Skip to main content
ตะวันสายแดดส่องฟ้า เรือหาปลากับชายชรากำลังเดินทางออกจากท่า เพื่อหาปลาอีกครั้ง ในแสงแดดยามสาย ชายชรากำลังสลัดคราบไคร้ที่เกาะติดเบ็ดออก เพื่อทำความสะอาดให้มันกลับมาพร้อมใช้งานอีกครั้ง

สายน้ำลดระดับลงอีกครั้งหลังโถมถั่งในหน้าฝน สายน้ำเชี่ยวกรากกลับกลายเป็นแผ่วเบา และลดความเกรี้ยวกราดลง วันนี้ไม่แตกต่างจากหลายวันในช่วงเริ่มต้นฤดูหนาว ชายชรายังคงดำเนินชีวิตไปตามปกติในครรลองของคนกับเรือเหนือสายน้ำอันกล่าวได้ว่าคือสายชีวิตของชายชราด้วย

สายลมแห่งเดือนมกราคมพัดมาเยือกเย็น ริมฝั่งน้ำตรงกระท่อมหาปลา ชายชรานั่งเงียบงันอยู่ข้างกองไฟ ๒ วันมาแล้วยังหาปลาไม่ได้ ช่วงนี้จึงมีเพียงกุ้งติดฟดริมฝั่งน้ำเท่านั้น กุ้งเหล่านี้แม้มันจะตัวเล็กกว่าปลา แต่ในยามหาปลาไม่ได้ นอกจากมันจะเป็นเหยื่อเบ็ดเพื่อล่อเอาปลาแล้ว มันยังกลายมาเป็นอาหารในบางมื้อสำหรับชายชราอีกด้วย

คนเคยกินแต่ปลาตัวใหญ่ พอมากินกุ้งที่ตัวเองคิดเพียงว่ามันเป็นเหยื่อล่อปลา ในห้วงแห่งความรู้สึกเช่นนี้ของชายชรา แกจะรู้สึกอย่างไร เสียใจ ดีใจหรือว่าแกไม่ได้คิดอะไรเลย เรื่องราวเหล่านี้มีเพียงชายชราเท่านั้นจะเฉลยมันออกมา

หลังกลับมาจากหาปลาในตอนใกล้ค่ำ วันนี้ก็เหมือนเดิมกับเมื่อวาน เมื่อลงมือทำอาหารชายชราก็มุ่งหน้าลงไปยังท่าน้ำ เพื่อเอากุ้งมาทำเป็นอาหาร หลังได้กุ้งพอกับความต้องการ ชายชราก็นำกุ้งมาคดเอาแต่ตัวขนาดนิ้วหัวแม่มือ เพราะถ้าเอากุ้งตัวใหญ่มันก็จะไม่เปลืองมาก แต่ถ้าเอากุ้งตัวเล็กมา เราก็ต้องใช้กุ้งเยอะ ชายชราเองก็ไม่แน่ใจนักว่าหลังจากไม่ได้ปลาอาจจะไม่ได้กุ้งด้วย เพราะกุ้งจะติดฟดก็ในช่วงข้างขึ้นเท่านั้น การดักฟดกุ้งก็ไม่ได้ต่างจากการลอบหมึกในทะเลเท่าใดนัก ในช่วงที่กุ้งได้เยอะก็ได้เยอะ แต่ในช่วงที่ไม่ได้เลยแม้แต่จะพอเอาให้แมวกินก็ยังยาก

เมื่อกลับขึ้นมาถึงกระท่อม ชายชรามุ่งหน้าไปยังเตาไฟ ไม่นานนักไฟก็สว่างขึ้นมา หลังจากชายชราง่วนอยู่กับกองไฟ พอไฟสว่างโพลงขึ้นมา ฟืนชิ้นเล็กไปจนถึงชิ้นใหญ่ก็ถูกใส่เข้าในกองไฟ จากไฟกองเล็กก็กลายเป็นไฟกองใหญ่ ขณะไฟจากท่อมฟืนกำลังคุได้ที่ชายชราก็เดินไปยังถังน้ำแล้วกลับมาพร้อมกับหม้อหนึ่งใบที่มีกุ้งอยู่ในนั้น พอมาถึงชายชราก็จัดแจงเอาหม้อขึ้นวางบนก้อนหินที่วางอยู่ข้างกองไฟ หลังหม้อเดือด ชายชราก็หยิบเกลือมาใส่ลงไปในหม้อ หลังใส่เกลือลงไปไม่นาน ชายชราก็ยกหม้อออกมาวางไว้บนพื้น ก่อนจะเดินไปหยิบจานมาใส่กุ้งคั่วเกลือ

