Skip to main content

 

สถาปนิกผู้หนึ่ง
ทำงานอยู่บริษัทก่อสร้างแห่งหนึ่งมานานหลายปี ตลอดชีวิตการทำงานของเขาได้ออกแบบและสร้างสิ่งก่อสร้างให้บริษัทมากมาย ขณะนี้เขาใกล้จะปลดเกษียณ
อยู่มาวันหนึ่ง ซีอีโอได้เรียกเขาเข้าพบ
“คุณได้ทำงานใหญ่ๆให้เรามานานหลายปี ขณะนี้ผมมีงานสุดท้ายให้คุณทำก่อนเกษียณ” ซีอีโอกล่าว “ผมต้องการให้คุณออกแบบบ้านหลังหนึ่งให้ดีที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ และเป็นผู้รับผิดชอบโครงการนี้ทั้งหมด ที่คุณต้องทำคือ จัดซื้อวัสดุที่ดีที่สุดและจ้างช่างที่มีประสบการณ์มาสร้าง ส่วนค่าใช้จ่าย...ไม่อั้น!”
 
สถาปนิกเห็นเป็นโอกาสดี
ถ้าเขาได้รับผิดชอบโครงการเพียงผู้เดียว เพราะจะไม่มีใครรู้ว่าเขาหลบงานไปไหนบ้าง ไหนๆก็จะเกษียณอยู่แล้ว ครั้งนี้อาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่เขาจะหาเงินพิเศษได้โดยสะดวกสบาย
สถาปนิกได้เบิกเงินงบประมาณอย่างฟุ่มเฟือย แต่ใช้เพียงบางส่วนเท่านั้นในการซื้อวัสดุเกรดต่ำ และใช้คนงานที่ค่าจ้างแพงให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย เขาจึงเร่งให้เสร็จโครงการโดยเร็ว จากนั้นได้รายงานซีอีโอว่า เขาได้ทำงานชิ้นสุดท้ายของเขาเสร็จแล้ว
“ดีมาก!” ซีอีโอมีสีหน้าปิติยินดี “ไปดูกันเถอะ”
เมื่อพวกเขามาถึงที่บ้านหลังนั้น สถาปนิกรู้สึกประหลาดใจที่ได้เห็นเพื่อนร่วมงานของเขาทั้งหมดอยู่ที่หน้าบ้าน กำลังชื่นชมและพูดถึงการออกแบบของเขา สถาปนิกผู้นี้รอบรู้กลยุทธ์ทางการค้าเป็นอย่างดี และเขาได้ใช้มันเพื่อทำให้บ้านหลังนี้ดูดีที่ภายนอก...เขาไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับบ้านหลังนี้ด้วยนี่ !
 
ซีอีโอได้เรียกทุกคนมารวมกัน แล้วกระแอมเบาๆ
“ทุกคนคงรู้แล้วว่า สถาปนิกท่านนี้ได้ทำงานให้พวกเรามาหลายปี ขณะนี้ท่านพร้อมที่จะเกษียณแล้ว บ้านหลังนี้เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงล่าสุดของท่าน”
จากนั้น เขาได้มอบกุญแจบ้านให้เป็นของขวัญแก่สถาปนิกและประกาศว่า
“เพื่อเป็นการขอบคุณสำหรับการอุทิศตัวบริการพวกเรามานานหลายปี จึงขอมอบผลงานชิ้นโบว์แดงนี้ให้เป็นของขวัญแก่ท่านเนื่องในโอกาสที่ท่านปลดเกษียณ”
ขณะที่ทุกคนปรบมือให้อย่างกึกก้อง สถาปนิกยืนงงอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
 
เมื่อเราได้ครอบครองร่างกายที่ต้องตาย และก้าวเข้าสู่โลกนี้ก็เท่ากับเรามีโอกาสที่ดีเป็นพิเศษ ขณะที่สถาปนิกได้รับงานสร้างบ้านที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราก็มีโอกาสที่จะสร้างชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
 
ขั้นตอนที่เป็นปัจจัยสำคัญ
คือการกำหนดสถานที่ตั้งในขั้นต้น ซึ่งเราได้รับโอกาสที่ดีนี้แล้ว ภารกิจขั้นต่อไปของเรานั้น ความจริงแล้วไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย เพราะว่าเรามีอำนาจในการจัดหาวัสดุที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ รวมทั้งความสามารถที่มีอยู่แต่เดิมของเราจะนำพลังมหาศาลไปใช้ในโครงการนี้ได้ เรามีทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นในการทำงานให้ดีที่สุดครบอยู่แล้ว อำนาจที่ได้รับมอบหมายก็ชัดเจน... จ่ายได้ไม่อั้น เพื่อสร้างชีวิตที่ยิ่งใหญ่ !
 
