Skip to main content

สุพิชชา โมนะตระกูล

ตลอดช่วงเวลาขณะชมภาพยนตร์สารคดี “Our Daily Bread” ผู้เขียนรู้สึกตะลึงกับภาพที่ได้รับชม โดยสาเหตุหลักหาใช่ “ความงาม” ของสีสันหรือองค์ประกอบศิลป์แบบภาพที่ผู้กำกับภาพบรรจงจัดวางอย่างภาพยนตร์ที่มีภาพงามเรื่องอื่นๆ...หากเป็น “ความจริง” ของภาพที่ตรึงผู้เขียนไว้ตลอดระยะเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่ง


\\/--break--\>






ภาพจาก http://www.ourdailybread.at/


ตลอดช่วงเวลาขณะชมภาพยนตร์สารคดี “Our Daily Bread” ผู้เขียนรู้สึกตะลึงกับภาพที่ได้รับชม โดยสาเหตุหลักหาใช่ “ความงาม” ของสีสันหรือองค์ประกอบศิลป์แบบภาพที่ผู้กำกับภาพ (cinematography director) บรรจงจัดวางอย่างภาพยนตร์ที่มีภาพงามเรื่องอื่นๆ...หากเป็น “ความจริง” ของภาพที่ตรึงผู้เขียนไว้ตลอดระยะเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่ง พร้อมๆ กับนำสมองผู้เขียนไปสู่ห้วงความคิดที่สับสนย้อนแย้งอันเป็นปฏิกิริยาจากภาพที่ปรากฏตรงหน้า

ภาพใน “Our Daily Bread” เป็นการร้อยเรียงกระบวนการผลิตอาหารของมนุษย์ในยุคสมัยใหม่ (modern agricultural production) ซึ่งตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะผู้บริโภคในยุโรปซึ่งต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมาตรฐานความปลอดภัยสูง ทว่า ด้วยสภาพสังคมเศรษฐกิจยุโรปในปัจจุบันที่จัดว่าเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ค่าจ้างแรงงานได้ปรับตัวสูงขึ้น กระบวนการผลิตสินค้าเกษตรที่เคยเป็นอุตสาหกรรมแรงงานเข้มข้นจึงมีความจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายไปสู่การเป็นอุตสหกรรมเทคโนโลยีเข้มข้น เพื่อให้การผลิตมีประสิทธิภาพสูงโดยที่เกิดต้นทุนต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยผู้ผลิตมีกำไรและสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้

ผลที่ตามมา หรือสิ่งที่ต้องแลกได้แลกเสีย (trade-off) กับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ปรากฏในภาพยนตร์ “Our Daily Bread” ดังจะแยกประเด็นได้ดังนี้   

นัยทางศาสนาของ “Our Daily Bread” : มนุษย์ในฐานะพระเจ้าในโลกสมัยใหม่?

Pray like this: 'Our Father in heaven, may your name be kept holy. Let your Kingdom come. Let your will be done, as in heaven, so on earth. Give us today our daily bread. Forgive us our debts, as we also forgive our debtors. Bring us not into temptation, but deliver us from the evil one. For yours is the Kingdom, the power, and the glory forever. Amen.'
                    Matthew 6:9-13

จากการสอบถามครูสอนศาสนาคริสต์ที่โบสถ์คริสตจักรชีวิตใหม่สวนพลูซึ่งผู้เขียนบังเอิญรู้จัก เขาได้อธิบายถึงคำว่า “Our Daily Bread” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคำสวดอธิษฐานต่อพระเจ้าของชาวคริสเตียน แปลได้ว่า “อาหารประจำวัน” ซึ่งมีนัยถึง “การเลี้ยงดูของพระเจ้า” โดยที่พระเจ้าสอนคริสเตียนให้ถวายเกียรติทั้งหมดแด่พระองค์ ให้พึ่งพาพระองค์ในแต่ละวันและทุกๆ วัน คริสเตียนจึงต้องสวดอธิษฐานขออาหารประจำวันจากพระองค์ เพราะอาหารประจำวันที่มีกินล้วนแต่เป็นอาหารที่พระเจ้ามอบให้เท่านั้น ไม่มีจากแหล่งอื่น นอกจากนี้คริสเตียนยังศรัทธาว่าพระวจนะของพระเจ้าเปรียบได้กับอาหารประจำวัน การอ่านพระคัมภีร์จึงต้องอ่านทุกวันเพราะเปรียบได้กับการกินอาหารที่มนุษย์ต้องกินทุกวัน

