Skip to main content

ชญานุช เล็กตระกูลชัย  

 

mona lisa smile
ภาพจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Mona_Lisa_Smile

 

ศิลปะคืออะไร อะไรที่ทำให้มันดีหรือแย่ แล้วใครเป็นคนกำหนด

ศิลปะไม่ใช่ศิลปะ จนกว่าจะมีคนบอกว่าใช่ มันมีมาตรฐาน เทคนิค องค์ประกอบ สี และหัวข้อ

(บางส่วนของบทสนทนาระหว่างตัวละคร แคเธอรีน วัตสัน (จูเลีย โรเบิร์ตส์) อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ และ เบ็ตตี้ วอร์เร็น (เคิร์สเตน ดันสต์) นักศึกษาสาวจากวิทยาลัยเวสลี่ย์คอลเลจ)

ปรัชญา ศิลปะ และกระบวนการทำให้ หญิงเป็น หญิง

ภาพยนตร์เรื่อง Mona Lisa smile นำเสนอภาพสะท้อนของสังคมตะวันตก (ทั้งยุโรป และอเมริกา) ในช่วงต้น คริสต์ศตวรรษที่ 20 (ช่วงเวลาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่วิถีชีวิต และวัฒนธรรมของชาวตะวันตกส่วนใหญ่ยังคงถูกครอบงำจากปรัชญาดั้งเดิม (สมัยกรีก มาถึงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ จนกระทั่งยุคปฏิวัติวิทยาศาสตร์) ในเรื่องของ ความดี’ ‘ ความงาม’ ‘ความสมบูรณ์รวมไปถึงเรื่องของ ศิลปะตลอดจนวิถีชีวิตประจำวัน

ผู้คนส่วนใหญ่ถูกทำให้เชื่อมั่นว่ารูปแบบการดำเนินชีวิตที่ดี (เช่นเดียวกับศิลปะ) ที่ถูกต้องนั้นมีเพียงมาตรฐานเดียว และเป็น มาตรฐานสากล แบบเดียวกับองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์

เช่นเดียวกันกับนักศึกษาสาวจากวิทยาลัยเวสลี่ย์คอลเลจ (ตัวแทนของกลุ่มอนุรักษ์นิยม) ที่กระบวนการของการเรียนการสอนในชั้นเรียนช่วยตอกย้ำให้พวกเธอเชื่อมั่นว่ามาตรฐานที่สังคมวางไว้ให้ คือ สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตของ หญิงสาวผู้สมบูรณ์แบบ

พวกเธอถูกกำหนดให้เรียนวิชาศิลปะ ด้วยการท่องจำสิ่งที่อยู่ในตำรา ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทำให้พวกเธอไม่จำเป็นที่จะต้องตั้งคำถามกับ อำนาจ (authority) ที่กำหนดให้พวกเธอ เป็นอะไร? และต้องทำอะไร?

พวกเธอถูกบังคับให้เรียนการจัดโต๊ะอาหาร เพื่อที่จะทำให้พวกเธอรับรู้ว่าหน้าที่ที่สำคัญของพวกเธอคือการหมกมุ่นอยู่กับงานบ้าน มากกว่าการพัฒนามันสมอง

พวกเธอถูกสอนว่าควรจะ นั่งหรือยืนอย่างไร? ด้วยการหล่อหลอกว่าสิ่งเหล่านั้นคือความงาม(ในแบบเดียวกับศิลปะ) ภายใต้หลักสูตร มารยาททางสังคม

พวกเธอถูกทำให้เชื่อว่า การแต่งงานคือการปลดปล่อยให้พวกเธอมีอิสระ โดยที่ทางวิทยาลัยจะยกเว้นให้นักศึกษาที่แต่งงานแล้วไม่จำเป็นต้องเข้าเรียน

แต่การก้าวเข้ามาของ แคเธอรีน วัตสันอาจารย์ประวัติศาสตร์ศิลปะคนใหม่ (สัญลักษณ์ของการต่อต้านสังคมประเพณี ตัวแทนของหลังสมัยใหม่) ได้ช่วยกระตุ้นความสงสัย และความกระหายในเสรีภาพ ขึ้นภายในจิตใจของเหล่านักศึกษาสาว

ภาพซากศพ ปี 1925” คือ บทเรียนแรกที่ แคเธอรีน วัตสัน ใช้ปลดเปลื้องพันธนาการทางความคิดของเหล่าลูกศิษย์ ที่ยึดมั่นอยู่กับ มาตรฐานสากลจนทำให้เกิดคำถามขึ้นมากมายในชั้นเรียน และเป็นเครื่องมือเบื้องต้นที่ช่วยปลดปล่อยพวกเธออออกจากกรอบที่ทางวิทยาลัย (สังคม) ได้กำหนดไว้

