Skip to main content

บล็อกกาซีน ประชาไท

การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์
“น้ำใจให้น้องปิ่น” เด็กหญิงพิการที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ แต่ทุกคนในครอบครัวยังมีความหวังและมองโลกในแง่ดีเสมอ อ่านเรื่องของน้องปิ่นกับแม่ได้ที่นี่ สนับสนุนเงินทุนช่วยเหลือตามกำลังศรัทธาได้ที่หมายเลขบัญชี 05-3405-20-093267-0น.ส.สีไวย คำดา เพื่อ ด.ญ.วรัญญา ฟินิวัตร์ธ ออมสิน สาขามหาวิทยาลัยเชียงใหม่“สมทบทุนค่าอาหารและรักษาพยาบาลหมาแมวพิการ ป่วยไข้ ถูกทอดทิ้ง ตามกำลังศรัทธา”เลขที่บัญชี 1210101483 น.ส. นันท์ธนัตถ์ จิตประภัสสร ธ กรุงไทย สาขาบางบัวทองหรือจะส่งเป็นอาหารหมาแมวก็ได้ค่ะ ที่97 หมู่ 2 บ้านหนองคาง ต.หนองราชวัตร อ.หนองหญ้าไซ จ.สุพรรณบุรี 72240 สำหรับคนที่อยากขอคำพยากรณ์จากไพ่เป็นการส่วนตัว ตอนนี้ของดรับก่อนนะคะ - ปีหน้าค่อยว่ากันอีกทีเนาะ
พระกิตติศักดิ์ กิตฺติโสภโณ
๑.การเมืองของนักเลือกตั้งเร่าร้อนยิ่งขึ้นทุกขณะการแถลงข่าวของบุคคล กลุ่ม ก๊วน และพรรค ตลอดจน "อนาคตพรรคการเมือง"มีขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับตลาดนัดในอดีต ที่มีทั้งปาหี่ คนเล่นกล พ่อค้าเร่และแม่ค้า "เจ้าประจำ" คุ้นหน้าสถานที่พบปะระหว่าง "ผู้ซื้อ" กับ "ผู้ขาย" นั้นเรียกกันง่ายๆ ว่า "ตลาด" โดยมี "สินค้า" เป็นสื่อกลาง แลกเปลี่ยนความพึงใจระหว่างกัน...ในที่ชุมนุมเช่นนี้ ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง "คุณค่า" และ "มูลค่า"นอกจากจะมี "ความจริง" เป็นเครื่องเทียบเคียงแล้วดูเหมือนว่า การโฆษณาประชาสัมพันธ์ก็มีส่วนอยู่ไม่น้อยสำหรับการตัดสิน หรือชี้วัดความพึงใจตลาดโดยทั่วไปมักเปิดเป็นประจำ และสม่ำเสมอน่าเสียดายที่ประชาธิปไตยแบบไทยๆ ยังไม่อยู่กับร่องกับรอย"ตลาดการเมือง" หรือ "ตลาดซื้อขาย ส.ส." จึงเปิดบ้างปิดบ้างอย่างกะปริบกะปรอย ไม่คงเส้นคงวาเป็นวาระคำว่า "ตลาดการเมือง" อาจฟังดูแสลงหูอยู่บ้างสำหรับผู้เกี่ยวข้อง และคิดเอาว่า "ตลาด" เป็นของต่ำรวมทั้ง การนับเอา "นักการเมืองผู้ทรงเกียรติ" ให้เป็นเพียง "สินค้า"เช่นเดียวกับพริก หอม กระเทียม เนื้อหมู เนื้อวัว และเป็ดไก่ใน ตลาดนัด - ตลาดสด แต่... ว่าก็ว่าเถอะ เรายังมีนักการเมืองที่สูงเกียรติ ด้วยคุณธรรมจริยธรรมหรือด้วย อุดมคติ-อุดมการณ์สูงส่ง อยู่อีกล่ะหรือ?ใครลองหลับตา แล้วนึกย้อน ครุ่นคิด-ใคร่ครวญ ด้วยใจที่เป็นธรรมดูสักหน่อยเถิดว่า... ประสาคนอ่านหนังสือพิมพ์ กินข้าวแกง นั่งรถเมล์ ดูฟรีทีวี ฯลฯอย่างที่เป็นๆ กันอยู่ทั่วไปนี้เรามีรายชื่อ "นักการเมืองในฝัน" มี "นักการเมืองในอุดมคติ" แห่งยุคสมัย ถึง ๑๐ รายชื่อหรือไม่?รัฐธรรมนูญใหม่กำหนดจำนวน ส.ส. ไว้ ๔๘๐ ท่านเชียวนะแค่หาทำยาสัก ๑๐ - ๒๐ คน ก็ยังหาไม่ได้เอาเลยเชียวหรือ?๒.ในแวดวงการเมืองนั้น "อำนาจ" และ "ผลประโยชน์" เป็นเรื่องใหญ่จะเป็น "ทางตรง" หรือ "ทางอ้อม" ของ "ตัวเอง" หรือ "พวกพ้อง" หรือเพื่อ "มหาประชาราษฎร์" ก็คงยากที่จะไปกะเกณฑ์จำกัดความแต่ที่แน่ๆ ก็คือ "อำนาจ" และ "ผลประโยชน์" นี่เองที่เป็นตัวเลือกสรรค์คัดกรอง "นักการเมือง" ยุคปัจจุบันในเบื้องต้นหาใช่  "กรรมการคัดตัวผู้สมัคร" หรือ "ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง" ไม่...ด้วยว่า หากใครสักคนมีมโนธรรมสำนึก และตรึกตรองโดย ทางธรรม/ทางโลกย์ ได้แจ่มชัดพอสมควรแล้วโดยสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ "ใครคนนั้น" จะหาญกล้าเข้าไปเกลือกกลั้วกับปลักตมที่เห็นอยู่ตรงหน้าอันมีพร้อมทั้งกับดักและขวากหนาม ฯลฯ อยู่ละหรือ?ต่อให้มีความกล้าหาญทางจริยธรรมอยู่เต็มเปี่ยมก็เถอะ..."อย่าเอาไม้สั้นไปรันขี้" โบราณมีสอนมีเตือนไว้แล้วทั้งนั้นพอเป็นอย่างนี้ แล้วเราจะหา "ตัวแทนประชาชน" เข้าไปทำหน้าที่ "ผู้แทนปวงชนชาวไทย" กันโดยวิธีใด?และถ้าตัวแทนในระบบเลือกตั้งมันเลวแล้วเราจะหาตัวแทนโดยธรรมชาติ หรือตัวแทนโดยตรงจากที่ไหน?โจทย์เหล่านี้เป็นเรื่องยาก และนักเลือกตั้งก็รู้ดีสามารถนำมาใช้ประโยชน์ นำมาทำมาหากินอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจึงไม่มีใคร "ปฏิรูปการเมือง" ให้ตรงเป้าอย่างพร้อมที่จะทำลายหม้อข้าวตัวเองเพื่อเติมเต็มหม้อข้าวของประชาชนได้แต่อาศัยช่องว่างช่องโหว่แก้ปัญหาหิวโซตามใจกิเลสไปวันๆ๓.ท่านพุทธทาสภิกขุ แห่งสวนโมกขพลาราม อ.ไชยา จ.สุราษธานีเทศนาชี้แนะเกี่ยวกับ "ธรรมะกับการเมือง" เอาไว้หลายแง่มุมทั้งกว้างขวางและลึกซึ้ง ด้วยหลักการอันเป็นอกาลิโกแต่น่าเสียดาย ที่ดูเหมือนกับว่าแม้ศิษยานุศิษย์ของท่านเอง โดยเฉพาะวงในใกล้ชิดก็ไม่ค่อยจะเอาด้วย หรือเห็นด้วย กับท่านนักหลังจากท่านละสังขารไปใน พ.ศ.๒๕๓๖"ท่านอาจารย์" ของใครต่อใคร จึงกลายเป็นโน่นนี่ ไปหลายต่อหลายอย่างยกเว้นองค์คุณเกี่ยวกับการประยุกต์ธรรม เพื่อนำมาใช้ได้ในชีวิตจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งใน "ระดับโครงสร้าง" หรือ "ระดับอำนาจรัฐ" อันเนื่องอยู่ด้วยสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ตลอดจนวัฒนธรรมที่มีหลักพุทธธรรม หรือศาสนธรรมเป็นศูนย์กลาง หรือเป็นต้นเงื่อนซึ่งนักคิดฝ่ายพุทธเถรวาทน้อยคนนัก จะจับประเด็นได้ลึก และแหลมคมดังที่ "พุทธทาสภิกขุ" ชี้ชวนและนำทางไว้...มัวทำตัวเป็นไก่ได้พลอย สุนัขได้ปลากระป๋องจนทำให้เกิดโศกนาฏกรรม และความสูญเสีย ไปอย่างสูญเปล่าทำนองว่าคนดีไม่ได้เครื่องมือ ไม่มีธรรมะใช้ปล่อยคนร้ายอ้างผิดๆ ถูกๆ หากินกับ "ท่านอาจารย์"ตั้งแต่อดีตนายกฯ ยันเอ็นจีโอใหญ่ๆ และนักวิชาการมากอัตตาตลอดจนปัญญาชนหน้าไหว้หลังหลอก พระเณรเถรชี มากรูปหลายนาม...จับพลัดจับผลู "ธรรมะ" จึงกลายเป็นเครื่องมือของ "ทุนนิยม" ไปเสียเองด้วยว่า เหลือเพียงแง่มุมระดับปัจเจก และ "ส่งเสริมการหลุดพ้นส่วนตัว"เสียเป็นด้านหลัก หลงลืมการสร้างเหตุปัจจัย และการบำเพ็ญเพียรเพื่อเสริมบารมีอย่างชนิดที่หนุนช่วย และนำพากันไปนิพพาน ตามหลัก "อิทัปปัจจยตา-ปฏิจจสมุปบาท" อันเป็นแก่นแกนมาแต่เดิมทันทีที่ธรรมะถูกใช้ให้ทำหน้าที่สร้างและพัฒนาปัจเจกบุคคลทุนนิยม-บริโภคนิยม ก็หัวร่อร่าค่าที่ช่วยผลิต "นักบริโภคคุณภาพสูง" ให้กับตลาดโดยบริษัทบรรษัท ข้ามชาติ-ในชาติ เหล่านั้นไม่ต้องลงทุนลงแรงหรือสิ้นเปลืองต้นทุน วัตถุดิบ และพลังงานแต่อย่างใดเมื่อเป็นกันอย่างนี้ "นักเลือกตั้ง-นักกินเมือง" ทุศีลจึงพากันอาศัยบางหัวข้อธรรม อาศัยการสละทรัพย์ซื้อเสียงซื้อศรัทธา "สมาชิกวัด"ด้วยการทุ่มทุนสร้างกุฏิริฐาน สร้างซุ้มประตูสร้างรั้ววัดไต่บันไดโบสถ์ บันไดเมรุ เข้าสภาฯ มีเจ้าอาวาสเป็นหัวคะแนนทางอ้อม ฯลฯ กันอยู่เนืองๆ เป็นอันว่า "ธรรมะกับการเมือง" หลงเหลือเพียงเท่่านั้นและมหาเถรสมาคม หรือภาครัฐ โดยสำนักงานพุทธฯ ก็ดูจะพอใจที่พระ วัด และหลักธรรม(บางข้อ) เคาะประตูการเมืองได้เพียงที่กล่าวมาแล้ว๔.