ปัญหาก็คือ
ทันทีที่ทราบว่าเราคือผู้เดียวที่รับผิดชอบโครงการก่อสร้างชีวิตนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ด้านหนึ่งหมายถึงว่า เรามีอิสระในการออกแบบโครงการตามที่เราชอบและดำเนินการตามที่เราเห็นเหมาะสม มันเป็นอิสรภาพที่ยอดเยี่ยมและเป็นการทำให้มีชีวิตชีวา ในอีกด้านหนึ่งหมายถึงว่า ผลสุดท้ายแล้วไม่มีใครเลยเรียกร้องสางที่ดีที่สุดจากเรา หรือบังคับใช้ระเบียบวินัยกับเรา นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงมักใช้วิธีรวบรัดหรือเลี่ยงงาน ทั้งๆที่รู้ว่าไม่ควรทำ ในเมื่อไม่มีใครคอยควบคุมดูแล ยังไงมันก็โอ.เค.อยู่แล้ว?
เราตกลงไปในหลุมพรางแห่งพฤติกรรม ทำให้ดูประหนึ่งว่าเรากำลังสร้างตัวเราเองเพื่อผู้อื่น เราสร้างภาพพจน์เพื่อให้คนอื่นรับรู้ บางทีเราบากบั่นศึกษาคำสอนทางศาสนา เพื่อให้ดูเหมือนว่าเป็นคนดีมีศีลธรรม บางทีเรากล่าวโทษผู้อื่นเพื่อแสดงว่าเรามีความรู้ บางทีเราทำเป็นไม่แยแสกับหน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมาย เพื่อแสดงให้เห็นว่า “ข้าแน่”
 
หลุมพรางนี้
จะสนับสนุนเราให้มีนิสัยเฉื่อยชาหรือทำอะไรชุ่ยๆ เนื่องจากเราสนใจแต่เพียงว่า “ทำอย่างไรให้ภายนอกดูดีเท่านั้นเป็นพอ” ส่วนข้างในจะเป็นอย่างไรไม่สำคัญ ดังนั้น ที่ปรากฏออกมาว่าเป็นผู้เคร่งครัดในศาสนา อาจเป็นเพียงหน้ากากที่ปกปิดความไม่เข้าใจทางด้านจิตใจอย่างแท้จริงเอาไว้ การกล่าวอ้างถึงความรู้อาจเป็นเปลือกนอกของความหยิ่งยโสที่โง่เขลา การแสดงความ “แน่” ออกมาอาจเป็นการเสแสร้งเพื่อปกปิดความ “ไม่มีน้ำยา” เอาไว้
 
วันหนึ่ง
เมื่อตื่นขึ้นมารู้ความจริงว่า ตลอดเวลาที่คิดว่าทำงานเพื่อคนอื่นนั้น ความจริงแล้วเรากำลังทำเพื่อตัวเองเหมือนสถาปนิกในนิทาน เมื่อเราให้ตัวเราเองน้อยกว่าที่เราสามารถได้จริงๆนั้น เราไม่ได้โกงผู้อื่น หากแต่เราโกงตัวเอง
 
โชคดี
ที่เราไม่เหมือนสถาปนิกผู้นั้น เพราะไม่ต้องถูกปลดเกษียณ เราจึงยังมีโอกาสแก้ตัวได้ เมื่อสามารถเข้าใจได้ว่าความจริงแล้ว ตัวเราแสดงบทบาททั้งนายจ้างและลูกจ้างอยู่ในขณะเดียวกัน เราอาจสามารถเลิกบ่อนทำลายตัวเองด้วยวิธีที่สถาปนิกใช้
 
เมื่อรู้สึกตัวเช่นนั้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงอีกต่อไปว่า ใครจะเฝ้ามองดูเราหรือคนจะคิดกับเราอย่างไร เรายังคงยืนหยัดกับการพัฒนาจิตใจต่อไป ไม่ว่าจะมีใครเห็นสิ่งที่เรากำลังทำหรือไม่ก็ตาม
ในตอนท้ายบทที่ 59 ของเต๋าเต็กเก็งกล่าวไว้ว่า
 
ด้วยกฎหลักแห่งพลังที่มีมาแต่กำเนิดนี้
บุคคลสามารถดำรงอยู่ได้ตลอดไป
นี่คือการฝังรากลึกและเป็นรากฐานอันมั่นคง
เป็นหนทางไปสู่ความยั่งยืนและความเป็นอมตะ
 