อาหารทุกอย่างถูกจัดแจงมาวางบนพื้นระเบียงกระท่อม เมนูหลักเป็นกุ้งคั่วเกลือ เมนูรองลงมาเป็นน้ำพริกกับผักกาดลวกที่เหลือจากตอนเช้า แล้วมื้อค่ำของชายชราก็เริ่มขึ้น หลังจากมื้อค่ำผ่านไป ชายชราก็ออกมานั่งม้วนบุหรี่ดูดอยู่ตรงระเบียงกระท่อม หลังดีดก้นบุหรี่ทิ้งไป ชายชราก็นั่งเหม่อมองออกไปนอกกระท่อม ไม่มีใครรู้ว่าในห้วงเวลาเช่นนี้ชายชราคิดเรื่องใดอยู่ในใจ

ลมหนาวพัดเข้ามาวูบหนึ่ง ชายชราก็ขัยบตัวลุกขึ้นเดินถือตะเกียงเข้าไปในกระท่อม จากนั้นก็จัดที่หลับที่นอนให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะสวดมนต์ไหว้พระ เมื่อสวดมนต์ไหว้พระเสร็จสิ้น แสงตะเกียงก็ดับวูบลง ทุกอย่างในกระท่อมจึงเดินทางไปสู่ความมืด

เมื่อจมลงสู่ความหลับไปเนิ่นนาน ชายชราก็สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก ในลมดึกนั้น ชายชราลุกขึ้นมานั่งทบทวนความฝันที่เพิ่งเกิดขึ้น มันเป็นความฝันที่ชายชราไม่เคยฝันเลยแม้แต่ครั้งเดียว และชายชราจึงคิดว่าความฝันที่เกิดขึ้นเป็นความฝันประหลาด

ชายชราฝันไปว่า มีปลาใหญ่รูปร่างประหลาดมาติดเบ็ด ปลาใหญ่ตัวนั้นมันดิ้น เพื่อจะให้ตัวเองหลุดจากเบ็ด ทุกครั้งที่มันดิ้น น้ำจะแตกกระจายขึ้นไปในอากาศ รูปร่างของปลาตัวนี้ชายชราไม่เคยเห็นมาก่อน ส่วนหัวของมันสีขาวคล้ายปลาเลิม ส่วนตัวมีลายคล้ายหินอยู่เต็มตัว มีหางคล้ายปลากระทิง เมื่อลากเส้นผ่าสูญกลางผ่านมุมปากเส้นผ่าสูญกลางจะผ่ากลางดวงตาของปลาตัวนี้พอดี

ในฝันนั้นชายชราเห็นตัวเองกำลังดึงปลาตัวนั้นเข้าฝั่ง ทุกครั้งที่ดึงมันเข้าฝั่ง มันก็จะดึงชายชรากลับลงไปในน้ำ ชายชรากับเจ้าปลาประหลาดตัวนั้นต่อสู้กันเนิ่นนาน แต่ไม่มีผู้ใดยอมแพ้ เมื่อตะวันสายโด่ง ความร้อนได้ทำให้ชายชราเหนื่อยหอบ เรี่ยวแรงเคยมีก็ค่อยๆ หายไป ขณะชายชรานั่งพักเหนื่อยอยู่ริมฝั่ง ปลาประหลาดตัวนั้นก็กระโดดขึ้นเหนือสายน้ำ ก่อนมันจะตกลงไปในน้ำ สีของมันได้เปลี่ยนเป็นสีทอง เมื่อมันจมลงสู่น้ำ ก็เป็นเวลาที่ชายชราหายจากการตกตะลึง เมื่อตั้งสติได้ ชายชราก็แก้เชือกสายเบ็ดและลองดึงเจ้าปลาประหลาดตัวนั้น หลังชายชราใช้มือสาวเชือก ๒-๓ ครั้ง เชือกสายเบ็ดเบาโหวง แรงดึงที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เหมือนว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น