ผู้เขียนเองเคยรับนิมนต์ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ไปร่วมการเสวนาระหว่างศาสนา ว่าด้วย "จริยธรรมของผู้นำ(ทางการเมือง)"เมื่อครั้งที่ "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" จัดเวทีอยู่ที่ใกล้สะพานมัฆวาฬ คราวขับไล่รัฐบาลทักษิณ ชินวัตรคืนนั้นกล่าวกันถึงตัวผู้นำรัฐและนโยบายของเขา ด้วยมุมมองของชาวพุทธ คริสต์ และอิสลามโดยมีพระภิกษุ บาทหลวง และนักวิชาการมุสลิม ร่วมแลกเปลี่ยนทัศนะผู้ฟังหน้าเวที และผู้ชมผ่านระบบการถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์ มีท่าทีการตอบรับที่น่าสนใจหากวันรุ่งขึ้นอธิบดีกรมศาสนากลับออกมาแสดงท่าทีที่น่าสนใจยิ่งกว่ากล่าวคือ ท่านอธิบดีได้แถลงข่าวอย่างฮึกเหิมมุ่งมั่นว่าการที่พระไปร่วมกิจกรรมเช่นนั้นหากมิใช่ถูกหลอก และไปอย่างรับรู้ก่อน ว่าจะมีกิจกรรมเช่นไรถือเป็นความผิดทางวินัยสงฆ์ขั้นร้ายแรง ถึงขั้นต้องบังคับให้สึกหาลาเพศว่ากันถึงขนาดนั้น...โดยไม่ดูดำดูดีกับวินัยสงฆ์ ๒๒๗ ข้อ ตามธรรมวินัยเอาเลยโชคยังดี ที่เมื่อนักข่าวนำความที่ว่าไปสอบถามกรรมการมหาเถรสมาคมท่านหนึ่งพระมหาเถระท่านนั้นได้มีเมตตา ตอบนักข่าวไปว่าฝ่ายสงฆ์มีสายงานปกครองดูแลอยู่แล้ว หากมีความผิดจริงคณะสงฆ์ตั้งแต่ระดับเจ้าคณะตำบล คงดำเนินการไปตามลำดับชั้นปกติและโดยส่วนตัว ท่านไม่เห็นว่าการแสดงทัศนะดังกล่าวจะสลักสำคัญอะไรนักเพราะผู้แสดงความคิดเห็นเป็นเพียงพระเล็กพระน้อย ไม่ได้มีชื่อเสียงสมณศักดิ์ที่พอจะมีอำนาจชี้นำสังคม...ผู้เขียนเองได้ทราบข่าวเรื่องนั้นผ่านสื่อจึงมีโอกาสไปค้นคว้าในเว็บไซต์ของกรมศาสนาแล้วพบว่า อันที่จริง เวทีเสวนาดังกล่าว น่าจะจัดโดยกรมการศาสนาเองเสียด้วยซ้ำเพราะกิจกรรมที่มีเนื้อหาดังกล่าวระบุอยู่ในนโยบายและเป้าหมายหลักของกรมศาสนาเองโดยตรงนับแต่ย้ายไปสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม(เดิมกรมศาสนาสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ)พร้อมๆ กับการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ชื่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี)อันรับผิดชอบเกี่ยวกับแวดวงพระพุทธศาสนาทั้งหมดทั้งปวงภารกิจหลักของกรมศาสนา ตามที่ปรากฏในเว็บไซต์ของหน่วยงานแห่งนั้นคือการสร้างความเข้าใจและสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างศาสนารวมทั้งการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมในสังคม เป็นด้านหลักเมื่อสื่อมวลชนสอบถามมาที่ผู้เขียน ว่าคิดเห็นเช่นไรก็ได้แต่ตอบไปว่า ท่านอธิบดีกรมการศาสนา คงต้องการเอาใจนายกฯ ทักษิณซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกัน จึงรีบเร่งออกมาให้สัมภาษณ์ด้วยอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าจะตอบคำถามโดยข้อเท็จจริง หรือโดยหลักการที่ควรจะเป็นเพราะสิ่งที่ท่านตอบนั้นอยู่นอกเหนืออำนาจหน้าที่ ที่จะบังคับสั่งการนี่เป็นตัวอย่างเล็กๆ กรณีหนึ่ง ซึ่งสะท้อนภาพความสับสนในบทบาทหน้าที่หรือสะท้อนความบกพร่องหละหลวมในการปฏิบัติหน้าที่ตลอดจน ความไม่รู้จริง และ/หรือ ไม่รู้ในเรื่องที่ควรรู้ ของรัฐ ของคนของรัฐ หรือของผู้อยู่ในอำนาจรัฐ เกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของพุทธบริษัทอันมีสาเหตุมาจากความอ่อนด้อย ในการเข้าใจธรรมะโดยมิพักจะต้องกล่าวถึงการประยุกต์ใช้ธรรมะ หรือการนำหลักพุทธรรม หลักศาสนธรรม มาใช้ในระดับโครงสร้างของสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ตลอดจนวัฒนธรรม ในแง่ของวิถีชีวิตของผู้คน๕.กล่าวเฉพาะใน "ตลาดนัดการเมือง" ที่กำลังตะโกนขายสินค้ากำลังประแป้งแต่งหน้าพ่อค้าแม่ขาย หรือที่กำลังตกแต่งหน้าแผง หน้าร้านกันอยู่นี้กว่าจะถึงวันเลือกตั้ง หรือวันตัดสินใจครั้งใหญ่ของผู้บริโภคเราคงได้ยินได้ฟังได้ดู การประชาสัมพันธ์ กันอีกหลายรูปแบบทั้ง สรรพคุณของสินค้า สรรพคุณของคนขาย และสรรพคุณของร้านค้า ตลอดจนโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม ฯลฯ ก็น่าสนใจ ว่าอะไรจะเป็นที่มา ของการตัดสินใจสุดท้าย ของผู้บริโภคเพราะนั่นจะเป็นคำตอบ หรือภาพสะท้อน "ตลาดนัดการเมือง" ของประเทศนี้ว่ามีคุณภาพแค่ไหน และเพียงใด?ก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยการก่อรัฐประหารของคนกลุ่มหนึ่งเราพากันวิพากษ์วิจารณ์สภาพการณ์ทางคุณธรรมและจริยธรรมของอดีตผู้นำและรัฐบาลภายใต้การกำกับของเขาอย่างหนักหน่วงจนเป็นเหตุให้บางคนบางกลุ่มนำเงื่อนไขนี้เข้าช่วงชิงล้มล้างอำนาจรัฐเดิมด้วยข้อเสนอ และข้ออ้าง ว่าจะสร้างสิ่งที่ดีกว่าขึ้นมาพร้อมๆ ไปกับการปัดกวาดเช็ดถูปฏิกูล ที่อดีตรัฐบาลและพวกพ้องทำเรี่ยราดไว้นี่ก็เป็นเรื่องน่าสนใจ ว่าหากกล่าวโดยเวลากันแล้ววันคืนที่ผ่านมา มีอาจมใดๆ ของคุณทักษิณที่ถูกเช็ดล้างออกไปได้บ้างหรือว่า การที่เราได้กลิ่นเน่าเหม็นของรัฐบาลไทยรักไทยน้อยลงจะเป็นเพียงเพราะปฏิกูลกลุ่มใหม่ถ่ายของเสียชนิดใหม่กลบทับเอาไว้แทนที่หรือจะเป็นว่า พออยู่ร่วมกับของเหม็นหลายชนิดเข้าเราทั้งหลายก็เริ่มคุ้นชินกันไปเอง...ซึ่งถ้าเป็นไปอย่างที่กล่าวมาแล้วว่าเราคุ้นเคยกับความเน่าเหม็น จนไม่รู้สึกรู้สา ไม่ยินดียินร้าย กันสักเท่าไรก็อย่าได้แปลกใจกันเลย ว่าทำไมพ่อค้าแม่ขายในตลาดการเมืองไม่ว่าร้านใดๆ แผงใดๆ จะมิได้ส่งเสียง หรือส่งสัญญาณ ด้าน "คุณธรรม-จริยธรรม" ออกมาให้ฝ่ายศาสนาชื่นอกชื่นใจกันบ้างเลยดูเหมือนว่า เราใช้ศาสตราด้านความดีงาม ความถูกต้องเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้ามให้ดับดิ้น ให้พ้นไปจากเวที ที่เราอยากจะเข้าไปร่วมด้วยเท่านั้นโดยมิได้ปรารถนาจะใช้เครื่องมือทางศาสนามาแก้ปัญหาอย่างถาวรหรือยั่งยืนแต่ประการใด"ตลาด" ต่างๆ พากันโตขึ้น"พื้นที่ทางศาสนธรรม" หรือ "พื้นที่แห่งความดีงามก็เล็กลงไปทุกทีดูเหมือนกับว่า พวกเราต่างก็รับรู้แต่ไม่มีใครยอมเจ็บปวด เพื่อจะสวนกระแส และก้าวไปสู่สิ่งสูงกว่าอีกต่อไปแล้ว...
