ไม่ว่าคนจะเกิดดับนับเท่าใด
โลกนี้ไม่เคยแปลกแยกคุณค่า
ยังเป็นโลกที่เคยเห็นเป็นธรรมดา
ใครจักมาใครจักพรากไกลจากจร
ดวงอาทิตย์ยังเวียนวกขึ้นตกดิน
สายน้ำรินยังเริงไหลไม่หยุดหย่อน
ดวงดาวและดวงจันทร์ยังสัญจร
สายลมอ่อนหรือแรงจัดยังพัดพราย
ฟากฟ้ายังสูงส่งยังโล่งลึก
ดินยังผนึกมวลมิแยกแตกสลาย
กาลเวลายังเคลื่อนไหวไม่ว่างวาย
คนจักตายหรือก่อร่างมาอย่างไร
มวลแห่งความจริงแท้ไม่แปรผัน
ยังคงอยู่ชั่วนิรันดร์ไม่หวั่นไหว
ไม่ว่าคนจะเกิดดับนับเท่าใด
โลกยังคงหมุนไปไม่ใยดี
ไม่โกรธเกลียดไม่รักไม่ผลักไส
ไม่อาลัยหักห้ามปรามวิถี
ใครจะเริงใครจะร่ำลาเวที
โรงละครแห่งนี้ไม่สะเทือน
ยุคแล้วยุคเล่าเก่าไปใหม่มา
ใต้อำนาจกาลเวลาขับเคลื่อน
โอ้ผองเผ่าเราเกิดดับลับเลือน
เหมือนความฝันคงอยู่ชั่วครู่-ชั่วยาม.
ปล. นี่เป็นบทกวีที่ผมเขียน เมื่อ 2-3 ปีก่อน เพื่อเตือนตัวเองว่า ชีวิตคนเรานั้น....ไม่ว่าจะเป็นคนยิ่งใหญ่หรือเล็กกระจ้อยร่อยเพียงใด ล้วนแล้วแต่ต้องตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขของกาลเวลาที่ไม่อาจต่อรองได้ เมื่อถึงเวลาก็ต้องแตกดับลับไป ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า นอกจากโลกที่เป็นเสมือนโรงละครโรงใหญ่ ที่ผู้คนผลัดเปลี่ยนกันขึ้นไปแสดงบทบาท รุ่นแล้วรุ่นเล่า ยุคแล้วยุคเล่า ในช่วงเวลาอันแสนสั้นของชีวิตแต่ละคน
และคนทุกคนควรจะค้นหาความสุขให้พบ
ในช่วงเวลาอันจำกัดนี้
เนื่องในวาระขึ้นปีใหม่ 2551 ผู้เขียนขอมอบบทกวีบทนี้แด่ผู้อ่านประชาไท เป็นเสมือนของขวัญและคำอวยพร เผื่อบางทีท่านอาจจะได้ข้อคิดดี ๆ จากบทกวีนี้ในวันปีใหม่ ขอบคุณมากครับ ที่ติดตามอ่านคอลัมน์นี้
** ภาพประกอบ โดย หนูนุค