หลังสาวเชือกขึ้นมาบนฝั่งจนหมด ชายชราก็พบว่า ตรงปลายเชือกผูกเบ็ดมีเพียงเบ็ดดวงเดียว ปลาประหลาดตัวนั้นหายไปแล้ว ขณะชายชราตะลึงงันอยู่ ลมหนาววูบใหญ่ก็พัดมาอย่างแรง ลมนั้นพัดชายชราจนล้มลง เมื่อนอนกองอยู่กับพื้นความทรงจำของชายชราก็ดับวูบลง หลังคววามจำสุดท้ายดับวูบลง ชายชราก็สะดุ้งตื่น...

สิ้นเสียงไก่ขันครั้งที่ ๒ ของค่ำคืน ชายชราก็ตัดสินใจลุกจากที่นอน เพราะหลังจากความฝันประหลาดผ่านพ้นไป ชายชราก็ไม่สามารถข่มตาให้หลับได้ เมื่อตื่นขึ้นมาชายชราก็นั่งเรียบเรียงความฝันประหลาดนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ชายชรามึนงงกับความฝันเป็นอย่างมาก ในชีวิตแกไม่เคยฝันอะไรแปลกประหลาดอย่างนี้ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งมึนงงสับสน เมื่อความมึนงงสับสนไม่มีทีท่าว่าจะหาย สุดท้ายชายชราจึงหยุดคิดถึงความฝันประหลาด หลังความมึนงงสับสนหายไป ชายชราก็ลุกออกจากกระท่อมเดินไปท่าน้ำ เมื่อไปถึง ชายชราก็เดินขึ้นไปบนเรือ และพายเรือออกไปจากท่าน้ำ

ตะวันสายโด่งแล้ว ชายชรากับเรือหาปลาได้เดินเข้ากลับเข้าฝั่ง หลังจากออกไปเก็บกู้เบ็ด สีหน้าของชายชราหม่นเศร้าลง เพราะไม่มีปลาแม้แต่ตัวเดียวติดเบ็ด เมือเรือเข้าถึงฝั่ง ชายชราก็ผูกเรือกับเสาไม้ไผ่ เมื่อผูกเรือเรียบร้อย ก็ลุกขึ้นเดินไปปลดเครื่องยนต์ตรงท้ายเรือ จากนั้นก็ยกขึ้นบนบ่า ก่อนจะค่อยๆ เดินออกจากเรือขึ้นไปบนกระท่อม

หลายวันมาแล้วที่หาปลาไม่ได้ วันนี้ชายชราจึงตัดสินใจกลับบ้าน หลังจากเก็บของทุกอย่างบริเวณกระท่อมไว้อย่างดีแล้ว ชายชราก็แบกถุงปุ๋ยใส่เสื้อผ้าเดินจากกระท่อมขึ้นมาตามทางเดินแคบ และชันไปบนถนน เพื่อรอรถโดยสารกลับบ้าน

บรรยากาศของพลบค่ำเริ่มมาเยือน ท้องฟ้าในฤดูหนาวมืดเร็วกว่าฤดูอื่น ขณะตะวันใกล้ลับตา ผมได้รู้จากแม่เฒ่าว่าชายชรากลับมาแล้ว ผมก็เลยตัดสินใจไปหาชายชรา เพราะยากได้ปลาไปลาบสักตัวอยู่พอดี พอเดินไปถึงบ้าน ชายชราก็ชวนนั่งบนเตียงหน้าบ้าน ถัดมาจากผมและชายชราไป แม่เฒ่ากำลังล้างทำความสะอาดปลา เพื่อทำอาหารเย็น หลังผมนั่งลงเรียบร้อย ชายชราก็ยกน้ำใสแจ๋วออกมา ชายชราบรรจงรินมันใส่แก้วใบเล็กแล้วยื่นให้ผม หลังรับมาผมก็ยกครั้งเดียวหมด หลังน้ำใสแจ๋วผ่านลำคอ ไปสู่กระเพาะ ความร้อนจากแรงดีกรีก็เริ่มทำงาน เมื่อผลยื่นแก้วกลับไปให้ชายชราผมก็ถามชายชราว่า