ผลงานรูปดอกทานตะวันของ วินเซนต์ แวนโกะ คือบทเรียนต่อมาที่แคเธอรีน วัตสัน ใช้ในการประณามกระบวนการจับจิตวิญญาณของมนุษย์ยัดใส่กล่อง (ความพยายามในการสร้างมนุษย์ภายใต้มาตรฐานเดียว) เธอตั้งคำถามถึงความชอบธรรม ในการนำผลงานของศิลปิน (ผู้ปฏิเสธแบบแผนและประเพณี) มาผลิตซ้ำด้วยวิธีการสร้างมาตรฐาน เช่นเดียวกับสินค้าทั่วไป

ภาพ ‘Mona Lisa’ คือ เครื่องมือชิ้นสุดท้าย ที่ช่วยทำให้นักศึกษาสาวผู้ยึดมั่นในจารีตประเพณีอย่าง เบ็ตตี้ วอเร็นเข้าใจว่า แท้จริงแล้วเบื้องหลังรอยยิ้มของโมนาลิซ่า อาจจะไม่ได้แฝงไว้ด้วยความสุขอย่างที่ผู้คนทั่วไปรับรู้ เช่นเดียวกันกับ มาตรฐานสากลที่สังคมพยายามหยิบยื่นให้ผู้หญิงอย่างพวกเธอ อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดก็ได้

เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอจึง ไม่จำเป็นที่จะ ต้องยิ้มเมื่อพวกเธอไม่ต้องการที่จะยิ้ม

นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ภาพยนตร์เรื่อง Monalisa smile ยังพยายามสอดแทรกสัญลักษณ์มากมายลงในแผ่นฟิล์ม เพื่อที่จะบ่งชี้ถึงกระบวนการผลิตซ้ำความหมาย หรือค่านิยม โดยผ่านสิ่งที่เรียกว่า ศิลปะ

อาคารเก่ายอดแหลมที่มีลักษณะคล้ายโบสถ์ทางศาสนา ซึ่งถูกใช้เป็นวิทยาลัย คือสัญลักษณ์ในการเชื่อมโยง ความรู้กับ ศีลธรรมให้กลายเป็นเรื่องเดียวกัน และผู้ที่อยู่ภายใต้ตึกแห่งนี้จำเป็นที่จะต้องนอบน้อม และยอมรับในสิ่งที่วิทยาลัย (สังคม) หยิบยื่นให้ด้วยความศรัทธา (เช่นเดียวกับความศรัทธาในศาสนา) แม้ว่า ความศรัทธาหรือ การน้อมรับนั้นจะทำให้ผู้คนที่อาศัยอยู่ภายใต้ร่มเงาของอาคารแห่งนี้จะต้องตกอยู่ในบรรยากาศซึมเศร้าของฉากสีทึมๆ ก็ตาม

ลายดอกไม้ ที่ใช้ตกแต่งฝาผนังของบ้านหรือแม้กระทั่งเสื้อผ้าที่ตัวละครหญิงสวมใส่ คือสัญลักษณ์ของความพยายามผลิตซ้ำความหมายที่ว่า ศิลปะคือการเลียนแบบธรรมชาติ และ ผู้หญิงก็ควรจะมีความงามในลักษณะเดียวกันกับธรรมชาติ คือมีความสวยงามและอ่อนช้อยเหมือนดอกไม้ ยามแรกแย้ม

ตู้เย็น ของ แนนซี่ แอ๊บบีย์ (มาร์เซีย เกย์ ฮาร์เด้น) ครูสาวผู้สอนวิชาการออกเสียงและการวางตัว ซึ่งถูกจัดระเบียบด้วยการแบ่งช่อง และแปะชื่อเจ้าของ (พื้นที่) ในแต่ละชั้น คือสัญลักษณ์ของกรอบประเพณีที่ผู้หญิงควรยึดมั่น และพวกเธอไม่สามารถที่จะก้าวข้ามออกจากกรอบเหล่านั้นได้