ถ้าเราเพ่งความสนใจไปที่โลกภายนอกเหมือนผู้คนส่วนมากเขาทำกัน ลักษณะภายนอกที่เราสร้างขึ้นนั้น มิใช่สิ่งที่คงทนถาวร แต่ถ้าเราเพ่งความสนใจไปที่ภายในเหมือนดั่งที่ปราชญ์เต่าทำ เราจะสามารถเชื่อมโงเข้ากับกฎหลักของพลัง
 
บ้านที่สร้างอย่างดีเลิศจากภายในออกมา จะมีความแข็งแรงอย่างแท้จริงและคงทนต่อการทดสอบของกาลเวลา เช่นเดียวกับผู้ฝังรากลึกทางความรู้สึกนึกคิดและมีพื้นฐานทางจิตใจที่มั่นคง ก็เป็นการสร้างตัวเองจากภายในออกมา พวกเขาจะมีความเข้มแข็งที่แท้จริง และสามารถดำรงอยู่ได้อย่างถาวร
 
เมื่อได้ตามที่เต๋าเต็กเก็งแนะนำ
เราจะกลายเป็นสถาปนิกที่แท้จริงผู้กำหนดชะตากรรมของตัวเองด้วยวัตถุก่อสร้างชนิดดีเลิศ คือ ความรัก ความกตัญญู ความเบิกบาน ความอ่อนน้อมถ่อมตน และบรรดาเพื่อนร่วมงานที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ คือ ปัญญาแห่งปราชญ์
เราสามารถ
สร้างโชคชะตา
ให้เป็นงานชิ้นเอกที่แท้จริง.
 
หมายเหตุ ; ผมมีความเข้าใจว่า คุณเกรียงไกร เจริญโท ผู้เขียนวิเคราะห์และอธิบายธรรมจากเต๋า คงได้คัดเลือกเอาแต่ประเด็นสำคัญที่เราสามารถถือเป็นหลักในการดำเนินชีวิตที่ดีได้ (หากคุณศรัทธาและมีความเชื่อ) เพราะแทบทุกบทที่ผมอ่านจากหนังสือ “อยู่อย่างเต๋า” ที่คุณเกรียงไกรเขียนล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของคนทุกคน เช่น ดังที่ผมได้นำเสนอมาให้อ่านแล้วสองสามตอน และเรื่องนี้ถึงแม้จะเน้นการปฏิบัติเพื่อพัฒนาทางจิตใจ แต่ก็เป็นความหมายในเชิงวัตถุไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน
 
เป็นความจริงหรือเปล่านะ
ที่เราลืมกันไปว่า
แท้จริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ
ล้วนแต่เพื่อตัวเราเองทั้งสิ้น
แต่ทำไม
เรา...
 
17 พฤษภาคม 2554
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่
 

 

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
แด่...คนเล็กๆทุกๆคนในสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นคนเสื้อแดง คนเสื้อเหลือง ฯลฯ หรือมิได้เป็นคนเสื้อสีใดๆ ที่ตกเป็นเหยื่อกฎหมายหมิ่นฯ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจพิเศษกับคนเล็กๆ ที่ขาดอำนาจต่อรองที่เข้มแข็งในการปกป้องและต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมให้แก่ตนเอง และไม่มีใครสามารถที่จะช่วยเหลือพวกเขาได้ แม้แต่รัฐบาลที่พวกเขาหลายคนได้เลือกเข้าไป นั่งอยู่ในรัฐสภา.
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
พุทธภาษิตที่กล่าวว่า “ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม” และ “อำนาจย่อมเป็นใหญ่ในโลก” ประการแรกยังน่าสงสัยว่าเป็นความจริงโดยหรือไม่ แต่ประการที่สองที่กล่าวว่า อำนาจย่อมเป็นใหญ่ในโลก เป็นความจริงตามพุทธภาษิตได้กล่าวเอาไว้อย่างแน่แท้
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
อำนาจ ไม่ว่าอำนาจนั้น จะเป็นอำนาจที่ชอบธรรมหรือไม่ ตราบใดที่อำนาจนั้นยังมีอำนาจอยู่ อำนาจนั้น ย่อมมีอำนาจในการบังคับผู้อยู่ภายใต้อำนาจ ให้เชื่อฟังและปฏิบัติตาม
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ยามเช้า โอ้ ยามเช้าอันมืดมนของข้า ยามเช้าที่ข้ามองไม่เห็นหนทางใดๆ ที่จะนำชีวิตลุล่วงผ่านพ้นวันนี้ไปได้ เพราะข้าได้ใช้ตัวช่วยชีวิตทุกตัว