“วันนี้ได้ปลาอะไรบ้างพ่อเฒ่า”
“ได้ปลาสะโม้ตัวเดียว ขายไปแล้ว ตอนแรกว่าจะไม่ขายแต่กลัวไม่มีค่าน้ำมันเรือขึ้นไปเก็บกู้เบ็ดก็เลยขาย ปลานี่มันใจเสาะตายเร็วถ้าได้มาต้องรีบขาย หรือไม่ก็เอาแช่น้ำไว้ ถ้าตายมันได้ราคาไม่ดี ปลาอะไรไม่รู้พอได้มาเราต้องรีบเอาไปทำอย่างอื่น จับปลาเหมือนจับไฟเลย มันคงร้อนตอนอยู่ในมือเรา มันก็เลยให้เรารีบปล่อยมัน ถ้าไม่ปล่อยมันตายเลย”


“ได้เงินมาเท่าไหร่พ่อเฒ่า”
เมื่อผมถามถึงจำนวนเงินจากการขายปลา ชายชราไม่ตอบ แต่ลุกเดินไปหยิบเงินในกระเป๋าเสื้อออกมาให้ดู

“ได้เท่านี้แหละ ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะได้ปลาหรือเปล่าหรือจะกลับมามือเปล่าอีกก็ไม่รู้”
พอพูดคำนี้ออกมา แกก็หันหน้าไปทางอื่นไม่ยอมหันมาสบตากับผม ในแววตาของชายชราหม่นเศร้าลงชั่วขณะ

“พรุ่งนี้จะขึ้นไปหาปลาอยู่หรือเปล่า”
“ไปอยู่ ตอนแรกว่าจะไม่ไป พอคิดไปคิดมา ถ้าเราไม่ไปใครจะเปลี่ยนเหยื่อเบ็ดให้”
“แล้วไปเช้าไหมพ่อเฒ่า”
“เช้าอยู่ แต่ถ้าไปครั้งนี้พรุ่งนี้ไม่ได้ปลาอีกจะไม่เอาเรือลงมาแล้ว จะมากับรถโดยสาร มันถูกกว่า เอาเรือมาจ่ายค่าน้ำมันทั้งไปและกลับแพงกว่าค่ารถโดยสารเท่าตัว”
“ถ้าว่างก็ขึ้นไปเที่ยวหาสิ”

เสียงของแม่เฒ่าเชิงแสดงความคิดเห็นดังเล็ดลอดออกมาจากในครัว หลังจากปลาปิ้งเริ่มส่งกลิ่นหอม

เมื่อแม่เฒ่าพูดจบ ผมก็ตอบแม่เฒ่ากลับไปว่า
“พรุ่งนี้ผมจะขึ้นไปเที่ยวหาพ่อเฒ่าอยู่บอกแกแล้ว”

ตอนนี้เสียงทำอาหารในครัวเงียบลงแล้ว ตรงหน้าประตูห้องครัว แม่เฒ่ากำลังถือจานปลาปิ้งเดินออกมา หลังวางจานปลาปิ้งลง แม่เฒ่าก็เดินกลับไปในครัวอีกครั้ง แล้วก็กลับออกมาพร้อมด้วยกระติ๊บข้าวและถ้วยน้ำพริก มื้อเย็นสำหรับสองผู้เฒ่าในวันนี้คือ ปลาตากแห้งปิ้งกับน้ำพริกปลาร้า

แม่เฒ่าชวนผมกินข้าวด้วย แต่เพราะความเกรงใจผมจึงบอกปฏิเสธ และขอตัวกลับบ้าน ก่อนจะกลับ ชายชราได้ยื่นแก้วใบเดิมมาให้ ผมรับแก้วมาจากชายชราแล้วยกขึ้นแก้วขึ้นดื่มน้ำในแก้วรวดเดียวหมด หลังน้ำในแก้วหมด ผมก็ยื่นแก้วกลับคืนไปให้ชายชรา จากนั้นก็เดินจากบ้านหลังนั้น และผู้เฒ่าทั้งสองมาตามถนนกลับไปสู่บ้านพัก