แต่ภาพที่ปรากฏใน “Our Daily Bread” กลับไม่ได้เล่าเรื่องของชีวิตมนุษย์ในแบบเดียวกับพระวจนะเลย ไม่มีปาฏิหาริย์แห่งพระเจ้า ไม่มีพระเมตตาจากพระองค์ ล้วนเป็นภาพจริงของมนุษย์ในสหัสวรรษนี้ที่ต้องใช้แรงงานแลกกับขนมปังของเขาในแต่ละวัน

ยิ่งไปกว่านั้น การทำงานของมนุษย์ด้วยความช่วยเหลือของเทคโนโลยีในยุคปัจจุบันก็เข้าใกล้กับงานของพระเจ้าเสียจนผู้มิใช่คริสตศาสนิกชนอย่างผู้เขียน (ความเห็นส่วนบุคคล – ขออภัยเพื่อนคริสเตียนไว้ ณ ที่นี้) เกิดความสงสัยว่าเหตุใดพระองค์จึงยังไม่ทรงลงโทษเหล่ามนุษย์เหมือนดั่งที่ทรงลงโทษมนุษย์ผู้ริอาจสร้างหอคอยบาเบล

ในยุคปัจจุบัน มนุษย์กำหนดได้ว่าจะให้กำเนิดสัตว์อะไรจำนวนเท่าไหร่ หมู ไก่ วัวพ่อพันธุ์ถูกควบคุมการสืบพันธุ์ – มีชีวิตอยู่เพื่อถูกรีดน้ำเชื้อออกขายราคาแพง ลูกวัวจะคลอดเมื่อใดก็ “หยิบ” ออกมาจากท้องแม่วัวได้เหมือนเล่นกล ฝนฟ้าอากาศไม่เป็นใจก็เนรมิตรโรงเพาะชำปรับอุณหภูมิให้ได้ผลผลิตงดงาม ทุ่งทานตะวันเหลืองสดอร่ามตาถูกสั่งให้เหี่ยวตายเป็นทุ่งเศษซากดอกไม้แห้งกรังได้ในชั่วพริบตา อยากกินเนื้อกินปลาก็ดั่งมีมนต์คาถาแบบ “สังข์ทอง” เพียงนิ้วกดปุ่มเดินเครื่องจักรกลก็มีปลาเป็นพันๆ ตัวทะลักสู่สายพานการผลิต

ฉากหนึ่งในตอนต้นๆ เรื่อง จากภาพที่มืดมิด มนุษย์เปิดช่อง “ส่องสัตว์” บนประตูบานหนึ่ง ในห้องที่มีแสงส่องสว่างพบกรงสิ่งมีชีวิตที่ผู้ชมอาจดูไม่ชัดว่าเป็นสิ่งมีชีวิตอะไร ภาพยนตร์ฉายภาพในมุมกว้างอีกนิด พบมนุษย์คนเดียวกันเดินไปตามทางเดินยาวที่มีประตูดังกล่าวอยู่สองข้างทางคอยเปิดช่องห้องเก็บสิ่งมีชีวิตที่ผู้ชมค่อยๆ รับรู้จากภาพและเสียงร้องว่าเป็นฝูงลูกเจี๊ยบ ในที่สุดผู้ชมก็ต้องตะลึงเมื่อภาพฉายความยาวของทางเดินนั้น

นอกจากทางเดินที่ยาวเหยียดสุดจุดลับสายตา ผู้ชมยังได้ชมภาพโรงเพาะชำที่ส่องสว่างจำนวนมากพอที่เราจะเห็นจากบนเครื่องบินได้ ภูเขาหลายลูกที่ถูกปรับพื้นที่อย่างดีและปลูกพืชชนิดเดียวกันเป็นแถวแนวยาวสุดลูกหูลูกตา เนื้อหมูและเนื้อวัวชำแหละเสร็จแขวนโตงเตงเรียงรายนับไม่ถ้วน ไก่ที่แออัดกันจนไม่เห็นพื้นดินในโรงเลี้ยงขนาดใหญ่ การเลือกฉายภาพแบบ Landscape เช่นนี้ผู้เขียนเห็นว่า “Our Daily Bread” ต้องการให้เรารับรู้ถึงขนาดของการผลิตแบบ Mass production ซึ่งมนุษย์ไม่เพียงประสบความสำเร็จในการบรรลุเป้าหมายการประหยัดจากขนาด (Economies of scale) และการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังประสบความสำเร็จในการเป็นผู้สร้างและผู้ทำลาย (ผู้กำหนดการเกิด – กิน – สืบพันธุ์ – ตาย) เป็นมนุษย์ที่เอาชนะธรรมชาติและคิดค้นเทคโนโลยีในการผลิตอาหารประจำวันด้วยตัวเองโดยไม่ต้องท่องบทสวดอธิษฐานใดๆ: มนุษย์ในบทบาทของ “พระเจ้า”

