แม่น้ำโขงถือว่าเป็นแม่น้ำแห่งพรมแดนสายสำคัญที่ไหลเป็นเส้นแบ่งของหลายประเทศมีผู้คนจำนวนไม่น้อยได้ใช้ประโยชน์จากแม่น้ำสายนี้ ในจำนวนของคนริมสองฝั่งแม่น้ำโขงมีคนจำนวนไม่น้อยรับรู้ได้ว่า วันนี้มีอะไรเกิดขึ้นกับแม่น้ำสายที่พวกเขาคุ้นเคย
ฤดูหนาวแม่น้ำสีคล้ายน้ำโอวันติลไหลเอื่อยๆ เหมือนคนหายใจรวยรินใกล้สิ้นลมหายใจเต็มที แม่น้ำไม่เป็นเหมือนเมื่อก่อนที่เคยเป็นมา เมื่อรับรู้ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ชาวบ้านห้วยลึก หมู่ ๔ อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงรายที่ได้อาศัยประโยชน์จากแม่น้ำมาหลายชั่วอายุคนจึงได้รวมตัวกันทำพิธีสืบชะตาให้กับแม่น้ำ สิ่งที่ชาวบ้านกลุ่มนี้ทำแม้ว่าอาจไม่ช่วยให้แม่น้ำที่พวกเขารู้จักกลับคืนมาเป็นเหมือนเดิม แต่ทุกคนก็ยินดีจะทำ เพราะสิ่งที่ชาวบ้านกระทำคือการสืบทอดความเชื่ออันมีมาแต่บรรพบุรุษ
ตามคติความเชื่อแล้ว ชาวบ้านเชื่อว่าการสืบชะตาหมายถึง การต่ออายุให้ยืนยาวออกไป ในกรณีของทางภาคเหนือนั้น การต่อชะตามีหลายอย่าง และนิยมทำในหลายกรณี ชาวบ้านบางกลุ่มที่มีวิถีชีวิตผูกพันธ์กับแม่น้ำ ในยามที่เห็นว่า แม่น้ำกำลังเปลี่ยนแปลงไป เช่น น้ำแห้ง น้ำแล้ง หรือแม้แต่ปลาลดลง ชาวบ้านก็จะจัดพิธีสืบชะตาให้กับแม่น้ำ แต่สำหรับบางชุมชน แม่น้ำก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่ชาวบ้านก็นิยมจัดพิธีสืบชะตาให้กับแม่น้ำ เพื่อต่ออายุ และความเป็นสิริมงคลจะได้เกิดขึ้นกับแม่น้ำรวมทั้งผู้คนในชุมชนไปด้วย
การสืบชะตาให้กับแม่น้ำจึงเป็นการแสดงออกถึงความศรัทธา ความเคารพ และเหนือสิ่งอื่นใดคือการร่วมกันแสดงออกถึงความห่วงใยต่อแม่น้ำ
บางครั้งการสืบชะตาให้กับแม่น้ำ ชาวบ้านนิยมทำพร้อมกันหลายหมู่บ้าน แต่บางพื้นที่ก็นิยมทำเพียงหมู่บ้านเดียว อย่างที่บ้านห้วยลึกก็เช่นกัน ชาวบ้านเลือกเอาวันที่ ๙ ของเดือนแห่งปี ๒๕๕๑ จัดงานสืบชะตาให้กับแม่น้ำโขง แม่น้ำสายหลักที่ได้หล่อเลี้ยงชุมชนแห่งนี้ในด้านต่างๆ มาหลายชั่วอายุคน
พ่อประพันธ์ รัตนะ มัคทายกผู้นำทางศาสนาของชุมชนกล่าวว่า “ชาวบ้านจัดงานสืบชะตาครั้งนี้ก็เพื่อให้แม่น้ำได้หลุดพ้นการถูกทำลายด้านต่าง พอสืบชะตาแม่น้ำแล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองแม่น้ำก็จะบันดาลให้คนในชุมชนอยู่เย็นเป็นสุข อีกอย่างหนึ่ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองแม่น้ำก็จะบันดาลให้แม่น้ำกลับมาอุดมสมบูรณ์อย่างเดิม”
อะไรเป็นเหตุเป็นผลให้ชาวบ้านหัวยลึกได้พากันร่วมทำพิธีต่อลมหายใจให้กับแม่น้ำในครั้งนี้ หากจะเล่ารายละเอียดเรื่องนี้ก็คงต้องย้อนกลับไปในปี ๒๕๓๙ ซึ่งเป็นปีที่เขื่อนแห่งแรกบนแม่น้ำโขงดำเนินการกักเก็บน้ำ ทันทีที่เขื่อนมันวานได้เริ่มดำเนินการกักเก็บน้ำในช่วงแรกหลังการก่อสร้าง ระดับน้ำในแม่น้ำโขงก็เริ่มเปลี่ยนแปลง แต่ไม่ถึงกลับเปลี่ยนไปมาก ความเปลี่ยนแปลงค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นภายหลังความเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ได้ค่อยเป็นค่อยไป
หลังการเปิดใช้เขื่อนแห่งแรกบนแม่น้ำโขงอย่างเป็นทางการ น้ำในแม่น้ำก็เริ่มลดระดับลง และระดับน้ำขึ้น-ลงไม่ตรงตามระยะเวลาของฤดูที่เคยเป็นมา จากสถิติซึ่งจดบันทึกโดยกรมอุทกวิทยาที่สถานีวัดระดับน้ำเชียงแสนระบุว่า ในปี ๒๕๔๒ ระดับน้ำอยู่ในจุดต่ำสุดคือ ๐.๗๔ เมตร เมื่อระดับน้ำเปลี่ยนแปลงเช่นนี้อะไรเกิดขึ้นบ้าง?