เมื่อวงข้าวเริ่มต้นขึ้น ผมจึงตัดสินใจร่ำลาผู้เฒ่าทั้งสอง เพื่อปล่อยให้บรรยากาศแห่งความสุขในยามค่ำคืนของผู้เฒ่าทั้งสองกลับมาอีกครั้ง เพราะวันพรุ่งนี้คนหนึ่งต้องเดินทางออกจากบ้าน เพื่อไปทำมาหากิน และไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้ ผู้เฒ่าทั้งสองจะได้ร่วมวงกินข้าวมื้อเย็นด้วยกันอีกหรือไม่

หลังผมกลับมาถึงบ้านพักก็หวนคิดถึงคำพูดของเพื่อนคนหนึ่งที่บอกว่า หากเราไม่จากกัน เราคงไม่ได้พบกัน ในยามจากถึงแม้เราต้องเดินทางไปส่งกันไกลเพียงไหน สุดท้ายเราก็ต้องจากกันอยู่ดี และความจริงก็คงเป็นเช่นนั้น โดยเฉพาะกับผู้เฒ่าทั้งสองคน เมื่อยามเช้าเดินทางมาถึง ห้วงยามแห่งการจากลาระหว่างก็จะเดินทางมาถึง ในความจริง ยามเช้าอาจหมายถึงการเริ่มต้นในหลายๆ สิ่ง แต่ในขณะที่บางคนต้องตื่นมาพบกับยามเช้าอันจบลงด้วยการพรัดพราก หากว่ายามเช้าคือความเศร้าของชีวิต โลกยามเช้าจะเป็นโลกชนิดใด จังหวะชีวิตอันเกิดขึ้นจากโลกอันโศกเศร้าจะเป็นเช่นไรคงยากจะคาดเดาได้...