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมมีความเชื่อว่าคนที่เป็นนักปฏิบัติธรรมตามหลักธรรมคำสอนทางพุทธศาสนาบ้านเรา ถ้าหากไม่หลงไปปฏิบัติผิดที่ผิดทาง ท่านคงจะรู้กันดีทุกคนนะครับ ว่าเป้าหมายสูงสุดในการปฏิบัติธรรม คือการปฏิบัติเพื่อลดละและปล่อยวาง  ความยึดมั่นถือมั่นว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ เป็นตัวของเรา – เป็นของของเรา ซึ่งทางพุทธบ้านเราถือว่าเป็นต้นตอรากเหง้าของความทุกข์ทางใจทั้งหลายทั้งปวงส่วนจะเป็นทุกข์มากหรือน้อย ย่อมขึ้นอยู่กับใจของเรา ที่เข้าไปยึดเอาสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นตัวกำหนด พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าเข้าไปยึดถือมากก็ย่อมเป็นทุกข์มาก ถ้าเข้าไปยึดถือน้อยก็เป็นทุกข์น้อยนั่นเองครับนี่เป็นเรื่องที่เป็นนามธรรมที่เข้าใจได้ยาก หรือถ้าสามารถเข้าใจได้แล้ว...ก็ยังมีเรื่องที่ยากยิ่งขึ้นไปอีก นั่นคือการปฏิบัติให้ได้จริงและเป็นจริง เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฝืนใจปุถุชนคนธรรมดาอย่างเรา ที่ล้วนแล้วแต่เกิดมาเพื่อเรียนรู้การยึดมั่นถือมั่น มากกว่าการลดละและปล่อยวาง...จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เรื่องนี้ ซึ่งถือกันว่าเป็นแก่นของพุทธศาสนาที่พระเดชพระคุณท่านพุทธทาสภิกขุ เคยพูดเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่าว่า เป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่ผู้คน จะกลายเป็นเรื่องที่ยากยิ่งที่คนจะเข้าใจและปฏิบัติได้ พวกเราส่วนมากที่สักแต่ได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธ จึงกลายเป็นคนที่อยู่ใกล้...แต่กลับไกลจนสุดหล้าฟ้าเขียวจากของดีที่อยู่ใกล้ตัว เพราะมันฝืนความเคยชิน ฝืนใจคนกิเลสหนาอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ  เหลือเกินครับพระคุณเจ้า...จึงไม่ใช่เรื่องที่แปลกอีกเหมือนกันที่คนที่หันหลังให้กับทางโลกย์เข้าไปหาทางธรรม ถึงขั้นเข้าวัดวาหรือสำนักปฏิบัติธรรม เพื่อปฏิบัติธรรมอย่างเอาจริงเอาจัง จึงมักจะเป็นคนที่ได้ประสบกับความทุกข์ทางใจอันใหญ่หลวงมาแล้วอย่างหนักหนาสาหัส และมองเห็นความทุกข์นั้นด้วยตัวเองจริง ๆ เท่านั้น ที่มักจะพากันเข้าไปด้วยความสมัครใจ และเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และเมื่อเดินมุ่งหน้าเข้าไปแล้ว ก็ยากยิ่งที่จะถอยหลังกลับมาดังเช่นกรณี ท่านศาสตราจารย์ อุบาสิกา คุณรัญจวน อินทรกำแหง นักปฏิบัติธรรม อาวุโส ผู้มีชื่อเสียงขจรขจายในวงการพุทธ ศาสนา ได้ให้สัมภาษณ์ คุณขวัญใจ เอมใจ เอาไว้ในหนังสือสารคดีประจำเดือนมีนาคม 2543 เกี่ยวกับเส้นทางการปฏิบัติธรรมของท่านเอาไว้ตอนหนึ่ง ซึ่งตรงกับประเด็นที่ผมได้เกริ่นกล่าวเอาไว้อย่างน่าสนใจ และควรค่าแก่การศึกษา ดังต่อไปนี้สารคดี : เหตุผลหลักที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ท่านตัดสินใจบวชคืออะไรคะ ดิฉันได้ยินมาว่า มีความ    คิดสองทาง มองว่าคนที่มาบวชนั้น หนึ่ง เพราะมีความทุกข์ สอง เป็นคนที่กำลังแสวงหา บางคนมองไกลไปถึงว่า พระพุทธเจ้าก็เป็นผู้แสวงหาอีกท่านหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติอ.รัญจวน : เห็นทุกข์ค่ะ แต่ก่อนนี้ไม่รู้ ทั้ง ๆ ที่อาการของความทุกข์ก็คืออาการซัดส่ายของใจ วุ่นวายไม่เป็นปกติ แต่ไม่รู้ว่าอยู่กับความทุกข์ เพราะไม่เคยศึกษา พอมาตอนหลังก็มีเหตุที่ทำให้เริ่มเห็นความทุกข์ชัดขึ้น คือเรื่องหลานชาย ดิฉันมีหลานชายที่ดิฉันเลี้ยงเอาไว้ตั้งแต่เล็ก ๆ  เขาเป็นเด็กเก่ง เด็กฉลาด เรียนหนังสือดี อยู่มหาวิทยาลัยก็เรียกว่าเป็นดารา แต่เขาเป็นคนคิดมาก ดิฉันไม่รู้ว่าเขาคิดมากขนาดไหน ภายนอกของเขาเป็นคนที่รื่นเริงบันเทิงใจมาก อยู่ที่ไหนมีแต่จะทำให้ที่ตรงนั้นมีเสียหัวเราะ เพื่อนฝูงจะไปไหนก็มาขอให้เขาไปด้วย เพราะเขาเป็นคนนำ ทำให้เพื่อนฝูงสนุกสนาน มีปัญหาอะไรก็แก้ไขปัญหาให้เพื่อน แต่ผลที่สุด เขาก็แก้ปัญหาให้ตัวเองไม่ได้ ต้องเข้าไปอยู่โรงพยาบาลจนทุกวันนี้  เขาไม่ก้าวร้าว แต่จะพูดจะคิดอะไรเลื่อนลอย อยู่กับความหลัง อยู่กับอนาคต แต่ไม่อยู่กับปัจจุบัน ตอนนั้นดิฉันเริ่มรู้แล้วว่า อ้อ...ความทุกข์มันเป็นเช่นนี้เองแล้วก็นั่งคิด เอ...นี่เราเลี้ยงเขาผิดหรือเปล่า ทั้งที่เราก็ประชาธิปไตยพอสมควร มีอะไรก็พูดอภิปรายกัน ไม่ได้เก็บกักอะไรเขาเลย ก็ถามตัวเอง โทษตัวเอง รู้สึกเศร้าใจ ยิ่งเมื่อเห็นดอกเตอร์หนุ่ม ๆ ก็นึกในใจ หลานเราก็เป็นได้ แล้วเขาก็เป็นได้อีกตั้งหลายอย่าง เป็นนักดนตรี นักพูด นักเขียน แต่กลับมาเป็นอย่างนี้ นี่ละจิตที่ทุกข์จริง ๆ ก็ตอนนั้นสารคดี : เรื่องหลานชายถือเป็นเหตุปัจจัยหลักที่ทำให้เห็นทุกข์ กระทั่งตัดสินใจบวชอ.รัญจวน : ใช่ค่ะ เริ่มเห็นความทุกข์ชัดเจนขึ้น ทั้ง ๆ ที่เราอยู่กับความทุกข์มาตลอดชีวิตอย่างที่เล่ามาแล้ว นี่ที่สำคัญมากนะคะ คนทุกคนในโลกนี้คลุกคลีกับความทุกข์มาตลอด แต่ทุกข์เล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวันกลับมองไม่เห็น มันมีอยู่ตลอดทั้งวัน  ตลอดระยะทางของชีวิต เกือบจะทุกขณะทุกชั่วโมง ก็ที่เดี๋ยวเราดีใจ เดี๋ยวเสียใจ เดี๋ยวชอบใจ เดี๋ยวไม่ชอบใจอีกแล้ว นั่นละ แต่เพราะไม่เคยเรียนรู้ ก็เลยไม่รู้ว่า เรามีชีวิตอยู่กับความทุกข์ จนกระทั่งวันหนึ่ง สิ่งที่เรารักมาก ยึดถือมาก...ว่ามันเป็นของเราเกิดวิปริตขึ้นมา มันถึงตีตูมเข้ามาที่ใจ ทำไมถึงเห็นว่าเป็นทุกข์มาก ทุกข์ใหญ่  เพราะเราไม่เคยได้ฝึกอบรมใจ เพื่อจะต้อนรับทุกเล็ก ๆ  ที่ผ่านใจเข้ามาตลอดชีวิตของเรา เราไม่เคยรู้ เราไม่เคยจัดการ ที่หลังมันก็จะสะสมความทุกข์ ความไม่พอใจมาเรื่อยทีละน้อย ๆ แล้วพอมีอะไรใหญ่มาก ๆ ลงมาตูมเดียว จึงไม่มีความต้านทานที่จะรับแต่สำหรับตัวเอง พอจะรับได้บ้าง ไม่ถึงเป็นบ้าเป็นหลังไปกับความทุกข์ ไม่ได้ล้มสลบสิ้นสติลงไป ที่เน้นเรื่องนี้ก็อยากจะบอกทุกคนว่า เราควรจะต้องศึกษาเรื่องความทุกข์ อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงสอนอริยสัจสี่ และเมื่อเกิดอะไรขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นทุกข์ใหญ่ เช่นไฟไหม้บ้าน เกิดอุบัติเหตุตายทั้งหมู่ ลูกสาวหลานสาวถูกข่มขืน ยำยี มันก็จะไม่ทำให้เราเป็นทุกข์ชอกช้ำจนถึงเสียสติสารคดี : อาการของท่านเองตอนที่เจอทุกข์ใหญ่มากในตอนนั้น เป็นอย่างไรบ้างอ.รัญจวน : ข้างนอกนี่ไม่เป็นอะไร แต่ข้างในรู้สึกเหนื่อย...เหนื่อยมากเหลือเกิน เพราะพอหลานชายออกจากโรงพยาบาล แล้วก็ต้องเอาเขามานอนเตียงข้าง ๆ ติดกัน แล้วก็ต้องคอยพูดคอยปลอบใจ ให้กำลังใจ แนะนำต่าง ๆ  ไหนจะงานสอนที่รามคำแหง แล้วตอนนั้นเป็นประธานสภาอาจารย์รามคำแหง ซึ่งเริ่มมีเป็นครั้งแรกด้วย พอมาถึงบ้านก็ต้องมาทำงานพยาบาลด้วย แล้วพยาบาลโรคทางใจนี่หนักกว่าโรคทางกายนัก เพราะฉะนั้น นอกจากทุกข์เพราะสงสารว่าเขาเป็นอย่างนี้แล้ว ยังทุกข์เพราะเหนื่อยอีก มันเหนื่อยสายตัวแทบขาดทีเดียว เหนื่อยทุกอย่างทั้งกายและใจ เลยรู้ว่า อ๋อ...