือกสถานที่ไกลที่สุด เท่าที่จะไกลได้ ในการเดินทางน้องสาวจะต้องขึ้นยานไป โดยที่ในยานจะมีลูกเรือค่อยให้บริการ และลูกเรือคนนี้จะพูดทุกครั้งที่มีคนใหม่มา
Storytellers
ผมเป็นคนๆหนึ่งที่ชอบในความท้าทาย ชอบการหาประสบการณ์และรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งเมื่อได้เจอสิ่งใหม่ๆ เด็กใต้คนหนึ่งที่เคยสุขสบายมาก่อนเที่ยวไหนก็ได้ที่อยากไป รู้สึกว่าปัจจัยต่างๆทำให้เราเกิดการเรียนรู้ด้วยตัวเองได้เป็นอย่างดี เพราะมีกำลังพอที่พาตัวเองไปสู่การเรียนรู้ที่มันหลากหลาย แต่รู้ไหมว่าเมื่อโช
Storytellers
ในยุคนี้มันคงถึงเวลาต้องยอมรับได้แล้ว ว่าการศึกษาที่ให้ผู้เรียนเป็นแค่ผู้ฟัง แล้วเอาผลคะแนนเป็นตัววัดนั้น ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคนเสมอไปหรอก ผมเองก็เป็นคนหนึ่ง ที่เกรดไม่ได้ตีเอาซะเลย แต่เชื่อผมเถอะ ว่ามนุษย์ทุกคนเติบโตด้วยการเรียนรู้มากกว่าอายุอยู่แล้ว หลังจากได้ลงพื้นที่การเรียนรู้บนดอยไปแล้ว คำ
Storytellers
 หลังจากส่งบทความไปกับทาง Story tellers in journey ก็ไม่ได้สมหวังตั้งแต่แรกอย่างเพื่อนๆ ทั้ง 19 คนที่ได้ไป Workshop กันหรอก ฮ่าๆ แต่หลังจากนั้นก็มี G-mail เด้งมาจากพี่ตุ้ม จำได้ว่าตอนนั้นกำลังพรีเซ้นท์งานอยู่ ในวันที่ 5 พฤศจิกายน ว่ามีคนสละสิทธิ์ และให้เราได้ไปเข้าร่วมกิจกรรม และบังเอิญตรงที
Storytellers
 หลังจากจบทริปไปเชียงรายในครั้งนั้น ฉันพยายามนั่งครุ่นคิดอยู่นานว่าจะเขียน จะเล่าเรื่อง จะถ่ายทอดเรื่องราวอย่างไรให้คนที่ได้อ่านรู้สึกอินไปกับฉัน
Storytellers
ใครจะไปคิดว่าวันหนึ่ง เด็กสาวที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่จังหวัดใต้สุดสยาม จะกำลังมุ่งหน้าสู่ดินแดนเหนือสุดสยามอย่าง ‘เชียงราย’ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากราวกับฝันไป เพราะฉันเพิ่งตัดสินใจและเริ่มวางแผนได้เพียงในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมงก่อนออกเดินทาง รู้ตัวอีกที ฉันก็กำลังนั่งรถทัวร์มุ่งหน้าสู่เชียงรายเสียแล้
Storytellers
 "นี่เป็นประสบการณ์ไปต่างจังหวัดเองครั้งแรกของผม" 
Storytellers
 “เอ๊ะ! มีอีเมลอะไรส่งมาที่กล่องข้อความ”       อีเมลฉบับนั้นมีใจความว่า “ยินดีด้วย คุณได้รับการคัดเลือกเป็น 1 ใน 21 ของโครงการ storytellers in journey”
Storytellers
      การออกเดินทางครั้งนี้ เราได้มีจุดหมายที่ ม่อนแสงดาว จังหวัดเชียงราย เรากำลังแบกเป้ที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความคาดหวังอย่างเต็มเปี่ยมที่พร้อมจะเรียนรู้อย่างเต็มที่
Storytellers
ฉันเห็น I ฉันคิด โดย อดิศักดิ์  โกเมฆฉันเห็นฉันคิด
Storytellers
ศูนย์การเรียนที่ผมเรียนชื่อ ศูนย์การเรียนโจ๊ะมาโลลือหล่า ชื่อโรงเรียนของผมนั้นเป็นภาษาปกาเกอญอแปลเป็นภาษาไทยว่า“โรงเรียนวิถีชีวิต” โรงเรียนขอผมนั้นตั้งอยู่บนดอยที่หมู่บ้านสบลานซึ่งศูนย์การเรียนนั้นก็มีสิทธิเหมือนโรงเรียนสามารถออกวุฒิการศึกษาได้แต่มันมีสิ่งที่ไม่เหมือนโรงเรียนอยู่นั้นก็คือการจัดกา