Industrialization and Human characteristics/ ความแปลกแยกของมนุษย์กับงาน และความแปลกแยกของผู้บริโภคกับอาหารประจำวัน/ “The Machine”

จากแนวคิดของ อาดัม สมิธ จากงาน The Wealth of Nations ที่ตอนหนึ่งกล่าวว่าประเทศจะมีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจหากสามารถเพิ่มผลิตภาพของแรงงานได้ ซึ่ง อาดัม สมิธ เสนอว่าผลิตภาพจะเพิ่มได้หากแรงงานมีการแบ่งงานกันทำ (Division of Labour) เมื่อโลกวิวัฒน์มาจนถึงยุคหลัง “Fordism” (มานาน) ในปัจจุบัน ภาพโรงงานที่นำเสนอใน “Our Daily Bread” จึงเป็นประจักษ์พยานที่ยิ่งกว่าพอในความถูกต้องของแนวคิดดังกล่าวของอาดัม สมิธ

นอกจากการแบ่งงานกันทำแล้ว เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าเป็นสิ่งจำเป็นเมื่อต้องการผลิตด้วยต้นทุนต่ำสุดอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด “Our Daily Bread” ฉายภาพของโรงงานผลิตสินค้าเกษตรตั้งแต่พืชผลไปจนถึงเนื้อสัตว์ ที่ใช้เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างมาก เป็นการทำงานด้วยระบบสายพานอย่างมีประสิทธิภาพสูงจนน่าตกใจแรงงานแทบไม่ต้องกระดิกตัวเคลื่อนย้ายไปไหน เช่น ฉากการรีดนมวัวที่อาจใช้คนงานเพียงสองคนในการรีดนมวัวฝูงใหญ่ คือคนต้อนวัวเข้าสู่อาคารรีดนมทรงกระบอก กับผู้สวมเครื่องรีดนมให้กับวัวที่สายพานนำมาหยุดอยู่ตรงหน้า

ภาพที่เห็นเป็นส่วนใหญ่ในภาพยนตร์ก็คือภาพของเครื่องจักรกลและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้านำความสะดวกสบายมาสู่ชีวิตมนุษย์และเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตเป็นอย่างมาก แต่ในด้านหนึ่ง ภาพมนุษย์ที่ยืนอยู่เคียงข้างเครื่องจักรกลกลับมีใบหน้าที่ปราศจากซึ่งอารมณ์ของมนุษย์ ทั้งนี้เพราะวิถีการผลิต (Mode of production) แบบทุนนิยมนอกจากจะเปลี่ยนวีธีการผลิตสินค้าแล้วยังได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์ไปพร้อมๆ กัน

ในปัจจุบันสังคมมนุษย์ได้พัฒนาผ่านยุคล่าสัตว์ (Hunting) ยุคสังคมเลี้ยงสัตว์ (Pastoral) ยุคสังคมเกษตร (Farming) และยุคสังคมพานิชย์ (Commerce) อันเป็นสี่ขั้นตอนของการพัฒนาสังคมมนุษย์ตามแนวคิด อาดัม สมิธ มานานโขแล้ว ในยุคเหล่านั้นปฏิสัมพันธ์ของคนกับงานต่างไปจากภาพที่เห็นใน “Our Daily Bread” อย่างแทบจะสิ้นเชิง

ในยุคก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม คนใช้มือในการทำเกษตรและประดิษฐ์สิ่งของ แรงงานหนึ่งคนจะทำงานหลายอย่าง หลายขั้นตอน มีการรวมตัวกันของกลุ่มช่างฝีมือและอาชีพต่างๆ (guild) กล่าวได้ว่าในอดีต ผลผลิตหรือผลิตภัณฑ์ที่ได้เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของคน คำว่า manufacture จึงมีรากศัพท์ของคำว่า “มือ” แต่หลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรปซึ่งนำมาสู่การพัฒนาของเทคโนโลยีในการผลิตต่างๆ และระดับการแบ่งงานกันทำที่เพิ่มขึ้น ความสัมพันธ์ของคนกับงานได้เปลี่ยนแปลงไป สถานะของแรงงานเปลี่ยนจากช่างฝีมือ (artisan) กลายเป็นเพียงฟันเฟืองหนึ่งในขั้นตอนการผลิตสินค้าซึ่งถูกแยกส่วนเป็นหลายสิบหลายร้อยขั้นตอน กล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่าฝีมือแรงงานก็ถูกลดคุณค่าเป็นสินค้าที่แลกเปลี่ยนได้ในตลาดเหมือนสินค้าอื่นๆ เราจึงเห็นในภาพยนตร์มีฉากคนงานถูกลำเลียงไปตามสายพาน (รถบัส) เพื่อไปทำงานในพื้นที่เพาะปลูกต่างๆ และมีผู้คุมยืนส่องกล้องจับตาดูการทำงานตลอดเวลา พวกเขาต่างจากลูกเจี๊ยบในกรงหรือไม่?