บล็อกของ สุมาตร ภูลายยาว

สุมาตร ภูลายยาว
จากประวัติศาสาตร์ที่มีการบันทึกทั้งเป็นอักษร และไม่มีอักษร การสร้างเขื่อนเพื่อกักเก็บน้ำ และทำกิจกรรมอย่างอื่นมีมาหลายร้อยปีแล้ว หากนึกถึงเขื่อนหลายคนอาจนึกถึงสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ขวางกั้นลำน้ำ และเมื่อนึกถึงเขื่อน เรานึกถึงอะไรเกี่ยวกับเขื่อนบ้าง แน่ละบางคนอาจตอบว่าไฟฟ้า บางคนอาจตอบว่าสถานที่ท่องเที่ยวรวมไปถึงน้ำเพื่อการเกษตร แต่สิ่งหนึ่งที่เราลืมนึกถึงไปเมื่อพูดถึงเขื่อน คือเรื่องราวเล็กๆ ในบริเวณสร้างเขื่อน ทั้งเรื่องของป่าไม้ ที่ดิน สัตว์ป่า และรวมไปถึงเรื่องราวของผู้คนที่ต้องอพยพออกจากพื้นที่ก่อการสร้างเขื่อน “ทองปาน”…
สุมาตร ภูลายยาว
เราต่างรู้ชัดแจ้งเห็นจริงว่า บนดาวเคราะห์ที่ชื่อว่าโลก อันมีสันฐานเป็นทรงกลมคล้ายผลส้มใบนี้มีน้ำมากกว่าพื้นดิน แต่สิ่งหนึ่งที่เราหลายคนอาจไม่รู้คือ เรื่องการแบ่งพรมแดนแผ่นดินโดยใช้แม่น้ำเป็นเส้นแบ่ง คนในยุคสมัยก่อนคิดได้ยังไงว่า แม่น้ำส่วนไหนเป็นของประเทศใด เพราะธรรมชาติแม่น้ำมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา    ในเอเชียของเรามีแม่น้ำหลายสายที่ถูกขีดแบ่งเป็นเส้นพรมแดน ไม่ว่าจะเป็นเส้นแบ่งหมู่บ้านกับหมู่บ้าน ตำบลกับตำบล จังหวัดกับจังหวัด และประเทศกับประเทศ และบ่อยครั้งที่การแบ่งแม่น้ำออกเป็นพรมแดน คนที่อยู่ริมน้ำไม่เคยได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง…
สุมาตร ภูลายยาว
“มื้ออื่นไปแต่เช้าเด้อ เดี๋ยวพ่อสิไปเอิ้นดอก” ถ้อยคำสุดท้ายของชายวัย ๖๐ กว่าที่นั่งอยู่ในบ้านดังแว่วออกมา ขณะเรากำลังเดินจากกระท่อมของพ่อเฒ่ามา หลังพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปไม่นาน หมู่บ้านจมอยู่ในความมืด ถ้าเป็นเมื่อ ๑๐ กว่าปีก่อนในตอนเย็นเช่นนี้หมู่บ้านจะเงียบกว่าที่เป็นอยู่ เพราะคนในหมู่บ้านยังไม่ได้เดินทางกลับมาจากไร่
สุมาตร ภูลายยาว
หลังมุ่งแก้ปัญหาการขาดน้ำใช้ในฤดูแล้งมาตลอดระยะเวลา ๒ ปี ชาวบ้านหลวงบางส่วนจึงมุ่งหน้าเดินทางขึ้นสู่ภูเขา เพื่อไปสู่ขุนห้วย ผู้ชายบางคนถือมีด บางคนถือจอบ ผู้หญิงหาบเครื่องครัวทั้งพริก ถ้วย ชาม เดินตามทางเดินเล็กๆ มุ่งหน้าสู่จุดหมายเดียวกัน เสียงดังมาจากเบื้องหน้าให้เร่งฝีเท้าในการเดินทางขึ้นอีก เพราะเป้าหมายใกล้ถึงแล้วชาวบ้านเหล่านี้เดินทางเพื่อไปสู่เป้าหมายใดกัน เมื่อขบวนเดินทางพ้นจากที่ราบอันเป็นไร่ข้าวโพดไปแล้วก็มุ่งหน้าขึ้นสู่ขุนห้วยอันเป็นต้นกำเนิดของห้วยหลวง ที่ขุนห้วยมีชาวบ้านบางส่วนเดินล่วงหน้าไปรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อขบวนใหญ่เดินมาสมทบในภายหลัง พิธีการบูชาเทพแถนผีป่าผีน้ำก็เริ่มขึ้น…
สุมาตร ภูลายยาว