ลักษณะของความทุกข์ที่เกิดขึ้นมันเป็นเช่นนี้เองถ้ามองจากตอนนี้ ถามว่า ที่ตอนนั้นตัวเองทุกข์เพราะอะไร ก็ตอบว่า ทุกข์เพราะอุปทาน ยึดมั่นถือมั่น  ถ้าเราไม่ยึดมั่นถือมั่นเราก็ไม่ทุกข์  มีเด็กหนุ่ม ๆ สาว ๆ ที่มีอาการอย่างหลานชายของเราอีกนับพันนับหมื่น ทำไมเราไม่ไปทุกข์กับเขา ก็เพราะเขาไม่ใช่หลานเรา นี่ธรรมะบอก เพราะเราไปยึดมั่น เพราะฉะนั้นจึงทุกข์มาก นี่ถ้าไม่ใช่หลานของเรา มีอะไรจะช่วยได้ก็คงช่วยกันไปเท่าที่กำลังจะช่วยได้  แต่ไม่ต้องเสียใจเศร้าหมองจนไม่คิดถึงเหตุผลอย่างใช้สติปัญญาครับ ผมหวังว่า บทสัมภาษณ์ บทนี้ของอาจารย์รัญจวน ที่สูญเสียหลานชายที่ท่านรัก และเป็นเหตุทำให้ท่านหันหน้าเข้ามาปฏิบัติธรรมตราบจนเท่าทุกวันนี้ คงจะทำให้ท่านผู้อ่านเข้าใจคำว่า ยึดมั่นถือมั่น ซึ่งเป็นต้นตอความทุกข์ทางใจของคนเราได้ง่ายขึ้น และได้รับประโยชน์จากความเข้าใจนี้กันทุกคนนะครับ.17 ตุลาคม 2550กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่ภาพประกอบจาก http://dungtrin.com ขอบคุณครับ
มูน
แผงขายกล้วยปิ้งบนถนนสายใหญ่กลางกรุง ดึงดูดให้ฉันลงจากรถเมล์ก่อนถึงป้ายที่ตั้งใจจะลง ตรงเข้าไปบอกแม่ค้าสาวว่า “กล้วยปิ้งสิบบาทค่ะ” เธอเหลือบตาขึ้นเหนือศีรษะแวบหนึ่งแล้วบอกด้วยใบหน้าบึ้งตึงว่า “ขายยี่สิบบาท”ฉันสะดุ้ง รีบมองตามสายตาที่เธอตวัดไปเมื่อครู่นี้ เห็นป้ายแขวนไว้เขียนว่า กล้วยปิ้งทรงเครื่อง น้ำจิ้มรสเด็ด ชุดละ 20 บาท“อุ๊ย ขอโทษทีค่ะ ไม่ทันเห็น เอ้อๆ งั้นกล้วยปิ้งยี่สิบบาท” ฉันรู้สึกตัวเองพูดจาเงอะงะเหมือนบ้านนอกเข้ากรุงจริงๆ ด้วย ไม่รู้แม้กระทั่งราคากล้วยในท้องตลาด ก็แหม กล้วยน้ำว้าบ้านฉันยังหวีละสิบบาทอยู่เลย (ยิ่งซื้อตอนตลาดวายอาจได้สามหวีสิบ)คนขายหยิบกล้วยสี่ลูกใส่ถุง ราดน้ำจิ้มเหนียวๆ แล้วใส่ไม้แหลมๆ ให้หนึ่งไม้ “สี่ลูกเอง แพงจัง” ฉันรำพึงกับตัวเอง แต่คงเผลอพูดดังไปหน่อย คนขายเลยขมวดคิ้วใส่“ราคานี้มาตั้งนานแล้วพี่”“ค่ะ ค่ะ ขอโทษที ไม่ค่อยได้มาแถวนี้” ฉันอยากยิ้มให้เธอ แต่ก็รีบหันหลังออกจากแผงกล้วยด้วยความเกรงใจคนขาย กลัวเธอเข้าใจรอยยิ้มของฉันผิดจุดหมายอยู่ห่างออกไปอีกราวๆ สองป้ายรถเมล์ แต่ฉันกำลังอยากชิมกล้วยปิ้งคนกรุง เลยตัดสินใจไม่ขึ้นรถ จะได้เดินไปกินไปอย่างสบายอารมณ์มาตรฐานความอร่อยเป็นรสนิยมส่วนบุคคล สำหรับฉัน กล้วยปิ้งนั้นฝาดไปหน่อย แถมน้ำจิ้มยังหวานแสบไส้ นึกถึงสีหน้าไร้อารมณ์ของคนขายแล้วเห็นใจเธอ ได้ยินว่า ธุรกิจกล้วยปิ้งปัจจุบันนี้มีการทำแฟรนไชส์แล้ว แสดงว่าคนไทยยังไม่เบื่อกล้วยปิ้ง แต่ทำไมหนอ เธอถึงมีหน้าตาเบื่อลูกค้าขนาดนั้น แล้วฉันก็คิดถึงรอยยิ้มของยายยายนั่งอยู่ในเพิงสังกะสีหน้าห้องแถวเก่าๆ ริมถนนในจังหวัดหนึ่งทางภาคอิสาน ตอนที่ฉันยังทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชน ฉันขี่รถจักรยานยนต์ผ่านเพิงของยายเกือบทุกวันยายจะมานั่งปิ้งกล้วยขายตั้งแต่ตีห้าถึงหกโมงเย็น ยกเว้นวันที่ยายปวดเมื่อยจนลุกไม่ขึ้น แต่ทุกวันที่ยายมาขาย ยายจะมียิ้มแจ่มใสมาด้วยเสมอ เหลียวมองทีไร เห็นยายยิ้มทุกที จนฉันอยากจะคิดว่ายายยิ้มให้รถทุกคันที่ผ่านหน้ายายไปรอยยิ้มนั้นเองที่ดึงดูดให้ฉันจอดรถซื้อกล้วยปิ้ง“หนู้...” ยายจะขึ้นต้นแบบนี้ทุกครั้ง “ไปไหน้มาจ๊า กินกล้วยปิ้งของยายไหม้ อร่อยนาจ๊ะ”เสียงเหน่อๆ ของยายทำให้ฉันต้องยิ้ม ยายก็บอกไม่ถูกว่าตัวเองนั้นพูดด้วยสำเนียงจังหวัดไหน เพราะวัยกว่าแปดสิบของยายนั้น ย้ายตามลูกชายมาหลายจังหวัด จังหวัดละหลายๆ ปี ทั้งอุตรดิตถ์ จันทบุรี สุพรรณบุรี เพชรบุรี นครราชสีมา“อู๊ย มันหลายแห่งเหลือเกิ๊น ย้ายจนยายเวียนหั้ว หนู้เอ๊ย ....”เริ่มคุ้นหน้ากัน ยายก็ถามฉันว่า “หนู้ ค้ายอะไรหรือจ๊ะ” แกชี้ไปที่ตะกร้าใบใหญ่ที่ฉันมัดไว้ท้ายรถ ฉันจึงอธิบายว่าไม่ได้ขาย ของที่เต็มตะกร้าเกือบทุกวันนั้นคือกับข้าวหมายายฟังเรื่องบ้านสี่ขาแล้วก็หัวเราะตาหยี  “เหมือนยาย เหมือนยาย”ในกระจาดกล้วยของยาย ทุกวันจะมีถุงก๊อบแก๊บหลายถุงใส่ข้าวคลุกน้ำแกงบ้าง หัวปลาบ้าง ต้มเศษเนื้อบ้าง ยายบอกว่า “เอาไว้ให้หม้า”มีหมามอมแมมหกเจ็ดตัว แวะเวียนมาหายายที่แผงกล้วยปิ้งทุกวัน ยายจะหยิบถุงก๊อบแก๊บใส่ข้าวโยนให้มันคาบไปกิน มีตัวหนึ่งมารอยายแต่เช้า กินข้าวเสร็จแล้วก็นอนข้างๆ แผงของยายไปจนถึงเย็น พอยายกลับ มันก็กลับบ้าง ยายบอกว่ากลางคืนมันนอนไหนไม่รู้ แต่กลางวันมันมาอยู่เป็นเพื่อนคุยกับยาย บางวันมันมีสีม่วงๆ เป็นหย่อมๆ เต็มตัว ยายเล่าว่ามันได้แผลมาจากไหนไม่รู้ ยายเลยเอายาสีม่วงใส่แผลให้ เมื่อแผลมันหาย ยายก็รีบบอกฉันให้ร่วมดีใจด้วยรอยยิ้มอิ่มสุข เงินที่ฉันซื้อกล้วย ยายบอกว่าจะเอาไว้ช่วยหมาที่อดอยาก วันหนึ่ง ยายเห็นฉันมีพลาสเตอร์แปะอยู่ตรงหางคิ้วเนื่องจากถูกบานหน้าต่างกระแทกใส่ ยายรีบถามไถ่อาการอย่างห่วงใย แล้วหยิบกล้วยปิ้งใส่ถุงให้จนนับไม่ทัน“ยายจ๋า หนูซื้อแค่สิบบาท ยายหยิบเกินแล้วยาย” ฉันรีบบอก“ไม่เป็นไร้ กินกล้วยปิ้งของยาย หนู้จะได้ห้ายไวๆ” ยายยื่นกล้วยถุงใหญ่ (มีเกือบยี่สิบลูก) ให้แล้วบอกด้วยรอยยิ้มแฉ่งว่า “อ้ะ ซิบบาท”“สิบบาทยายขาดทุนแย่ แถมให้เยอะขนาดนี้หนูกินไปสามวันก็ไม่หมด” ฉันไม่ได้บอกว่า ที่ซื้อยายเมื่อวาน (และเมื่อวานซืน) ก็ยังไม่หมด“ขาดทุนอาไร้ กล้วยถูกจะตายไป๊ กินไม่หมดก็เอาไปค้ายต่อ” ยายแนะนำ“โธ่ หนูจะไปขายใครเล่ายาย” ฉันยิ้มขำ นึกถึงน้องๆ ที่ทำงานที่ถูกชวนแกมบังคับให้ช่วยกินกล้วยปิ้งทุกวัน ยิ่งช่วงที่แผลยังไม่หาย ยายจะแถมกล้วยให้จนฉันแทบกินแทนข้าวคิดถึง “เจ้าชายน้อย” ของอองตวน เดอ แซง-เต็กซูเปรี และถ้อยคำที่ว่า“สิ่งที่ทำให้ทะเลทรายสวยงามก็อยู่ตรงที่ว่า มันซ่อนบ่อน้ำไว้ที่ใดที่หนึ่ง”เจ้าชายน้อยและนักบินเดินอยู่ในทะเลทราย “เธฮหิวน้ำเหมือนกันหรือ” นักบินถามเจ้าชายน้อยไม่ตอบ แต่พูดว่า น้ำอาจจะดีสำหรับหัวใจทั้งสองพบบ่อน้ำเมื่อรุ่งสาง เจ้าชายน้อยขอให้นักบินตักน้ำในบ่อให้ นั่นเองคือสิ่งที่นักบินค้นพบ การเดินใต้แสงดาว การค้นพบบ่อน้ำกับเสียงเพลงของลูกรอก และแรงแขนของเพื่อนที่สาวถังน้ำขึ้นจากบ่อ ทำให้น้ำนั้นสดชื่นราวน้ำหวานในงานรื่นเริงเจ้าชายน้อยบอกนักบินว่า“ผู้คนในโลกของคุณ ปลูกกุหลาบห้าพันต้นในสวนเดียว แต่เขากลับไม่เคยพบสิ่งที่เขาต้องการ”“ใช่ เขาไม่เคยพบมันหรอก” นักบินตอบเจ้าชายน้อยบอกว่า“ทั้งๆ ที่สิ่งที่เขาค้นหา อาจจะพบได้ในกุหลาบเพียงดอกเดียว หรือในน้ำเพียงเล็กน้อย”แล้วเขาก็เสริมว่า“แต่ตาของคนเราบอด สิ่งนั้นต้องหาด้วยหัวใจ”กล้วยปิ้งราคาสี่ลูกยี่สิบบาทบนถนนสายใหญ่กลางกรุง ไม่ได้อร่อยเป็นพิเศษ และฉันก็ไม่ได้อยากกินกล้วยปิ้ง เพียงแต่ฉันคิดถึงรอยยิ้มของยาย และรู้สึกว่า กล้วยปิ้งนั้นดีต่อหัวใจ