เมื่อผลผลิตหรือผลิตภัณฑ์ไม่ใช่ผลงานที่ทำด้วยมือของเขาเองทั้งหมด การให้คุณค่าต่องานซึ่งก็คือการหาเลี้ยงชีพของมนุษย์จึงเปลี่ยนแปลงไป แนวคิดและวิถีชีวิตจึงเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย เราเห็นภาพคนงานที่ไร้อารมณ์ทำงานแบบโมโนโทน ไร้ซึ่งความกระตือรือร้น ความภาคภูมิใจ หรือความปิติยินดีในการทำงาน เพราะความสัมพันธ์ระหว่างงานกับคน คนกับคน และคนกับสัตว์เลี้ยงเพื่อการบริโภคที่เคยเป็นสัตว์ที่ต้องดูแลเองทุกขั้นตอน บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยความสัมพันธ์แบบตลาด เราจึงเห็นภาพคนงานกินอาหารอย่างเดียวดาย (ซึ่งต่างจากคนงานต่างด้าวผู้ทำงานที่ใช้เทคโนโลยีต่ำซึ่งจับกลุ่มกินอาหารและคุยกันอย่างมีชีวิตชีวา) และไร้ซึ่งบทสนทนา ส่วนหนึ่งเนื่องจากในโรงงานต้องใส่หูฟังป้องกันเสียงเครื่องจักร และเพื่อนร่วมงานก็คือเครื่องจักรนั่นเอง

หากจะกล่าวให้ถูกต้อง ภาพเครื่องจักรที่เราเห็นจาก “Our Daily Bread” มิใช่เพื่อนร่วมงานของมนุษย์แต่เป็นนายของมนุษย์ เพราะมนุษย์จะต้องทำงานไปตามจังหวะการทำงานของเครื่องจักรและสายพาน เช่น ฉากการเก็บผักกระหล่ำ ตัดคอไก่ ชำแหละปลา การแบ่งงานกันทำทำให้มนุษย์ผูกพันกับสิ่งมีชีวิตน้อยลง และเครื่องจักรเข้ามาทำให้มนุษย์ตัดขาดกับความรู้สึกผิดบาปหรือสงสารเห็นใจในการต้องฆ่าสัตว์ เพราะมนุษย์แทบไม่ได้ลงมือ เพียงแต่ต้อนสัตว์เหล่านั้นเข้าสู่เครื่องปลิดชีวิตเท่านั้น นอกเหนือจากนั้น ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้เผยภาพการผลิตให้กับผู้บริโภคอย่างเราได้รับรู้ถึงกระบวนการผลิตและที่มาของชิ้นเนื้อและผักผลไม้ที่ถูกจัดวางอย่างน่ากินในซุปเปอร์มาร์เก็ต และตระหนักถึงความแปลกแยกของเรา (ผู้ไม่ได้ทำงานในภาคการผลิตอาหาร) กับอาหารประจำวันที่เราบริโภคอยู่ ความเป็นจริงก็คือผู้บริโภคอย่างเราก็ยอมรับความแปลกแยกนี้เพื่อแลกกับการได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์คุณภาพดีและราคาถูก

ดังนั้นในแง่หนึ่ง การลดลงของความรู้สึกผิดบาปในอุตสาหกรรมผลิตเนื้อสัตว์เป็นเรื่องดีสำหรับผู้ประกอบอาชีพฆ่าและชำแหละสัตว์ (แต่การถูกควบคุมจังหวะชีวิตจากเครื่องจักร “The Machine” ยังคงเป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับผู้เขียน) เพราะผู้ฆ่าสัตว์ประกอบอาชีพนี้ก็เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเช่นกันกับอาชีพอื่นๆ หากไม่มีผู้ประกอบอาชีพนี้ก็เราไม่มีเนื้อสัตว์บริโภค การที่มือของเราไม่ต้องเปื้อนเลือดแต่ยังบริโภคเนื้อสัตว์ไม่ทำให้เรามีศีลธรรมสูงกว่าผู้ฆ่าสัตว์ เราจึงไม่ควรโยนบาปไปให้กับอาชีพนี้