ทันทีที่ระดับน้ำเปลี่ยนแปลง ระบบนิเวศของแม่น้ำโขง ๑๑ ซึ่งมีการสำรวจจากงานวิจัยจาวบ้านพบว่า “คก” แหล่งที่อยู่อาศัยและวางไข่ของปลาบางแห่งตื้นเขิน เช่น คกหลวง คกขนาดใหญ่ในแม่น้ำโขงอยู่บริเวณแก่งผาไดรอยต่อพรมแดนไทย-ลาว คกแห่งนี้ตื้นเขินจนไม่กลายเป็นคกหลวงอีกต่อไป (หมายเหตุคำว่า ‘หลวง’ ในภาษาท้องถิ่นภาคเหนือแปลว่า ‘ใหญ่’) บางแห่งโดนทรายทับถมจนกลายเป็นพื้นที่ต่อกับผืนดิน เช่น คกลิงน้อย บริเวณบ้านแก่งไก่ อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย
หลังน้ำขึ้น-ลงผิดปกติ ระบบนิเวศเปลี่ยนแปลง ปลาที่เคยมีอยู่จำนวนมากก็ค่อยๆ กลายเป็นสิ่งหายาก ๒-๓ ปีที่ผ่านมา คนหาปลาหาปลาได้น้อยลง บางคนถึงกับต้องเลิกหาปลาไปทำการเกษตรเพียงอย่างเดียว ทั้งที่การหาปลาเป็นงานที่สร้างหลายได้จำนวนไม่น้อยให้กับผู้คนหาปลาในแม่น้ำโขง
พ่อทองสวรรค์ พรมราช อดีตคนหาปลาเล่าให้ฟังว่า “แต่ก่อนคนหาปลานี่เลี้ยงครอบครัวได้ เดียวนี้ไม่ได้แล้ว ลงหาปลามากินยังยากเลย จะหาไปขายยิ่งยากกว่า ตอนนี้คนหาปลาเลยมีน้อย มันหาปลายาก บางคนก็ไปทำสวนรายได้มันมั่นคงกว่า”
ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับคนหาปลานั้นเป็นผลกระทบที่คนหาปลาไม่อาจต้านทานได้ เช่นเดียวกัน แม่น้ำก็ไม่อาจต้านทานผลกระทบอันเกิดจากโครงการพัฒนาที่มุ่งตอบสนองความต้องการอันไม่มีที่สิ้นสุดของมนุษย์ได้เช่นกัน
ไม่มีใครตอบได้ชัดเจนว่า การบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นไปในทิศทางใด และใครจะเป็นคนรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นกับแม่น้ำโขงอันเป็นเหมือนเส้นเลือดใหญ่แห่งอุษาคเนย์สายนี้
ในวันที่แม่น้ำไหลเอื่อยๆ คล้ายคนใกล้สิ้นลมหายใจ การลุกขึ้นมาต่อลมหายใจให้กับแม่น้ำตามคติความเชื่อโบราณของคนกลุ่มเล็กๆ แม้ว่า มันจะไม่สามารถเป็นผลทางรูปธรรมที่แตะต้องได้ แต่หากว่ารูปธรรมทางด้านจิตใจอันดีงามของคนกลุ่มนี้กลับงอกเงย และจับต้องได้
**บทความนี่ตีพิมพ์ครั้งแรก หน้าคติชน หนังสือพิมพ์มติชน