ลำเซียงทาล่องไหลมาเนิ่นนาน.....ทานทน ฝน-ร้อน-หนาวปล่อยไอหมอกขาวลอยล่องสู่ท้องฟ้าเมฆมหึมาก่อฝน....เหนือโป่งขุนเพชรในหุบห้วยล้วนร่องธารที่ผ่านมาเวลานาฑีไม่มีใครรู้เพียงกระพริบไหวของสายตาแห่งหมู่เมฆลมโยกเยกฝนใหญ่โปรยปรายลำเซียงทามาจากหุบห้วยใหญ่ไหลล่องผ่านปี-เดือนไผ่ไหวเหนือสายน้ำลำเซียงทายามลมผ่านผิวปลิดปลิวเคว้งคว้างพลิ้วไหวอ่อนโยนลำเซียงทาโอบอุ้ม-อุ่นเอื้อโป่งขุนเพชร,เทพสถิตย์, ชัยภูมิ ,๒๕๔๗
สุมาตร ภูลายยาว
แม่น้ำเกิดมาจากสายฝน-สายฝนเกิดจากแม่น้ำ นานมาแล้วต้นกำเนิดของแม่น้ำ และสายฝนมาจากที่เดียวกัน ทุกสิ่งล้วนสัมพันธ์เชื่อมโยง เช่นเดียวกับแม่น้ำสายใหญ่ที่หล่อเลี้ยงผู้คนในแถบอีสานใต้ แม่น้ำสายนี้ชื่อว่า ‘แม่น้ำมูน’ มีต้นกำเนิดจากสายน้ำเล็กๆ บริเวณเขาแผงม้า จังหวัดนครราชสีมา หลังจากนั้นก็ไหลเรื่อยผ่านสุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ ก่อนไหลลงบรรจบกับแม่น้ำโขงที่บริเวณแม่น้ำสองสีในอำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ลำน้ำสายยาวได้หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนมาหลายชั่วอายุคน ตั้งแต่หลายปีตลอดการไหลของแม่น้ำมีเรื่องราวหลายเรื่องเกิดขึ้น…
สุมาตร ภูลายยาว
ฉันเคยสงสัยอยู่ว่า คนเราเมื่อเดินทางไกลข้ามคืนข้ามวัน เราล้วนได้รับความเหนื่อยล้า แต่เมื่อไปถึงปลายทาง เราจะสลัดทิ้งความเหนื่อยล้าได้ยังไง คำถามเช่นนี้ไม่เคยเป็นคำตอบเลยสำหรับฉัน เพราะบ่อยครั้งที่เริ่มต้นเดินทางไกล–อันหมายถึงระยะทาง ทุกครั้งเมื่อถึงจุดหมาย ฉันหวังเพียงได้เอนตัวลงพักพอหายเหนื่อยแล้วค่อยคลี่คลายชีวิตไปสู่ทิศทางอย่างอื่น แต่นั้นก็เป็นเพียงความคิดที่วูบเข้ามา ความจริงการจะทำเช่นนั้นไม่เคยเกิดขึ้นเลย โดยเฉพาะกับการเดินทางครั้งนี้ หลังรถโดยสารปรับอากาศสายเชียงใหม่-อุบลราชธานี พาผู้โดยสารออกเดินทางยาวนานถึง ๑๗ ชั่วโมงจอดสงบนิ่งลงที่ท่ารถห่างออกมาจากตัวเมือง…
สุมาตร ภูลายยาว
พ่อเฒ่าฟาน ดิน กัน แห่งหมู่บ้านทรีอาน (หมู่บ้านแห่งสันติ) หมู่บ้านริมแม่น้ำซมฮอง (แม่น้ำแดง) เส้นเลือดใหญ่ของชาวฮานอยยืนตระหง่านบนหัวเรือ หากไม่มีการถามไถ่คงยากที่จะคาดเดาอายุของพ่อเฒ่าได้ ปีนี้พ่อเฒ่าอายุ ๖๔ แล้ว ขณะพ่อเฒ่ายืนตระหง่านตรงหัวเรือ สายลมหนาวของเดือนมกราคมยังคงพัดมาเย็นเยือก ในสายลมหนาวนั้นมีฝนปนมาเล็กน้อย พ่อเฒ่าบอกว่า ฝนตกช่วงเดือนธันวาคม-มีนาคมที่ฮานอยเป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่ไม่ธรรมดาคือความหนาว เพราะปลายปีที่ผ่านมาจนถึงต้นปี ๕๑ ความหนาวเย็นที่พัดมาขนาดหนักเช่นนี้เกิดขึ้นแล้ว ๓ ครั้ง ว่ากันว่าอากาศที่เปลี่ยนแปลง คงเป็นเพราะโลกเรามันร้อนขึ้นในเรือมีผม และเพื่อนร่วมทางอีก ๒ คน…
สุมาตร ภูลายยาว