และถึงแม้มนุษย์จะพัฒนาเทคโนโลยีไปได้ไกลเพียงใดและเล่นบทบาทของพระเจ้าได้มากเพียงใด มีการต้องแลกได้แลกเสียกับการเปลี่ยนแปลงนี้ซึ่งส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ความนึกคิด วิถีชีวิตของมนุษย์ แต่ความรู้สึกของความเป็นมนุษย์ก็ไม่ได้ถูกตัดขาดได้อย่างง่ายดายทั้งหมด มนุษย์ยังคงต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ ใน “Our Daily Bread” เราจะเห็นฉากจบของภาพยนตร์เป็นกิจกรรมเดียวกับฉากเปิด นั่นก็คือ การชำระล้างทำความสะอาดโรงงาน คนงานอาจคิดว่านั่นเป็น metaphor ของการชำระล้างบาป เพราะไม่ว่างานของเขาคืออะไร เขาก็เลือกทำงานนั้นเพื่อให้ได้มีขนมปังกินให้ชีวิตอยู่รอด ผู้เขียนจินตนาการว่าคนงานคงสวดขอให้พระเจ้าอวยพรในขณะชำระล้าง... And forgive us our sins. และหน้าที่ทุกวันก็จบลงเช่นนี้เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเริ่มใหม่ในวันต่อไป

ภาพยนตร์สารคดี “Our Daily Bread” โดย Nikolaus Geyrhalter นำเราไปร่วมชมกระบวนการผลิตอาหารของบริษัทผลิตอาหารในยุคปัจจุบันซึ่งอาศัยเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ทำให้ประหยัดแรงงานและเวลาในการผลิตลงได้มหาศาล โดยเสนอภาพในมุมมองราวกับเราได้ไปยืนชมกระบวนการผลิตอยู่ ณ ที่แห่งนั้น โดยไม่มีบทสนทนา บทพากย์ หรือ แม้แต่ตัวหนังสือที่ต้องการจะอธิบายหรือสื่อสารปรากฏในภาพยนตร์เรื่องนี้เลย ภาพยนตร์เพียงนำเสนอภาพที่หนักแน่นทรงพลัง และอันเนื่องจากความ “จริง” (realistic) ของภาพ และมุมกล้องที่เป็นภาวะวิสัย – หรือพยายามจะเป็นภาวะวิสัยอย่างที่สุดในการสื่อสารกับผู้ชมภาพยนตร์ ทำให้กล่าวได้ว่า “Our Daily Bread” เป็นสารคดีที่เผยภาพ โดยปล่อยให้ผู้ชมได้คิดต่อด้วยตัวเอง โดยปราศจากความต้องการจะชี้นำซึ่งต่างภาพยนตร์สารคดีที่มีธงอยู่และพยายามนำเราไปสู่ธงนั้น เช่น ภาพยนตร์สารคดีของ Michael Moore (Bowling for Columbine, Fahrenheit 9/11, Sicko) หรือภาพยนตร์ที่มีประเด็นคล้ายกันคือเรื่องอุตสาหกรรมอาหารฟาสต์ฟู้ดอเมริกันแต่เลือกนำเสนอภาพแง่ลบและแง่ร้ายอย่าง Fast Food Nation (2006)

สำหรับตัวผู้เขียนเมื่อได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วความรู้สึกแรกคือทึ่งในเทคโนโลยีที่มนุษย์คิดค้นขึ้น และตะลึงกับขนาดการผลิตของอุตสหกรรมผลิตอาหาร รู้สึกสงสัยว่าในโลกยังมีคนอดอยากอยู่ได้อย่างไรเมื่อการเทคโนโลยีการผลิตอาหารก้าวหน้าไปถึงเพียงนี้ (และเดาคำตอบของคำถามจากที่เคยได้รับรู้ว่าบ่อยครั้งมีการเททิ้งหรือฝังกลบผลผลิตบางส่วนเพื่อให้กลไกราคาจัดการให้ได้ราคาที่ต้องการ) เกิดคำถามว่าผลิตภัณฑ์ที่ถูกพ่นยาโดยคนใส่ชุดป้องกันราวชุดอวกาศนั้นกินได้จริงหรือ มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมบ้างไหม รวมถึงรู้สึกสับสนและมีความคิดขัดแย้งในตัวเอง (เช่น ความสงสารลูกเจี๊ยบ กับความชอบกินเนื้อย่างโคขุน จินตนาการของฟาร์มหรือไร่แสนสุขหรือชุมชนพอเพียงตามโทรทัศน์ กับประสิทธิภาพของการผลิตที่ทำให้ได้ผลผลิตราคาถูก และอื่นๆ) ที่สำคัญหลังจากดูภาพยนตร์จบแล้วรู้สึกว่าเสียงตนเองที่ต้องยอมรับความเห็นส่วนตัวประการหนึ่งนั้นช่างอ้อมแอ้มและเขินอาย… “Meat is Murder. Tasty, tasty murder.”
 