เสื้อผ้าสีเข้ม คือภาพสะท้อนของกฎระเบียบทางสังคม ที่ส่งผลต่อตัวบุคคล จะสังเกตได้ว่าตัวละครส่วนใหญ่ในเรื่องจะสวมใส่เสื้อผ้าสีเข้ม แต่สำหรับอาจารย์ที่ต้องถูกไล่ออกจากวิทยาลัยเวสลี่ย์คอลเลจ เนื่องจากทำผิดกฎด้วยการแจกห่วงอนามัยให้นักศึกษาหญิง กลับสวมใส่เสื้อผ้าสีขาวในฉากที่เธอจะต้องถูกไล่ออก เพราะนั่นคือสัญลักษณ์ในการปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระจาก มาตรฐานสากลเช่นเดียวกับนกพิราบสีขาวซึ่งบินออกจากอาคารเรียนก็คือสัญลักษณ์ในการปลดปล่อยเหล่านักศึกษาสาวให้เป็นอิสระจากวาทกรรม แม่และ เมีย หลังจากจบการศึกษา

ระบำใต้น้ำ คือกระบวนการอบรมให้ผู้หญิงทำในสิ่งที่เหมือนๆ กัน ดังเช่น กลุ่มนักกีฬาระบำใต้น้ำที่จะต้องพร้อมเพรียงกันในการเคลื่อนไหว และไม่ว่าพวกเธอ (ผู้หญิง) จะรู้สึกอย่างไรในขณะนั้น กีฬาชนิดนี้ก็บังคับให้พวกเธอ ต้องยิ้มเข้าไว้

และแม้ว่าภาพยนตร์เรื่อง Mona Lisa smile จะพยายามตั้งคำถามกับปรัชญาตะวันตก และศิลปะที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกดขี่ทางเพศ แต่ขณะเดียวกันตัวละครอย่าง แคทเธอรีน วัตสัน ก็คือประชาสัมพันธ์ชั้นดีของ อเมริกาที่ทำหน้าที่ประกาศให้โลกรู้ว่า พวกเขาคือผู้ปลดปล่อยโลกออกจากสังคมประเพณี และนั่นคือเหตุผลที่เธอจะต้องออกเดินทางไป ทำลายกำแพงในยุโรป ในตอนจบของภาพยนตร์

ไม่ว่าคุณจะชื่นชอบ หนังในฐานะ ศิลปะหรือสัญลักษณ์ในการบอกเล่าเรื่องราวทางสังคมแต่ Mona Lisa smile ก็น่าจะเป็นภาพยนตร์อีกเรื่องที่คนดูหนัง ควรดู (แม้ว่าจะหายากหน่อยนะ)