กิตติพันธ์ กันจินะ
ไม่น่าเชื่อเลยว่า ช่วงระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผมจะได้รู้จักชีวิตในอีกมุมหนึ่งของคนที่ถูกเรียกว่า “แก๊ง” ได้มากกว่าที่คิดไว้แม้ว่าในช่วงแรกๆ ความสัมพันธ์ของผมกับเขาจะเป็นแบบ ถามเพื่อเอาข้อมูลไปทำโครงการ แต่สิ่งที่ผมได้มากกว่าการเก็บข้อมูล นั้นคือความผูกพันธ์ มิตรไมตรี และการช่วยเหลือกันและกันของเพื่อนๆ พี่ๆ ผมได้เรียนรู้ว่า ความจริงใจ เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ของพวกเรา เมื่อก่อนมีเขาและมีผม แต่ตอนนี้คำว่า “เรา” มันทำให้ไม่มีเขา ไม่มีผม หลายสิ่งที่ผมได้ทำ หรือเพื่อนๆ ได้ทำไปนั้นเป็นสิ่งที่วัยอย่างพวกเราต้องเผชิญ อาจต่างกันมากน้อยคละเคล้ากันไปตั้งแต่จบมัธยมปลายมาหลายปี ผมก็เริ่มมองเห็นสิ่งที่จำเป็นต่อตนเองแล้วว่า สุดท้ายแล้วคนเราพบกันเราก็ต้องพรากจากกัน เราต้องมีวิถีทางของเราแต่ละคนที่แตกต่างกันไป พี่บัวบอกกับผมว่า “มึงอย่าทิ้งการเรียนเหมือนพี่” คำพูดของพี่บัว มันฝังใจของผมมากกว่าคำพูดของผู้ใหญ่หลายๆ คนที่หวังในตัวผมเสียอีก ผู้ใหญ่หลายคนมักอยากให้ผมเรียนให้จบ เพื่อเป็นหน้าเป็นตากับวงค์ตระกูล แต่พี่บัวและเพื่อนๆ อยากให้เรียนจบเพราะไม่อยากให้ผมเป็นเหมือนพวกเขา ไม่อยากให้ถูกสังคมดูถูก เหยียดยาม ไม่อยากให้ใครมองว่าไม่มีการศึกษา ไม่อยากให้มองว่าเป็นเด็กเลว “การเรียนมันทำให้เป็นคนดีได้เหรอพี่” ผมเถียงพี่บัวด้วยคำพูดนี้หลายครั้งมากแต่พี่บัวก็บอกว่าแล้วแต่ผม จะเลือกยังไงก็ตามใจ แต่ตามใจตัวเองมากไป ก็ต้องตามใจในสิ่งที่ผู้ใหญ่ญาติพี่น้องเขาต้องการด้วย เพราะนั่นคือการตอบแทนเขาจากเรา “ถ้าแกไม่ได้ตอบแทนพวกท่านด้วยวิธีอื่นๆ การเรียนให้จบก็เป็นการตอบแทนที่แกน่าจะเลือกดูนะ” พี่บัวย้ำนักย้ำหนาแม้ว่าผมจะเป็นคนที่ไม่ค่อยมีความฝัน เพราะเชื่อว่าความฝันมันเป็นเรื่องไกลเกินเอื้อม เป็นการตั้งความหวังลมๆ แล้งๆ แต่พี่บัวก็บอกตลอดว่าความฝันมันหล่อเลี้ยงวิญญาณของเราผมจึงนึกขึ้นได้ว่า ทางที่จะเลือกคือการร่ำลาจากพี่ๆ แล้วหาที่เรียนให้เป็นกิจจะลักษณะ และก็ถือว่าเป็นจังหวะที่ดีมากที่มีประกาศสมัครทุนเรียนฟรี ไปต่างประเทศ ผมจึงรีบคว้าโอกาสนั้นไว้ทั้งนี้ คนที่จะสมัครรับทุนต้องรายงานตัวและยื่นเอกสารต่างๆ ที่กรุงเทพฯหลายเดือน ผมจึงตัดสินใจเก็บเงินก้อนที่พอมีเหลืออยู่ไม่กี่พันบาทเป็นทุนดำเนินเรื่องเรียนต่อ“พ่อแม่คงจะดีใจนะ ที่แกตัดสินใจแบบนี้” พี่บัวให้กำลังใจแล้วหยิบธนบัตรใบละพันบาทให้ผมสามใบ แล้วบอกให้เก็บเอาไว้ใช้ผมปฏิเสธในความหวังดีของพี่บัวไม่ได้ จึงรับเงินด้วยความระลึกถึงน้ำใจของพี่ที่มีให้เลี้ยงส่งคืนวันศุกร์สุดสัปดาห์นี้ พี่บัว พี่เหน่ง และเพื่อนๆ อีกหลายคนพากันมาฉลองที่ร้านประจำของพวกเรา คืนนี้ผมดื่มเหล้าไปหลายแก้ว, พี่ๆ ทุกคนเมากันถ้วนหน้า - เสียงเพลงบรรเลงในโสตสัมผัส การจากลาของผมและพี่ๆ กำลังจะเริ่มขึ้นในไม่กี่วันข้างหน้า “จากวันนี้ จะมีเรา เราและนาย จดจำไว้ ตลอดไปไม่ทิ้งกัน หากมีเราจะมีนายร่วมทางไม่มีไหวหวั่น คือเพื่อนกัน เพื่อนตายตลอดไป” เพลงเราและนาย ถูกร้องเสียงดังสนั่นไปทั่วร้าน น้ำตาผมไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัวโปรดตามติดอ่านตอนจบในตอนต่อไป....
แสงพูไช อินทะวีคำ
ในประเทศลาว หากเอ่ยถึงวรรณคดีปฏิวัติแล้ว หลายคนก็เข้าใจทันทีที่เอ่ยถึง ว่าเป็นบทวรรณคดีที่แต่งขึ้นในยุคที่ทำการปฏิวัติชาติประชาธิปไตย ซึ่งเป็นระยะที่ประเทศชาติลาวตกเป็นอาณานิคมของจักรพรรดิเก่าและใหม่  ระยะนี้วรรณคดีเกิดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์อยู่อย่างหนึ่ง คือ เป็นเครื่องมือรับใช้ให้แก่การปฏิวัติ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปลดปล่อยประเทศชาติและประชาชนออกจากการกดขี่ของจักรวรรดินิยม เพื่อให้ชาติและประชาชนมีเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตยประชาชนเมื่อเป็นเช่นนั้น วรรณคดีปฏิวัติระยะนี้จึงมีความสำคัญมากในการประกอบส่วนเข้าในการโฆษณาเผยแพร่ผลงาน และการชนะสงครามของการปฏิวัติ, การรณรงค์ให้ประชาชนบรรดาชนเผ่าเข้าร่วมการปฏิวัติเพื่อต่อสู้กับจักรวรรดินิยม และหุ้นผู้ขายชาติที่หวังกลืนกินประเทศชาติลาวหลายๆ บทประพันธ์ที่ประพันธ์ขึ้นจากฝีมือของนักเขียนปฏิวัติ เช่น 1. ส.บุบผานุวง หรือ ชายเชโปน ที่มีชื่อจริงว่า “สุวันทอน บุบผานุวง” 2.จ.เดือนสะหวัน ที่มีชื่อจริงว่า จันที เดือนะหวัน  3. ดาวเหนือ และนักเขียนปฏิวัติ ซึ่งข้าพเจ้าไม่สามารถจำชื่อได้หมดและก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย นักเขียนเหล่านี้ได้กลายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วฟ้าเมืองลาว ในฐานะที่เป็นนักเขียนปฏิวัติอาวุโส บทเขียนที่เขียนขึ้นโดย ส.บุบผานุวงก็มี อาทิ ใต้ร่มทงของพัก, ลูกสาวของพัก, กองพันที่สอง, อยากข้าเพี่นโตตาย. บทเรื่องที่เขียนจาก “จ.เดือนสะหวัน” ก็มี เส้นทางแห่งชีวิต 3 เล่ม นอกนี้ก็มีบท เรื่องต่างๆที่ถูกนำลงพิมพ์ในหน้าหนังสือพิมพ์ นอกจากสองท่านนี้ก็ท่านนักเขียนท่านอื่นๆเช่น “ดวงไช หลวงพาสี” เรื่อง สายเลือดเดียวกัน  เรื่อง ฟองเดือนเก้า ของ “ท่านคำมา พมกอง” และ พัดพากจากสี่พันดอน ของ “ป้าเวียงเฮือง”  นอกนี้ก็มีบทเขียนอื่นๆและนักเขียนปฏิวัติท่านอื่นๆ หลายท่านซึ่งผมไม่สามารถจำได้หมดบทเรื่องต่างๆ ที่กล่าวมานั้น แสดงออกให้เราเห็นถึงแนวคิดปฏิวัติ สีสันตามรูปแบบปฏิวัติ หลักจรรยาบรรณของรูปปฏิวัติ ก้าวไปสู่แนวคิดที่สร้างสรรค์ในรูปแแบบปฏิวัติ เพราะทุกบทเรื่องที่เขียนล้วนสะท้อนให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่า “มีเพียงการปฏิวัติเท่านั้น ที่สามารถนำความเป็นเจ้าของประเทศชาติมาสู่พี่น้องประชาชนชาวลาวทั้งประเทศได้” เมื่อเราอ่านวรรณคดีปฏิวัติแล้วทำให้เราสามารถมองเห็นเส้นขนานสองด้านอย่างแจ่มแจ้ง คือ ความก้าวหน้าศิวิไลซ์ของการปฏิวัติและความอยุติธรรมในสังคมเก่า แต่ในบทเรื่องปฏิวัติไม่ได้พูดถึงว่า การปฏิวัติมีอะไรบ้างที่ไม่ดีและในสังคมเก่ามีอะไรบ้างที่ดีเมื่อเราอ่านบทเรื่องปฏิวัติแล้ว เหมือนกับว่าเราสามารถมองเห็นความมีระเบียบของผู้คนจะเป็นใครก็ตามที่เดินตามเส้นทางปฏิวัติ มองเห็นความจงรักภักดีของคนที่มีต่อการปฏิวัติ ถือเอาการปฏิวัติเปรียบเสมอเหมือนชีวิตจิตใจ ถือการปฏิวัติเหมือนกับลมหายใจเข้าออกของตนนอกจากนั้น เมื่อเราอ่านแล้วทำให้เรามองเห็นว่า สภาพการดำรงชีวิตของผู้คนก่อนการปฏิวัติมีความเป็นอยู่ที่เลอะเทอะ สร้างสิ่งที่ไม่ดีงามขึ้นในสังคม อ่านแล้วทำให้เรามองเห็นภาพเหมือนกับว่า แผ่นดินลาวก่อนปฏิวัติถูกครอบงำด้วยซาตานอะไรประมาณนั้น อ่านแล้วเหมือนกับว่า ก่อนการปฏิวัติแผ่นดินลาวทุกหย่อมหญ้ามีแต่เปลวไฟลุกลามไปทั่ว ทำให้แผ่นดินกลายเป็นแผ่นดินเถื่อน ในแผ่นดินเต็มไปด้วยคราบเลือดและน้ำตา รอการช่วยเหลือให้หลุดออกจากกงกรรมแห่งนรกอเวจีอย่างใดก็ดี ในบทต่อไปผมจะอนุญาตท่านผู้อ่าน เสนอเรื่องลาวต่างๆในบทวรรณคดีปฏิวัติเพื่อเป็นการแลกเปลียนทัศนะด้วยกัน.หมายเหตุ : งานชิ้นนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ “เวียงจันท์ใหม่” เมื่อปี ค.ศ.2005 แล้ว แต่จำเดือนไม่ได้ จึงขออภัย มา ณ ที่นี้ด้วย  