บล็อกของ Cinemania

Cinemania
  ธวัชชัย ชำนาญหนังรักโรแมนติกเป็นอะไรที่คนไทยให้ความสนใจโดยเฉพาะกลุ่มวัยทีนทั้งหลาย อย่างที่เพิ่งเข้าโรงไปอีกเรื่องก็คือ Happy Birthday เป็นความรักแบบโศกซึ้งน้ำตาซึมแห่งปีไปเลยก็ว่าได้ สาวๆหลายคนออกมาคงรำพันกับตัวเองไม่น้อย "ผู้ชายแบบนี้ยังมีอีกไหมหนอ"แต่สัปดาห์นี้ กระผมขอนำความรักในอีกแบบหนึ่งมาเสนอ เป็นหนังรักแห่งแดนอิเหนา หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นหนังรักแนวของประเทศมุสลิม คือเป็นหนังรักที่มีศาสนา จารีต ประเพณี และกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตรักของตัวละคร อย่างน้อยๆ หนังเรื่องนี้เป็นการสร้างสรรค์ให้วงการหนังแนวโรแมนติกในอีกมุมมองหนึ่งของความรักหนังเรื่องนี้ชื่อ ‘Ayat Ayat Cinta'…
Cinemania
 พิชญ์ รัฐแฉล้ม   " องค์บาก 2 " ภาพยนตร์แนวแอ็คชั่นฟอร์มยักษ์ส่งท้ายปี 2551 นำแสดงโดย ‘จา' พนม ยีรัมย์ หรือ ‘โทนี่จา' ในวงการภาพยนต์โลก ถือฤกษ์มงคล 5 ธันวาคม เข้าฉาย ทีมผู้สร้างวางเป้าหมายไว้ ‘องค์บาก 2' จะต้องประสบความสำเร็จอย่างงดงามสวนกระแสภาวะเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน บัดนี้..ผ่านมาแล้วสองสัปดาห์เต็มที่ภาพยนตร์ได้ออกฉายให้แฟนๆ จา พนม ที่ชื่นชอบภาพยนตร์แนวแอ็กชั่นได้สัมผัสอย่างเต็มตา และได้รับการตอบรับจากแฟน จา พนม เป็นอย่างดีจนสามารถฉลองความสำเร็จของรายได้ที่ทะลุเป้าหมายร้อยล้านในสัปดาห์ที่ผ่านมาอย่างไรก็ตาม เป็นที่รู้ๆกัน ‘องค์บาก 2'…
Cinemania
  หมายเหตุ: “บันทึกอิสรา” แสดงที่มะขามป้อมสตูดิโอ ในวันที่ 9-15 ธันวาคม เวลา 19.30น. เสาร์-อาทิตย์ เวลา 14.00น.  รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถดูไปที่ www.makhampomstudio.net        “เรื่องราว... ถ้าไม่เล่าสู่กันฟัง คนข้างหลังก็จะลืม... เลือนราง” เนื้อร้องท่อนหนึ่งจากละครร้องเรื่อง “บันทึกอิสรา” ว่าเอาไว้ ชวนให้นึกเห็นด้วยไม่น้อย ทุกวันนี้ถ้าจะย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ที่ผ่านพ้นมา ก็พบว่า ประวัติศาสตร์ของหลายๆ อย่างในประเทศนี้ไม่เคยจะสมบูรณ์เสียที ประวัติศาสตร์บางแบบแม้จะเรียนแล้วก็ต้องเรียนอีก…
Cinemania
ไก่ย้อย หมายเหตุ: จดหมายฉบับนี้สร้างขึ้นจากเรื่องจริงแต่แอบอิงวิธีการนำเสนอจากภาพยนตร์เรื่อง ‘เพื่อนสนิท’ โดยสมมติเหตุการณ์ว่าเป็นภาคต่อของภาพยนตร์ต้นฉบับ หากใครยังไม่มีโอกาสได้รับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ บางทีก็อาจจะไม่เข้าใจมุกเห่ยๆ ของผู้เขียน  ส่วนใครที่ไม่อยากอ่านจดหมายฉบับนี้ ผู้เขียนก็ขอร้องว่าอย่าอ่านเลยนะพวกคุณ   ถึงเพื่อนๆ หากพวกแกได้อ่านจดหมายฉบับนี้ ฉันขอร้องพวกแกอย่างหนึ่งนะว่า “อย่าคิดมาก” เพราะที่ผ่านมาเหตุการณ์บ้านเมือง และวงการวิชาการของไทยมันก็มีเรื่องซีเรียสมากมายกันพออยู่แล้ว ฉะนั้นพวกแกอย่าเสียเวลาเปลืองมันสมองเพื่อขบคิดกับจดหมายบ้าๆ บอๆ ของฉันอยู่เลย…