บล็อกของ Cinemania

Cinemania
โดย… พิมพ์สิริ เพชรน้ำรอบ
Cinemania
      ซาเสียวเอี้ย   แต่ไหนแต่ไรมา...ระบบการศึกษาในพื้นที่หลายแห่งทั่วโลกมักถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวการ ‘ดับฝัน’ ของคนวัยหนุ่มสาว เพราะทำให้ความอยากรู้อยากเห็นและกระตือรือร้นที่จะ ‘เรียนรู้’ สิ่งแปลกใหม่ในวัยเยาว์ถูกลบเลือนหายไปในกรอบ-กฎเกณฑ์-เหตุผล-เงื่อนไข และข้อเท็จจริงทั้งหลายทั้งปวง (ซึ่งถูกกำหนดขึ้นโดยคนกลุ่มหนึ่งซึ่งมีโอกาสเกิดมาใช้ชีวิตบนโลกก่อนหน้าเรา...)   กระนั้น...ใครหลายคนก็ยังยินดีเดินตามแนวทางหรือเงื่อนไขต่างๆ ที่ถูกวางไว้แล้วโดยไม่เคยคิดตั้งคำถาม เพื่อแลกเปลี่ยนกับ ‘การยอมรับ’ จากสังคมรอบข้าง...เพื่อที่มนุษย์ทั้งหลาย (ซึ่งเป็นสัตว์สังคม)…
Cinemania
        ซาเสียวเอี้ย   ‘ชาร์ลี วิลสัน’ ตายแล้ว...   แม้การตายของเขาจะไม่ได้ทำให้โลกสะท้านสะเทือนอะไรมากนัก แต่ก็มีความหมายสลักสำคัญมิใช่น้อย เพราะบทบาทของวิลสันในสมัยที่เขายังหนุ่มแน่นและดำรงตำแหน่ง สว.รัฐเท็กซัสของสหรัฐอเมริกา เป็นประเด็นให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ถกเถียงกันไม่สิ้นสุดว่าควรจะจดจำเขาไว้ในฐานะอะไร...   บ้างก็ว่า ชาร์ลี วิลสัน คือ ‘นักการเมืองเจ้าสำราญ’ เจ้าของฉายา Good Time Charlie ผู้มีชีวิตโลดโผนเต็มไปด้วยสีสัน หรือเป็น ‘วีรบุรุษชาวอเมริกัน’ ผู้ช่วยให้นักรบมูจาฮิดีนขับไล่กองทัพสหภาพโซเวียตอันโหดร้ายป่าเถื่อนไปจากอัฟกานิสถาน…
Cinemania
themadmon หมายเหตุ: ข้อเขียนชิ้นนี้อาจเรียกได้ว่าเป็น บทสะท้อนย้อนคิดหลังจากการชมภาพยนตร์เรื่อง Air Doll ผมในฐานะที่เป็นผู้เขียนจงใจจะหยิบเลือกประเด็น (ซึ่งผ่านการตีความของผม) โดยไม่ได้อ้างอิงอย่างชัดเจนไปสู่ตัวภาพยนตร์ในแต่ละฉากแต่ละตอน โดยหวังว่าผู้ที่ยังไม่ได้ชมภาพยนตร์ก็สามารถอ่านได้ และผู้ที่ได้ชมภาพยนตร์แล้วจะสามารถระลึกถึงฉากต่างๆ ในภาพยนตร์ได้ด้วยเช่นกัน     หากลองพูดถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ในสามประโยค  ผมคงพูดสั้นๆ ว่า.. “ผู้คนหลากหลาย เราต่างก็ว่างเปล่า และเหงามากมาย”  เพราะอะไรน่ะหรือ …
Cinemania
  บริวารเงา   ขงจื๊อ เป็นชื่อหนึ่งที่ผมได้ยินมาเนิ่นนาน ถ้าจำไม่ผิดอาจจะเป็นหนังจีนกำลังภายในสักเรื่องหนึ่งที่อ้างชื่อนี้ขึ้นมาเพื่อพูดถึงปรัชญาในเรื่องคุณธรรมน้ำมิตร ผมมารู้จักเขาอีกครั้งในห้องสมุดช่วงที่กำลังสนใจพวกวิชาปรัชญา จิตวิทยา วรรณกรรม ฯลฯ  แต่ผมกลับไปชอบปรมาจารย์จีนอีกคนคือ เล่าจื๊อ เสียมากกว่า เพราะว่าแกมีความคิดที่ 'แนว' ดี (อารมณ์ของวัยรุ่นเช่นนี้แล) อีกนัยหนึ่งก็ดูเพี้ยน ๆ อีกนัยหนึ่งก็มีอารมณ์ศิลปินกว่าขงจื๊อ ขณะที่ผมเห็นว่าขงจื๊อเอาแต่พร่ำบ่นอะไรที่เป็นหลักจริยธรรมน่าเบื่อ ๆ ซึ่งความน่าเบื่อนี้ไม่ใช่ความผิดของขงจื๊อเสียทีเดียว…
Cinemania
เดือนสองจันทร์   October Sonata: รักที่รอคอย
Cinemania
สุพิชชา โมนะตระกูล ตลอดช่วงเวลาขณะชมภาพยนตร์สารคดี “Our Daily Bread” ผู้เขียนรู้สึกตะลึงกับภาพที่ได้รับชม โดยสาเหตุหลักหาใช่ “ความงาม” ของสีสันหรือองค์ประกอบศิลป์แบบภาพที่ผู้กำกับภาพบรรจงจัดวางอย่างภาพยนตร์ที่มีภาพงามเรื่องอื่นๆ...หากเป็น “ความจริง” ของภาพที่ตรึงผู้เขียนไว้ตลอดระยะเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่ง
Cinemania
