การศึกษาทำความเข้าใจและอธิบายโลกทางสังคม ต้องวางอยู่บนฐานสำคัญสองประการ 1) ตระหนักว่าปรากฏการณ์ทางสังคมเป็นผลผลิตของมนุษย์ ไม่ได้เกิดขึ้นและดำรงอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง 2) ตระหนักว่าผู้คนหรือองค์กรที่มีส่วนในการสร้างและ/หรือรักษาสภาพปรากฏการณ์หนึ่ง ๆ ทางสังคมไว้ มีมากกว่ากลุ่มเดียว ฝ่ายเดียว ขั้วเดียว หรือชนชั้นเดียว
งานวิจัยคลาสสิคของเอมิล ดูร์ไกม์ (Émile Durkheim) เรื่อง การฆ่าตัวตาย [1] อันเป็นหมุดหมายสำคัญในการสถาปนาวิธีการศึกษาแบบสังคมวิทยา ก็วางอยู่บนหลักการดังกล่าวข้างต้น เพราะ แม้การฆ่าตัวตายเกิดจากการตัดสินใจของตัวผู้ตายเอง แต่ดูร์ไกม์ได้วิเคราะห์และแสดงให้เห็นว่า จำนวนคนฆ่าตัวตายจะมีมากในช่วงเวลาที่กิจกรรมหรือปฏิสัมพันธ์ทางสังคมมีความเข้มข้น และ ในสภาวะที่การบูรณาการทางสังคม (Social Integration) ขาดสมดุล ด้วยเหตุนี้ จำนวนคนฆ่าตัวตายในเมืองจึงมีมากกว่าในชนบท ในฤดูร้อนมากกว่าในฤดูหนาว ในช่วงเวลากลางวันมากกว่ากลางคืน โดยคนฆ่าตัวตายมักเป็นคนโสดมากกว่าคนที่แต่งงานแล้ว และ เป็นคนที่ไม่มีลูกมากกว่าคนที่มีลูกแล้ว (โสด ไม่มีลูก = ขาดแรงยึดเหนี่ยวทางสังคม) เป็นต้น
การเกิดขึ้นและดำรงอยู่ของปรากฏการณ์แรงงานต่างด้าวแบบผิดกฎหมาย ก็เช่นกัน ส่วนหนึ่ง มันคือผลจากความปรารถนาของตัวแรงงานเอง เช่นความปรารถนาจะมีงานที่ให้ค่าตอบแทนสูง มีเงิน มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งต่อตนเองและกับครอบครัว ในมุมนี้ ปรากฏการณ์แรงงานต่างด้าวในประเทศไทย เช่นเดียวกับปรากฏการณ์แรงงานไทยในต่างประเทศ ทั้งที่ถูกและผิดกฎหมาย จึงเป็นภาพสะท้อนความล้มเหลวของโครงสร้างสังคมรัฐบ้านเกิดที่มิอาจตอบโจทย์การมีคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนจำนวนหนึ่งได้
แต่อีกส่วนหนึ่ง การจ้างแรงงานต่างด้าว โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานที่ลักลอบเข้าเมืองแบบผิดกฏหมาย คือผลพวงจากกลไกการทำงานของระบบเศรษฐกิจเสรีนิยม ที่บรรดานายจ้างน้อยใหญ่ในประเทศเจ้าบ้าน (Host Country) มีความต้องการแรงงาน “ราคาถูก” และ “ไร้อำนาจต่อรอง” เพื่อลดต้นทุนและความยุ่งยากในการประกอบการ ปรากฏการณ์นี้เอง คือสิ่งที่เอ็มมานูเอล แตร์เรย์ (Emmanuel Terray - นักมานุษยวิทยาชาวฝรั่งเศส) เรียกว่า “la délocalisation sur place” [2] หรือ “การโยกย้ายฐานการผลิตแบบอยู่กับที่” ซึ่งเป็นรูปแบบการจ้างงานที่อำนวยความสะดวกและสร้างความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตแก่ผู้ประกอบการมากกว่าการโยกย้ายฐานการผลิตในรูปแบบปกติ