Cinemania
  จันทร์ ในบ่อ 20th Century Boys หรือเด็กในศตวรรษที่ 20 เป็นภาพยนตร์ที่นำเรื่องราวจากการ์ตูนชื่อเดียวกันมาสร้าง (การ์ตูนชื่อไทยว่า แกงค์นี้มีป่วน) เป็นผลงานเรื่องเด่นจากค่าย Shogakukan แต่งโดย Naoki Urasawa คนเดียวกับผู้เขียน Monster (คนปีศาจ)  20th Century Boys ยังคว้ารางวัลการ์ตูนยอดเยี่ยมครั้งที่ 48 จาก Shogakukan  รางวัลชนะเลิศในงาน Media Art ครั้งที่ 6 ของทบวงวัฒนธรรมญี่ปุ่น และรางวัลการ์ตูนยอดเยี่ยม ครั้งที่ 25 จาก Kodansha คอการ์ตูนเองคงรู้ดีถึงความยอดเยี่ยม ส่วนฉบับภาพยนตร์ดูแล้วก็คิดว่าว่าไม่เสียรสชาติครับ ด้วยข้อจำกัดของหนังด้านเวลาเมื่อเปรียบเทียบกับเนื้อหา…
Cinemania
จันทร์  ในบ่อ หายหน้ากันไประยะหนึ่งสำหรับคอลัมภ์หนังรายสัปดาห์ของประชาไท ‘Blogazine' เลยขออนุญาตทำหน้าที่คั่นเวลาแทน ‘นพพร ชูเกียรติศิริชัย' ที่ช่วงนี้กำลังยุ่งกับการอพยพย้ายถิ่นฐาน ถ้าทุกอย่างลงตัวแล้วจะกลับมาทำหน้าที่เหมือนเดิมครับ ส่วนช่วงคั่นเวลาสัปดาห์นี้ผมขอชวนคุยเรื่อง ‘ปืนใหญ่จอมสลัด' ที่กำลังลงโรงฉายเลยแล้วกัน   คงไม่ต้องการันตีคุณภาพให้มากขึ้นเมื่อปืนใหญ่จอมสลัดเป็นฝีมือกำกับเรื่องล่าสุดโดย ‘นนทรีย์ นิมิบุตร' และเขียนบทโดย ‘วินทร์ เลียววารินทร์' นักเขียนรางวัลซีไรต์ ใช้ทุนสร้างร่วม 200 ล้านบาท ภาพยนตร์ออกฉายปฐมทัศน์ครั้งแรกในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ 2008…
Cinemania
  จันทร์  ในบ่อ หายหน้ากันไประยะหนึ่งสำหรับคอลัมภ์หนังรายสัปดาห์ของประชาไท ‘Blogazine' เลยขออนุญาตทำหน้าที่คั่นเวลาแทน ‘นพพร ชูเกียรติศิริชัย' ที่ช่วงนี้กำลังยุ่งกับการอพยพย้ายถิ่นฐาน ถ้าทุกอย่างลงตัวแล้วจะกลับมาทำหน้าที่เหมือนเดิมครับ ส่วนช่วงคั่นเวลาสัปดาห์นี้ผมขอชวนคุยเรื่อง ‘ปืนใหญ่จอมสลัด' ที่กำลังลงโรงฉายเลยแล้วกัน   คงไม่ต้องการันตีคุณภาพให้มากขึ้นเมื่อปืนใหญ่จอมสลัดเป็นฝีมือกำกับเรื่องล่าสุดโดย ‘นนทรีย์ นิมิตรบุตร' และเขียนบทโดย ‘วินทร์ เลียววารินทร์' นักเขียนรางวัลซีไรต์ ใช้ทุนสร้างร่วม 200 ล้านบาท ภาพยนตร์ออกฉายปฐมทัศน์ครั้งแรกในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ 2008…
Cinemania
  นพพร ชูเกียรติศิริชัยImagine : John LennonImagine there's no heavenIt's easy if you tryNo hell below usAbove us only skyImagine all the people  Living for todayImagine there's no countriesIt isn't hard to doNo greed or hungerAnd no religion tooImagine all the people  Living life in peaceYou may say I'm a dreamerBut I'm not the only oneI hope someday you'll join usAnd the world will live as oneImagine no possessionsI wonder if you canNothing to kill or die forA brotherhood of manImagine all the peopleSharing all the worldผมเคยได้ยินและได้ฟังเพลง Imagine…