  สาวกท่านเป้า ขณะที่กำลังตุรัดตุเหร่ในร้านหนังสือแอร์เย็นเฉียบ เพื่อตามหานิตยสารมือถือฉบับหนึ่ง บังเอิญเหลือบไปเห็นนิตยสารฉบับหนึ่งที่นำภาพโปรโมทภาพยนตร์ “วงษ์คำเหลา” มาขึ้นปก แต่เมื่อหยิบมาจึงรู้ว่าเป็นปกหลัง แต่ปกหน้าก็ยังเป็นวงษ์คำเหลาอยู่ดี จึงเริ่มรู้ตัวว่าถูกหลอกแดกเสียแล้ว มีที่ไหนวางขายนิตยสารโดยเอาปกหลังเป็นตัวชูโรง นิตยสารฉบับนั้นคือนิตยสารภาพยนตร์ของกลุ่มคนทวนกระแสที่ชื่อว่า “ไบโอสโคป”
Cinemania
   เคยได้ยินครูสอนประวัติศาสตร์บอกว่าคนอเมริกันมีปมเรื่องรากเหง้าทางวัฒนธรรม เพราะไม่ได้มีฐานที่มั่นคงแข็งแรงเท่าประเทศแถบยุโรปที่ผ่านการต่อสู้ก่อร่างสร้างชาิติและบ่มเพาะอารยธรรมมานานหลายศตวรรษ และต่อให้ ‘สหรัฐอเมริกา' เป็นถึงประเทศมหาอำนาจแห่งโลกสมัยใหม่ ก็ยังไม่วายถูกมองเป็นแค่ ‘เศรษฐีใหม่' หรือ ‘ชนชาติที่ไร้วัฒนธรรม' แถมยัง ‘บ้าอำนาจ' อีกต่างหากในสายตาของคนบางชาติถึงจะไม่แน่ใจว่าประโยคที่ได้ยินมาถูกต้องมากน้อยแค่ไหน แต่การที่สังคมอเมริกันให้ความสำคัญ (อย่างมาก)กับการเก็บรวบรวมประวัติศาสตร์ชาตินิยมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ก็คงพอจะเป็นภาพสะท้อนได้กลายๆ ว่าคนอเมริกันคงมี ‘ปม'…
Cinemania
 'มาริโอ โรปโปโร' เป็นลูกชายชาวประมง เติบโตมาบนเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่งในอิตาลี ที่ซึ่งไม่มีน้ำประปาและผู้คนบนเกาะส่วนใหญ่ไม่รู้หนังสือ...‘ปาโบล เนรูด้า' เป็นกวี-นักการทูต-นักการเมือง และเป็น ‘คอมมิวนิสต์' ชาวชิลี มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก แต่ต้องลี้ภัยไปอยู่บนเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่งในอิตาลีช่วงปี 1952 และที่นั่นมีบุรุษไปรษณีย์เพียงคนเดียว...บุรุษไปรษณีย์นามว่า ‘มาริโอ โรปโปโร':::บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์::: Il Postino หรือ The Postman เป็นหนังภาษาอิตาลี แต่เป็นผลงานของผู้กำกับชาวอังกฤษ ‘ไมเคิล แรดฟอร์ด' ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์หลายสาขาเมื่อปี 2538…
Cinemania
  ..mad mon..::ข้อเขียนชิ้นนี้เปิดเผยเรื่องราวบางส่วนในภาพยนตร์:: 1. จุดเริ่มต้นของจุดจบและ/หรือจุดเริ่มต้นอันใหม่เรื่องราวปัจจุบันในภาพยนตร์บอกให้เรารู้ว่าเมื่อ 30 ปีก่อนนั้น Laura (Belén Rueda) เคยใช้ชีวิตช่วงเวลาหนึ่งอยู่ในสถานเลี้ยงดูเด็กกำพร้าแห่งหนึ่งก่อนที่เธอจะถูกรับไปเลี้ยง สถานเลี้ยงเด็กนั้นอาจเรียกว่าอยู่ในพื้นที่ชนบทซึ่งห่างไกลผู้คน ตั้งอยู่ไม่ไกลชายหาดและทะเลซึ่งมีประภาคารสูงใหญ่คอยส่องไฟนำทาง และถ้ำอีกอันหนึ่ง, สถานที่ซึ่งเป็นอดีตแห่งความทรงจำของเธอ ... 30 ปีต่อมา Laura กลับมาที่แห่งนี้อีกครั้ง เมื่อเธอ, สามีของเธอ - Carlos (Fernando Cayo), และ Simón (Roger Príncep)…
Cinemania
(เขียนเมื่อ 31 ธ.ค.51)จันทร์ ในบ่อ สิ้นปีกันเสียที บรรยากาศตึงๆ ปีนี้อาจทำให้ใครหลายคนอึดอัดและทำท่าจะลากยาวไปถึงปีหน้า ก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆ  คนสู้ๆ กับปัญหาที่รุมเร้า แต่ถ้าเครียดมากลองผ่อนคลายกันด้วยการหาหนังดูมาสักเรื่องสองเรื่อง จะซื้อ จะเช่ามานั่งดูที่บ้านหรือจะออกไปดูตามโรงภาพยนตร์ต่างๆ ก็ได้ ลองออกจากโลกความจริงไปอยู่ในโลกอื่นสักชั่วโมงสองชั่วโมงอาจจะสบายใจขึ้นส่วนถ้าใครยังไม่รู้จะดูเรื่องอะไร ที่ไหนอย่างไร ผมก็มีโปรแกรมหนังรับปีใหม่มาฝาก เป็นหนังฟรีกลางแปลงครับหลายคนคงไม่ค่อยทราบว่าที่มหาวิทยาลัยศิลปากรจะจัดเทศการหนังกลางแปลงกันทุกปี ในวันที่ 7-8-9 มกราคม 2552…