โดยทั่วไป การโยกย้ายฐานการผลิต (Delocalization, Offshoring) หมายถึงการเคลื่อนย้ายหรือโอนถ่ายงานบางส่วน เช่นการผลิตและการประกอบชิ้นส่วนสินค้า จากประเทศของผู้ประกอบการไปยังประเทศอื่นที่มีค่าแรงต่ำกว่า ซึ่งโดยส่วนมากแรงงานราคาถูกมักอยู่ในประเทศโลกที่สาม อย่างไรก็ตาม แม้จะมีข้อได้เปรียบด้านค่าแรง แต่การย้ายฐานการผลิตแบบปกตินี้ ก็มีข้อจำกัดและสร้างความวุ่นวายหลายอย่างให้กับผู้ประกอบการ เช่น ต้นทุนค่าขนส่งสินค้าที่เพิ่มขึ้น (ในอุตสาหกรรมบางประเภทผู้ประกอบการต้องนำสินค้าที่ผลิตแล้วกลับมายังประเทศตนเองก่อน หรือประเทศฐานการผลิตอยู่ไกลจากตลาดขายสินค้า เป็นต้น) และ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมือง กฏหมาย หรือนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศที่ตั้งฐานการผลิต เป็นต้น
ดังนั้น เช่นเดียวกับการโยกย้ายฐานการผลิตแบบปกติที่เราคุ้นเคย “การโยกย้ายฐานการผลิตแบบอยู่กับที่” นำมาซึ่งข้อได้เปรียบด้านค่าแรงแก่ผู้ประกอบการ เพราะแรงงานต่างด้าว โดยเฉพาะแบบผิดกฏหมายนั้น ส่วนใหญ่ได้รับค่าตอบแทนต่ำกว่าอัตราค่าแรงขั้นต่ำของประเทศเจ้าบ้าน ทั้งนี้ โดยที่ยังไม่ต้องพิจารณาไปถึงว่ารายได้ของแรงงานเหล่านี้สอดคล้องหรือไม่กับงานของพวกเขาที่มักมีลักษณะ Dirty, Demanding และ Dangerous หรือที่ Stephen Castles เรียกว่า 3-D Jobs [3]
แต่ สิ่งที่ทำให้ “การโยกย้ายฐานการผลิตแบบอยู่กับที่” แตกต่างและสร้างข้อได้เปรียบให้แก่ผู้ประกอบการมากกว่า “การโยกย้ายฐานการผลิตแบบปกติ” คือ แรงงานต่างด้าวแบบผิดกฎหมายไม่มีหลักประกัน ไม่ได้รับการคุ้มครอง และไม่สามารถเรียกร้องใด ๆ จากนายจ้างได้ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการเหล่านี้ยังไม่ต้องเผชิญกับข้อเสียเปรียบเรื่องระยะทางขนส่งสินค้า หรือปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ หรือสังคมและวัฒนธรรมที่ซับซ้อนของประเทศที่ตั้งฐานการผลิตอีกด้วย
ที่สำคัญ “การโยกย้ายฐานการผลิตแบบอยู่กับที่” ช่วยลดภาระความวุ่นวายของผู้ประกอบการในการเสาะแสวงหาพื้นที่อันเป็นแหล่งแรงงานราคาถูก เพราะเป็นตัวแรงงานเองที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อเดินทางข้ามชายแดนมาหางานทำ แม้บางครั้งพวกเขาต้องเสียค่านายหน้าและจ่ายส่วยให้ตัวแทนอำนาจรัฐที่คอยแสวงหาผลประโยชน์ก็ตาม
_______
[1] Émile Durkheim, Le suicide, Paris : Félix Alcan, 1897.
[2] Emmanuel Terray, « Le travail des étrangers en situation irrégulière ou la délocalisation sur place », in Étienne Balibar, Monique Chemillier-Gendreau, Jacqueline Costa-Lascoux et Emmanuel Terray, Sans-papiers : l’archaïsme fatal, Paris : La Découverte, 1999.
[3] Stephen Castles, « Migration and Community Formation under Conditions of Globalization », International Migration Review, New York : Center for Migration Studies of New York, vol. 36, n°4, p.1143–1168, 2002.
โดย วิจิตร ประพงษ์