สุมาตร ภูลายยาว
ปีที่ผ่านมา เหนือสายน้ำเชี่ยวกรากสายหนึ่ง ความทรงจำเกี่ยวกับแม่น้ำได้พาให้เดินทางไปสู่ห้วงยามหนึ่งของชีวิต ห้วงยามที่ทำให้ต้องจดจำไม่เคยลืม เพราะใครบ้างจะลืมประสบการณ์เฉียดตายของตัวเองได้ ในความทรงจำนั้น ภาพแม่น้ำแห่งบ้านเกิดผุดพรายขึ้นมา คล้ายภาพขาวดำหม่นมัวที่พาผมเดินทางกลับไปสู่ดินแดนแห่งความหวาดกลัวอันกว้างใหญ่ไพศาล ด้วยเรือคือความหวั่นไหว...ใช่แล้ว ตอนหัดว่ายน้ำครั้งแรก ผมเกือบจมน้ำตาย เหตุการณ์ครั้งนั้นสอนให้รู้ว่า ความรู้สึกของคนใกล้ขาดใจตายเป็นอย่างไร นี่คือภาพความทรงจำในอดีต แต่ภาพความทรงจำครั้งใหม่ได้เกิดขึ้น หลังจากผมเดินทางมาถึงเมืองริมฝั่งน้ำเหนือสุดในล้านนาเรื่องมีอยู่ว่า...ผมมาเมืองริมฝั่งน้ำในช่วงต้นฤดูฝนปี ๔๖ ฝนบนฟ้าโปรยสายลงมาหนักหน่วง จากบ่ายจนถึงยามสายของอีกวัน หลังจากดวงอาทิตย์จมอยู่กับความมืดเบื้องหลังเมฆสีดำโผล่พ้นขอบเมฆส่องแสงออกมา ฟ้าหลังฝนก็กลับมางดงามเป็นสีฟ้า ไม่ต่างอะไรกับความหม่นเศร้าได้จางหายไปจากดวงใจอันบอบช้ำ หลังฝนหยุดตก ตะวันคล้อยค่ำลง ผมนั่งอยู่ริมฝั่งน้ำเฝ้ามองฉากชีวิตของใครหลายคนบนท่วงทำนองของสายน้ำที่กำลังเดินทางไปสู่ปลายทาง เรือใหญ่ ๒ ลำบรรทุกนักท่องเที่ยวกำลังเดินทางกลับจากหลวงพระบางวิ่งตามกันมา ตรงท่าเรือคนแบกของกำลังจะเดินทางกลับบ้าน หลังการทำงานแลกเงินจำนวนไม่มากของพวกเขาเสร็จสิ้นลง จังหวะชีวิตของผู้คนที่เคลื่อนไหวไปตามฉากแต่ละฉากของชีวิต จึงเป็นเหมือนท่วงทำนองของสายน้ำอันบรรเลงโดยนักดนตรีแห่งฤดูกาล เมื่อสองวันก่อนหลังจากมาถึงเมืองริมแม่น้ำ ผมได้เห็นยามเช้าแห่งชีวิตของผู้คนแตกต่างกันออกไป ยามเช้าของบางเช้า คนหาปลาบางคนก็ออกเรือไหลมองหาปลา ส่วนคนขับเรือรับจ้างก็กำลังทดสอบเครื่องยนต์เรือ พ่อค้าแม่ค้าเปิดร้านขายของ รถขนของจอดเรียงรายอยู่ข้างถนน แถวพระสงฆ์เดินกลับเข้าประตูวัด หลังการโปรดสัตว์ในตอนเช้าจบสิ้นลง ยามเช้าเช่นนี้ บางคนก็เร่งร้อนเร่งรีบ เพื่อให้ทันเวลาทำงานตามเข็มนาฬิกา ในจำนวนของผู้คนที่เร่งรีบ คนแบกของตรงท่าเรือดูเหมือนว่าจะเป็นกลุ่มคนกลุ่มเดียวที่เร่งรีบมากที่สุด เพราะพวกเขาต้องเร่งรีบ เพื่อไปให้ทันเรือสินค้า แน่ละในความเป็นจริงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า หลายคนล้วนเร่งรีบ เพื่อกิจธุระการงานของตัวเองแทบทั้งสิ้นขณะนั่งมองฉากชีวิตของผู้คนอยู่ริมฝั่งน้ำ เวลาแต่ละนาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้า ดวงตะวันยามเย็นพาดผ่านขอบฟ้าทำมุม ๓๕ องศากับพื้นดิน เงาของต้นจามจุรีทอดทาบลงบนพื้นดิน หลังทอดอารมณ์ลอยไปกับสายน้ำ ผมก็หวนคิดถึงความทรงจำเกี่ยวกับแม่น้ำสายนี้ ความทรงจำลางๆ บอกกับผมว่า แท้จริงแล้ว แม่น้ำสายนี้มีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาหิมะอันไกลโพ้นบนหลังคาโลก ต้นกำเนิดของแม่น้ำคือต้นธารของตำนานเล่าเรื่องการกำเนิดแม่น้ำ  เมื่อพูดถึงแม่น้ำสายนี้ หากไม่กล่าวถึงนาคก็ดูเหมือนความเป็นไปในแม่น้ำสายนี้ขาดอะไรบางอย่าง ผู้คนที่พึ่งพาอาศัยแม่น้ำสายนี้ต่างเชื่อกันว่า ‘นาค’ มีอยู่จริง แต่ความมีอยู่จริง บางครั้งนาคก็ถูกเรียกให้แตกต่างกันออกไปตามลักษณะของภูมิประเทศ คนจีนโพ้นทะเลเรียกว่า ‘มังกร’ ส่วนคนท้ายน้ำทั้งลาว-ไทยเรียกว่า ‘พญานาค’นอกจากพวกเขาจะมีความคิด ความเชื่อคล้ายกันหลายเรื่องแล้ว คนในลุ่มน้ำนี้บางกลุ่มยังเชื่อว่า บรรพบุรุษของพวกเขาเป็นนาค  ในตำนานของลาวเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับนาคเอาไว้ว่า เย็นวันหนึ่งมีหญิงสาวคนหนึ่งได้ไปว่ายน้ำในทะเลสาบหนองแสใกล้บ้าน และเธอได้สัมผัสสิ่งหนึ่งที่เธอเองคิดว่าเป็นซุงลอยน้ำ หลังจากเธอได้สัมผัสวัตถุต้องสงสัยในวันนั้น หลายเดือนต่อมาเธอก็ตั้งท้องและให้กำเนิดทารกเพศชาย หลังจากเด็กชายลืมตาขึ้นมาดูโลกได้ไม่นาน พญานาคตนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น และกล่าวอ้างว่า เด็กคนนี้เป็นลูกของตนเอง พอเด็กคนนั้นเติบโตขึ้น เขาก็กลายเป็นผู้นำเผ่าที่พาผู้คนอพยพเข้ามาอยู่ในประเทศลาว ด้วยความเชื่อนี้ ผู้ชายในลาวบางคนจึงนิยมสักรูปนาคไว้ตามร่างกาย ชาวกัมพูชาก็มีความเชื่อเช่นกันว่า บรรพบุรุษของพวกเขาคือนาค ชาวกัมพูชาจึงมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับนาคชื่อว่า ‘พระทองนาคนาง’ ส่วนคนไทยก็มีความเชื่อไม่ได้แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่นก่อนผู้ชายจะได้บวชในพระพุทธศาสนา มีบทบัญญัติในพระไตรปิฎกว่า คนที่จะบวชต้องไปอยู่วัด เพื่อท่องคำขอบวชให้ได้เสียก่อน คนที่ไปอยู่วัด ชาวชนบททั่วไปเรียกว่า ‘ไปเป็นนาค’ ส่วนคนไทลื้อบริเวณหนองแส- ตือเจียง ในเขตสิบสองพันนา เรียกคนด้านท้ายน้ำที่พวกเขาพบเจอว่า ‘นาค’ เช่นกันหากผมไม่กล่าวจนเกินเลยมากนัก นาคกับแม่น้ำสายนี้ต่างเป็นสิ่งคู่กันมานาน และแม่น้ำสายใดจะมีตำนานเรื่องนาคได้เท่ากับแม่น้ำสายนี้ แม่น้ำที่กำลังกล่าวถึงอยู่นี้ชื่อว่า ’แม่น้ำโขง’ สายน้ำสายหนึ่งที่เป็นเหมือนพรมแดนแผ่นดินความลึกล้ำตลอดความยาว ๔,๙๐๙ กิโลเมตรของแม่น้ำ ดูเหมือนว่ายังเป็นปริศนาเฝ้ารอการค้นพบว่า สะดือของสายน้ำลึกเท่าใด อยู่ที่ไหน เช่นกันในความลึกล้ำของสายน้ำล้วนมีความลึกลับซ่อนอยู่ โดยเฉพาะความลึกลับในคืนวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ คืนที่ลูกไฟมหัศจรรย์พุ่งขึ้นจากสายน้ำ คนท้องถิ่นแถบนั้นทั้งลาว-ไทยบอกว่า ลูกไฟเหล่านี้คือบั้งไฟที่พญานาคจุดขึ้นมาจากใต้บาดาล เพื่อเป็นพุทธบูชาในวันออกพรรษาหากพูดถึงบั้งไฟพญานาค หลายคนคงเคยได้ฟังเรื่องเล่าปรัมปราเกี่ยวกับการปรากฏกายของนาคต่อหน้าสิทธารัตถะ ผู้เป็นปฐมบทของพุทธศาสนา การปรากฏตัวของนาคเข้ามาเกี่ยวโยงในศาสนาได้ยังไง เรื่องนี้มีเรื่องเล่าปรัมปราว่า ชาติภพของมหาบุรุษผู้นี้ เขาเคยเกิดในตระกูลนาคชื่อว่า พระภูริทัต พอสิ้นชีพจึงเกิดมาเป็นสิทธารัตถะ และเป็นมหาศาสดาของศาสนาพุทธในลำดับต่อมา จากการจุติของภพชาติอันเกี่ยวเนื่องกันกับนาค เราจึงได้เห็น ได้ฟังเรื่องราวของนาคกับศาสนาพุทธมาจนบัดนี้ก่อนเดินทางมาเยือนแม่น้ำสายนี้ เพื่อนของผมเล่าให้ฟังว่า แม่น้ำสายน้ำนี้ไหลเป็นเส้นแบ่งพรมแดนพม่า-ลาว-ไทย ถ้าไม่กล่าวให้เกินเลยมากนัก แม่น้ำสายนี้ก็เป็นเหมือนเส้นพรมแดนแผ่นดิน แม้ว่า แม่น้ำจะถูกขีดเพื่อเป็นเส้นแบ่งพรมแดนประเทศ แต่ภายใต้เส้นแบ่ง มันเป็นเพียงเส้นแบ่งบางๆ อันถูกห่อหุ้มด้วยนิยามของคำว่า ‘รัฐชาติ’ และนิยามอันนี้เองความเป็นเครือญาติของผู้คนจึงถูกตัดขาดจากกันสิ้นเชิง ในแต่ละปีเดือนของแม่น้ำ ผู้คนริมฝั่งน้ำต่างข้ามไปมาหาสู่กัน หากพูดเรื่องพรมแดนแล้ว แม่น้ำไม่เคยแบ่งพรมแดนของคนออกจากกัน มีเพียงคนด้วยกันเท่านั้นแบ่งคนออกจากกัน ทุกพื้นที่ที่แม่น้ำไหลผ่าน ผู้คนริมฝั่งน้ำต่างได้ใช้ประโยชน์แตกต่างกันออกไป บางคนก็หาปลา บางคนก็ปลูกผัก บางคนก็ขับเรือรับจ้าง ในบรรดาผู้คนที่ได้ใช้ประโยชน์จากแม่น้ำสายนี้ ดูเหมือนว่าคนหาปลาจะเป็นสัญลักษ์อยู่คู่กับแม่น้ำมาเนิ่นนาน โดยเฉพาะบริเวณสบรวก คนหาปลาบางคนได้อาศัยพื้นที่ตรงปากน้ำวางเบ็ด วางมองจับปลา ส่วนคนอีกกลุ่มหนึ่งก็ใช้จอดเรือรับ-ส่งนักท่องเที่ยว ตรงจุดนี้ แม่น้ำไหลเป็นเส้นแบ่งพรมแดนประเทศถึงสามประเทศจึงมีชื่อเรียกว่า ‘สามเหลี่ยมทองคำ’เรื่องราวของสามเหลี่ยมทองคำในอดีตที่ผู้คนได้รู้จักล้วนเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับยาเสพติด และสิ่งผิดกฎหมายแทบทั้งสิ้น แต่ความเป็นจริงแล้ว สามเหลี่ยมทองคำยังมีสิ่งให้ค้นหามากกว่าความเป็นพื้นที่ค้าขายยาเสพติดอันยิ่งใหญ่ ในปัจจุบันเรื่องราวยาเสพติดแห่งสามเหลี่ยมทองคำค่อยๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คน การหายไปของเรื่องราวในอดีตที่สามเหลี่ยมทองคำก็คงไม่ต่างกับการหายไปของคนหาปลาที่สบรวกเช่นกัน ๓-๔ ปีที่ผ่านมาทันทีที่โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือ เพื่อขนส่งสินค้าจากจีนตอนใต้มาถึงเชียงแสนแล้วเสร็จลง คนหาปลาก็เห็นเรือลำใหญ่น้ำหนักบรรทุกเป็นร้อยต้นคืบคลานมาตามสายน้ำ คลื่นของเรือใหญ่ได้ดูดกลืนเรื่องราวของเรือหาปลาลำเล็กไปเสียสิ้น คลื่นจากเรือใหญ่ได้พัดพาเรื่องราวของปลา และคนหาปลาให้จมหายไปกับสายน้ำ คนหาปลาหลายคนหาปลาไม่ได้ บางคนก็ตัดสินใจทิ้งเครื่องมือหาปลาบ่ายหน้าไปหาเรือลำใหญ่ เพื่อแลกกับค่าจ้างที่จะได้รับหลังจากแบกของลงเรือลำใหญ่ ไม่มีใครรู้ว่าขณะก้าวเดินแต่ละก้าวของคนหาปลาบนพื้นของเรือลำใหญ่ ภายใต้ดวงใจเท่าหนึ่งกำปั้นของเขา เขาจะเจ็บปวดกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเพียงใดหลังเรือใหญ่สัญจรหลายเที่ยวมากขึ้น แม่น้ำเคยสงบเงียบก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนไป หลังแม่น้ำแปรเปลี่ยน วิถีทางของคนหาปลาอันเต็มไปด้วยเรื่องเล่า และตำนานจึงยุติลงพร้อมกับเรือหาปลาบางลำกลายเป็นที่ปลูกผักสวนครัว ห้วงยามเช่นนี้คนหาปลาจึงได้เพียงแต่ถอยร่นออกจากวิถีแห่งการพึ่งพาแม่น้ำไปทีละคนสองคน แน่ล่ะ น้ำในแม่น้ำย่อมมีขึ้น-ลงเป็นจังหวะของมัน ชีวิตของคนก็เช่นกัน ล้วนมีขึ้น-ลงมีจังหวะของการโลดเต้นแตกต่างกัน บางคนหาปลาตั้งแต่หนุ่มจนแก่เฒ่ายังหาปลาอยู่เช่นเดิม บางคนขับเรือรับจ้างก็ยังขับอยู่เช่นเดิม สายน้ำมีลีลา ชีวิตคนก็เช่นกัน หลายชีวิตที่กล่าวมา พวกเขาล้วนมีจังหวะชีวิตโลดแล่นบนนาวาชีวิตแตกต่างกันตามแต่จังหวะชีวิตของใครของมันกล่าวถึงแม่น้ำสายนี้แล้ว ในหน้าน้ำหลาก น้ำจะเป็นสีเหลืองขุ่น และไหลเชี่ยวกรากรุนแรง เสียงโครมครามของสายน้ำจะเกิดขึ้นเสมอเมื่อโถมเข้าสู่แก่งหิน เสียงสายน้ำโถมเข้าหาแก่งหินสามารถฉุดห้วงหัวใจของคนอ่อนไหวให้เดินทางไปสู่ความหวาดกลัวได้ดีเป็นยิ่งนักแต่ก็นั่นแหละ แม้ว่าสายน้ำจะโถมเข้าหาแก่งหิน และส่งเสียงดังน่ากลัวปานใด แต่คนหาปลาผู้มาพร้อมกับเรือหาปลาลำเล็กบนสายน้ำเชี่ยวกราก พวกเขาก็ยังคงทำงานเหมือนเช่นเคยเป็นมา ขณะเรือเล่นไปบนสายน้ำเชี่ยวกราก ไม่มีใครสามารถรู้ได้แน่ชัดว่า พวกเขาจะหวาดกลัวต่อสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าหรือไม่ หากเปรียบเทียบคนหาปลากับผมแล้ว ผมสามารถบอกได้ว่า ถ้าใจไม่กล้าพอก็อย่าได้หวังว่าการนั่งอยู่บนเรือเหนือสายน้ำเชี่ยวจะมีความสุข หากว่าแม่น้ำเบื้องหน้าผมคือ สายน้ำแห่งชะตากรรมอันเต็มไปด้วยความหวาดกลัวแล้ว นาวาอารมณ์ที่ค่อยๆ จมดิ่งลงสู่ก้นบึ้งแห่งสำนึกภายในก็คงเป็นจังหวะชีวิตหนึ่งของสายน้ำเช่นกันเมื่อตอนผมนั่งอยู่บนเรือเหนือสายน้ำเชี่ยว หัวใจที่เคยใหญ่เท่ากำปั้นของตัวเอง หดแคบลงเหลือเท่ามดแดงตัวหนึ่งเท่านั้น สองมือเกาะกุมแคมเรือไม่ยอมปล่อย แม้ว่ามันจะดูเป็นเรื่องตลกขบขันสำหรับคนอื่นก็ตามที แต่ผมก็ยินดีจะทำเช่นนั้นเมื่อเครื่องยนต์เรือค่อยผ่อนเบาเครื่องลงก่อนจะถูกเร่งความเร็วผ่านสายน้ำหมุนวน หัวใจของผมก็ไม่ได้ต่างกัน ทุกครั้งที่หัวเรือบ่ายหน้าเข้าหาแก่งหรือน้ำวน หัวใจของผมเหมือนมันจะเต้นช้าลง แต่พอเรือพ้นออกมาจากแก่งและสายน้ำหมุนวนแล้ว การเต้นของหัวใจก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้งผมจำได้ว่า ในสมัยเป็นเด็ก ผมอยากมีเรือวิเศษสักลำที่สามารถเดินทางไปตามที่ต่างๆ ได้ตามใจปรารถนา แต่เมื่อโตขึ้นมาและได้มาล่องเรือในแม่น้ำสายนี้ ความคิดเรื่องของการมีเรือวิเศษได้หายไปอย่างสิ้นเชิง คงไม่ต้องเสียเวลามาอธิบายเพิ่มเติมว่า ทำไมผมจึงทิ้งความฝันนั้นไปเสียหลังกลับจากล่องเรือคราวนั้น ในลมดึกของคืนหนึ่ง ผมได้นั่งดูภาพถ่ายหลายภาพ และเมื่อภาพใบหนึ่งกำลังจะผ่านตาไป ผมก็หยิบภาพใบนั้นขึ้นมาเพ่งพิจารณา ไม่นานนักเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับคนในภาพถ่ายก็วนเวียนเข้ามาในความรู้สึก
มาลำ
ทันทีที่พ่อลุกเดินได้ หมออนุญาตให้พ่อเข้าพักในห้องพิเศษได้แล้ว หลังจากที่ขนของใช้ต่างๆ ของพ่อเข้าห้อง ฉันพยุงพ่อลงนั่งรถเข็น แล้วเวรเปลเข็นพ่อเข้าห้อง รอยช้ำรอบตาพ่อเริ่มจางลง ตาขวาที่หมอเปิดดูในตอนเช้าของทุกวันยังเหมือนเดิม ยังเปิดอยู่ตลอดเวลาเข่าขวาของพ่อยังงอไม่ได้และแผลลึก ยังต้องอยู่โรงพยาบาลอีกหลายวันเพื่อทำแผลและฉีดยา ฉันช่วยพ่อออกกำลังขา โดยยกขาขวาขึ้นสูงและงอเข่า พ่อพยายามทำตามที่ฉันบอก แม้ว่ามันจะทำให้เจ็บแผลมากขึ้น ฉันรู้ว่า พ่อคงอยากหายในเร็ววัน พ่อบ่นอยากกลับบ้าน และหงุดหงิดง่ายมากขึ้น  แม้พ่อพยายามข่มอารมณ์ก็ตาม  เมื่อฉันเอ่ยถึงเรื่องอารมณ์พ่อกับหมอ หมอก็เพิ่มยาให้พ่อ บอกเป็นเพราะอาการกระทบกระเทือนทางสมองนั่นเอง แล้วพ่อก็หลับมากขึ้น มีฉันนั่งมองหน้าพ่ออยู่ข้างเตียง มองแล้วคิดย้อนไปไกล ในคืนที่แสงจันทร์ส่องสว่าง พ่ออุ้มน้องสาวคนเล็กของฉันไว้ในอ้อมแขน พี่สาวและฉันเดินอยู่ตรงกลาง รั้งท้ายเป็นแม่หอบข้าวของพะรุงพะรัง ในกลางดึกที่เราต่างเดินดุ่มออกมาจากบ้านของย่า  แสงจันทร์สีขาวนวลกระจ่างอยู่กลางฟ้า