หลังการเดินทางอันเหนื่อยล้าด้วยการล่องเรือข้ามวันข้ามคืนในแม่น้ำโขงสิ้นสุดลง ผมพบว่าตัวเองกลายเป็นคนติดการฟังเป็นชีวิตจิตใจ บางครั้งในยามเย็นที่ขี่รถมอเตอร์ไซค์ (ขออภัยที่ไม่ใช้จักรยาน เพื่อการประหยัดพลังงาน) ไปซื้อกับข้าว ผมพบว่า รถเข็นขายอาหารสำเร็จรูปจำพวกแกงถุงของลุงรัญเจ้าเก่าในซอยวัดโป่งน้อยมีเรื่องเล่าหลายเรื่องให้ผมต้องนิ่งฟังเรื่องเล่าหลายเรื่องที่ผู้ซื้อนำมาเล่าให้พ่อค้าฟัง และหลายเรื่องเช่นกันที่พ่อค้าได้นำมาเล่าให้ลูกค้าฟัง บางเรื่องที่ผมได้ยิน ผมก็เลยผ่านเลยไป แบบว่าฟังพอผ่านๆ แต่บางเรื่องต้องนำกลับมาคิดต่อ…
สุมาตร ภูลายยาว
แม่น้ำโขงถือว่าเป็นแม่น้ำแห่งพรมแดนสายสำคัญที่ไหลเป็นเส้นแบ่งของหลายประเทศมีผู้คนจำนวนไม่น้อยได้ใช้ประโยชน์จากแม่น้ำสายนี้  ในจำนวนของคนริมสองฝั่งแม่น้ำโขงมีคนจำนวนไม่น้อยรับรู้ได้ว่า วันนี้มีอะไรเกิดขึ้นกับแม่น้ำสายที่พวกเขาคุ้นเคย ฤดูหนาวแม่น้ำสีคล้ายน้ำโอวันติลไหลเอื่อยๆ เหมือนคนหายใจรวยรินใกล้สิ้นลมหายใจเต็มที แม่น้ำไม่เป็นเหมือนเมื่อก่อนที่เคยเป็นมา เมื่อรับรู้ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ชาวบ้านห้วยลึก หมู่ ๔ อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงรายที่ได้อาศัยประโยชน์จากแม่น้ำมาหลายชั่วอายุคนจึงได้รวมตัวกันทำพิธีสืบชะตาให้กับแม่น้ำ…
สุมาตร ภูลายยาว
“สาละวินไม่มีคน” คือคำพูดของบรรดานักพัฒนาผู้แสวงหากำไรบนหนทางของการพัฒนาลุ่มน้ำแห่งนี้ได้ยกขึ้นมาบอกกล่าวจนชินหู แต่หากได้ลงมาล่องเรือเลียบเลาะสายน้ำชายแดนแห่งนี้ จะพบว่าแม่น้ำนานาชาติสายที่ยาวที่สุดในภูมิภาคอุษาคเนย์ที่ยังคงไหลอย่างอิสระแห่งนี้เป็นบ้าน เป็นชีวิตของผู้คนมากมาย โดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในผืนป่าตลอดสองฝั่งน้ำงานวิจัยปกากญอ “วิถีแม่น้ำและผืนป่าของปกากญอสาละวิน” ได้จัดทำโดยนักวิจัยชาวบ้าน ปกากญอ หรือชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงจาก ๕๐ หย่อมบ้านในพื้นที่ลุ่มน้ำสาละวินบนพรมแดนไทย-พม่า เขต อ.แม่สะเรียง และ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน…
สุมาตร ภูลายยาว
ลมหนาวพัดข้ามมาจากขุนเขา บางคนบอกว่าลมหนาวพัดมาจากไซบีเรีย ซึ่งสังเกตได้จากการดูนกอพยพหนีหนาวมา บางคนก็บอกว่าลมหนาวพัดมาจากเทือกเขาสูงของประเทศจีน เมื่อลมหนาวมาเยือน เพียงต้นฤดูหนาวเช่นนี้ก็สามารถสัมผัสได้ทางผิวกายที่เริ่มแห้งลงเรื่อยๆ และป่าเริ่มเปลี่ยนสีพร้อมผลัดใบไปกับลมแล้งในความหนาวเย็นนั้น เขาเดินทางรอนแรมฝ่าสายน้ำอันเชี่ยวกรากของหน้าแล้งไปตามลำน้ำสายหนึ่งที่อยู่สุดเขตแดนประเทศไทยด้านตะวันตก เขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าทำไมเขาต้องมายังที่แห่งนี้ เพราะในส่วนลึกของหัวใจของเขามันไม่ได้เรียกร้องให้เขาเดินทางมายังที่แห่งนี้เลย ในห้วงแห่งกาลเวลาอย่างนี้ไม่มีใครรับรองได้ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น‘สบเมย’…