Cinemania
  นพพร ชูเกียรติศิริชัย  อังกฤษ ปี ค.ศ. 1983 ยุคที่รองเท้า ‘บู้ท' สไตล์ Dr.Matins ทรงผม ‘สกรีนเฮด' เสื้อเชิ้ต ‘ลายสก๊อต' และกางเกงยีนส์ คือสัญลักษณ์แห่ง ‘อำนาจ' ที่เหนือกว่าชนชาติอื่นในหมู่เยาวชนชาวอังกฤษ ‘ชอน' เด็กชายวัย 12 ผู้ฝังใจอยู่กับการสูญเสียพ่อไปในสมรภูมิเกาะฟอร์คแลนด์ (สงครามแย่งชิงเกาะฟอร์แลนด์ระหว่างประเทศอังกฤษและ อาเจนติน่า) กำลังเริ่มต้นค้นหาชีวิตในวัยหนุ่มกับกลุ่มเยาวชนรุ่นพี่  เขาถูกสอนให้รู้จักกับความเป็นกลุ่มก้อน หรือความเป็นสถาบันผ่านเครื่องแต่งกายสไตล์ขาโจ๋เมืองผู้ดีในช่วงต้นคริสตศตวรรษที่ 20 เขาถูกสอนให้รู้จักกับความเป็น ‘ชาย' ผ่าน ‘เกมส์'…
Cinemania
ชญานุช เล็กตระกูลชัย    ภาพจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Mona_Lisa_Smile   “ศิลปะคืออะไร อะไรที่ทำให้มันดีหรือแย่ แล้วใครเป็นคนกำหนด” “ศิลปะไม่ใช่ศิลปะ จนกว่าจะมีคนบอกว่าใช่… มันมีมาตรฐาน เทคนิค องค์ประกอบ สี และหัวข้อ” (บางส่วนของบทสนทนาระหว่างตัวละคร ‘แคเธอรีน วัตสัน’ (จูเลีย โรเบิร์ตส์) อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ และ ‘เบ็ตตี้ วอร์เร็น’ (เคิร์สเตน ดันสต์) นักศึกษาสาวจากวิทยาลัยเวสลี่ย์คอลเลจ) ปรัชญา ศิลปะ และกระบวนการทำให้ ‘หญิง’ เป็น ‘หญิง’ ภาพยนตร์เรื่อง Mona Lisa smile นำเสนอภาพสะท้อนของสังคมตะวันตก (ทั้งยุโรป และอเมริกา) ในช่วงต้น…
Cinemania
  นพพร ชูเกียรติศิริชัย  ภาพจาก http://www.japclub.com/dvd_box/j-bics/2008_may/Crows-Zero.htm    ผมเป็นผู้หนึ่งที่รู้สึกอิดหนาระอาใจกับสถานการณ์บ้านเมืองของเรา (หรือเปล่า?) ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะผมไม่เคยคาดคิดว่า ภาพการไล่กระทืบกันอย่างเมามันด้วยความมุ่งหวังที่จะพิชิตฝ่ายตรงข้าม (ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน) จะเกิดขึ้นในสังคมที่เที่ยวประกาศกับใครต่อใครว่าเป็นสังคมที่ยึดมั่นอยู่ในพระพุทธศาสนาอย่างเข้มข้น ‘ฉากชีวิตจริง’ นั้นดุเด็ดเผ็ดมันกว่า ‘หนังบู๊’ ที่ดูผ่านหน้าจอหลายเท่านัก และดูจะสยดสยองกว่า ‘คลิปวีดีโอเด็กนักเรียนตบกัน’ เป็นไหนๆ  ส่วน ‘…
Cinemania
  นพพร ชูเกียรติศิริชัย   "to prove the Faustian dream to be a nightmare" ผมมีโอกาสประสบพบกับประโยคภาษาอังกฤษข้างต้นเป็นครั้งแรกในหนังสือ ‘POST MODERN : ชะตากรรมโพสต์โมเดิร์นในอุ้งมือนักปรัชญาการเมืองโบราณ' ของ อาจารย์ไชยันต์ ไชยพร และตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่เคยคิดว่าผมจะต้องนึกถึงมันอีกเลยไม่ว่าจะในกรณีใดๆ แต่แล้ววันดีคืนดี ในขณะที่ผมกำลังนั่งเพลิดเพลินเจริญอารมณ์อยู่กับภาพยนตร์เรื่อง Hellboy 2 : The Golden Army หลายๆ ฉาก หลายๆ ตอนในภาพยนตร์กลับทำให้มันสมองของผมเกิดระลึกถึงคำอธิบายเกี่ยวกับ ‘the Faustian dream' ของอาจารย์ไชยันต์ (ไชยพร) ขึ้นมาอย่างกระทันหัน …