เราข้ามสะพานไม้ที่ข้ามคลองถึงสามสาย เดินผ่านทุ่งนากว้าง แม้จะรู้สึกกลัว แต่เมื่อเหลือบมองพ่อ ความกลัวก็หายไป พ่อเดินตัวตรงในความมืดสลัว   ไปให้ถึงบ้านของเราโดยไม่หวาดหวั่น ฉันจึงเดินตามพ่ออย่างมั่นใจ  ในใจฉันรู้ว่า พ่อจะอยู่เคียงข้างเราเสมอและไม่มีวันทิ้งพวกเราไป ก้มลงไปมองในน้ำบนสะพานไม้ ยังเห็นแสงจันทร์สวยกระจ่าง ในตอนนั้นฉันยังเล็กมากแต่แสงจันทร์สวยจับใจติดในความรู้สึกและจำได้ทุกครั้งที่นึกถึงพ่อ  ฉันมักจะนึกถึงดึกคืนนั้น คืนที่พวกเราเดินในความเงียบกลางคืนแล้วก็ถึงเวลาที่ฉันต้องกลับมาทำงานแล้ว  แม้ในใจฉันอยากอยู่ใกล้พ่อ ดูแลพ่อจนกลับบ้าน แม้ว่าตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ฉันวนเวียนอยู่ข้างเตียงพ่อ โรงอาหารและบ้านพักน้องชายที่ชายทะเลในตอนกลางวัน  แม้จะมีหน้าตาเหมือนคนที่ง่วงนอนตลอดเวลา แต่สิ่งที่ฉันทำทั้งหมดทำให้พ่อดูดีขึ้นเรื่อยๆ พ่อคงจะได้ออกจากโรงพยาบาลในเร็ววัน  ถึงกระนั้นในใจฉันยังอดห่วงพ่อไม่ได้ เมื่อกำตั๋วรถไว้ในมือ หัวใจก็หนักอึ้ง อ่อนแอ คำพูดบอกลามารออยู่ แต่ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะเอ่ยปากเมื่อสบตาพ่อเหมือนพ่อรู้ พ่อมองหน้าฉัน ถามฉันว่า จะกลับวันนี้ใช่ไหมลูก กลับเถอะ พ่อจะทำอย่างที่ลูกบอกและไม่กี่วันพ่อคงกลับบ้านได้ แล้วเราคงไปพบกันที่บ้านนะลูกนะ  พ่อไม่เป็นไรแล้ว  พ่อจะต้องหายดีและอยู่กับลูกไปนานๆ ขอบใจลูกทุกคนที่ทำเพื่อพ่อ พ่อรู้ว่าเรารักกัน พ่อดีใจที่สุดแล้ว ฉันกล้ำกลืนก้อนแข็งๆ ที่พากันมาอัดแน่นที่หน้าอกลงไป  พยายามกระพริบตาไล่น้ำใสๆ ที่ออกมาบังสายตาไว้ พยักหน้าให้พ่อ บอกพ่อให้กินข้าวมากๆ กินยาและทำตามที่หมอบอกด้วย ถึงอย่างไรพ่อป่วยครั้งนี้ก็ยังมีข้อดีที่ทำให้เราได้พบกัน  แม้จะเป็นในโรงพยาบาลก็เถอะ แต่เรายังได้อยู่ใกล้กัน  ลูกทุกคนของพ่อก็มาอยู่รวมกัน และที่ดีที่สุดก็คือ ฉันได้ใช้วิชาที่พ่อส่งให้ฉันเรียนจนจบมาเพื่อพ่อ  ถือเป็นการคืนกำไรทบต้นในเงินลงทุนที่พ่อขาดทุนมาตลอดชีวิต  แล้วพ่อและฉันก็หัวเราะพร้อมกันเป็นครั้งแรกถึงตอนนี้ พ่อคงรู้แล้วว่าฉันทำอะไรบ้างในเวลากลางคืน  ฉันและพ่อเหมือนกันคือ เราต่างเดินไปในความมืด  ทำอะไรก็ไม่รู้ในสิ่งที่มองหาแทบไม่เห็น  แต่ผลของมันยิ่งใหญ่เหมือนแสงจันทร์ในคืนเดือนมืดของดึกคืนนั้นเหลือเกิน มันกระจ่าง สว่างพราวอยู่อย่างนั้น พ่อคงเข้าใจและมองเห็นภาพได้ชัดเจนเมื่อนึกถึง เหนืออื่นใด ฉันได้กอดพ่อ เราได้กอดกันในวันที่เรายังมีลมหายใจและยังไม่สายนะพ่อนะ ลูกคงต้องกลับไปทำหน้าที่ต่อ เรายังได้พบกันในวันหน้าที่บ้านของเรา เราต่างจะทำในสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อกันและกันนะพ่อ ฉันบอกพ่อเมื่อก้มลงกราบ พ่อยิ้มให้ฉันและกอดฉันนิ่งนาน  แม้ฉันไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง  ฉันก็รู้ว่า พ่อคงกล้ำกลืนน้ำตาเหมือนฉัน  ฉันเดินไปลาพยาบาลที่เคาน์เตอร์และบอกฝากดูแลพ่อด้วย  ฉันจะรบกวนโทรมาถามอาการพ่อบ่อยๆ และขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ทำให้พ่อของฉันหายเร็วขึ้นเมื่อหิ้วกระเป๋าออกจากโรงพยาบาล  ฉันกลับไปอย่างมั่นใจ อย่างน้อยฉันรู้ว่าพ่อจะได้กลับบ้านแน่นอน และพ่อจะหายอย่างที่ฉันภาวนามาตลอดทางที่นั่งรถมาหาพ่อ  แม้ว่าพ่อจะต้องเลิกทำสิ่งที่พ่อรักและเคยทำมาชั่วชีวิตหลังการป่วยไข้ครั้งนี้ท้องทุ่งกว้างๆ คงเศร้า ป่ายางเป็นแถวท่ามกลางแสงจันทร์คงเงียบเหงาวังเวง และพากันแปลกใจว่าทำไมพ่อจึงหายไปจากที่ที่เขารักเหลือเกินได้  แม้มันจะเข้าใจสัจธรรมและเหมือนล่วงรู้การบอกลาเหมือนฤดูเปลี่ยนผ่าน เหมือนในใจฉัน  แต่มันคงเฝ้าคิดถึงพ่อไม่รู้คลาย คงเหมือนพ่อและฉันที่เป็นอย่างนั้นระหว่างนั่งรถกลับมาฉันครุ่นคิดถึงพ่อและวางแผนว่าจะกลับมาหาพ่อในช่วงไหนดีนั้น   ฉันคงไม่กลับไป หากฉันล่วงรู้ได้ว่า อีกเพียงหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น ฉันจะได้กลับมาหาพ่อด้วยความกระวนกระวาย ห่วงพ่อมากกว่าเดิมหลายเท่านัก
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ง่ายๆ เราเจอกันที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินบางซื่อ ..อาสาสมัครสอนหนังสือเด็กในชุมชน กลางเมืองหลวง..กับครูปู่ กลุ่มซ.โซ่อาสา (รู้จักครูปู่และกลุ่มซ.โซ่อาสา www.volunteerspirit.org)ผมนัดกับนุ้งนิ้งเพื่อขอเข้าไปถ่ายรูป อาสาสมัครและเด็กๆ กลางเมืองหลวงในชุมชนตึกแดง ..ถามคนแถวนั้นว่าทำไมต้องตึกแดง ง่ายๆ อีกเหมือนกันครับว่า เมื่อก่อนตึกแถวนี้ทาสีแดง คนเลยเรียกติดปากว่าย่านตึกแดง ...แล้วทำไมต้องทาสีแดง อันนี้ไม่ได้ถามครับ ?จากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินบางซื่อ เรา อาสาสมัครต้องนั่งรถสามล้อเครื่องเข้าไปถึงหน้าชุมชนแล้วเดินต่อเข้าไปอีกหน่อย ..ทางเดินแคบๆ นำเราไปยังลานโพธิ์มีเด็กๆ มากกว่า 50 คน รอให้เราเข้าไปสอน...เล็กสุดชั้นอนุบาลไปจนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6... นั่งทำแบบเรียนภาษาไทย คณิตศาสตร์และระบายสีใครอยากลองสัมผัสนัดเจอกันทุกวันเสาร์อาทิตย์ คลิกเข้าไปดูรายละเอียดที่นี่ (http://www.volunteerspirit.org/readthis_info.asp?pid=67) นุ้งนิ้ง - จิระพงค์ รอดภาษา 081-515-8564ระหว่างทางเดิน คุณยายสองท่านกำลังประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ อีกหนึ่งอาชีพของคนในชุมชนตึกแดงจิตอาสาเพื่อในหลวง ลงมือปฏิบัติงาน คับพ๊ม บรรยากาศ ภาพเด็กและหนุ่มสาวผู้มีจิตใจอาสาสมัคร คุณครูอาสาสอนผมบวกลบเลขครับ โดเรมอน ภาพระบายสียอดฮิต เรียกสมาธิสาวน้อย ดูหน้าตาหนุ่มน้อยออกจะตั้งใจระบายสีมาก หนุ่มใส่แว่นเป็นพี่น้องกับหนุ่มเสื้อเขียว ส่วนหนูน้อยอีกคนกำลังเมามันกะคุ๊กกี้ ใครตั้งใจมากกว่ากันดูวุ่นวายสักหน่อยแต่สนุกดีครับ
แพร จารุ
เรื่องขยะ ๆ มันโดนใจใครต่อใครหลายคน หลังจากที่เขียนเรื่อง แปดสิบบาทกับผู้ชายริมทางรถไฟ และในเรื่องมีขยะ ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ปรเมศวร์ กาแก้ว
แม่ของบอยออกไปนาตั้งแต่เช้า พร้อมกับที่พ่อกับแม่ของผมกลับบ้านไปพอดี  เมื่อคืนเรานอนกันที่บ้านของบอยจึงมีเรื่องเล่าสู่กันฟังมากมาย  บ่าวกับผมเล่าเรื่องของเล่นสนุกๆ ให้บอยฟัง โดยเฉพาะเรื่องวีดีโอเกม คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต บอยนั่งฟังตาโตเป็นไข่ห่าน  ผมกับบ่าวก็สนุกกับเรื่องราวกลาง
เจนจิรา สุ
12 กันยายน 2550 และแล้วก็มาถึงวันที่ทุกคนรอคอย เมื่อวันที่ย้ายต้องเลื่อนออกมาจากกำหนดเดิมอีกสองวัน แสงแดดดูเหมือนจะเป็นใจสาดส่องให้ถนนเส้นทางสายห้วยเดื่อ- ห้วยปูแกงที่เคยชื้นแฉะและเป็นหลุมบ่อจากน้ำฝนแห้งสนิท

แท็กล่าสุด

แท็กยอดนิยม